ค่างดำ
พรานล่าสัตว์ต้องถูกล่าด้วยเวรกรรม
ผู้เข้าชมรวม
145
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
แสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านใบไม้ลงสู่พื้นเบื้องล่างดูวับๆ มีลำแสงยาวลอดผ่านใบไม้ลงมากระทบพื้นดินเป็นครั้งคราวเนื่องจากความหนาทึบของต้นไม้ที่แซงเสียดยอด บนพื้นดินที่ชื้นแฉะและปกคลุมด้วยใบไม้ที่หล่นลงมาทับถมอยู่นานปี มดคาบเนื้อฝูงใหญ่กำลังขนไข่ของมันอพยพไปยังที่อยู่ใหม่ที่ปลอดภัยจากความเปียกชื้นของฝนที่เริ่มตกลงมาถี่ๆกันหลายห่า บนใบไม้สีน้ำตาลที่หล่นลงมาทับถมบนพื้นดินทากดุดเลือดสามสี่ตัวกำลังคืบเคลื่อนตัวเข้าหาเหยื่อเมื่อมันได้สัญญาณกลิ่นมนุษย์และสัตว์ซึ่งเป็นอาหารอันโอชะให้มันดูดกินเลือดเพื่อดำรงชีวิต
ซุ้มเถาวัลย์ถูกแหวกออกช้าๆโดยมือที่กร้านหยาบอย่างเงียบกริบเท้าที่สวมด้วยรองเท้าแตะฟองน้ำค่อยๆจดลงพื้นอย่างแผ่วเบาเหมือนกลัวจะมีเสียงดัง ชายวัยกลางคนที่เดินนำหน้าบนศีรษะโพกพันด้วยผ้าขาวม้าลายตาหมากรุกสีแดงสลับขาว กางเกงขายาวสีมอๆเปราะเปื้อนด้วยเศษยางที่แห้งเกราะกรัง เขาค่อยๆแหวกดงสาบเสือเพื่อลอดซุ้มเถาวัลย์ที่พันปกคลุมอยู่บนกอหญ้าเขาหันมากระซิบกับชายหนุ่มวัยอ่อนแกว่าหกเจ็ดปีที่เดินตามหลังมาติดๆมือขวาของชายที่เดินนำหน้าถือปืนลุกซองยาวกระชับมั่นอยู่ในมือในขณะที่ชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาติดๆสะพายปืนลูกกรดแบบมีแมกกาซีนเอาไว้ด้านหลัง
“จุ๊ๆ...เอ็งอย่าเอ็ดไป” เสียงชายที่เดินนำหน้าหันมากระซิบพร้อมยกนิ้วขึ้นแตะที่ริฝีปากที่เต็มไปด้วยหนวดเครารกครึ้มเป็นสัญญาณบอกว่าให้เงียบเสียง เขาชี้ไปยังยอดต้นแวะใหญ่ขนาดประมาณสองคนโอบที่ทอดต้นตรงดิ่งเสียดยอดขึ้นไปสู่เบื้องบนเพื่อรับแสงแดดบนต้นแวะใหญ่มีเถาวัลย์ขนาดใหญ่พันไปรอบๆต้นขนาดเท่าข้อมือผุ้ใหญ่พันเป็นเกลียวลำต้นคดไปคดมาเลี้ยวพันไปตามลำต้นของแซะใหญ่ที่กำลังแตกยอดอ่อนสามสี่เถาพันสลับไปสลับมาช่วงลำเถาด้านล่างที่ติดกับพื้นดินเถาอวบใหญ่ลำต้นคดไปคดมาบางช่วงก็ไต่พันต้นแซะตรงขึ้นไปบางช่วงเถาก็แนบลำต้นหลายๆช่วงเถาก็หย่อนลงมาเป็นท้องช้าง ชายคนที่เดินนำหน้าแหงนหน้าขึ้นไปดูบนยอดแซะพร้อมกับชี้ไม้ชี้มือหันหน้ามากระซิบเบาๆกับชายหนุ่ม
“มีค่างอยู่บนยอดแซะ”ชายวัยกลางคนกระซิบพร้อมขยับปืนในมือในท่าเตรียมพร้อมที่จะเหนี่ยวไก ชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาติดๆแหงนหน้าขึ้นมองบนยอดแซะตามที่ชายวัยกลางคนกระซิบบอก เขาพยายามเพ่งสายตามองไปบนยอดแซะตามจุดต่างๆที่สงสัยแต่เขาก็ไม่สามารถมองเห็นค่างที่แอบอยู่บนยอดไม้ตามที่พรานเขิมบอก ชายหนุ่มเพิ่งเริ่มหัดออกป่าล่าสัตว์เป้นครั้งแรกก่อนๆเขาเคยหัดยิงนกตกปลา ทำแร้วดักกระรอกหรือราวเบ็ดดักไก่เถื่อนอยู่ในป่าริมหมู่บ้าน เป้นครั้งแรกที่หนุ่มจ้อนตามหลังพรานใหญ่เขิมซึ่งมีชื่อเสียงในการล่าสัตว์ เมื่อพรานเขิมออกล่าสัตว์บนเทือกเขาหลวงซึ่งเป็นป่าใหญ่แต่ละครั้งไม่มีครั้งใดเลยที่พรานเขิมจะกลับมายังหมู่บ้านด้วยมือเปล่า บางครั้งกระทิงโทนขนาดหนักครึ่งตันก็ถูกแล่เนื้อหาบคอนพาลงมาชังกิโลขายจนได้เงินโขอยู่นับเป็นรายได้พอที่จะเลี้ยงครอบครัว พรานเขิมมีความชำนาญในการจับสัญญาณเสียงสัตว์เพียงได้ยินเสียงแว่วๆพรานเขิมก็สามารถบอกได้ทันทีว่าสัตว์ที่ส่งเสียงร้องนั้นเป็นสัตว์ชนิดใดนอกจากนี้พรานเขิมยังมีความชำนาญในการตามรอยสัตว์เขาสามารถสะกดรอยสัตว์และบอกชนิดของสัตว์ได้อย่างแม่นยำโดยไม่พลาดแม้แต่ครั้งเดียว
ในการล่าสัตว์แต่ละครั้งพรานเขิมสามารถกำหนดจุดตายของสัตว์แต่ละชนิดได้อย่างเด็ดขาด ความชำนาญในการล่าสัตว์ของพรานเขิมเป็นที่ยอมรับของพรานใหญ่น้อยทั้งหลายจนได้รับสมญานามว่าเป็นพรานใหญ่แห่งป่าเขาหลวง นอกจากนี้เส้นทางในการล่าสัตว์บนเขาหลวงในการเดินทางเข้าป่าล่าสัตว์พรานเขิมดูเหมือนจะเดินหลับตาเห็นเขาสามารถบอกเส้นทางและภูมิประเทศในบริเวณต่างๆได้เกือบทุกจุดทุกตำแหน่ง พรานเขิมรู้พื้นที่ในการล่าสัตว์แต่ละชนิดได้โดยมีความผิดพลาดน้อยที่สุด ทาง
ด่านสัตว์ทุกสายพรานเขิมมีความเชี่ยวชาญอย่างหัวตัวจับยาก การสะกดรอยสัตว์ตามทางด่านต่างๆพรานเขิมจึงมีความรอบรู้เป็นพิเศษ หลายครั้งพรานเหิมต้องคาดห้างเพื่อส่องสัตว์และยิงสัตว์ร้ายๆอย่างเสือโคร่งซึ่งออกล่าเหยื่อในเวลากลางคืนหลายครั้งที่เขาส่องไฟฉายไปกระทบดวงตาสัตว์ป่าเขาสามารถบอกชื่อสัตว์ได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องเห็นตัว
นอกจากพรานเขิมจะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องสัตว์เขายังมีความชำนาญเกี่ยวกับเรื่องพันธุ์ไม้ที่มีอยู่ในป่า ต้นไม้นานาชนิดพรานเขิมสามารถบอกชื่อเกือบหมด บ้านของพรานเขิมประดับด้วยหนังสัตว์ เขาสัตว์งาช้างและเขี้ยวสัตว์นานาชนิดเป็นปริญญาบัตรรับประกันความรู้ความสามารถเกี่ยวกับความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการล่าสัตว์อย่างดีเยี่ยม ใครๆที่ไปเยี่ยมบ้านและแวะเวียนมายังบ้านของพรานเขิมต่างก็ทึ่งและเลื่อมใสศรัทธาในความสามารถของพรานเขิม
ความเงียบจากการซุ่มดูค่างตามที่พรานเขิมว่าช่างเป็นเรื่องทรมาณเสียเหลือเกินจ้อนพรานหนุ่มพยายามเพ่งตาจับอยู่บนยอดแซะอย่างตั้งอกตั้งใจดูแล้วดูเล่าดูเท่าไหร่ก็ยังมองไม่เห็นตัวค่างสักทีเขาเหลือบตาดูพรานเขิมก็เห็นนายพรานรุ่นพ่อยังนั่งสงบนิ่งแหงนหน้าขึ้นดูบนยอดแซะด้วยท่าทีเยือกเย็นโดยไม่ปริปากพูดอะไรเลยสักคำเขาช่างมีความอดทนสมกับสมญานามพรานใหญ่แห่งป่าเขาหลวงจริงๆ เมื่อความอดทนถึงขีดสุดจ้อนหนุ่มผู้เพิ่งเริ่มหัดเป็นพรานป่าบนภูเขาในป่าลึกเป็นครั้งแรกความอดทนของจ้อนสิ้นสุดลงเมื่อมีนกหว้าสองสามตัวบินลงมาจับบนยอดต้นแซะพร้อมกับนกอื่นๆอีกหลายตัวเสียงนกร้องดังซอแซตลอดเวลา
“น้าเขิมค่างยังหลบอยู่บนยอดแซะหรือเปล่า?” จ้อนเอ่ยขึ้นพร้อมขยับปืนลูกกรดในมือในท่าที่พร้อมจะใช้งาน
“มีซีวะมันหลบนิ่งอยู่บนคาคบบนสุดโน่น...ดูเหมือนมีสักสี่ห้าตัว…ไอ้สัตว์พวกนี้ มันถูกล่าบ่อยๆมันจึงมีสัญชาตญาณระแวงภัย...แค่เราไอหรือจามมันก็รู้ความเคลื่อนไหวของคนแล้วหละมันจะรีบหลบซ่อนตัวเพื่อความปลอดภัยและเพื่อเอาตัวรอดจากการไล่ล่าของคน”
“ถึงขนาดนั้นเลยรึน้า?” จ้อนหันมาถาม
“อืม?ใช่” พรานเขิมตอบเบาๆ
“การเดินป่าล่าสัตว์...แต่ละครั้งที่นายพรานทุกคนต่างก็ระมัดระวังการเดินแต่ละย่างก้าวต้องเงียบกริบไม้สักอันก็ไม่เหยียบให้หักเถาวัลย์ที่พันดักอยู่ตามเส้นทางบางครั้งถ้ามันล่อแหลมต่อการทำให้ไม้เล็กไม้ใหญ่รอบข้างเคลื่อนไหวที่อาจเกิดเสียงดังก็ต้องก้มตัวลงลอดซุ้มคืบคลานไปข้างหน้าเพื่อหาเป้าหมายด้วยความอดทน..จึงสามารถเข้าถึงตัวสัตว์ที่เราจะล่าได้ในระยะรัศมีกระสุนที่จะลั่นไกสังหารมันได้อย่างเฉียบขาด” พรานเขิมเล่าให้จ้อนฟังเหมือนสอนบทเรียนนายพรานให้แก่จ้อน
“ผมคิดว่าค่างมันคงหนีไปหมดแล้วละน้ามันจึงเงียบเหมือนเป่าสากยังงี้?”จ้อนพูดพร้อมแหงนหน้าขึ้นดูบนยอดแวะอีกครั้ง
“ยัง..เอ็งอย่าใจร้อนค่างตัวมันใหญ่มันจะเคลื่อนตัวจากยอดไม้แต่ละครั้งมันรอดสายตาเราไปไม่ได้หรอก?”พรานไพรตอบข้อสงสัยของจ้อยเพื่อนพรานรุ่นหลาน
“ผมจะยิงนกหว้าตัวนี้ก่อนนะน้า” จ้อนพูดพร้อมประทับปืนลูกกรดเล็งไปยังนกหว้าตัวหนึ่งซึ่งกำลังจิกกินลูกแซะด้วยความเผลอเรอ
“อย่าเพิ่งยิงให้ข้าสูบยาใบจากให้หมดมวนก่อนไหนๆค่างมันก็ไม่ออกมาอีกหรอกมันแอบอยู่อย่างนั้นแหละเพราะเสียงคุยของเราทำให้มันตื่นตัว..และมันคงหลบซ่อนไปอีกนาน..ข้าจะคอยหามุมที่สอยมันลงมาสักตัวสองตัวอย่าให้เสียเที่ยว” พรานเขิมพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับปลายกระบอกปืนกดลงต่ำ
“ทำไมรึน้า?” จ้อนพูดขึ้นด้วยความสงสัย
“เดี๋ยวก็รู้รอให้ข้าดุดยาใบจากนี่ให้หมดมวนก่อนแล้วเอ็งค่อยยิง” พรานเขิมพูดกับจ้อยพร้อมส่งเสียงหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์เย็นพร้อมกับดูดยาใบจากเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที่จนแดงวาบพร้อมพ่นควันพวยพุ่งออกมาเป็นวงลอยขึ้นเหนือศีรษะบนยอดตาเป็ดตาไก่ที่กำลังออกดอกแหลมๆสีชมพูคล้ายดอกบัวตูม
เอาละเอ็งเล็งไอ้ตัวที่เห็นชัดเจนที่สุดนะเว้ย” พรานเขิมพูดพร้อมกับประทับปืนลูกซองในท่าที่เตรียมพร้อมนายพรานยกปืนขึ้นเล็งไปยังทิศทางที่นายพรานคาดว่าค่างที่แอบอยู่จะกระโดดจากต้นแซะไปยังต้นทรวยใหญ่ที่อยู่ข้างเคียง พร้อมเอาลูกปืนลุกซองอีกสองนัดมาหนีบไว้ที่ซอกนิ้วเตรียมไว้สำหรับยิงในนัดต่อๆไป
“เปรี้ยง!” เสียงปืนลุกกรดจากมือของจ้อนดังขึ้นก้องกังวานเสียงแหลมเล็กดังเสียดแก้วหูพร้อมเสียงดังพรึบๆจากปีกของนกหว้าแสดงว่าจ้อนยิงไม่ถูกจุดตายมันพยายามตะเกียกตะกายเพื่อบินหนีแต่มันคงหมดแรงจึงทิ่มหัวพลัดตกลงมา แต่ที่น่าตื่นเต้นก็คือค่างสีดำสนิทขนาดใหญ่เผ่าพันธุ์เดียวกับมนุษย์สองสามตัวกระโจนออกจากคาคบไม้ที่มันซ่อนตัวอยู่ใช้มือหน้าจับกิ่งต้นแซะใหญ่โหนตัวกระโดดไปยังต้นทรวยใหญ่ด้วยความตกใจ
“ปัง!ปัง!ปัง!” เสียงปืนลูกซองดังมาจากมือของพรานเขิมหลังจากกระสุนลุกซองนัดแรกระเบิดขึ้นดังก้องกังวานสนั่นหวั่นไหวจนแสบแก้วหูนายพรานก็หักลำกล้องใส่กระสุนนัดที่สองสามอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญสลัดปลอกกระสุนที่ยิงแล้วออกจากรังเพลิงพร้อมกับใส่ลูกปืนนัดใหม่เข้าไปในลำกล้องปลายนิวชี้ก็กระดิกลั่นกระสุนนัดที่สองและที่สามตามลำดับ
“พลั๊ก”
“พลั๊ก”
เสียงค่างดำทโมนตัวขนาดน้ำหนักยี่สิบถึงสามสิบกิโลตกพลั๊กลงมากระทบพื้นดินเสียงดังสนั่นเสียงดังพลั๊กติดๆกันสองครั้งท่ามกลางความตื่นเต้นของจ้อนซึ่งตกตะลึงตาค้างเด็กหนุ่มกำลังจะก้าวไปเก็บนกหว้าที่พลัดตกลงมาส่งเสียงพึบๆอยุ่ในพุ่มตาเป็ดตาไก่ ต้องชะงักเท้าและเปลี่ยนใจหันไปทางเสียงดังพลั๊กก่อนที่พรานหนุ่มฝึกหัดจะถึงตัวนกหว้า เขาต้องแปลกใจที่พรานเขิมยังคงนั่งอย่างใจเย็นไม่ได้มีอาการตื่นเต้นต่อค่างที่ตกลงมานายพรานไพรยังคงนั่งนิ่งเฉยโดยไม่ได้ขยับเขยื้อนออกจากที่ พรานเขิมยังคงแหงนหน้าขึ้นดูบนยอดแซะและมองนิ่งอยู่จนจ้อนสงสัย เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นดูตามสายตาของพรานเขิมก็เห็นเงาร่างดำทะมึนของค่างตัวหนึ่งยังคงนั่งอยู่ที่คาคบส่วนตัวอื่นๆในฝูงต่างแตกกระเจิงกระโจนหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
“มันถูกลูกปืนหรือเปล่าละน้า? “จ้อนถามพรานเขิมด้วยความสงสัย
“เอ็งไปดูซิเสียงดังป็อกแป็กนั่นคือเสียงอะไร?”พรานเขิมไม่ตอบแต่ใช้ให้จ้อนไปดูแทนคำตอบ
จ้อนขยับตัวลุกขึ้นเก็บปืนลูกกรดสะพายไว้ที่ด้านหลังแล้วเดินเข้าไปดูตามที่พรานเขิมบอกเมื่อเขาเดินเข้าไปถึงตำแหน่งของต้นเสียงที่ดังเขาก็เงยหน้าขึ้นดูข้างบนอีกครั้ง
“ป๊อก”หยดน้ำตกตกลงมากระทบที่ใบหน้าของจ้อนเขาต้องเอามือป้ายน้ำที่หยดลงมาที่ใบหน้าเขาออกแต่มันรู้สึกเหนียวๆและมีกลิ่นหื่นๆเมื่อพรานหนุ่มแบมืออกดูเขาก็อุทานด้วยความประหลาดใจ
“เลือด!” จ้อนอุทานพร้อมกับก้มดูตรงตำแหน่งที่เลือดหยดก็พบว่าบนใบไม้และบนพื้นดินมีรอยคราบเลือดสดๆแดงฉาน พรานหนุ่มเข้าใจได้ทันทีไอ้ค่างตัวที่เกาะคาคบไม้อยู่นั้นถูกปืนอย่างจังเลือดจึงได้หยดมากมายอย่างนี้มันเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่พรานเขิมใช้เป็นคำตอบแก้ข้อข้องใจของพรานหนุ่ม
“มันถูกลูกปืนเข้าเม็ดเบ้อเริ่มหละไอ้จ้อนเอ้ย.....แต่มันทนเหลือเกินยังนั่งใช้มือจับคาคบไม่ยอมพลัดตกลงมาสักที..ตัวนี้อ้วนๆผิดสังเกตนะเว้ย” พรานเขิมพูดกับจ้อน
“ยิงซ้ำอีกนัดเป็นไงน้า” จ้อนเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องหรอกเปลืองลูกปืนเปล่าๆ...ไม่นานหรอกพอมันหมดแรงมันก็พลัดตกลงมาเองแหละเอ็ง” พรานเขิมพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจพร้อมขยับตัวดึงกล่องยาสูบออกมาเปิดฝาแล้วหยิบใบจากที่ตัดเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบแล้วคลี่ใบจากออกใช้ยาเส้นคลี่ใส่เข้าไปตรงกลางแล้วม้วนจนแน่นจ่อปลายด้านเล็กเข้าที่ปากแล้วล้วงเหล็กไฟออกมาขีดจ่อเข้าที่ปลายใบจากแล้วดูดจนแดงวาบพร้อมพ่นฟันลอยโขมงอย่างอารมณ์ดี
“เอ็งไปดูไอ้สองตัวที่ตกลงมาซิวะ...เนื้อหลายกิโลนะเว้ย…ยังไอ้ตัวที่นั่งอยู่บนปลายแซะอีกคงขายเนื้อได้หลายตังค์นะมึงเอ๋ย....ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” พรานเขิมดูดสูบยาใบจากเข้าเต็มปอดแล้วพ่นควันลอยกรุ่นขึ้นสู่เบื้องบนพร้อมกับหัวเราะด้วยความพึงพอใจในผลงาน
ความจริงระยะหลังๆพรานเขิมถูกจำเรียงภรรยาห้ามหลายครั้งเหตุผลก็คือนางตั้งครรภ์และกำลังจะคลอดบุตรในเดือนหน้าไม่กี่วันบุตรคนที่สองก็จะลืมตาออกมาดูโลกแล้วแต่พรานเขิมก็ได้แต่ผัดผ่อนว่าจะหยุดล่าสัตว์และเปลี่ยนอาชีพใหม่สักที จำเรียงพูดอยู่เสมอๆให้เข้าหูพรานเขิมว่าพรานเขิมล่าสัตว์มามากเป็นบาปกรรมที่ติดตัวชีวิตใครใครก็รักสัตว์มันก็รักชีวิตของมันคนก็รักชีวิตของตัวเองเช่นกัน
“หยุดล่าสัตว์เสียที่เถอะพี่เรากำลังจะมีลูกอีกคนแล้วนะ...ฉันใจไม่ดีเลยเวลาที่พี่เข้าป่าไปล่าสัตว์ครั้งละคืนสองคืน...ฉันเป็นห่วงพี่เหลือเกิน”นี่คือคำพูดที่ จำเรียงพูดกับสามีด้วยสีหน้าวิตกกังวลบ่อยครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอกนาสัตว์มันก็เป็นอาหารของมนุษย์..ไม่มีเนื้อสัตว์กินมนุษย์ก็ดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้..อย่าคิดอะไรมากเลยนา” นี่คือคำพูดที่พรานเขิมใช้อธิบายแก่จำเรียงเมียรักแล้วพรานเขิมก็พูดให้ความหวังแก่จำเรียงว่าเขาก็คิดจะเลิกอาชีพพรานป่าในอีกไม่นานเพราะอายุที่ล่วงเลยสี่สิบมาแล้วสี่ห้าปี
“น้า..น้าตัวนี่มันยังไม่ตายมันลุกขึ้นนั่งพอผมจะฟาดมันด้วยด้ามปืนนี่มันยกมือขึ้นรับผมฟาดไม่ลงเลยน้า”
“เฮ้ย...หัดเป็นพรานต้องใจเด็ด ..ถ้าขืนใจอ่อนเอ็งจะล่าสัตว์ได้ยังไงวะ...เพราะการล่ามันหมายถึงการที่ต้องฆ่าสัตว์ทุกชนิดที่เราล่า” พรานเขิมพูดสำทับ
“ผมทุบมันไม่ลงจริงๆน้า..มันทำอาการเหมือนจะขอชีวิตยังไงยังงั้น”
“เอ็งไม่กล้าทุบก็เอาปืนลุกกรดเอ็งนั่นแหละเป่าขมองมันถ้ามันไม่ตายก็ให้มันรู้ไปมันก็เป็นค่างผีสิงแหละมึง…ใจกล้าหน่อยซิวะต่อไปเอ็งก็จะเป็นพรานที่ช่ำชองในการล่าสัตว์…เอ็งกระชากลูกเลื่อนแล้วเหนี่ยวไก..ทุกอย่างก็จบ”
จ้อนพรานฝึกหัดปลดปืนที่สะพายหลังออกแล้วประทับปืนเล็งศีรษะไอ้ค่างดำจอมทรหดที่นั่งหายใจระรวยจ้อนเกือบลดปืนลงจากบ่าเมื่อเห็นสายตาอันละห้อยเหมือนจะขอชีวิต
“เร็วซิวะ..ยิงแล้วลากมันมาเถือหนังแล้วชำแหละใส่สอบปุ๋ยแบกกลับบ้าน” เสียงพรานเขิมพูดสำทับเหมือนคำตัดสินสุดท้ายของผู้พิพากษา
“เปรี้ยง!” เสียงแหลมเล็กของปืนลูกกรดจากมือของจ้อนดังก้องกังวานไปทั้งหุบเขา พร้อมกับร่างดำมะเมื่อมของไอ้ค่างดำจอมทรหดก็ฟุบนิ่งลงบนกอหญ้าโดยมีเลือดไหลรินออกมาไม่ขาดสาย
“มันต้องยังงั้นซีวะ” เสียงพรานเขิมพูดขึ้นอย่างพึงพอใจ
“เอ็งลากมันสองตัวมารวมไว้ตรงนี้แล้วรอไอ้ตัวที่ยังค้างอยู่บนคาคบนั่นตกลงมาเสียก่อน...นั่นมันเริ่มโงนเงนแล้วประเดี๋ยวก็ตกลงมา”
“จ้อนแหงนหน้าขึ้นดูร่างดำตะคุ่มของไอ้ค่างจอมทรหดที่กำลังบาดเจ็บเกาะติดอยู่บนคาคบ ...เขาสังเกตเห็นร่างของมันกำลังโงนเงนมือหน้าที่เกาะคาคบไม้เริ่มอ่อนแรงและแล้วร่างของมันค่อยค่อยหลุดร่วงลงมาจากคาคบต้นแซะใหญ่ตกลงมากระทบพื้นเสียงดังพลั๊ก จ้อนรีบวิ่งเข้าไปดูร่างดำของมันที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้างต้นพร้าวนกขุ้มทีขึ้นกระจัดกระจายอยู่ใต้โคนแซะเขาพลิกร่างของมันขึ้นดูมันเป็นค่างตัวเมียที่ตัวอ้วนพีสมบูรณ์จนขนเป็นมันขลับเด็กหนุ่มพลิกตัวมันดูด้านข้างเห็นรูขนาดเท่าหัวแม่เท้าเด็กเป็นรูโหว่ที่ปากแผลมียอดแซะอุดรูปืนอยู่หลายใบ
“มันเด็ดใบแซะอุดรูลูกปืนเพื่อห้ามเลือด!” จ้อนอุทานด้วยความตกใจ
“เป็นไงไอ้จ้อนลากมันมารวมไว้กับไอ้สองตัวนี่ซิ...ข้าจะถกหนังมันออกผ่าท้องแล้วเอาแต่เนื้อกับแขนขาของมันกลับไปยังหมู่บ้าน...พรานเขิมพูดจบก็ดึงมีดจากเอวแล้วลงมือถลกหนังมันออกด้วยความชำนิชำนาญนายพรานจัดการแหล่เนื้อของมันออกมาใส่ในสอบปุ๋ยที่เตรียมมาจากบ้าน
“ยังไอ้ตัวเมียตัวนี้อ้วนพุงโย้เลยเว้ย” พรานเขิมพูดพร้อมกับพลิกมันหงายท้องแล้วเริ่มแหล่หนังออกหลังจากถลกหนังมันออกหมดแล้วพรานเขิมก็เริ่มเอาปลายมีดจ่อที่หน้าท้องแล้วกรีดออกช้าๆพอกรีดออกกว้างพอสมควรนายพรานก็ดึงเครื่องในออกมากองไว้
“เฮ้ย..ค่างลูกอ่อนติดในเว้ย!” เสียงพรานเขิมอุทานขึ้นด้วยเสียงดัง จ้อนชะโงกหน้าออกไปดูก็เห็นพรานเขิมแหวะลูกค่างซึ่งมีขนปกคลุมเต็มตัวมีรูปร่างหน้าตาสมบูรณ์พร้อมที่จะคลอดออกมาดูโลกในอีกไม่กี่วันข้างหน้ามันเป็นลูกค่างตัวผู้ที่หน้าตาน่ารักแต่มันตายไปเสียแล้วพร้อมๆแม่ของมัน พรานเขิมถอนใจเงือก
“ข้าไม่นึกเลยวะ...ว่ามันจะเป็นค่างท้องแก่ถ้าข้ารู้ข้าจะไม่ยิงมันหรอกวะ” แต่นี่มันสายไปเสียแล้วพอแม่มันตายลูกมันก็หมดอากาศหายใจตกตายตามแม่มันไป” พรานเขิมพูดพร้อมกับนำซากมากองรวมไว้ในที่เดียวกัน
“เอ็งไปหาไม้แหลมๆมาขุดหลุมฝังมันทีซิวะ” พรานเขิมหันมาพูดกับจ้อน พร้อมกับนำซากของลูกค่างมากองรวมกับหนังและเครื่องในจ้อนรีบหาไม้แหลมๆซึ่งมีอยู่ข้างๆโคนแซะมาขุดหลุมแล้วกลบซากของค่างที่เหลือพร้อมกับเดินไปตัดเถาวัลย์มามัดปากกระสอบแล้วพรานเขิมกับพรานจ้อนก็จับกระสอบปุ๋ยใส่เนื้อค่างดำสามตัวขึ้นบ่าพร้อมสะพายปืนแบกลงมาจากหุบเขามุ่งหน้ากลับหมู่บ้านทั้งสองไม่ได้ปริปากพูดอะไรกันอีกเลย บ้านของพรานเขิมเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูงฝาขัดด้วยไม้ไผ่โป๊ะสานเป็นลายนกแก้ว พรานเขิมต้องแปลกประหลาดใจเมื่อเดินผ่านแนวป่าเข้าสู่บริเวณเขตบ้าน พรานเขิมหันไปสบตากับจ้อนเมื่อมาถึงใต้ถุนบ้านเขาทิ้งกระสอบใส่เนื้อค่างลงกับพื้น
“ข้าพาลูกบ้านไปตามเอ็งตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่ไม่เจอเอ็งวะอีจำเรียงมันเจ็บท้องคลอดป้าแขหมอตำแยพยามที่จะช่วยอย่างสุดความสามารถ....แต่หมอตำแยก็ช่วยไม่ได้วะจำเรียงมันหมดแรงเบ่งลูกจนมันตกเลือด” ผู้ใหญ่ซ้อนพูดไม่ทันจบพรานเขิมก็รีบกระโจนก้าวขึ้นบันไดเรือนไปด้วยอาการรีบร้อนลนลาน ที่ลานกลางห้องยายแขและผู้หญิงแม่บ้านหลายคนต่างนั่งล้อมร่างที่นอนแน่นิ่งคลุมด้วยผ้าห่มผืนยาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ข้างๆผ้าขนหนูผืนใหญ่คลุมร่างเล็กๆอีกหนึ่งร่าง ทุกคนที่นั่งอยู่บนลานกลางห้องต่างพุ่งสายตามายังพรานเขิมเป็นตาเดียวทุกคนนั่งนิ่งโดยไม่มีใครปริปากพูดแม้สักคนเดียว
พรานเขิมเดินไปคุกเข่าข้างๆร่างของจำเรียงที่คลุมด้วยผ้าห่มเขาค่อยๆคลี่ผ้าห่มเปิดดูใบหน้าเมียรักน้ำตาของพรานไพรไหลออกมาโดยไม่รู่ตัว “ ไม่น่าเลย..ไม่น่าอายุสั้นเลยถ้าพี่รู้ว่าเอ็งต้องเป็นยังงี้พี่จะไม่ออกไปล่าสัตว์อีกเลย..” พรานเขิมพูดขึ้นด้วยเสียงอันสั่นเครือเขาเอื้อมมือไปลูบหน้าภรรยาเบาๆพร้อมกับคลี่ผ้าห่มมาปิดไว้ดังเดิม หลังจากนั้นพรานเขิมพยายามรวบรวมกำลังใจที่มีอยู่เอี้ยวตัวไปทางร่างเล็กๆที่ถูกคลุมด้วยผ้าขนหนูเอื้อมมือไปเปิดผ้าขนหนูออกดวงตาของเขาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด เบื้องหน้าของเขามันเป็นร่างของเด็กทารกที่เพิ่งคลอดใหม่มันเป็นเด็กผู้ชายผมดกดำตามตัวมีขนสีดำปกคลุมทั้งตัว
“ค่างดำ! ” พรานเขิมอุทานได้คำเดียวร่างของพรานไพรเซผงะทรุดลงนั่งอย่างหมดกำลังแขนขาอ่อนแรงทอดสายตาเหม่อลอยไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเรียก”พ่อ” ของไอ้แดงที่ตรงเข้ามากอดพร้อมส่งเสียงร้องจ้าเมื่อพบหน้าผู้เป็นพ่อ...................
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ยอดภู ณ หัวทุ่ง ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ยอดภู ณ หัวทุ่ง
ความคิดเห็น