คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : - CH 23 : truth -
ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะถูกฆ่าด้วยวิธีที่อำมหิตที่สุด
คุณไม่มีแม้แต่อาวุธ แต่คุณฆ่าผมด้วยการทำลายความไว้ใจ
.....
จางอี้ชิงเหม่อมองกลุ่มควันที่ลอยออกจากริมฝีปากของตัวเอง
มันม้วนตัวเป็นกลุ่มก้อนเพียงครู่ก่อนจะหายไปและทิ้งไว้เพียงแค่กลิ่นอันคุ้นเคยอย่างนิโคติน
ตอนที่ยังเด็ก เขาเคยคิดว่าหมอกและควันนั้นคล้ายคลึงกันจนแยกไม่ออก
เด็กน้อยอย่างเขาไม่เคยรู้เลยว่าอากาศสีขุ่นที่ปกคลุมทั่วผืนป่าในฤดูหนาวนั้นคือสายหมอกหรือกลุ่มควัน
แต่ธรรมชาติก็ได้ให้คำตอบเมื่อเขาโตขึ้น อี้ชิงค้นพบความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้
ข้อแรก หมอกเยือกเย็นและไม่ได้ทำให้แสบตาเหมือนควัน ข้อสอง หมอกรวมตัวกันเป็นไอน้ำ
ส่วนควันรวมตัวกันเป็นขี้เถ้า ด้วยเหตุผลนั้น อี้ชิงจึงเชื่อว่าไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ที่เหมือนกันทุกประการ
แม้กระทั่งฝาแฝดก็ยังมีความแตกต่างและทุกสรรพสิ่งล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ทั้งๆที่จางอี้ชิงได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่หาใช่เด็กชายผู้มากคำถามอย่างในวันวาน
แต่ความคลางแคลงใจก็ยังเกิดขึ้นกับเขา ความคับข้องใจในครั้งนี้แรงกล้ามากกว่าคำถามเรื่องควันและหมอก
มันมีอานุภาพคล้ายกับกิ่งไม้ที่เขายึดเหนี่ยวเอาไว้ไม่ให้ตกลงไปในหน้าผา แต่ความสงสัยที่อยู่ในใจกลับเร่งให้กิ่งไม้หักลงและเขาต้องตกลงไปในหุบเหวที่ไม่สามารถหาทางออกได้
เพราะอี้ชิงหมดศรัทธาในความดีและเขาไม่รู้ว่ามนุษย์ถูกตัดสินว่าดีหรือชั่วจากอะไร
เขาเคยยกย่องในความดีและภูมิใจในหน้าที่
การได้เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยสตาสอันทรงเกียรติทำให้อี้ชิงยึดมั่นว่าการเสียสละและการอุทิศตัวเองเพื่อผู้อื่นนั้นคือความถูกต้องและเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรกระทำ
ทว่าความเชื่อมั่นกลับถูกลบล้างจนหมดสิ้น คล้ายว่าอุดมการณ์อันแน่วแน่เป็นแค่ต้นไม้สักต้นที่ถูกไฟป่าแผดเผาจนมอดไหม้
ความศรัทธาของเจ้าหน้าที่ชาวจีนสูญสิ้นไปเช่นเดียวกับต้นไม้ใหญ่ที่ถูกทำลายไม่เหลือซาก
ต้นเหตุที่ทำให้เขาร่วมมือกับไนท์แมร์เป็นความลับมาจนทุกวันนี้และถ้าหากว่าเลือกได้อี้ชิงก็อยากจะป่าวประกาศความลับนั้นให้คนอื่นได้รับรู้
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นขโมยความสนใจของคนตัวขาวไปจากบุหรี่ในมือ เจ้าของลักยิ้มสวยดับบุหรี่กับราวระเบียงก่อนจะเดินเข้ามาภายในห้อง เมื่อก่อนนั้นบ้านคือที่ที่อบอุ่นมากที่สุดสำหรับจางอี้ชิง แต่หลังจากก้าวเข้าสู่การเป็นหนึ่งในอาชญากรก็ไม่มีที่ไหนที่ทำให้เขาสบายใจได้อีก เขาฟุ้งซ่านเมื่อต้องอยู่คนเดียวและกระอักกระอ่วนเมื่อต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น
แต่สิ่งที่แย่ที่สุดในเวลานี้คงจะเป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
โทรศัพท์ที่เขาใช้มาแรมปีไม่น่าแตะต้องในทันทีเมื่ออี้ชิงรู้ว่าปลายสายเป็นใคร
คำว่า Private
Number และความไม่สบายใจทำให้เขาลังเลที่จะรับสาย แต่เสียงเรียกเข้าที่ดังลั่นและความกดดันกลับกระตุ้นให้ต้องกดรับอย่างไม่มีทางเลือก
[...]
แม้จะไม่เห็นหน้าแต่ฝ่ายตรงข้ามก็ยังทำให้กระวนกระวาย
ราวกับว่าปลายสายใช้ความเงียบขู่เข็ญให้เขาเป็นผู้เริ่มบทสนทนาและอี้ชิงไม่ชอบใจนักที่มันได้ผลเสมอ
เขากลืนน้ำลายลงคอช้าๆก่อนจะสลัดมาดเจ้าหน้าที่ผู้แสนอ่อนโยนทิ้งไปและเหลือไว้เพียงแค่คนทรยศที่ร้ายกาจจนเกินกว่าจะจินตนาการได้
“ผมคิดว่าการเริ่มพูดก่อนคงจะเป็นเรื่องยากมากสินะครับ
บอสถึงได้โทรมาเงียบใส่ผมตลอด”
เสียงแค่นหัวเราะจากคู่สนทนาทำให้อี้ชิงพ่นลมหายใจออกจากจมูก
หากเขาพยายามกวนอีกฝ่ายด้วยคำพูด เสียงแปร่งๆจากเครื่องปลอมแปลงเสียงนั่นก็กระตุกต่อมโมโหของเขาได้ดีไม่แพ้กัน
ถ้าจะให้พูดกันตามตรง อี้ชิงคิดว่าเพียงแค่จอมเจ้าเล่ห์อย่าง
‘เอส’ หายใจก็สามารถทำให้ใครหลายคนหงุดหงิดได้แล้ว
[ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะต้องเริ่มพูดกับลูกกระจ๊อกก่อนหรอกนะ] ถือตัวและหยิ่งจองหองเป็นนิสัยของวายร้ายไม่เปลี่ยนแปลง
เจ้าหน้าที่ในคราบไนท์แมร์ถอนหายใจให้คำอวดดีนั้นก่อนจะกรอกเสียงตอบกลับไป
“มันไม่น่าตลกไปหน่อยเหรอครับ
ที่บอสบอกว่าไม่อยากพูดกับลูกกระจ๊อกแต่กลับโทรมาหาผม”
[ฉันไม่ได้โทรมาเพื่อเสียเวลากับคนไร้สมองอย่างแก
ฉะนั้นตั้งใจฟังสิ่งที่ฉันจะพูดให้ดี]
อี้ชิงพิงสะโพกเข้ากับโต๊ะไม้สีมะฮอกกานี
มันเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นที่เขาโปรดปรานมากที่สุดภายในบ้าน แต่ ณ เวลานี้ ของที่อี้ชิงชอบมากที่สุดไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นยามที่ต้องสนทนากับคนอย่างเอส
[อย่างที่แกรู้ว่าไอ้พวกหน้าโง่นั่นเหิมเกริมแค่ไหน
มันจับพวกเราไปได้ด้วยวิธีง่อยๆ
แต่น่าสมเพชสิ้นดีที่ไอ้วิธีจับอย่างปัญญาอ่อนเหล่านั้นกลับทำให้ไนท์แมร์เหลือแค่แกกับฉัน
ฉันจึงคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเจอกัน]
คิ้วทั้งสองข้างของคนฟังขมวดเข้าหากันทันทีหลังจากได้ยินประโยคเมื่อครู่
อี้ชิงกำลังคิดว่าอีกฝ่ายต้องการจะเล่นอะไรหรือ
ความเป็นไปได้ที่เอสจะเปิดเผยตัวกับใครสักคนนั้นมีค่าเท่ากับการที่ฝนจะตกลงมาเป็นทอง
คนฉลาดแกมโกงอย่างหัวหน้าของกลุ่มอาชญากรไม่มีทางเปิดเผยตัวตนกับลูกน้องเป็นแน่ อี้ชิงไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสิ้นหวังที่ต้องเห็นสมาชิกไนท์แมร์ถูกจับกุมไปทีละคนหรืออย่างไร
เอสจึงได้พูดในสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะมีวันได้ยิน
“เจอ? อย่าพูดให้ผมขำเลย
อย่างบอสน่ะเหรอที่จะเสี่ยงมาเจอกับผม”
[ฉันก็คงไม่ไปเจอแกให้เสียเวลาเปล่าหรอกนะ
แกจะมาเจอฉันได้ก็ต่อเมื่อแกทำงานที่ฉันสั่งเสียก่อน] อี้ชิงถอนหายใจก่อนจะเงียบเพื่อให้คนมากแผนการเอ่ยต่อ
ทั้งๆที่ยังแปลกใจแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าตื่นเต้นเหลือเกิน [ไหนๆไอ้พวกโง่นั่นก็กล้าดีมาทำลายไนท์แมร์สุดที่รักของฉันได้
แกไม่คิดเหรอว่าฉันควรจะให้ของขวัญตอบแทนไอ้พวกสตาสสักหน่อย?]
จนถึงตอนนี้อี้ชิงก็ยังไม่เข้าใจว่าเขานั้นดีหรือชั่วมากกว่ากัน
ทั้งๆที่เมื่อก่อนเขาเคยสะใจที่ได้เห็นว่าสตาสวิ่งวุ่นแค่ไหนกับคดีที่เกี่ยวข้องกับไนท์แมร์แต่ตอนนี้ความกังวลกลับเกิดขึ้นในใจของเขา
แม้ว่าหัวหน้าของทีมบีจะเป็นคนทรยศหรืออย่างที่ปาร์คชานยอลเรียกว่าหนอนบ่อนไส้ ทว่าเขาไม่รู้สึกยินดีสักนิดที่จะต้องสร้างเรื่องเดือดร้อนให้กับสตาสอีกครั้ง
[ฉันอยากได้ตัวแบคฮยอน]
แต่ชื่อที่หลุดออกจากปากของเอสก็ทำให้ลมหายใจของเขาสะดุดไปชั่วครู่
“บอสจะเอาตัวมันไปทำอะไร?”
[แกไม่อยากฆ่ามันแล้วเหรอ?]
คำถามนั้นทำให้จางอี้ชิงไม่สามารถต่อกรได้อีก
สิ่งที่เอสพูดเป็นเรื่องที่เขาปรารถนามาโดยตลอด อี้ชิงเคยร้องขอให้วายร้ายกำจัดเจ้าหน้าที่จอมรั้นทิ้งไปซะ
เขาไม่เคยอยากให้สตาสสูญเสียคิมฮโยยอน คิมจงอินหรือคิมจงแด
บุคคลเดียวที่เขาอยากให้หายไปคือบยอนแบคฮยอน เป็นแบคฮยอนเพียงเท่านั้น
[ข้อเสนอของฉันอาจจะทำให้หางของแกกระดิกเพราะดีใจจนตัวสั่น]
“…”
[ถ้าแกพาตัวแบคฮยอนมาให้ฉันได้
ฉันจะให้แกฆ่ามันด้วยมือของแกเอง]
10%
ถ้าน้ำตาและซากปรักหักพังคือของที่ระลึกจากสงคราม
ความเจ็บปวดและบาดแผลก็คงเป็นของต่างหน้าที่กองทัพทิ้งไว้ให้กับพลเมือง นั่นจึงเป็นที่มาของคำว่าสงครามมักจะทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้
ทว่าการโรมรันระหว่างชานยอลและแบคฮยอนนั้นกลับทิ้งร่องรอยที่แตกต่างจากสงครามทุกประเภท
การต่อสู้ของพวกเขาเป็นไปอย่างเร่าร้อนสลับนิ่มนวล
ชานยอลสวมรอยเป็นทหารเลือดร้อนที่ลงโทษคนตัวเล็กซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ก่อนจะพลิกบทบาทเป็นนักบุญผู้พาแบคฮยอนไปถึงสวรรค์
ความสุขและเสียงครางอบอวลไปทั่วทั้งสมรภูมิรัก สงครามเมื่อคืนนี้ไม่ได้ถูกย้อมไปด้วยเลือดแต่กลับเป็นน้ำสีขาวที่ทำให้แก้มของแบคฮยอนแดงระเรื่อเมื่อนึกถึง
“โอ๊ย!”
และความรวดร้าวตรงสะโพกก็เป็นเครื่องยืนยันว่าปาร์คชานยอลแข็งแรงเกินไปเมื่ออยู่บนเตียง
“เฮ้!
ทำไมร้องซะดัง ฉันไม่ได้ทำแรงเลยนะ”
โอเซฮุนที่วิ่งเข้ามาชกไหล่แบคฮยอนเพื่อทักทายชูมือขึ้นทั้งสองข้างอย่างแก้ตัว
เขามั่นใจว่าไม่ได้เล่นแรงแต่แบคฮยอนกลับร้องลั่นแถมยังมองตาขวาง
เจ้าหน้าที่จอมรั้นหยุดเดินก่อนจะขบริมฝีปากอย่างอดกลั้น เขาไม่ได้นึกโกรธเซฮุนแต่แรงสะเทือนที่ส่งไปยังสะโพกก็ทำให้ต้องนิ่วหน้า
คนตัวสูงมองเพื่อนร่วมงานอย่างสงสัยก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นว่าแบคฮยอนไม่ตอบโต้กลับ
“ได้พักไปตั้งหลายอาทิตย์นายน่าจะหายดีแล้วมากกว่ามาร้องโอดโอยแบบนี้นะ” แม้เวลาจะเปลี่ยนแต่คนน่ารำคาญประจำหน่วยก็ยังก่อกวนคู่สนทนาได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย
โอเซฮุนย่อตัวลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับคนตัวเล็กแล้วเริ่มพูดจ้อ “นายรู้ไหมว่าฉันน่ะเกือบลืมไปแล้วว่าสตาสมีคนชื่อแบคฮยอนอยู่ด้วย เวลาทีมเอพูดถึงบยอนแบคฮยอน
ไอ้ฉันนี่แปลกใจไปเลยว่าหน่วยเรามีคนชื่อนั้นด้วยเหรอ ฉันครุ่นคิดอยู่เป็นวันๆเลยนะ
แล้วตอนนั้นเองที่ไอ้หน้าจืดตาขีดก็เด้งเข้ามาในหัว อ้อ!
แบคฮยอนก็คือนายนั่นเอง!”
ไอ้หน้าจืดตาขีดที่เซฮุนพูดถึงถอนหายใจแรงๆแทนคำด่าพลางคิดว่าทำไมถึงต้องพบเซฮุนก่อนเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
คนตัวสูงลอยหน้าลอยตากระแนะกระแหนแบคฮยอนเรื่องหยุดงานซึ่งคนตัวเล็กก็ไม่ปฏิเสธ
ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องการวันหยุด แต่บาดแผลจากการปะทะกับเอสและไนท์แมร์ในโกดังกลับทำให้เจ็บหนักจนต้องพักผ่อน
ทว่าร่องรอยจากกลุ่มอาชญากรหายได้ไม่เท่าไหร่แบคฮยอนก็ต้องแอบซี้ดปากเบาๆเมื่อรู้สึกตึงที่แผลตรงหัวเข่า
ไหนจะความเจ็บจากสะโพกที่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวนั่นอีก ให้ตายเถอะ นี่เขาเป็นศูนย์รวมของทุกบาดแผลบนโลกรึยังไงกัน
เนื้อตัวถึงได้มีแต่รอยฟกช้ำแบบนี้
“ว่าแต่...นายหายดีแล้วแน่นะถึงได้กลับมาทำงาน?”
โอเซฮุนถามเมื่อสังเกตว่าจังหวะการเดินของแบคฮยอนนั้นไม่ปกติ
ร่างเล็กเองก็รู้ดีว่าท่าทางของตัวเองเป็นยังไง แผลจากการหกล้มและความเจ็บหน่วงตรงสะโพกทำให้เขาเดินกะเผลกแต่ก็ไม่ใช่ปัญหามากนัก
ต่อให้ชานยอลจะพูดแกมดุว่าไม่ให้เข้าหน่วยในวันนี้แต่เขาก็ไม่ฟัง
แบคฮยอนคิดว่าตัวเองหยุดงานมามากพอแล้ว หากยังคิดจะพักต่ออีกสองสามวันอย่างที่ชานยอลบอก
คุณคิมคงให้เขาออกจากหน่วยแล้วไปพักที่บ้านตลอดชีวิตกันพอดี
“จะว่าไป...ฉันว่าท่าเดินนายแปลกๆนะ
เหมือนนายไปโดนอะไรมาสักอย่าง”
คำพูดของจอมกวนประสาททำให้แบคฮยอนชะงักก่อนจะคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน
ยอมรับว่าการมีเซ็กส์ครั้งแรกส่งผลกับร่างกายไม่น้อยแต่มันต้องเป็นเรื่องบ้าแน่ๆถ้าคนอย่างเซฮุนดูออก
คนตัวสูงกว่าอ้อมมาดักข้างหน้าแล้วหรี่ตาจับผิด แบคฮยอนเผลอกลืนน้ำลาย คิดคำแก้ตัวไว้ในใจ
มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาที่จะให้ใครรู้ไม่ได้โดยเฉพาะจอมล้อเลียนตรงหน้า “แบคฮยอน อย่าบอกนะว่านาย...”
มือเรียวเผลอกำเข้าหากันเมื่อเซฮุนตีหน้านิ่งคิดหนัก
นี่ไม่ใช่รายการหนึ่งคำถามสี่คำตอบนะว้อยจะมาอยากเดาอะไรนักหนา! แบคฮยอนตะโกนอยู่ในใจแบบนั้นก่อนจะใจกระตุกเมื่อเซฮุนตบมือฉาดพร้อมทำทำตาโต
“หกล้ม!
ใช่มั้ยล่ะ! กะเผลกแบบนี้นายต้องหกล้มแน่ๆ!”
คนตัวเล็กถอนหายใจพรืด รู้ซึ้งทันทีว่าการสนทนากับคนตรงหน้าช่างไร้สาระสิ้นดี
แบคฮยอนอยากพบเพื่อนร่วมงานคนอื่นจะลู่หาน จะจินกิหรือใครก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้คนป่วนประสาทข้างๆนี่!
“เนื้อตัวมีแต่แผลแบบนี้แถวบ้านเรียกสั้นๆว่า
ซุ่มซ่าม ถ้าเรียกยาวๆคือซุ่มซ่ามมมมมมมมมมมมมมมมมมมม”
“ไปไกลๆไป
ว่างงานมากรึไง?” สุดท้ายก็อดไม่ไหวจนต้องออกปากไล่
ให้ตายเถอะ โอเซฮุนยังเป็นจอมว่างงานที่ชอบกวนคนอื่นไปทั่ว สาบานเลยว่าถ้าไม่เจ็บอยู่แบคฮยอนจะเตะหมอนี่ให้ร้อง
“โห ไล่แบบนี้นี่เราสนิทกันเหรอ?”
“ไม่และไม่อยากสนิทด้วย”
“หู้ย
ตรงกว่านี้ก็ไม้บรรทัด เป็นศิษย์คยองซูรึไงถึงชอบตอบแบบทำร้ายหัวใจคนอื่น”
แบคฮยอนกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย เซฮุนไม่ใช่คนเลวร้ายแต่เป็นคนน่ารำคาญ
ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงชอบยั่วโมโหคนอื่นนัก ร่างเล็กยิ้มให้เจ้าหน้าที่ที่เดินสวนกันเป็นการทักทาย
ถึงแม้ว่าจะไม่อยากสนทนากับเซฮุนแต่เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติจึงจำเป็นต้องเอ่ยถาม
“ทำไมวันนี้หน่วยถึงเงียบนักล่ะ?”
“นี่ละน้า
หยุดงานจนไม่รู้ว่าคนอื่นเขาทำงานกันไปถึงไหน” ยัง
ยังจะแซะอีก แบคฮยอนคิดอย่างระอาใจก่อนจะตั้งใจฟังเมื่อคนกวนประสาทเอ่ยตอบ “นายคงรู้ข่าวระเบิดที่อพาร์ทเมนท์ของอิมแจบอมแล้วใช่ไหมล่ะ? เพราะแบบนั้นพวกเราถึงเหนื่อยน่าดู
แต่ละฝ่ายต้องวิ่งวุ่นกันเป็นสองเท่าเรื่องคดีไนท์แมร์ อ้อ!
ได้ข่าวว่าผลเลือดของเอสจะถูกส่งมาวันนี้แล้ว
นั่นก็เป็นอีกหนึ่งหลักฐานสำคัญที่จะมัดตัวมันให้ดิ้นไม่หลุด ถ้าจำไม่ผิดทีมของนายคงไปประสานงานกับฝ่ายตำรวจเรื่องชันสูตรศพแจบอมแล้วก็หลักฐานต่างๆในที่เกิดเหตุ
ถ้าหากรู้ว่าระเบิดที่เอสใช้เป็นระเบิดอะไร เราก็อาจจะขยายผลไปยังคดีค้าอาวุธเถื่อนได้ด้วยเพราะระเบิดแบบนั้นหาไม่ได้ง่ายๆเลย
แค่สืบหาบริษัทที่ค้าระเบิดนี้ให้เอสได้ทุกอย่างก็น่าจะลงตัว”
แบคฮยอนเดินช้าๆไปยังห้องประจำทีมพร้อมกับโอเซฮุนที่เดินตามมา
สารวัตรมินซอกและทางตำรวจปกปิดเรื่องที่จับกุมเอสได้แล้วเป็นอย่างดี ไม่มีใครในสตาสรู้ว่าหวงจื่อเทาคือผู้ต้องหาและไม่มีใครรู้ว่าผลเลือดนั้นหาใช่เลือดของเอสแต่เป็นเลือดของหนอนบ่อนไส้
แม้ว่าจะเห็นใจเจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่เหนื่อยกับการสืบหาตัวตนของหัวหน้ากลุ่มอาชญากร
แต่แบคฮยอนก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากแสร้งทำเป็นไม่รู้
“ส่วนหัวหน้าอี้ฝานของนายออกไปคุมนักประดาน้ำที่ค้นหาร่างของคุณชานยอล
เห็นเขาบอกว่าไอ้แม่น้ำนั่นดันเชื่อมกับแม่น้ำฮันด้วย ศพของคุณชานยอลอาจจะลอยไปที่นั่น
ที่น่าเศร้าก็คือหลายคนเริ่มตัดใจเรื่องคุณชานยอลเพราะความหวังที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่มันริบหรี่เหลือเกิน
นายน่าจะได้เห็นว่าสองวันที่ผ่านมานี้บรรยาศในหน่วยอึมครึมแค่ไหน
ทุกคนเครียดและวิตกกันมาก ก็พอจะรู้หรอกว่าไอ้เอสแม่งร้าย แต่พอคนอย่างคุณชานยอลยังพลาดท่าให้มันเจ้าหน้าที่ที่เหลือเลยประสาทกินกันไปหมด”
นอกจากการปิดบังเรื่องที่จับกุมจื่อเทาได้แล้ว
การมีชีวิตอยู่ของชานยอลก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ถูกปกปิด
เจ้าของโค้ดเนมทริซต้องการให้คนทรยศอย่างจางอี้ชิงเป็นดังผู้ที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟ
ในขณะที่ชานยอลรู้ทุกความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ชาวจีน แต่อี้ชิงจะไม่มีวันรู้ความเป็นไปของชานยอล
ทุกอย่างจะเอื้อให้การจับกุมหนอนบ่อนไส้ง่ายขึ้นและแบคฮยอนเองก็หวังว่ามันจะเป็นไปตามแผน
หากถามถึงคนตัวสูงที่ทุกคนเป็นห่วงว่าร่างจะลอยไปไกลถึงแม่น้ำฮันคนนั้น
แบคฮยอนก็อยากจะกลอกตามองบน ปาร์คชานยอลแข็งแรงดีราวกับไม่เคยโดนระเบิดและไม่เคยจมน้ำมาก่อน
ให้รอยสีอ่อนบนหน้าอกและความเจ็บหน่วงที่สะโพกของเขาเป็นพยานได้เลยว่าชานยอลสบายดีแค่ไหน
“สรุปแล้วคือทุกคนมีงานยกเว้นนายสินะ” คนตัวเล็กตอบกลับหลังจากเงียบไปหนึ่งอึดใจ สิ่งที่โอเซฮุนบอกเล่าคงเป็นความจริงเพราะตั้งแต่เข้าหน่วยมานั้นแบคฮยอนยังไม่เจอทีมเอสักคนเดียว
“แหม
อย่ามากล่าวหาคนอื่นมั่วๆดิ คนที่ไม่มีงานน่ะคือนายต่างหาก”
โอเซฮุนบึนปากอย่างน่าหมั่นไส้ก่อนจะคว้าแขนขาวเอาไว้เมื่อเห็นว่าแบคฮยอนเดินหนี “...ฉันเสียใจด้วยนะเรื่องจงแด”
คนตัวเล็กชะงักก่อนจะหันมามองจอมป่วนประสาทอย่างแปลกใจ
น้ำเสียงของเซฮุนสื่อถึงความเสียใจอย่างที่ว่า
คนตัวสูงกว่าปล่อยข้อมือของแบคฮยอนให้เป็นอิสระพร้อมกับพูดต่อ
“ทีมเอเจ็บช้ำมามากและมันคงไม่ง่ายเลยที่จะทำใจเมื่อต้องเสียเพื่อนร่วมทีมไป
ถึงจงแดจะไม่ตายแต่ฉันก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี”
“…”
“ฉันไม่รู้ว่าคุณชานยอลไปรู้อะไรมาหรือว่ากำลังคิดอะไรอยู่
แต่เขาเคยพูดกับฉันว่าหน่วยของเราอาจจะไม่ได้มีคนทรยศแค่คนเดียว
ต่อให้ฉันจะชอบยั่วโมโหพวกนาย แต่เชื่อเถอะว่าฉันไม่อยากให้ใครเจอกับเรื่องเลวร้ายแบบนั้นหรอก
เพราะฉะนั้น ได้โปรดดูแลตัวเองเถอะนะ...แบคฮยอน”
เป็นครั้งแรกที่โอเซฮุนดูจริงจังมากกว่าที่เคย
เขาทิ้งภาพของชายหนุ่มผู้แสนกวนประสาทอย่างไม่เหลือคราบ
หากถามถึงเหตุผลที่ทำให้พูดออกไปแบบนั้น เซฮุนก็มีแค่คำตอบเดียวที่จะให้
เขาไม่อยากสูญเสียเพื่อนร่วมงานไปมากกว่านี้โดยเฉพาะเพื่อนคนแรกอย่างบยอน แบคฮยอน นอกหน้าต่างนั่นปรากฏแสงสว่างวาบก่อนจะตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องลั่นจนรู้สึกได้ถึงแรงสะเทือน
แบคฮยอนใจสั่นน้อยๆอันเนื่องมาจากโรคประจำตัวแต่เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้าน เขาจึงควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงออกว่ากลัวเสียงฟ้าร้องไว้ได้
คนตัวเล็กตั้งสติเพื่อสานต่อประโยคของเซฮุน
ทว่าตอนนั้นเองที่เสียงของใครบางคนกลับขัดขึ้นเสียก่อน
“คุณหายดีแล้วเหรอแบคฮยอน?” สองเจ้าหน้าที่โค้งทำความเคารพผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในสตาสอย่างคุณคิมก่อนที่เซฮุนจะแยกตัวออกไป
แบคฮยอนมองตามคนตัวสูงเล็กน้อยแล้วจึงหันมาสนใจคนตรงหน้า
“ดีขึ้นมากแล้วครับ”
“ดีขึ้นมากก็คือยังไม่หายดีสินะ
ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้พักจนกว่าจะหาย?”
“ผมทราบครับ
แต่ผมอยากออกมาบู๊มากกว่านอนแห้งอยู่บนเตียง” แบคฮยอนพูดติดตลกซึ่งนั่นทำให้คิมจุนมยอนหัวเราะเบาๆ
คนตัวเล็กรู้ดีว่าคุณคิมเป็นห่วงเจ้าหน้าที่ทุกคน แต่ถึงกระนั้นหน้าที่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะละทิ้งได้
และเมื่อเขาเลือกกลับมาทำงาน แน่นอนว่าคุณคิมจะไม่พูดถึงการพักผ่อนใดๆและจะมุ่งประเด็นไปที่งานเพียงเท่านั้น
“งั้นผมก็มีงานให้คุณทำแล้วล่ะ
แต่อาจจะไม่ได้บู๊อย่างที่ต้องการหรอกนะ”
คุณคิมจริงจังกับงานยังไงก็ยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น
เมื่อบทสนทนาทักทายจบลง การมอบหมายหน้าที่จึงเริ่มต้นขึ้น วินาทีนั้นเองที่ดวงตาเรียวสบเข้ากับดวงตาของผู้มาใหม่
คนตัวขาวที่เพิ่งออกมาจากห้องประจำทีมบีเดินช้าๆมายังจุดที่แบคฮยอนยืนอยู่
ราวกับว่าฝีเท้าของผู้ชายคนนั้นไม่ได้ย่ำไปที่พื้นแต่ย่ำลงมาบนหัวใจของเขา แบคฮยอนรู้ดีว่าตนเองเป็นคนเลือดร้อนและมุทะลุมากแค่ไหน
แต่ในเวลานี้เขากลับต้องอดกลั้นทุกความคุกรุ่นในใจพร้อมกับพยายามอย่างหนักที่จะไม่เข้าไปตั๊นใบหน้าอันแสนคุ้นเคย
เพราะผู้ชายที่กำลังเดินตรงมานั้นคือคนทรยศ คือคนที่ใช้รอยยิ้มแสนอ่อนโยนปกปิดความชั่วช้า
คือคนที่ทำให้จงแดต้องนอนอยู่ในห้องไอซียู...เขาคนนั้นคือจางอี้ชิง
“ผมได้รับการติดต่อด่วนเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง
เหยื่อรายนี้เป็นรายที่สี่แล้ว
บังเอิญว่าสถานที่เกิดเหตุอยู่ในเขตความรับผิดชอบของหน่วยเราด้วย ผมจึงต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยฝ่ายตำรวจเก็บหลักฐานและรวบรวมข้อมูล
แต่อย่างที่คุณก็เห็นว่าตอนนี้เจ้าหน้าที่ของเรางานล้นมือมากแค่ไหน ก็คงเหลือแค่คุณเท่านั้นที่จะทำหน้าที่นี้ได้”
“ครับ” แบคฮยอนขานรับพลางชำเลืองมองหัวหน้าของทีมบีที่มายืนข้างๆ
เดาว่าคุณคิมคงเรียกตัวจางอี้ชิงมาเพื่อมอบหมายหน้าที่
เมื่อก่อนนั้นแบคฮยอนพูดคุยกับอี้ชิงได้อย่างสบายใจถึงแม้ว่าจะไม่สนิทกัน
ทว่าในตอนนี้ ตอนที่เขารู้ธาตุแท้ภายใต้ความอ่อนโยนเหล่านั้นแล้ว แม้จะเป็นแค่การยืนข้างกันแต่ก็ทำให้แบคฮยอนกระอักกระอ่วนมากเหลือเกิน
“ผมอยากให้คุณระวังตัวไว้หน่อย
ถึงจะเป็นตอนกลางวันแต่ได้ยินมาว่าแถวนั้นเปลี่ยวมาก
ต้องขอโทษจริงๆที่ผมส่งคุณไปคนเดียว” แบคฮยอนพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
ตื่นเต้นเหลือเกินที่จะได้ทำภารกิจ “นี่เป็นแฟ้มข้อมูลของคดีนี้
อ่านคร่าวๆแล้วรีบไปยังที่เกิดเหตุเถอะ พวกตำรวจคงรอคุณอยู่ที่นั่นแล้ว”
คนตัวเล็กรับแฟ้มเล่มบางมาไว้ในมือก่อนจะแยกตัวเพื่อไปทำตามหน้าที่
เขาไม่แม้แต่จะปรายตามองอี้ชิงผู้ที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว เจ้าหน้าที่ชาวจีนตั้งใจฟังทุกคำจากคนที่มีอำนาจมากที่สุดในสตาส
คุณคิมอยากให้เขาไปดูอาการของคิมจงแดเพราะทางโรงพยาบาลแจ้งมาว่าจงแดเริ่มมีอาการตอบสนองแม้ว่าจะยังอยู่ในห้องไอซียูก็ตาม
ขณะที่หูของอี้ชิงรับฟังคำสั่งจากคนตรงหน้า
ในใจของเขากลับมีแต่เรื่องของแบคฮยอน คำว่า “แบคฮยอนต้องออกไปข้างนอก”
“ ไปคนเดียว” และ “ที่เปลี่ยว”
ทำให้ความคิดบางอย่างก่อตัวขึ้นในสมองอย่างช้าๆ ข้อแลกเปลี่ยนที่จอมวายร้ายเสนอให้เมื่อคืนนั้นจางอี้ชิงยังจำได้ดี
หากเขานำตัวแบคฮยอนไปให้เอสได้
สิทธิ์ในการฆ่าคนตัวเล็กจะเป็นของเขา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่แบคฮยอนจะอยู่ตัวคนเดียวและหายไปโดยที่ไม่มีใครสังเกต
ทว่า ณ เวลานี้ โอกาสได้มาจ่ออยู่ที่ปลายจมูกเสียแล้ว ด้วยเหตุผลนั้น หัวหน้าของทีมบีจึงเลือกคว้าโอกาสนี้ไว้อย่างไม่ลังเล
สิ่งเดียวที่อยู่ในสายตาของจางอี้ชิงคือร่างเล็กที่กำลังนั่งอ่านแฟ้มคดีด้วยหน้าตาเคร่งเครียด
และเวลาชีวิตของแบคฮยอนจะถูกนับถอยหลังทันทีที่ก้าวขาออกจากหน่วย
40%
เขาไม่เคยยืดยาดเท่านี้มาก่อน
แบคฮยอนคิดแบบนั้น
ทั้งเชื่องช้าและอืดอาดเหมือนงูใหญ่ที่จ้องจะกินแกะตัวโต
กว่าที่มันจะเลื้อยเข้าไปหาเหยื่อแล้วทำให้สิ้นฤทธิ์ด้วยการรัดจนกระดูกแตก
หลังจากนั้นจึงเขมือบเข้าไปทีละนิดจนกว่าร่างทั้งร่างของแกะจะเข้าไปอยู่ในท้องของมัน
ทั้งหมดนั่นใช้เวลานานนับชั่วโมง แต่ถึงแม้จะชักช้าเพียงใด ผลลัพธ์ที่งูใหญ่ได้รับก็แสนคุ้มค่าเพราะมันจะอิ่มท้องไปเป็นสัปดาห์
แบคฮยอนนึกขันอยู่ครู่หนึ่งที่เขาเปรียบเทียบตัวเองกับสัตว์เลื้อยคลาน แต่ก็คิดว่าเขาในตอนนี้เป็นเหมือนงูใหญ่ที่ทำตัวชักช้าราวกับไม่มีพิษภัยเพื่อเข้าใกล้เหยื่อ
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำเช่นนี้เพื่อให้ตัวเองอิ่มเหมือนเจ้างู
แต่ผลลัพธ์ที่จะตามมานั้นก็คุ้มค่าไม่ต่างกัน
การอ่านแฟ้มคดีอย่างคร่าวๆสำหรับแบคฮยอนไม่เคยนานกว่าห้านาที
ทว่าวันนี้กลับต่างออกไป
เขาอ่านทวนแฟ้มเล่มบางในมือเป็นครั้งที่สามเพื่อประวิงเวลา แม้จะรู้ว่าทุกการกระทำของตัวเองอยู่ในสายตาของใครบางคน
กระนั้นเขาก็ยังรอจังหวะอย่างใจเย็น จนกระทั่งได้เวลาอันเหมาะสมแบคฮยอนจึงยัดปืนสั้นสีดำขลับเข้ากับซองปืนตรงบั้นเอวก่อนจะถอนหายใจแรงๆแล้วลุกขึ้นยืน
และทุกอย่างที่คนตัวเล็กทำล้วนอยู่ในสายตาของจางอี้ชิง
คนตัวขาวที่เพิ่งจบบทสนทนากับคุณคิมลอบมองแบคฮยอนเป็นระยะ
แม้ว่าจะตัดสินใจเข้าร่วมเป็นหนึ่งในกลุ่มอาชญากรแต่เขาก็ไม่เคยฆ่าใครด้วยเจตนาและแบคฮยอนเป็นความท้าทายแรก
หากย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน อี้ชิงไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความโกรธหรือเกลียดต่อแบคฮยอนเลยแม้แต่น้อย
ทว่าความกดดันที่ได้รับกลับเปลี่ยนความลำบากใจให้กลายเป็นแรงผลักดัน
เสียงกระซิบจากสมองของเขาได้เปลี่ยนจาก ‘ไม่อยากฆ่า’ เป็น ‘ต้องฆ่า’ หัวหน้าของทีมบีรู้ดีว่าเหตุผลที่ทำให้ต้องกำจัดคนตัวเล็กนั้นช่างเห็นแก่ตัว
แต่เขาจำเป็นต้องทำก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ไม่ว่ายังไง เขาก็ต้องฆ่าแบคฮยอนให้สำเร็จ
แบคฮยอนก้าวยาวๆเพื่อออกไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
อี้ชิงที่รอจังหวะอยู่ก่อนแล้วแสร้งทำเป็นหันไปหาคนที่กำลังเดินมาคล้ายบังเอิญ
เขาคิดว่าร่างเล็กจะต้องหยุดทักทายแล้วก็เป็นเช่นนั้นเมื่อแบคฮยอนโค้งให้เล็กน้อย
“หายดีแล้วเหรอครับ?”
เป็นครั้งที่สามในรอบวันที่ร่างเล็กได้ยินคำถามนี้
เขายิ้มและพยักหน้าแทนคำตอบ
หากอี้ชิงสังเกตก็คงรู้ว่ายิ้มที่เขาส่งให้นั้นฝืดเฝื่อนแค่ไหน การสนทนากับคนที่หยิบยื่นความตายให้คนรักและเพื่อนร่วมทีมสร้างความคุกรุ่นในใจของแบคฮยอนไม่น้อย
เขารู้จากบันทึกของหวงจื่อเทาว่าอี้ชิงอยากฆ่าเขา แม้จะยังไม่รู้เหตุผล
แต่แบคฮยอนก็มองคนตรงหน้าเปลี่ยนไปเสียแล้ว
“ผมเสียใจด้วยนะครับเรื่องคุณชานยอลกับคุณจงแด
แต่ผมเชื่อว่ายังไงสองคนนั้นก็จะต้องปลอดภัย”
คนตัวเล็กคิ้วกระตุกเมื่อหัวหน้าของทีมบีแตะไหล่เขาเบาๆพร้อมกับพูดประโยคที่ทำให้อยากหัวเราะ
เป็นเหมือนที่ชานยอลเคยบอกไว้ การแกล้งโง่ฟังเรื่องโกหกเพื่อรอเวลากระชากหน้ากากของจอมเสแสร้งนั้นช่างสนุกกว่าการเปิดเผยว่ารู้ทันหลายเท่านัก
แบคฮยอนอยากรู้ว่าคนโกหกจะหยิบยกคำพูดจอมปลอมแบบไหนมาหลอกลวงกันอีก
เขาจึงทำเพียงแค่ยิ้มบางๆคล้ายว่าซาบซึ้งเท่านั้นก่อนที่การแสดงละครฉากต่อไปจะเริ่มต่อ
“คุณคิมสั่งให้ผมไปดูอาการของคุณจงแด
ได้ข่าวว่าเขาเริ่มมีการตอบสนองแล้วล่ะครับ นี่เป็นข่าวดีที่สุดของวันนี้เลย
ถ้าทีมของคุณรู้คงดีใจมากแน่ๆ”
“ครับ ผมก็คิดแบบนั้น จงแดเป็นคนดี
คุณชานยอลก็เป็นคนดี พวกเขาไม่ตายง่ายๆหรอกครับ” ร่างเล็กพูดด้วยน้ำเสียงปกติ
ไม่หลุดพิรุธแม้แต่น้อยว่าที่แท้จริงแล้วรู้เรื่องราวทั้งหมด รู้แม้กระทั่งว่าคนตรงหน้าคือสาเหตุที่ทำให้คนบริสุทธิ์ทั้งสองเจอเรื่องเฉียดตาย
หากจางอี้ชิงแสดงละครได้ว่าเป็นคนดี แบคฮยอนก็รับบทเป็นผู้โง่เขลาที่ยอมเชื่อฝ่ายตรงข้ามได้เช่นกัน
พวกเขามองตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เจ้าหน้าที่จอมรั้นจะชูแฟ้มคดีในมือเพื่อเป็นเชิงขอตัว
“เดี๋ยวผมต้องไปทำหน้าที่แล้วล่ะครับ
ได้ข่าวว่าแถบที่ผมจะไปมันเปลี่ยวเหลือเกิน น่าเสียดายที่วันนี้ทุกคนยุ่งกันหมดเลยไม่มีใครไปกับผมได้สักคน
ผมยิ่งกลัวผีอยู่ด้วย ถึงจะเป็นตอนกลางวันผมก็ยังกลัวนะบอกเลย”
อี้ชิงหัวเราะเบาๆให้กับคำพูดติดตลกของร่างเล็กก่อนจะพยักหน้าน้อยๆเมื่อแบคฮยอนโค้งลา
ภายในสมองของเจ้าหน้าที่ชาวจีนนั้นมีแต่แผนการบางอย่างที่วิ่งวนไปทั่วคล้ายเร่งเร้าให้ลงมือทำ
มีโอกาสแค่หนึ่งในล้านเท่านั้นที่แบคฮยอนจะถูกมอบหมายให้ไปทำหน้าที่ตามลำพังในสถานที่เปลี่ยวขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆภายในหน่วยงานล้นมือจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องของคนอื่น
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจางอี้ชิงโชคดีหรือถึงเวลาตายของแบคฮยอนแล้วกันแน่ที่ทำให้ทุกอย่างประจวบเหมาะได้ถึงเพียงนี้
น่าเสียดายที่การเข้าหน่วยเป็นวันแรกหลังจากพักฟื้นอาการบาดเจ็บของแบคฮยอนจะกลายเป็นวันสุดท้ายของชีวิตด้วยเช่นกัน
ถ้าเปรียบว่าโอกาสนี้เป็นเชือก อี้ชิงก็คงเลือกที่จะคว้ามันเอาไว้ เขากำมันแน่นเพื่อไม่ให้หลุดมือไปและต่อให้ตายก็จะไม่ปล่อยมือ
คนที่เป็นทั้งไนท์แมร์และสตาสมองตามร่างเพรียวที่เดินไวๆออกไปจากหน่วย
จางอี้ชิงทำสีหน้าปั้นยากอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตามแบคฮยอนออกไป
เขาขึ้นไปนั่งประจำที่บนแอสตันมาร์ตินคู่ใจเพื่อรอจังหวะ
เป้าหมายของเจ้าหน้าที่ชาวจีนหาใช่โรงพยาบาลที่คิมจงแดพักฟื้นอยู่แต่กลับเป็นออดี้สีดำที่เพิ่งทะยานเข้าสู่ถนนใหญ่
แม้จะนึกแปลกใจที่คนที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาโดยตลอดอย่างแบคฮยอนจะเปลี่ยนมาขับรถยนต์ กระนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจมากไปกว่าจุดประสงค์ของตัวเอง
เมื่อได้เวลาอี้ชิงจึงเหยียบคันเร่งเพื่อตามรถของเพื่อนร่วมงานที่เขาต้องการกำจัดทันที
หากลองคิดดีๆแล้วอี้ชิงพบว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายมากทีเดียวที่จอมเอาแต่ใจอย่างเอสยอมให้เขาฆ่าแบคฮยอนอย่างที่เคยร้องขอ
ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ไม่ว่าอี้ชิงจะเสนอให้เอสฆ่าเจ้าหน้าที่จอมรั้นอย่างไรวายร้ายก็ไม่เคยเอนอ่อน
สิ่งที่เขาได้รับมีเพียงแค่เสียงตะคอกและคำสั่งที่ให้เขาเลิกยุ่งกับแบคฮยอนเท่านั้น
แต่ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปเมื่อไม่มีทางเลือก
กลุ่มอาชญากรซึ่งเคยเป็นที่หวาดหวั่นใกล้จะถึงคราวอวสาน เหลือเพียงแค่ตัวเขาและเอสเท่านั้นที่ยังคงอยู่
นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนร้ายกาจอย่างเอสเปลี่ยนใจและยอมฆ่าแบคฮยอนเพื่อเป็นการขมขู่สตาสเช่นที่ผ่านมา
‘พามันมาฆ่าต่อหน้าฉัน แล้วอย่าสะเออะทำอะไรนอกเหนือที่ฉันไม่ได้สั่ง
หวังว่าแกจะเข้าใจ’
กระนั้นเสียงแปร่งๆแสนยั่วโมโหก็ยังฝังอยู่ในความจำของจางอี้ชิง
ขึ้นชื่อว่าเอส หากไม่มีคำสั่งหรือข้อแลกเปลี่ยนก็คงไม่ใช่เอสเสียแล้ว
ต่อให้จับแบคฮยอนได้ในตอนนี้ เขาก็ยังต้องยืดเวลาชีวิตของร่างเล็กเพื่อพาไปพบกับจอมร้ายกาจเสียก่อน
หัวหน้าของทีมบีไม่มีข้อโต้แย้งกับคำสั่งนั้นเพราะไม่อยากขัดใจจนถูกตลบหลัง
หากทำตามที่เอสสั่ง การฆ่านี้ก็จะอยู่ภายใต้การกระทำของไนท์แมร์หาใช่จางอี้ชิงผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของสตาส
อี้ชิงทิ้งระยะห่างระหว่างรถของเขาและแบคฮยอนไม่ให้เป็นที่สังเกต
ประสบการณ์ในการทำงานทำให้เขารู้วิธีการสะกดรอยตาม วิธีปลอมแปลงเอกสาร
รวมทั้งวิธีฆ่าที่ทำให้ทรมานน้อยที่สุด เขาคิดว่าทักษะต่างๆที่ได้เรียนรู้มานั้นอาจจะได้ใช้แทบทั้งหมดกับแบคฮยอนในวันนี้
สองข้างทางเริ่มเป็นที่รกร้างเมื่อรถทั้งสองคันขับออกจากตัวเมือง
จากถนนคอนกรีตกลายเป็นดินสีน้ำตาลแดงและจากตึกสูงก็กลายเป็นต้นไม้เขียวชอุ่ม
มันทั้งเปลี่ยวและอ้างว้างตามที่คุณคิมได้บอกไว้ จางอี้ชิงไม่แปลกใจสักนิดหากจะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นที่นี่
ตอนนั้นเองที่ออดี้คันหน้าชะลอลงก่อนจะจอดสนิทอยู่หน้าบ้านร้างหลังหนึ่ง
อี้ชิงจอดรถเพื่อจับตาดูความผิดปกติแต่สิ่งที่ได้เห็นกลับเป็นแบคฮยอนที่ลงมาก้มๆเงยๆ
เขาพยายามเพ่งมองจนเห็นกลุ่มควันที่ลอยโขมงออกมาจากกระโปรงรถซึ่งทำให้เดาได้ว่าแบคฮยอนคงเจอปัญหาเข้าแล้ว
แต่ปัญหาใหญ่ที่แท้จริงสำหรับแบคฮยอนหาใช่รถที่ใช้การไม่ได้
แต่เป็นเขา จางอี้ชิงคนนี้
คนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนอนบ่อนไส้ยกยิ้มเมื่อเห็นดังนั้นก่อนจะขับแอสตันมาร์ตินของตัวเองเข้าไปใกล้แบคฮยอนที่ยืนสบถอย่างหัวเสีย
เจ้าหน้าที่จอมรั้นชะงักไปตอนที่อี้ชิงขับรถเข้าไปจอดเทียบแล้วก้าวออกมาสบตากัน
“อ้าว คุณอี้ชิง? มาได้ยังไงครับ?”
ทั้งน้ำเสียงและดวงตาเรียวเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจอย่างที่อี้ชิงคาดไว้
แบคฮยอนเป็นคนอ่านง่ายที่สุดเท่าที่เขาเคยพบ ไม่ว่าจะรู้สึกแบบไหนหรือกำลังคิดอะไร
ร่างเล็กไม่เคยโกหกผ่านทางสีหน้าได้เลย
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่แบคฮยอนไม่มีวันรู้ว่าอี้ชิงนั้นคิดว่าเขาเป็นเช่นไร
เพราะถ้ารู้ คนตัวเล็กจะแก้สิ่งที่อี้ชิงคิดอยู่จากผิดให้เป็นถูก เขาควบคุมอารมณ์และสีหน้าได้ดีกว่าที่อีกฝ่ายคิดไว้
อย่างน้อยก็ในเวลานี้ เวลาที่แบคฮยอนไม่ได้แปลกใจสักนิดเลยว่าทำไมเจ้าหน้าที่ชาวจีนจึงมาอยู่ที่นี่แต่ก็ยังแสร้งแสดงออกว่าฉงนสุดขีดให้จางอี้ชิงได้เห็น
“ผมก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี
อยู่ๆคุณคิมก็สั่งให้ผมมาช่วยคุณแทนน่ะ ยังไม่ทันได้ถามอะไรเขาก็บอกให้ผมรีบตามคุณมา”
คนตัวขาวเอ่ยคำแก้ตัวตื้นๆที่คิดว่าคงทำให้แบคฮยอนไม่กล้าต่อกร
อี้ชิงมั่นใจว่าหากอ้างถึงผู้ที่อำนาจมากที่สุดในสตาส ต่อให้แบคฮยอนคลางแคลงใจแต่ก็คงจะไม่กล้าซักถามให้มากความ
แล้วก็เป็นเช่นนั้นเมื่อร่างเล็กทำเพียงแค่พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง
หัวหน้าของทีมบีไม่แน่ใจนักว่าคนที่แบคฮยอนจะโทรหานั้นเป็นใครแต่เขาไม่ต้องการให้บุคคลที่สามมาที่นี่
ด้วยเหตุผลนั้น เขาจึงพูดขึ้นก่อนที่แบคฮยอนจะกดโทรออก
“คุณไปกับผมก็แล้วกันเดี๋ยวพวกตำรวจจะรอนาน
ส่วนรถก็จอดทิ้งไว้ก่อนแล้วค่อยโทรตามให้คนเอาไปซ่อม ตกลงไหมครับ?”
ไม่มีเวลาให้แบคฮยอนได้ไตร่ตรองมากนัก
จริงอย่างที่หัวหน้าชาวจีนว่า
หากเขาไม่ไปกับอี้ชิงการทำหน้าที่ก็จะยิ่งล่าช้าและคงเกิดผลกระทบต่อความรับผิดชอบของเขา
ร่างเล็กพยักหน้าน้อยๆ เป็นการตกลงก่อนจะหยิบแฟ้มคดีในรถของตัวเองแล้วเดินไปที่รถของจางอี้ชิง
ยามที่แบคฮยอนหันหลังให้นั้นเป็นช่วงเวลาสั้นๆ
ที่เจ้าหน้าที่ชาวจีนได้ทำการสำรวจร่างเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้า
ถึงแม้ว่าแบคฮยอนจะตัวเล็กกว่าแต่ก็ใช่ว่าฝีมือในด้านการต่อสู้จะเป็นรองใคร
การเข้าประชิดตัวเพื่อทำให้หมดสติอาจจะเป็นเรื่องง่ายหากทำกับคนทั่วไปแต่ไม่ใช่กับเจ้าหน้าที่ด้วยกัน
วินาที่นั้นเองที่อี้ชิงสังเกตเห็นว่าแต่ละก้าวของแบคฮยอนไม่มั่นคง
เดาว่าอาจจะมีบาดแผลที่ข้อเท้า หัวเข่าหรือสะโพกและนั่นเป็นสัญญาณที่ดี เขาครุ่นคิดเพียงครู่ก่อนจะเปิดประตูรถให้เจ้าหน้าที่ตัวเล็ก
“คุณเข้าไปนั่งเลยแล้วกันนะ
เดี๋ยวผมขอหยิบของที่เบาะหลังก่อน”
“ครับ”
แบคฮยอนตอบรับก่อนจะเข้าไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ มือเรียวเปิดแฟ้มคดีในอีกครั้งเพื่ออ่านเป็นการฆ่าเวลา
อี้ชิงลอบมองคนตัวเล็กขณะที่แสร้งทำเป็นหาของที่เบาะหลัง
การเดินกะเผลกของแบคฮยอนทำให้จางอี้ชิงรู้ว่าร่างเล็กกำลังมีจุดอ่อน เขาเลือกให้แบคฮยอนนั่งที่เบาะหน้าก่อนจะออกอุบายทำทีเป็นหาของเพื่อจะลอบทำร้ายจากด้านหลัง
ต่อให้เจ้าหน้าที่จอมรั้นจะขัดขืนหรือต้องการตอบโต้กลับก็เป็นไปได้ยากเมื่อมีเบาะกั้นกลางเช่นนี้
อี้ชิงอดทนรอจังหวะแค่อึดใจเดียวเท่านั้นเพราะเมื่อแบคฮยอนเผลอเขาก็ลงมือทันที
“คุณอี้ชิง!”
แบคฮยอนร้องได้เพียงเท่านั้นเมื่อเจ้าของชื่อเอื้อมมือมาจากด้านหลังแล้วใช้ท่อนแขนล็อคคอของเขาเอาไว้
แขนข้างนั้นกดทับทางเดินอากาศจนคนตัวเล็กทำได้แค่ดิ้นสุดกำลัง
การตะเกียกตะกายออกจากความทรมานช่างเป็นเรื่องยากเมื่อมีเบาะรถกั้นกลางระหว่างเขาและจางอี้ชิง
คนทรยศออกแรงรัดมากยิ่งขึ้นเมื่อแบคฮยอนเริ่มทุรนทุราย เจ้าหน้าที่จอมรั้นน้ำตาคลอโดยอัตโนมัติเพราะอากาศที่ค่อยๆหดหายไป
ความรู้สึกของแกะน้อยที่โดนงูใหญ่รัดเป็นเช่นไรนั้นแบคฮยอนเข้าใจแล้วในวันนี้
ดวงตาเรียวปิดลงอย่างช้าๆเมื่อความอดทนมาถึงขีดจำกัดและสิ่งสุดท้ายที่เขาได้ยินมีเพียงแค่น้ำเสียงเย็นเยียบของคนที่เขาเคยคิดว่าเป็นคนดีเพียงเท่านั้น
“โทษทีนะแบคฮยอน แต่ผมสัญญาว่าจะทำให้คุณทรมานน้อยที่สุด
ผมสัญญา”
65%
แสงที่ลอดผ่านจากรอยรั่วบนหลังคาเก่าๆตกกระทบลงบนดวงตาเรียวพอดิบพอดีราวกับจับวาง
มันทำให้คนตัวเล็กค่อยๆได้สติ
เปลือกตาสีน้ำนมขยับเบาๆก่อนจะเผยให้เห็นนัยน์ตาสีดำขลับเมื่อแบคฮยอนตื่นเต็มตา กลิ่นเหม็นอับที่อบอวลไปทั่วเป็นสิ่งแรกที่ลอยเข้ามาทักทาย
เขามองเห็นรอบกายเป็นภาพลางๆเพราะแสงที่ส่องเข้ามาไม่ถึงแต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคงเป็นถังไม้หลายใบที่กองระเกะกะอยู่ตรงสุดทางเดิน
ประตูเหล็กขึ้นสนิมและหน้าต่างทุกบานที่ปิดสนิททำให้จินตนาการไม่ออกว่าภายนอกเป็นอย่างไร
เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน แต่จากกลิ่นเหม็นอับและความเงียบแล้วแบคฮยอนเดาว่าคงเป็นตึกร้างสักแห่ง
วินาทีแรกแบคฮยอนคิดว่าอาจจะเป็นเพราะตนหมดสติไปจึงทำให้ภาพตรงหน้าดูผิดปกติ
แต่เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นก็รู้ว่าภาพที่เขามองเห็นกำลังกลับหัว
ไม่ว่าจะเป็นถังไม้ ประตูเหล็กหรือเก้าอี้ผุพังตรงนั้นล้วนแล้วแต่กลับหัวทั้งสิ้น
ราวกับโลกใบนี้พลิกคว่ำเพราะเพดานสีซีดนั้นดูห่างไกลแต่ปลายเส้นผมของเขากลับอยู่ใกล้พื้นที่เขรอะฝุ่น
ทว่าวินาทีต่อมาแบคฮยอนก็ตระหนักได้ว่าไม่มีอะไรกำลังกลับหัวนอกจากตัวเขาเอง
“บ้าเอ๊ย...”
ร่างเล็กเผลอสบถเมื่อพบว่าขาของเขาไม่ได้สัมผัสกับพื้นแต่ถูกมัดไว้ด้วยเชือกที่ห้อยลงมาจากคานไม้
แขนของเขาก็ถูกมัดไว้กับลำตัวเช่นกัน
แบคฮยอนคิดว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้ดูคล้ายกับค้างคาวที่นอนหลับโดยการห้อยหัวลง
แต่เขาไม่ใช่สัตว์มีปีกพวกนั้น ร่างเล็กจึงรู้สึกได้ว่าเลือดไหลเวียนมากระจุกกันอยู่ที่หัวและเขามีโอกาสที่จะหมดสติอีกครั้งหากยังอยู่ในท่านี้
หลังจากใช้เวลาครู่เดียวเพื่อทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้คำตอบว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่
คนทรยศคนนั้นหายไปอย่างน่าสงสัย แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการกำจัดเขาแต่แบคฮยอนก็คิดไม่ออกว่าทำไมอี้ชิงจึงทิ้งเขาไว้ในห้องแคบๆเช่นนี้
ตอนนั้นเองที่หนูตัวใหญ่วิ่งผ่านไปและเป็นเพราะมุมมองที่เปลี่ยนแปลงทำให้แบคฮยอนเห็นหนูตัวนั้นได้อย่างชัดเจน
คนตัวเล็กงอตัวขึ้นด้วยความตกใจ
ในช่วงวินาทีสั้นๆนั้นทำให้แบคฮยอนได้เห็นอีกมุมหนึ่งของห้องนี้
เขาตัดสินใจงอตัวขึ้นอีกรอบก่อนจะพบว่าภายในมุมมืดไม่ได้ว่างเปล่าแต่กลับมีเก้าอี้ไม้เก่าๆหนึ่งตัวและผู้ชายอีกหนึ่งคนที่อยู่ตรงนั้นด้วย
“คุณคิดว่าอะไรทรมานมากกว่ากันระหว่างคนที่มีชีวิตอยู่กับคนที่ตายไปแล้ว?”
ไม่มีเวลาให้เตรียมพร้อมมากนักกับเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
แบคฮยอนเพ่งมองไปในความมืดแต่เป็นเพราะแสงที่ส่องไม่ถึงจึงไม่อาจเห็นว่าคนถามทำสีหน้าแบบไหน
แม้จะมองไม่เห็นหน้า กระนั้นเขาก็จำน้ำเสียงนุ่มนวลของหัวหน้าชาวจีนได้เป็นอย่างดี
เสียงของจางอี้ชิงเป็นเสียงที่น่าฟังมาโดยตลอดยกเว้นในตอนนี้
แบคฮยอนผ่อนตัวลงมาตามเดิมเมื่อรู้สึกเจ็บกล้ามเนื้อ
ยอมรับว่าการถูกมัดห้อยหัวเป็นความทรมานรูปแบบหนึ่งที่คนตัวเล็กไม่เคยคิดว่าจะได้ลิ้มรส
“สำหรับผม
คนที่มีชีวิตอยู่เจ็บปวดยิ่งกว่าคนที่ตายไปแล้วมากทีเดียวล่ะ” จางอี้ชิงตอบคำถามของตัวเองโดยไม่ได้สนใจว่าแบคฮยอนจะรับฟังอยู่หรือไม่
มีดปลายแหลมในมือขาวถูกอี้ชิงควงเล่นราวกับเป็นแค่ปากกาด้ามหนึ่ง แสงที่ลอดผ่านรูรั่วของหลังคาส่องกระทบมายังใบมีดคมและสะท้อนไปที่ใบหน้าของแบคฮยอนจนทำให้ตาพร่า
“คุณรู้ไหมแบคฮยอนว่ามีอีกหลายคนที่ต้องทนทรมานจากการมีชีวิตอยู่
มีอีกหลายคนที่ต้องพบเจอกับความเศร้าโศก ต้องผิดหวัง ร้องไห้ ทนทุกข์กับโลกอันแสนโหดร้าย
มันก็น่าตลกดีที่การมีชีวิตอยู่นั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่คนเราก็ยังดิ้นรนหาทางรอดเพื่อให้มีลมหายใจต่อไป”
แบคฮยอนหลับตาลงเพราะรู้สึกเวียนหัวก่อนจะลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้
มีดในมือของจางอี้ชิงเป็นประกายวาววับเมื่อต้องแสง ราวกับว่ามันกำลังประกาศศักดาไม่ต่างจากผู้เป็นเจ้าของ
ทั้งอี้ชิงและใบมีดล้วนมีอำนาจเหนือคนตัวเล็กที่ห้อยต่องแต่งไร้ทางสู้
แบคฮยอนพยายามมองใบหน้าของหนอนบ่อนไส้ด้วยความยากลำบากและคล้ายว่าอี้ชิงจะรู้ เขาจึงย่อตัวลงเพื่อให้สายตาอยู่ระดับเดียวกันก่อนจะพูดอย่างเนิบนาบ
“ดูเหมือนคุณมีคำถามนะ” หัวหน้าของทีมบีแค่นหัวเราะเบาๆแล้วพูดต่อ “ถามผมมาสิ
ไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมผมถึงทำกับคุณแบบนี้”
“ไม่จำเป็น”
แบคฮยอนกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ
ทั้งคู่จ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใครก่อนที่อี้ชิงจะเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
“แปลกแฮะ ปกติแล้วเหยื่อมักจะถามไม่หยุดไม่ใช่เหรอ...ทำไมถึงทำแบบนี้
ทำไปเพื่ออะไร ต้องการอะไร...หรืออย่างน้อยๆคุณก็น่าจะอ้อนวอนผมนะแบคฮยอน
เอาสิ ผมเปิดโอกาสให้คุณพูดอยู่นะ”
“ผมไม่มีอะไรจะพูดทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าผมจะอ้อนวอนคุณหรือไม่
มีดเล่มนั้นก็คงปักลงมาบนตัวผมอยู่ดี”
“คุณนี่ไม่ธรรมดาจริงๆนะแบคฮยอน มิน่าหมอนั่นถึงไม่ยอมให้ผมฆ่าคุณเสียที” แบคฮยอนรู้ว่าหมอนั่นที่อี้ชิงเอ่ยถึงคงไม่พ้นน้องชายของเขาอย่างหวงจื่อเทา
“ดูสายตาที่คุณมองผมสิ คุณไม่กลัวผมสักนิดเดียว”
“…”
“ตั้งแต่ทำงานร่วมกันมาคุณเป็นเจ้าหน้าที่ที่ผมคิดว่าหัวรั้นที่สุด
คุณออกนอกลู่นอกทาง ออกนอกกฎเกณฑ์ของสตาสแทบทุกครั้งแต่กลับทำผลงานได้ดี
คุณมุทะลุแต่กลับไม่กลัวอะไรเลย...คุณมันเป็นตัวอันตรายแบคฮยอน นิสัยของคุณทำให้ผมคิดว่าคุณไม่เคยสิ้นฤทธิ์
มือของคุณไม่เคยว่างเปล่าแต่กลับมีไพ่ใบเด็ดอยู่เสมอ” หัวหน้าของทีมบีหยุดพูดไปครู่หนึ่งคล้ายเรียบเรียงประโยคในหัวก่อนที่น้ำเสียงน่าฟังจะเอ่ยต่อ
“ถึงคุณจะวู่วามหรือผลีผลามแค่ไหนผมก็รู้ว่าคุณฉลาด ขนาดคุณถูกมัดห้อยหัวจนดูน่าตลกแบบนี้ผมยังไม่กล้าละสายตาเพราะกลัวว่าคุณจะใช้ความบ้าดีเดือดหนีออกไปได้
ถ้าผมจะเรียกคุณว่าเป็นไอ้ตัวแสบก็คงไม่ผิดนักหรอก”
“นั่นคือเหตุผลที่ทำให้คุณทำแบบนี้กับผมสินะ” แบคฮยอนเอ่ยถามโดยที่จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของอี้ชิงเท่านั้น
เป็นเพราะระยะที่ใกล้ชิดทำให้เขาเห็นร่องรอยความเหนื่อยล้าของเจ้าหน้าที่ชาวจีนได้อย่างชัดเจน
“ชู่ว” อี้ชิงยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย
“คุณเดาผิดแล้วล่ะ ที่ผมพูดถึงนิสัยของคุณเป็นเพราะผมชอบความบ้าบิ่นของคุณต่างหากล่ะ”
“..”
“อย่างที่ผมบอกว่าคุณเป็นคนฉลาด
ดูเอาเถอะ คุณไม่ถามสักคำว่าผมทำแบบนี้กับคุณทำไมนั่นก็เพราะว่าคุณเดาได้แล้วว่าผมเป็นใครและมีจุดประสงค์อะไร” จางอี้ชิงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเริ่มควงมีดในมืออย่างน่าหวาดเสียว
คมของอาวุธนั้นเด่นชัดยิ่งนักในความรู้สึกของแบคฮยอน
เขาไม่อยากคิดเลยว่าภายในไม่กี่นาทีข้างหน้ามีดเล่มนี้จะแทงทะลุตรงส่วนไหนในร่างกายของเขา
“แต่ผมก็จะช่วยย้ำให้มั่นใจว่าคุณเดาถูกหรือเปล่า...และถ้าคุณกำลังคิดว่าผมเป็นไนท์แมร์คนสุดท้ายล่ะก็คุณคิดถูกแล้วล่ะ”
เส้นเลือดที่ขมับของแบคฮยอนปูดโปนขึ้น เขากำลังหน้ามืดและปวดเมื่อยในเวลาเดียวกัน
คล้ายว่าถ้อยคำของอี้ชิงเป็นแค่สายลมที่พัดผ่านไปเท่านั้น เลือดที่ไหลมารวมกันอยู่ที่หัวทำให้แบคฮยอนตอบสนองได้ช้าลง
แต่ถึงกระนั้นก็ยังพยายามโต้ตอบคนทรยศด้วยเสียงหนักแน่น
“คุณนี่เองที่เป็นจุดด่างพร้อยในหน่วยของเรา”
แบคฮยอนยิ้มเยาะราวกับเพิ่งรู้เบื้องหลังของคนตรงหน้า คำว่าจุดด่างพร้อยทำให้คิ้วของอี้ชิงกระตุกแต่เขาก็ยังรักษาความสุขุมไว้ได้
“ถึงจะฆ่าผมแต่คุณก็จะถูกจับกุมอยู่ดี
คุณก็รู้ว่าผลตรวจดีเอ็นเอของเอสจะถูกส่งมาในวันนี้
ถ้าเราจับเอสได้แล้วคิดเหรอว่าคุณจะรอด?”
อี้ชิงหัวเราะเบาๆเคล้าไปกับเสียงกุกกักของหนูที่วิ่งไปบนถังไม้
ดวงตาของหัวหน้าของทีมบีหยีลงยามที่ยกยิ้ม
แบคฮยอนไม่เคยเห็นใครที่เลวร้ายบนความอ่อนโยนได้เท่านี้มาก่อน
ทั้งน้ำเสียงนิ่มนวลและรอยยิ้มสุภาพของอี้ชิงช่างเหมือนกับดอกไม้พิษในหุบเขา
ความงดงามของมันหลอกล่อให้กระต่ายป่าตายใจและกว่าจะรู้ตัวหัวใจของเจ้ากระต่ายน้อยก็หยุดเต้นไปเสียแล้วเพราะถูกสังหารด้วยพิษของความงามจอมปลอม
ซึ่งนั่นไม่ต่างอะไรจากจางอี้ชิงผู้ที่ซ่อนความโสมมไว้ภายใต้ความละมุนละไมมาโดยตลอด
“ผมชักสงสัยขึ้นมาแล้วสิว่าคุณเพิ่งรู้ว่าผมเป็นคนทรยศเมื่อครู่นี้หรือว่ารู้มาก่อนหน้านั้น”
“…”
“คุณทำให้ผมคิดว่าช่างโชคดีจริงๆที่กำจัดชานยอลกับจงแดออกไปได้เสียก่อน
สองคนนั้นจมูกไวเกินกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
ถ้าผมกำจัดหลักฐานทั้งหมดได้ก็จะไม่มีใครสงสัยในตัวผม...และหลักฐานที่ว่าก็หมายถึงชีวิตของชานยอล
จงแดแล้วก็คุณยังไงล่ะ” แบคฮยอนสะดุ้งเมื่ออี้ชิงแนบมีดในมือลงบนแขนของเขา
ใบมีดนั้นเย็นเฉียบราวกับถูกแช่แข็งมาก่อนหน้านี้ “ส่วนเรื่องผลเลือดของเอสก็เป็นผมเองที่มีหน้าที่เก็บผลตรวจนั้นไว้ก่อนที่จะส่งให้คนอื่น
คุณคงพอจะเดาได้แล้วใช่ไหมล่ะครับว่าผมจะทำยังไงกับกระดาษใบนั้น”
คนตัวขาวเดินวนรอบตัวของแบคฮยอนพลางแกล้งกระตุกเชือกที่ห้อยจากคานไม้จนสะเทือนไปถึงคนตัวเล็ก
แรงสั่นทำให้ร่างของแบคฮยอนหมุนและนั่นยิ่งเพิ่มความเวียนหัวขึ้นเป็นสองเท่า
“คุณรู้ไหมว่าสิ่งใดมีก็เหมือนไม่มี?” คนตัวขาวเดินช้าๆราวกับยั่วโมโหแต่แบคฮยอนไม่ได้สนใจที่จะมองภาพตรงหน้าอีกต่อไปแล้ว
ร่างเล็กเลือกที่จะหลับตาลงเมื่อความอดทนใกล้ถึงขีดจำกัด
เขายังไม่อยากหมดสติเพราะเลือดลงหัวแต่ก็รู้สึกแย่เกินรับไหว เชือกที่มัดเขาไว้นั้นหมุนติ้วก่อนจะเปลี่ยนเป็นส่ายไปมาในไม่กี่วินาทีให้หลัง
“ผมจะบอกให้ว่าสิ่งนั้นมันคือความจริงไงล่ะ แม้ว่ามันจะเป็นความจริงที่มีชีวิต
มีตัวตนและสมบูรณ์แบบแค่ไหน แต่ถ้ามันถูกบิดเบือนหรือถูกทำลายก็กลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์
จะว่าไปแล้วคนเราก็ช่างโง่เขลานะครับที่มักเชื่อเพียงแค่สิ่งที่ตาเห็น คุณลองคิดดูสิแบคฮยอน
ถ้าผมปลอมแปลงผลเลือด เปลี่ยนจากชื่อของเอสไปเป็นคนอื่นคุณยังคิดว่าจะมีใครจับผมได้อีกไหม?”
“ถ้าคุณคิดอย่างนั้น...ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ”
แม้เส้นเลือดตรงขมับจะปูดโปนและใบหน้าเริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีคล้ำแต่แบคฮยอนก็ยังพยายามยิ้มหยันใส่คนตรงหน้า
“ไม่ใช่ว่าทุกคนโง่เขลาเชื่อแต่สิ่งที่ตาเห็นหรือว่าความจริงไร้ประโยชน์หรอก
ที่ทุกคนยอมเชื่อคุณเป็นเพราะพวกเขาไว้ใจคุณ...อี้ชิง แล้วผมจะตอบคำถามให้ว่าสิ่งใดมีแต่ก็เหมือนไม่มี
มันคือความดีของคุณต่างหาก ผมเชื่อมาตลอดว่าคุณไม่ใช่คนเลวร้าย แต่ตอนนี้ผมกลับไม่เห็นเศษเสี้ยวความดีของคุณเลยสักนิด”
จางอี้ชิงยกยิ้มอย่างชอบใจ
แบคฮยอนเป็นอย่างที่เขาคิดไว้ทุกประการ ดื้อดึง ไม่ยอมแพ้และบ้าบิ่น ทว่าข้อเสียเหล่านั้นกลับหลอมหลวมกันจนกลายเป็นความกล้าหาญ
อี้ชิงยอมรับว่าเขาไม่เคยเจอใครใจกล้าเท่าแบคฮยอนมาก่อน
ทั้งๆที่เขามีอาวุธอยู่ในมือแต่แบคฮยอนก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวอย่างที่ควรจะเป็น
กลับกัน ยังสามารถตอบโต้ด้วยคำพูดอวดเก่งได้ราวกับสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศ คมมีดเย็นเฉียบค่อยๆเลื่อนจากแขนมาแนบอยู่ที่แก้มอวบๆของคนตัวเล็กและนั่นทำให้แบคฮยอนเผลอหยุดหายใจเมื่อใบมีดถูกกดลงมา
“ความดี...มีก็เหมือนไม่มี”
เหงื่อของแบคฮยอนไหลจากขมับก่อนจะผ่านปอยผมหน้าม้าที่ลู่ลงแล้วหยดลงพื้น
อากาศที่ทั้งเหม็นอับและอบอ้าวยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่แต่อี้ชิงก็ยังคงพูดต่อไปราวกับไม่เห็นอาการเหล่านั้น
“ผมเห็นด้วยกับคุณนะ ต่อให้ทุ่มเททำความดีให้ตายก็ไม่มีใครเห็น...แล้วคุณเคยคิดไหมแบคฮยอนว่าทั้งๆที่คุณเป็นคนดีแล้วทำไมกลับต้องมาตายที่นี่?”
“เท่าที่จำได้เราสองคนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน
ผมไม่เคยโกรธอะไรคุณแล้วก็มั่นใจว่าไม่เคยทำอะไรให้คุณต้องแค้นผมเหมือนกัน ถ้าจะถามถึงเหตุผลที่ผมต้องมาตายที่นี่ก็คงมีแต่คุณที่รู้ดีที่สุด”
“มีสำนวนจีนที่ว่าทางที่เลือกด้วยตัวเอง ต่อให้คลานก็ต้องไปให้สุด ผมว่ามันเป็นสำนวนที่ดีนะคุณว่าไหม? และก็เป็นเรื่องบังเอิญที่ไนท์แมร์ยึดสำนวนนี้เป็นข้อเตือนใจ
เอสกรอกหูไนท์แมร์เสมอว่าถ้าลงมือทำอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คุณมาอยู่ตรงนี้...แบคฮยอน” เจ้าหน้าที่ชาวจีนละมีดออกจากแก้มใสแล้วเปลี่ยนเป็นควงไปเรื่อยๆเพื่อฆ่าเวลาในขณะที่ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลคล้ายเล่านิทานสักเรื่องหนึ่ง
“ผมจำเป็นต้องกำจัดคุณ
มันอาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวแต่การตายของคุณจะทำให้ผมหลุดพ้น”
“หลุดพ้น...?” แบคฮยอนทวนคำอย่างเชื่องช้า
เขารู้สึกหนักหัวและเจ็บปวดเพิ่มขึ้นทีละระดับ
ถึงจะทนแทบไม่ไหวแต่เขาก็ยังพยายามฝืนตัวเองเอาไว้
“ผมคงจะเล่าให้คุณฟังไม่ได้ว่าหลุดพ้นจากอะไรแต่ไม่มีใครในไนท์แมร์ยอมเล่าเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟังหรอก
ดูอย่างอึนจีกับอูบินสิ สองคนนั้นสารภาพอะไรให้ฟังบ้างไหมล่ะ พวกตำรวจคงมืดแปดด้านที่ไม่รู้ว่าแรงจูงใจให้พวกเราทำแบบนี้คืออะไร
อ้อ! คงต้องยกเว้นแทมินไว้คนหนึ่งสินะ
หมอนั่นคงเป็นคนเดียวที่สารภาพหมดเปลือกว่าทำไมถึงยอมเข้ามาเป็นอาชญากร
แต่ก็ช่างเถอะ เพราะยังไงซะผมก็คงไม่บอกคุณ” คนตัวเล็กขมวดคิ้วทั้งเพราะเวียนหัวและทั้งไม่เข้าใจ
จนถึงขนาดนี้แล้วจางอี้ชิงก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากบอกถึงเหตุผลที่อยากฆ่าเขา
แบคฮยอนไม่เข้าใจว่าอุดมการณ์ที่เปลี่ยนหวงจื่อเทาให้กลายเป็นเอสหรือเปลี่ยนคนอ่อนโยนอย่างอี้ชิงให้กลายเป็นคนเลวร้ายนั้นแรงกล้าขนาดไหน
ทำไมจอมวายร้ายอย่างพวกไนท์แมร์ถึงได้ยอมทำเรื่องผิดบาปเพียงเพื่อความสะใจเท่านั้น
“คุณคงเวียนหัวแย่แล้วสินะแบคฮยอน”
ไร้คำตอบจากเจ้าหน้าที่จอมรั้น
แบคฮยอนทำเพียงแค่จ้องตากลับ เขาทรมานเกินกว่าจะตอบโต้อย่างก่อนหน้านี้ได้
ร่างกายที่ถูกทิ้งดิ่งไปตามแรงโน้มถ่วงทำให้หัวของเขาแทบระเบิด
เชือกเส้นหนาที่มัดตัวและขาของเขาก็ทำให้อึดอัดคล้ายกับถูกงูรัด วินาทีนั้นเองที่อี้ชิงย่อตัวลงอีกครั้งก่อนจะลูบเบาๆตรงเส้นเลือดขมับที่ปูดโปนของร่างเล็ก
“อดทนอีกหน่อยนะครับ เมื่อถึงเวลาผมจะช่วยให้คุณหายทรมาน
คุณบอกผมว่ายังไงนะ? ผมจะเอามีดเล่มนี้ปักไปบนตัวคุณใช่ไหม?
น่าผิดหวังจริงๆที่คุณทายผิด...เพราะผมจะใช้มันปาดคอคุณเหมือนอย่างที่จงอินเคยโดนต่างหากล่ะ”
สายตาของแบคฮยอนแข็งกร้าวขึ้นอย่างที่เจ้าหน้าที่ชาวจีนสัมผัสได้
เขารู้ดีว่าการพูดถึงเพื่อนรักอย่างคิมจงอินจะทำให้แบคฮยอนรู้สึกอย่างไร “…คุณมันเลว อี้ชิง”
“เพิ่งเคยมีคนด่าผมด้วยคำนี้เป็นครั้งแรก
เจ็บไม่เบาเหมือนกันนะ ตอนแรกผมไม่อยากยอมรับว่าผมเป็นแบบนั้น ผมเถียงกับตัวเองว่าผมไม่ใช่คนเลวแต่หลังจากนั้นไม่นานก็ดูคล้ายว่าความชั่วจะค่อยๆแทรกซึมเข้ามาจนมันกลายเป็นชีวิตของผมไปแล้ว”
แบคฮยอนพยายามจับใจความจากสิ่งที่อีกฝ่ายพูดแต่ก็รู้ตัวดีว่าอีกไม่กี่นาทีเขาอาจจะหมดสติ
เขาห้อยหัวลงมานานกว่ายี่สิบนาทีแล้วและยังไม่เห็นจุดสิ้นสุดของความทรมานนี้
ปัง!
ตุบ!
ตอนนั้นเองที่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงอันแสนคุ้นเคยอย่างเสียงปืนดังก้องไปทั่วห้องแคบๆ
แบคฮยอนรู้สึกว่าร่างของเขากำลังร่วงลงสู่พื้นและไม่ถึงสามวินาทีแผ่นหลังของเขาก็กระแทกเข้ากับพื้นที่เขรอะไปด้วยฝุ่น
มันไม่ได้แรงนักแต่ก็ทำให้สติกลับเข้าที่เข้าทาง
คนตัวเล็กค้นพบว่าเชือกที่มัดขาของเขาเอาไว้กับคานไม้ขาดลงแล้ว เลือดที่รวมกันอยู่ที่หัวค่อยๆไหลเวียนอย่างเป็นปกติเมื่อคนตัวเล็กนอนราบไปกับพื้นห้อง
แบคฮยอนหายใจแรงๆหลายครั้งเพื่อขจัดความอึดอัดในอกและอาการมึนงง
“ใครวะ!”
จางอี้ชิงตะโกนอย่างหัวเสียเมื่อลูกกระสุนปริศนาพุ่งเข้ามาตัดเชือกที่ผูกแบคฮยอนเอาไว้จนขาดสะบั้น
เป็นเพราะไม่ได้ตั้งตัวจึงไม่รู้ว่าลูกกระสุนนั้นมาจากทิศทางไหน
เขากำมีดในมือแน่นเพราะเป็นอาวุธเพียงชิ้นเดียวที่มีอยู่ ทว่าเสียงแปร่งๆที่เคยได้ยินนับครั้งไม่ถ้วนกลับดังขึ้นตอบข้อสงสัย
เสียงนั้นดังมาจากบานประตูผุๆซึ่งไม่มีใครคิดว่าเป็นประตูมาก่อนเพราะสีที่กลมกลืนไปกับผนัง
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบจนกระทั่งร่างสูงโปร่งของใครบางคนจะก้าวเข้ามา
“เมื่อไหร่จะเลิกพล่ามไร้สาระสักที”
และจางอี้ชิงรับรู้ได้ตั้งแต่วินาทีนั้นว่าบุคคลตรงหน้าคือคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี
ทั้งเสียงจากเครื่องปลอมแปลงเสียงที่ได้ยินบ่อยครั้ง
สีดำที่ปกคลุมร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า ความสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรและหน้ากากสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของไนท์แมร์
เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้อี้ชิงรู้ว่าใครเป็นคนยิงปืนนัดนั้น
เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือผู้ที่สั่งให้เขาจับตัวแบคฮยอนมาที่นี่ เขาคนนั้น...
มีชื่อว่า “เอส”
“จะปัญญาอ่อนไปถึงไหนอี้ชิง แกเล่านิทานให้มันฟังอยู่รึไง”
ภาพของชายผู้มาใหม่ทำให้แบคฮยอนที่นอนอยู่บนพื้นเบิกตากว้าง
เป็นไปไม่ได้...ไม่มีทาง...เขาพึมพำคำเหล่านี้เบาๆคล้ายคนละเมอ คนตัวเล็กนอนนิ่งค้างอย่างไม่เชื่อสายตา
มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อเอสคือน้องชายของเขา คือเด็กหนุ่มชาวจีนที่ชื่อว่าหวงจื่อเทาผู้ซึ่งถูกควบคุมตัวไปแล้วเมื่อวานนี้
ความสงสัยฉายชัดออกมาทางใบหน้าของร่างเล็กอย่างชัดเจนและนั่นทำให้หัวหน้าของไนท์แมร์หัวเราะเบาๆ
“ได้พบกันอีกแล้วนะ...แบคฮยอน”
ราวกับว่าแรงกระทบจากฝีเท้าแต่ละก้าวของเอสสะเทือนไปถึงหัวใจของแบคฮยอน
ยิ่งวายร้ายเดินเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น หัวหน้าของกลุ่มอาชญากรยังคงรอบคอบเหมือนอย่างที่เคยเป็น
เอสใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนังทุกส่วน ใบหูที่เคยโผล่พ้นจนทำให้แบคฮยอนข่วนเมื่อคราวก่อนก็ถูกที่ครอบหูปิดเอาไว้
ส่วนปืนที่ตัดเชือกให้ขาดนั้นยังคงอยู่ในมือใหญ่
แบคฮยอนขมวดคิ้วทันทีเมื่อลองสังเกตระยะห่างจากจุดที่เอสปรากฎตัวและจุดที่เขาถูกมัดเอาไว้
มันห่างกันเกือบห้าสิบเมตรแต่ลูกกระสุนกลับพุ่งเข้ามาตัดเชือกได้ตรงเป้า
นั่นหมายความว่าคนตรงหน้ามีฝีมือไม่ธรรมดา ใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากสีขาวเป็นอย่างไรนั้นแบคฮยอนไม่อาจรู้ได้
แต่เขามั่นใจว่าเอสที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้…ไม่ใช่หวงจื่อเทา
“ทำไมถึงมัดมันไว้แบบนั้น
ฉันสั่งให้แกห้อยหัวมันรึไง?”
เสียงแปร่งๆจากเครื่องปลอมแปลงเสียงดังขึ้นเรียกความสนใจของคนภายในห้อง
แบคฮยอนที่ยังคงนอนอยู่บนพื้นจับจ้องไปยังเอสที่มายืนใกล้ๆจนรองเท้าหนังสีดำนั่นอยู่ห่างจากหัวของเขาไปไม่ถึงหนึ่งคืบ
อี้ชิงที่ยืนนิ่งไปนั้นเหมือนถูกปลุกให้ได้สติ
เขาเองก็เป็นเช่นเดียวกับไนท์แมร์คนอื่นๆที่ไม่เคยพบกับเอสมาก่อน
การที่ได้เห็นจอมวายร้ายมายืนอยู่ตรงหน้าจึงดูคล้ายความฝัน ด้วยเหตุผลนั้น
เจ้าหน้าที่ชาวจีนจึงพยายามข่มความตื่นเต้นไว้ในใจก่อนจะตอบด้วยเสียงมั่นคง
“เปล่าครับ
แต่ผมแค่คิดว่าถ้าจับมันห้อยหัวลงจะทำให้มันสิ้นฤทธิ์ได้มา--”
“ถ้าฉันไม่ได้สั่งแล้วจะสาระแนทำไปทำไม!”
เสียงตะคอกที่ดังกังวานทำให้จางอี้ชิงเผลอสะดุ้งสุดตัว
เขาจำได้ดีว่าเอสสั่งอะไรไว้ก่อนหน้าที่จะจับตัวแบคฮยอนมาที่นี่ เอสย้ำเตือนว่าอย่าสะเออะทำร้ายแบคฮยอนก่อนที่จอมวายร้ายจะมาถึงแต่ก็ไม่คิดว่าแค่จับมัดห้อยหัวไว้จะทำให้เอสหัวเสียได้ถึงเพียงนี้
“เอามันไปนั่งตรงนั้น”
แม้จะยังสับสนกับอารมณ์ของคนตัวสูงแต่อี้ชิงก็ยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี
เขาเดินเข้าไปกระชากแบคฮยอนให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะลากไปยังเก้าอี้ไม้ตัวที่สภาพสมบูรณ์ที่สุด
แผลจากการหกล้มที่หัวเข่าทำให้ร่างเล็กเดินกะเผลกแต่ไนท์แมร์ทั้งสองก็ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความเมตตา
กลับกัน แบคฮยอนคิดว่าทั้งสองคงจะพอใจเสียด้วยซ้ำที่ได้เห็นเขาเจ็บปวด
“รู้ไหมว่าทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี่?”
ทันทีที่ก้นหย่อนลงบนเก้าอี้ คำถามแรกจากเอสก็พุ่งเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว
คนตัวเล็กเงียบพลางกวาดสายตามองคนชั่วช้าตรงหน้า
ต่อให้เอสคนนี้จะมีรูปร่างคล้ายคลึงกับหวงจื่อเทามากแค่ไหนแต่เขาก็มั่นใจว่านี่ไม่ใช่น้องชายของเขา...ไม่มีทางใช่
“กลัวตายจนคิดคำตอบไม่ออกเลยรึไง?”
เสียงแค่นหัวเราะแสนยั่วโมโหทำให้เส้นประสาทของแบคฮยอนเต้นตุบ
ถึงแม้ว่าเชือกที่ขาจะขาดไปแล้วแต่เชือกที่มัดตัวเขาไว้ก็ยังคงเป็นปมแน่นและมันทำให้เขาอึดอัดเหลือเกิน
“ผมว่าเรารีบจัดการดีกว่าครับบอส
บอสก็น่าจะรู้ว่าคนอย่างแบคฮยอนคุยไปก็ทำให้หงุดหงิดเปล่าๆ”
คนทรยศเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล
จางอี้ชิงรู้ดีว่าเอสเป็นคนกวนประสาท ชอบเล่นกับเหยื่อให้ทุรนทุรายแต่นั่นต้องไม่ใช่กับแบคฮยอน
เขามีเวลาไม่มากและไม่อยากเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
“แกจะใจร้อนไปทำไมกัน ในเมื่อไม่ว่าช้าหรือเร็วแกก็จะเป็นคนได้ฆ่ามันอยู่ดี” คนตัวสูงเอ่ยตอบราวกับไม่ทุกข์ร้อน มือใหญ่นั้นบีบไปที่คางเรียวของแบคฮยอนอย่างแรงจนร่างเล็กเผลอกัดลิ้นตัวเอง
รสคาวของเลือดและความแสบคือสองอย่างที่แบคฮยอนรู้สึกได้อย่างชัดเจน เขาเบ้หน้าด้วยความเจ็บแต่เอสก็ไม่ได้สนใจ
“ว่ายังไงล่ะ? ฉันถามว่ารู้รึเปล่าว่าทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี่”
“ถ้าจะจับฉันมาเพื่อถามอะไรไร้สาระก็รีบฆ่าฉันซะดีกว่า” เจ้าหน้าที่จอมรั้นพูดลอดไรฟันและนั่นทำให้เกิดรอยยิ้มร้ายภายใต้หน้ากาก
“โว้ ยังปากดีเหมือนเดิมเลยสินะ”
เอสกลั้วหัวเราะก่อนจะสะบัดใบหน้าขาวออกจากมือ แบคฮยอนถ่มน้ำลายที่มีเลือดผสมลงบนพื้นก่อนจะมองไนท์แมร์ทั้งสองอย่างท้าทาย
การกระทำนั้นทำให้อี้ชิงขยับตัวคล้ายจะเข้าไปทำร้ายแต่เอสยกมือห้ามเอาไว้ แบคฮยอนมองคนตรงหน้าพลางครุ่นคิด
คำพูดของเอสสื่อให้เห็นว่าพวกเขาเคยพบกันมาก่อน มิฉะนั้น เอสคงไม่รู้ว่าเขาปากดีหรือไม่
แต่ไม่ว่าจะพยายามคิดเท่าไหร่เขาก็คิดไม่ออกว่าใครคือผู้ที่อยู่หลังหน้ากากใบนี้กันแน่
“ไม่ต้องใจร้อนไปหรอกเพราะยังไงวันนี้ก็ต้องเป็นวันตายของแกอยู่ดี”
“เลิกเล่นกับมันสักทีเถอะบอส
เรามีเวลาไม่มากบอสก็รู้ แค่ผมปาดคอมันทีเดียวงานของเราก็จบ”
“หุบปาก”
เอสไม่ได้ตวาดเหมือนอย่างคราวแรก
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่กลับสร้างความกดดันให้อี้ชิงได้อย่างดีเยี่ยม “ต้องให้พูดอีกกี่ครั้งสมองกลวงๆของแกถึงจะเข้าใจว่าอย่าสะเออะทำอะไรโดยที่ฉันไม่ได้สั่ง”
คนตัวขาวอ้าปากจะพูดต่อแต่ก็ต้องปิดริมฝีปากไปตามเดิม
เอสในวิดีโอที่เขาเคยเห็นเป็นอย่างไร ตัวตนตรงหน้าก็เป็นอย่างนั้น
ทั้งๆที่อำพรางใบหน้าไว้ใต้หน้ากากและปลอมแปลงเสียงที่แท้จริงแต่ความน่าเกรงขามของคนร้ายกาจก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
เอสชี้หน้าอี้ชิงเป็นเชิงสั่งให้เงียบก่อนจะเหน็บปืนเข้ากับขอบกางเกงแล้วหันมาสนใจแบคฮยอนอีกครั้ง
“อย่างที่แกรู้แบคฮยอนว่าฉันเกลียดพวกหน้าโง่อย่างแกมากแค่ไหน
แล้วดูไนท์แมร์สุดที่รักของฉันสิ ตอนนี้เหลือแค่ฉันกับไอ้ลูกกระจ๊อกอีกหนึ่งคน
แกไม่คิดว่ามันน่าสมเพชไปหน่อยเหรอที่กลุ่มอาชญากรซึ่งทำให้พวกหน้าโง่อย่างแกหวั่นเกรงมาตลอดจะเหลือกันแค่นี้
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี่ การตายของแกก็จะเหมือนกับที่ฉันทำร้ายลู่หาน
ฆ่าคิมฮโยยอนและคิมจงอินยังไงล่ะ
พวกไร้สมองอย่างสตาสกับตำรวจจะได้เข้าใจว่าควรเลิกยุ่งกับไนท์แมร์สักที”
“แต่นายก็เห็นแล้วนี่...ไม่ว่าจะฆ่าพวกเราไปอีกกี่คน
ยังไงซะนายก็จะถูกไล่ล่าอยู่ดี”
คนตัวสูงหัวเราะเบาๆก่อนจะกลายเป็นดังลั่นในเวลาต่อมา
ราวกับสิ่งที่แบคฮยอนพูดเป็นเรื่องขบขันเรื่องหนึ่ง เอสจึงหัวเราะคล้ายว่าชอบใจนัก
“แกนี่น่าสงสารจริงๆเลยนะ” เสียงแปร่งๆนั้นกวนประสาทมากขึ้นไปอีก เอสแสร้งทำเป็นส่ายหัวช้าๆคล้ายกับเห็นใจร่างเล็กมากเหลือเกิน
“ก็เพราะว่าคนอย่างพวกแกมันเห็นแก่ตัวไง น่าเศร้าที่แกต้องมาทำงานให้กับหน่วยงานเส็งเคร็งแบบนี้
ลูกน้องตายเป็นเบือแล้วแต่ก็ยังดันทุรังที่จะจับฉันต่อไป”
ระหว่างที่หัวหน้าของไนท์แมร์กำลังสนุกกับเหยื่อจอมรั้น
อี้ชิงที่ยืนเงียบก็เฝ้าสังเกตเอสมาตลอด ใครบางคนได้บอกเขาเกี่ยวกับคำสันนิษฐานของปาร์คชานยอล
คำสันนิษฐานนั้นบอกเอาไว้ว่าเอสน่าจะเป็นผู้ชายที่มีอายุระหว่างสิบแปดถึงสามสิบห้าปี
มีไหล่กว้างและเส้นผมสีดำสนิทซึ่งนั่นตรงกับคนตรงหน้าทุกอย่าง ไหนจะคำพูดกวนประสาทและคำแทนตำรวจและสตาสว่าพวกหน้าโง่ซึ่งเป็นคำที่เอสใช้บ่อยๆ
แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่ยืนยันว่าคนตัวสูงนั้นคือเอสได้ชัดเจนเท่ากับท่าทีเอาแต่ใจและความบ้าอำนาจที่เจ้าตัวแสดงออก
คนตัวขาวพยายามจดจำทุกรายละเอียดของวายร้ายและเขาสัญญากับตัวเอง...ว่าจะกำจัดไอ้เวรนี่ตามแบคฮยอนไปอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ! ฉันเล่นสนุกกับแกมามากพอแล้วล่ะ
บังเอิญว่าขี้ข้าคนเดียวที่เหลืออยู่อยากจะฆ่านายใจแทบขาดและฉันก็ไม่ใช่คนใจร้ายซะด้วยสิ
ใช่ไหมอี้ชิง?” เจ้าของชื่อพยักหน้าเบาๆ
เสี้ยววินาทีที่อี้ชิงพยักหน้าตอบรับคำถาม ดวงตาของเขาเล็งไปที่ปืนของเอสซึ่งเหน็บไว้ตรงบั้นเอว
หากเอสเผลอเมื่อไหร่ปืนกระบอกนั้นจะตกมาเป็นของเขาทันที “ลูกน้องสุดที่รักต้องการฆ่าแกทั้งทีแล้วฉันจะขัดใจมันได้ยังไงล่ะแบคฮยอน?
แต่ถ้าฆ่าแกเลยก็จะดูใจร้ายไปสักหน่อย เอาเป็นว่าแกมีอะไรที่อยากสั่งเสียรึเปล่าล่ะ
ฉันจะเสียเวลาฟังให้”
แบคฮยอนขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ แม้จะจินตนาการไม่ออกว่าเอสคนนี้หน้าตาเป็นยังไงแต่ก็เดาได้ว่าหมอนี่ต้องกำลังหัวเราะเขาอยู่เป็นแน่
เขาไม่ได้กลัวหากจะต้องตายภายในวันนี้
แต่เขาผิดหวังที่ตัวเองกลับติดกับของคนชั่วทั้งสองง่ายดายเกินไป ที่นี่เป็นที่รกร้างและไม่มีใครรู้ว่าเขาเผชิญกับอะไรอยู่
มันคงเป็นปาฏิหาริย์ถ้ามีใครสักคนมาช่วยให้พ้นจากความตายนี้ได้ มีดในมือของจางอี้ชิงถูกควงเล่นอีกครั้งคล้ายสัญญาณนับถอยหลังการมีชีวิตอยู่ของเขา
แบคฮยอนสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเลือกที่จะเมินเอสก่อนจะเบนสายตาไปยังคนตัวขาวที่ยืนอยู่ข้างๆแทน
“ก่อนที่จะตาย...ผมอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงทำแบบนี้อี้ชิง?” ท่าทีของแบคฮยอนทำให้เอสพอใจ
เขาชอบที่ได้เห็นว่าเจ้าหน้าที่จอมรั้นกำลังพ่ายแพ้
ถึงแม้ว่าในดวงตาเรียวคู่นั้นยังเต็มไปด้วยความทะนงตนอย่างน่าหมั่นไส้
แต่แค่คิดว่าหลังจากนี้แบคฮยอนจะแพ้ราบคาบก็ทำให้เอสต้องกระตุกยิ้ม
“ในที่สุดก็ถามผมจนได้สินะ” อี้ชิงยกยิ้มเช่นเดียวกับหัวหน้าของไนท์แมร์ การได้เห็นแบคฮยอนในมุมนี้
มุมที่ทิ้งความดื้อดึงและความอวดดีไว้ข้างหลังช่างเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่น่าประทับใจ
“ก็อย่างที่บอสบอกไปแล้วว่าที่ฆ่าคุณเพราะต้องการขู่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆให้เลิกยุ่งกับไนท์แมร์
คุณไม่เข้าใจรึไง?”
“ไม่ใช่”
“…”
“ผมหมายถึง...ทำไมคุณถึงหักหลังพวกเรา
ทำไมคุณถึงเป็นไนท์แมร์?”
คล้ายว่าคำถามสั้นๆข้อนั้นทำให้เจ้าหน้าที่ชาวจีนเข้าใจความรู้สึกของแบคฮยอนที่ถูกมัด
เขารู้สึกอึดอัดราวกับมีเชือกเส้นใหญ่มารัดคอของเขาเอาไว้
ริมฝีปากของคนตัวขาวปิดสนิท เวลาดำเนินไปเรื่อยๆแต่ก็ไร้วี่แววว่าคำตอบจะหลุดออกมาจากปากของจางอี้ชิง
เพราะแบบนั้น เอสผู้ใจร้อนจึงออกปากสั่งอย่างไม่สบอารมณ์
“ยื่นบื้อทำอะไรอยู่ ไหนว่าอยากฆ่ามันมากไม่ใช่รึไง?
รีบตอบให้จบๆไปสักที”
“คุณจะอยากรู้ไปทำไมในเมื่อรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี” เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าของทีมบีเพิกเฉยต่อคำสั่งของเอส
เขามองตาของแบคฮยอนด้วยสายตาที่อ่อนลง
มีดปลายแหลมถูกหยุดควงไปตั้งแต่ตอนที่ได้ยินคำถามนั้นเช่นเดียวกับหัวใจของเขาที่ชาหนึบคล้ายกับจะหยุดเต้น
“เพราะแบบนี้ไงผมถึงอยากรู้ ต่อให้คุณเล่าผมก็เอาไปบอกคนอื่นต่อไม่ได้และผมก็ไม่อยากตายไปโดยที่ยังสงสัยว่าทำไมคนดีๆแบบคุณถึงกลายมาเป็นหนึ่งในขยะพวกนั้น”
การเปรียบเทียบไนท์แมร์เป็นขยะทำให้เอสกำหมัดแน่นแต่เขาจะยอมปล่อยไปก่อนเพื่อรอเอาคืนคนปากดีทีหลัง
เขาสะบัดหน้าไปมองอี้ชิงเป็นการเร่งให้พูด
ปกติแล้วเอสไม่ต้องการให้สมาชิกไนท์แมร์เปิดเผยเรื่องราวของตัวเองกับพวกหน้าโง่อย่างแบคฮยอน
แต่ในกรณีนี้กลับต่างออกไป
คนตัวสูงคิดว่าการสารภาพต่อคนที่กำลังจะตายไม่ใช่เรื่องเสียหายและเป็นเรื่องดีเสียอีกที่แบคฮยอนจะได้รู้ว่าทำไมเพื่อนร่วมงานถึงได้กลายมาเป็นคนทรยศ
นัยน์ตาของอี้ชิงเคลื่อนที่อย่างไร้จุดหมายเช่นเดียวกับความคิด
เขาไม่จับจ้องไปที่ใบหน้าของแบคฮยอนหรือเอสอย่างที่ทำมาก่อนหน้านี้แต่กลับกลอกตาไปมาอย่างคิดไม่ตก
จากหัวหน้าของทีมบีที่เคยติดสินใจลงมือทำภารกิจอย่างรวดเร็วกลายเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่มีแต่ความลังเล
อี้ชิงไม่รู้ว่าการเล่าเรื่องราวของตัวเองจะส่งผลร้ายในอนาคตหรือไม่ ทว่าในช่วงเวลาของความสับสนนั้น
ความจริงที่ว่าแบคฮยอนกำลังจะถูกฆ่าก็แล่นเข้ามาในสมองดังเป็นการยุติความลังเลให้สิ้นสุดลงและนั่นทำให้อี้ชิงยอมเอ่ยปากถึงเรื่องที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน
“สิ่งใดมีก็เหมือนไม่มี...คุณจำได้ใช่ไหมว่าคำตอบของคุณมันคืออะไร?” น้ำเสียงนิ่มนวลเอ่ยช้าๆราวกับต้องการให้ทุกคำพูดฝังลงไปในโสตการรับรู้ครั้งสุดท้ายของคนตัวเล็ก
“คุณบอกผมว่าคำตอบนั้นคือความดีซึ่งมันก็จริง”
เอสแค่นหัวเราะเบาๆมองภาพตรงหน้า
จางอี้ชิงกำลังเริ่มต้นเล่านิทานให้เหยื่อฟังและช่างน่าหงุดหงิดกับการยืดเยื้อ
แต่ถึงกระนั้นเขากลับทำเพียงแค่กอดอกเพียงรอดูตอนจบของเรื่องเล่านี้
“ราวกับว่าความดีเป็นอะไรบางอย่างที่อ่อนแรงยิ่งกว่าสายลม
คุณลองคิดดูสิแบคฮยอน ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เห็นลมคุณก็ยังรู้สึกถึงมันได้
แล้วความดีล่ะ? ต่อให้คุณทำดีมากแค่ไหนแต่ถ้าไม่มีใครเห็น คนอื่นก็จะเชื่อว่าคุณไม่เคยทำความดีมาก่อนเลย”
แบคฮยอนฟังอย่างตั้งใจ แม้ว่าเชือกที่มัดเขาไว้จะทำให้แขนเป็นรอยถลอกหรือต่อให้เขาเจ็บแผลที่หัวเข่ามากแค่ไหน
ก็ดูคล้ายกับว่าความเจ็บปวดในดวงตาของจางอี้ชิงจะทรมานกว่าแผลกายของเขาหลายเท่านัก
“และถ้าผมถามคุณว่าสิ่งใดไม่มีก็เหมือนมี
คำตอบก็คงจะเป็นความชั่ว
ต่อให้คุณไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายแต่ถ้ามีคนปล่อยข่าวลือหรือกล่าวหาว่าคุณทำเรื่องผิดบาป
คนที่เหลือก็พร้อมจะเชื่อว่าคุณเป็นแค่ไอ้เลวคนหนึ่ง”
ไม่มีใครเอ่ยขัดจางอี้ชิงไม่ว่าจะเจ้าหน้าที่ตัวเล็กหรือวายร้ายอย่างเอส
แบคฮยอนอยากรู้ว่าสิ่งที่อี้ชิงพูดนั้นเกี่ยวข้องกับการเป็นไนท์แมร์อย่างไร ในขณะที่เอสกำลังนับเวลาถอยหลังและเฝ้ารอบางอย่าง
“พ่อของผมตายตอนผมอายุสิบห้าและนั่นทำให้ผมต้องมาอยู่ที่เกาหลี
การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างเมืองเป็นเรื่องยากพอดูสำหรับผมกับแม่ แล้วก็เหมือนว่าสวรรค์คงจะเกลียดผมนักเพราะไม่นานหมอก็ตรวจพบว่าแม่เป็นมะเร็ง
จากที่เคยอยู่ด้วยกันแม่ก็ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยขึ้นจนสุดท้ายก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านอีก
หลังเลิกเรียนผมจะไปเยี่ยมแม่ เช็ดตัวให้แม่แล้วก็นอนเฝ้าแม่บนโซฟาแคบๆ
คุณนึกภาพไม่ออกหรอกว่าสภาพของผมตอนนั้นเป็นยังไง
ผมสะดุ้งตื่นมากลางดึกทุกคืนเพราะกลัวว่าแม่จะทิ้งผมไป แต่คนเราก็หนีโชคชะตาไม่พ้นหรอกครับเพราะสุดท้ายแม่ก็จากไปอยู่ดี”
ทุกคนต่างเคยลิ้มลองรสของอดีตมาแล้วทั้งสิ้น...แบคฮยอนเพิ่งได้เข้าใจในวินาทีนี้เอง
ทว่ารสชาติของอดีตซับซ้อนกว่าอาหารหรือเครื่องดื่มทั่วไปหลายเท่านัก
คนเรารับรู้รสของอดีตได้ด้วยความทรงจำไม่ใช่ปลายลิ้น
อดีตของบางคนอาจจะมีรสหวานชื่นชวนให้มีความสุขยามนึกถึง แต่อดีตของจางอี้ชิงมีรสที่แตกต่างออกไป
รสขมปร่านั้นกัดกร่อนหัวใจให้เว้าแหว่งได้ดีเสียยิ่งกว่าน้ำกรด ออกฤทธิ์ให้เจ็บปวดได้มากกว่าคมมีดที่กรีดลงบนอก
มันเป็นรสขมที่แย่ยิ่งกว่าทุกความขมบนโลกเพราะแม้กระทั่งบอระเพ็ดที่กล่าวขานว่ามีรสชาติขมจัดซึ่งติดอยู่ที่ปลายลิ้นได้นานนับหลายนาทีก็ไม่อาจเทียบเท่ากับอดีตอันขมขื่นเพราะมันจะติดอยู่ในความทรงจำไปชั่วชีวิต
และจางอี้ชิงเป็นบุคคลหนึ่งที่รับรู้รสชาติของอดีตมาโดยตลอด
“ผมคิดว่าชีวิตผมคงไม่เหลืออะไรแล้วแต่ก็ยังโชคดีเมื่อป้าบ้านข้างๆรับเลี้ยงผมเอาไว้
ที่บ้านนั้นมีลูกสาวอายุไล่เลี่ยกับผมอีกหนึ่งคน เธอเป็นเด็กดีและกลายมาเป็นน้องสาวที่ผมรักมากที่สุด
เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาตลอดจนกระทั่งผมได้บรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ของสตาสแต่เพราะหน้าที่ของเราที่ต้องปกปิดว่าตัวเองเป็นใคร
คุณป้าและน้องจึงคิดว่าผมเป็นแค่พนักงานบริษัท
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังดีกับผมไม่เปลี่ยน ทั้งๆที่ผมไม่ใช่คนในครอบครัวของเขาเลยด้วยซ้ำแต่ทั้งสองคนกลับรักผมมากเหลือเกิน” เป็นครั้งแรกของวันที่ลักยิ้มสวยของอี้ชิงปรากฏขึ้น ราวกับว่าครอบครัวที่เขาพูดถึงจะเป็นอดีตอันหวานหอมแต่เพียงแค่กะพริบตารอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าหน้าที่ชาวจีนก็จางหายไป
“ผมย้ายมาอยู่ที่โซลและติดต่อกับพวกเขานานๆครั้งและครั้งล่าสุดคือผมได้รู้ว่าน้องสาวถูกจับกุมคดีฆาตกรรมในวันคริสมาสต์เมื่อสามปีที่แล้ว”
ดวงตาเล็กๆของแบคฮยอนเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อถึงประโยคนี้
ความรู้สึกของจางอี้ชิงในวันนั้นคงไม่ต่างอะไรกับเขาเมื่อวานนี้ ตอนที่เห็นหวงจื่อเทาถูกจับใส่กุญแจมือเป็นภาพที่ทำให้เขาหาเสียงของตัวเองไม่เจอ
มันรวดร้าวและคล้ายว่าความสุขได้แหลกสลายลงในพริบตา ตอนนั้นเองที่เอสผู้ซึ่งยืนนิ่งมานานเหลือบมองไปยังบานประตูเข้าออกทั้งสองด้านของห้องแคบๆนี้
หน้ากากสีขาวที่ใส่มามีประโยชน์กว่าที่คาด
มันทำให้อีกสองชีวิตในห้องไม่รู้ว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหนหรือว่าคิดอะไรอยู่
“ตอนไปเยี่ยมที่เรือนจำเธอสารภาพกับผมว่าไม่ได้ทำ
เพื่อนที่ไม่ชอบหน้าเธอใส่ร้ายเธอและเตรียมแผนการทุกอย่าง เธอพยายามบอกตำรวจแล้วแต่ก็อย่างว่า...ใครจะไปเชื่อกันล่ะ
แต่ผมเชื่อเธอ คุณป้าก็เชื่อเธอ เรารู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นเด็กดีแค่ไหน
แต่เรื่องตลกคืออะไรรู้ไหมแบคฮยอน? คนอื่นที่ไม่ได้รู้จักเด็กคนนั้นดีด้วยซ้ำกลับรุมประณามเธอ
ยัดเยียดให้เธอเป็นเด็กเลวร้าย บ้านของป้าที่ผมเคยอยู่มีแต่คำหยาบที่ถูกพ่นไว้ตรงผนังบ้าน...‘ไปตายซะ’ ‘ไอ้ครอบครัวเฮงซวย’ ‘นังเด็กนรก’ ‘อีพวกขยะ’...มีอีกหลายคำทีเดียวล่ะที่คุณคิดไม่ถึงว่ามันหยาบคายแค่ไหน
เหมือนกับที่ผมพูดไว้ไม่มีผิดเลยนะครับ ความดีที่มีอยู่ก็เหมือนไม่มีถ้าคุณไม่ทำให้ใครเห็น
คามชั่วที่ไม่เคยมีก็เหมือนมีเพราะคำพูดของคนอื่น คุณป้าต้องทนอยู่ท่ามกลางสายตาเหยียดหยามจากคนในหมู่บ้าน
ต้องทนกับคำด่าทอทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิดและเหมือนว่าน้องสาวของผมจะรู้ว่าเธอทำให้แม่ต้องทุกข์ใจ...เธอจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายในห้องขัง”
ดวงตาของจางอี้ชิงแดงก่ำกระนั้นก็ไม่มีแม้แต่น้ำตาสักหยด
ถึงอดีตจะขื่นขมแต่เวลาได้พัดผ่านความขมอันแรงกล้าให้เหลือเพียงแค่ร่องรอยจางๆเท่านั้น
อี้ชิงจะจำได้ว่ามันเคยเจ็บปวดแค่ไหนแต่ความชินชาจะทำให้เขาทำใจกับเรื่องอันโหดร้ายได้ตามกฎของธรรมชาติ
“สามปีที่แล้วผมยังไม่ได้เป็นหัวหน้าของทีมบีจึงยังไม่มีอำนาจมากนัก
แต่ผมก็พยายามหาหลักฐานทุกอย่างเพื่อลบล้างความผิดให้กับน้องสาวของผม
ในตอนนั้นมีแค่คนเดียวที่คิดว่าจะช่วยผมได้นั่นก็คือคุณคิม ผมเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง
นำหลักฐานทั้งหมดที่หามาได้ให้เขาดู คุณลองเดาดูสิแบคฮยอนว่าคุณคิมที่น่าเคารพนักหนาตอบผมมาว่ายังไง?” แบคฮยอนเงียบไม่แม้แต่จะขยับริมฝีปาก
คนตัวขาวที่เห็นดังนั้นจึงเฉลยด้วยตัวเอง “คุณคิมแค่ตอบสั้นๆว่าไร้สาระ”
“…”
“แค่นั้นล่ะครับแต่ทำให้ความศรัทธาที่ผมมีต่อความดีหายไปเกือบสิ้น
คำตอบสั้นๆนั้นทำให้ผมรู้ว่าพวกเราก็แค่ทำงานเพื่อให้มันจบๆไป ผดุงความยุติธรรมอย่างนั้นเหรอ?
ช่วยประชาชนอย่างนั้นเหรอ? เหอะ ก็แค่หาเงินเลี้ยงปากท้องเท่านั้น”
“…”
“แรกเริ่มคุณอาจจะเป็นเจ้าหน้าที่เพราะคิดว่าตัวเองรักชาติ
แต่เมื่อนานวันเข้าอุดมการณ์ที่เคยมีมาตั้งแต่ต้นก็จะเหลือเพียงแค่การทำงานแลกเงิน
ผมสังเกตมาหลายคนแล้วแบคฮยอน เจ้าหน้าที่รัฐบางคนทำงานลวกๆ
สะเพร่ายิ่งกว่าเด็กประถมทำข้อสอบและแม้แต่คุณคิมเองก็เป็นแบบนั้น
นี่ไงล่ะคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงตัดสินใจมาเป็นไนท์แมร์ เพราะผมไม่เหลือศรัทธาในความดีอีกต่อไปแล้ว”
“…”
“แค่จะล้างมลทินให้น้องสาวยังทำไม่ได้ผมก็ไม่รู้แล้วว่าจะเป็นคนดีต่อไปเพื่ออะไร
ผมกลายมาเป็นอาชญากรเพราะอยากให้เจ้าหน้าที่ห่วยๆทั้งหลายมันร้อนรนกันดูบ้าง แต่กลายเป็นว่าความดีที่ผมคิดว่ามันหายไปแล้วกลับยังอยู่ในสันดานของผม
ทุกครั้งที่ผมเห็นว่าไนท์แมร์ทำเรื่องวุ่นวายผมยอมรับว่าสะใจสุดขีด...แต่ความสะใจมันก็เหมือนกับหิมะที่หยดลงมาบนฝ่ามือนั่นแหละครับ
ไม่นานมันก็ละลายไป ผมรู้สึกไม่สบายใจที่เป็นต้นเหตุของเรื่องเลวร้ายเหล่านั้น มันเป็นช่วงเวลาแย่ๆที่ผมสับสนว่าตัวเองจะดีหรือเลวกันแน่
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็มาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับได้แล้ว” จากความเจ็บช้ำในแววตากลายเป็นความแข็งกร้าวเมื่อพูดถึงตรงนี้
อี้ชิงกลับมาควงมีดในมือราวกับไม่รู้สึกอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ตนเล่าออกไป แต่ในใจของเขารู้ดีว่าหากอดีตคือสิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวด
ปัจจุบันเองก็คงไม่ต่างกันนัก “สุดท้ายแล้วก็ไม่มีที่สำหรับคนทรยศหรอกครับ และเป็นเพราะไม่มีทางเลือก ผมจึงต้องรับบทบาททั้งสตาสและไนท์แมร์ให้แนบเนียนที่สุด”
เสียงปรบมือดังขึ้นทันทีหลังจากที่อี้ชิงพูดจบ
คนตัวสูงที่ยืนฟังมานานปรบมือให้ช้าๆราวกับชื่นชม
เสียงจากคลื่นปลอมแปลงนั้นดังอู้อี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะชัดเจนในเวลาต่อมา
“นิทานของแกนี่สนุกดีนะอี้ชิง
น้ำตาฉันเกือบไหลเลย
ถ้าไอ้แบคฮยอนไม่ถูกมัดไว้อยู่หมอนั่นอาจจะปรบมือให้นายเหมือนกัน”
แบคฮยอนกะพริบตาถี่เพื่อเรียกสติให้กลับคืน
เรื่องที่ได้ฟังจากอี้ชิงหาใช่นิทานอย่างที่วายร้ายเย้ยหยันเอาไว้
เขายอมรับว่าเบื้องหลังที่ทำให้คนดีๆอย่างหัวหน้าของทีมบีกลายมาเป็นหนึ่งในอาชญากรนั้นช่างน่าหดหู่
แบคฮยอนคิดว่าอี้ชิงช่างเหมือนกับหวงจื่อเทาผู้ที่มีปมฝังใจอันแสนเจ็บปวด แต่มันถูกต้องแล้วหรือที่พวกเขาเลือกเป็นคนเลวร้ายเพื่อชะล้างความขมขื่นในใจเช่นนี้?
“ถึงเสียศรัทธาในความดีไป คุณก็น่าจะเหลือศรัทธาในตัวเองบ้างนะคุณอี้ชิง”
เสียงแหบแห้งของแบคฮยอนเบาหวิวคล้ายเสียงกระซิบ
แผลถลอกตามร่างกายทำให้เขารู้สึกเจ็บแสบยามที่ลมพัดเอาฝุ่นมาเกาะตามปากแผลและเขารู้ตัวว่าเริ่มอ่อนแรงลงเข้าไปทุกที
“อย่างน้อยๆคุณก็ไม่น่าดูถูกตัวเองด้วยการกลายมาเป็นคนเลวแบบนี้”
“แกนี่มันน่าประทับใจจริงๆ ฉันไม่เคยเจอใครที่ปากดีได้เท่าแกมาก่อนเลย” วายร้ายที่ยืนกอดอกพิงผนังอยู่นั้นพูดแทรกบทสนทนาหลังจากได้ยินคำพูดของแบคฮยอน
เอสเพิ่งรู้เมื่อครู่นี้เองว่าการเป็นคนเลวคือการดูถูกตัวเองด้วย “อยากจะรู้ว่าถ้าฉันตัดลิ้นแก แกยังจะปากเก่งได้อยู่อีกไหม”
“ก็เอาสิ อยากจะทำอะไรก็เชิญ”
สายตาท้าทายของคนตัวเล็กคล้ายทำให้เลือดของเอสเดือดปุดๆ
เขาไม่ชอบให้ใครทำท่าทางว่าอยู่เหนือกว่าและคิดว่าคงถึงเวลาที่จะยุติความอวดเก่งของเจ้าหน้าที่จอมรั้นลงเสียที
ร่างกายสูงใหญ่หันไปทางอี้ชิงที่ยืนนิ่ง แม้คำพูดของแบคฮยอนที่ว่าการเป็นคนเลวคือการดูถูกตัวเองจะทำให้เอสไม่สบอารมณ์
แต่สำหรับคนทรยศแล้ว คำพูดนั้นคล้ายมือของใครสักคนที่ฟาดลงมาบนแก้มเต็มแรง
มันทั้งแสบและคันจนทำให้เขาชาไปทั้งหน้า
“รอเวลานี้มานานแล้วใช่ไหมอี้ชิง?”
“…”
“ได้เวลาของแกแล้วล่ะ”
การฆ่าใครสักคนสำหรับเอสคล้ายเป็นเรื่องธรรมดาที่พูดมาแล้วจนชินปาก
ร่างสูงจึงสั่งจางอี้ชิงได้ด้วยความนิ่งเฉยราวกับว่าแบคฮยอนไม่ได้เป็นหนึ่งชีวิตที่กำลังจะถูกทำลายแต่เป็นแค่สิ่งของไร้ค่าที่จะถูกนำไปทิ้ง
ต่อให้แบคฮยอนจะจ้องมองด้วยความเกลียดชังและเจ็บใจมากแค่ไหนแต่คนร้ายกาจก็ไม่ได้สะทกสะท้าน
หากไม่มีหน้ากากที่บดบังใบหน้าเอาไว้
คนตัวเล็กคงได้เห็นรอยยิ้มชอบใจของวายร้ายอย่างแน่นอน
คนที่ได้ชื่อว่าเป็นหนอนบ่อนไส้ก้าวเข้ามาหาแบคฮยอนอย่างเชื่องช้า
จากเจ้าหน้าที่ชาวจีนแปรเปลี่ยนเป็นเพชฌฆาตผู้ที่พร้อมหยิบยื่นความตายให้แก่คนตัวเล็ก
มีดปลายแหลมในมือขาวนั้นไม่ได้ใหญ่นักแต่คมของมันมีพลังมากพอที่จะพรากลมหายใจของแบคฮยอนไปได้
ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ชีวิตที่ผ่านมาถึงยี่สิบสองปีของเขากำลังจะจบสิ้นภายในพริบตาเดียว
เปลือกตาสีน้ำนมหลับตาลงอย่างเตรียมใจ แม้การมองเห็นจากดวงตาจะกลายเป็นมืดสนิท
หัวใจของเขากลับเห็นป้านาบี พ่อและแม่ คิมจงอิน
หวงจื่อเทาและคนรักอย่างปาร์คชานยอล
น่าเสียดายที่เขาไม่ได้มีโอกาสล่ำลาทุกคนแม้แต่คำเดียว
เพชฌฆาตตัวขาวเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแบคฮยอน
เขาทอดมองร่างเล็กด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย ที่ผ่านมานั้นเขายอมรับว่าต้องการกำจัดแบคฮยอนมาโดยตลอด
แต่ถ้าจะพูดกันตามตรงแล้ว
เขาไม่ได้มีความแค้นเคืองใดๆต่อแบคฮยอนเลยและเป็นเพราะรู้ดีว่าเขานั้นเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน
จางอี้ชิจึงตัดสินใจยืดเวลาตายให้กับเจ้าหน้าที่จอมรั้นด้วยการเอ่ยปากบอกบางอย่าง
“ไหนๆผมก็พูดไปเยอะแล้วพูดอีกสักหน่อยคงไม่เป็นไร” ความนิ่มนวลและความสุภาพทำให้แบคฮยอนค่อยๆลืมตามองคนที่ยืนตรงหน้า
อี้ชิงยังคงเป็นผู้ชายที่เต็มไปด้วยภาพลักษณ์อันอ่อนโยนอย่างที่เขาเคยเห็นมาเสมอ
ทว่าในเวลานี้ ความอ่อนโยนนั้นกลับแปดเปื้อนไปด้วยความสกปรก คล้ายแผ่นกระดาษสีขาวที่เลอะไปด้วยสีกระดำกระด่างซึ่งต่อให้พยายามลบเท่าไหร่
กระดาษแผ่นนั้นก็ไม่สามารถกลับมาขาวสะอาดได้อีก “ผมเองที่เป็นคนตัดสัญญาณคุณตอนที่พวกเราไปกู้ระเบิดที่สนามเบสบอล
อันที่จริงแล้ว สัญญาณของคุณถูกตัดตั้งแต่คุณยังไม่ออกจากหน่วยเลยด้วยซ้ำ อีจินกิเป็นคนที่เข้ามาเห็นว่าผมกำลังทำอะไรกับระบบสื่อสารของหน่วย
แต่หมอนั่นหัวอ่อนและมีอำนาจน้อยกว่าผม มันจึงง่ายที่ผมจะข่มขู่เขาไว้ไม่ให้บอกใคร”
คนทรยศชำเลืองมองเอสครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าคนตัวสูงยังคงยืนนิ่งจึงเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้แบคฮยอน
ริมฝีปากสีสดนั้นแทบจะชิดกับใบหูของร่างเล็ก
จางอี้ชิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลงแต่ชัดเจนและฝังลึกเข้าไปในโสตประสาทของคนฟัง
“ที่จริงแล้วมีอีกคนที่รู้ว่าผมเป็นไนท์แมร์
เขาไม่ใช่อีจินกิคนที่ผมจะใช้อำนาจควบคุมได้ ผมตกเบี้ยล่างทันทีเมื่อเขาเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่ว่าจะไม่เปิดโปงผมก็ต่อเมื่อคุณตาย...แบคฮยอน
เขาคนนั้นบอกให้ผมฆ่าคุณแลกกับความลับนี้ การตายของคุณจะทำให้ผมหลุดพ้นจากหมอนั่น...ทีนี้คุณคงเข้าใจแล้วสินะ”
ไม่มีคำไหนที่อธิบายความรู้สึกของแบคฮยอนได้ดีไปกว่าคำว่าอึ้งอีกแล้ว
ราวกับว่าคำพูดของอี้ชิงเมื่อครู่นี้เป็นคำสาปที่ทำให้เขากลายเป็นหิน ถึงจะไม่อยากเชื่อแต่ความหนักแน่นที่อี้ชิงส่งมาให้ก็ทำให้ยากที่จะปฏิเสธว่าเรื่องที่ได้ยินนั้นไม่ใช่ความจริง
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความสับสนที่อัดแน่นอยู่ในใจ ใครกันแน่ที่ต้องการกำจัดเขาขนาดนี้?
ซ้ำยังเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับไนท์แมร์แต่กลับฉลาดแกมโกงด้วยการยืมมือของกลุ่มอาชญากรให้ฆ่าเขาแทนเสียอย่างนั้น
แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่แบคฮยอนไม่เข้าใจมากที่สุดคือเขาทำผิดอะไรหรือไว้หรือ
ทำไมจึงมีคนอยากให้เขาตายเช่นนี้? แบคฮยอนหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้และเอาแต่นิ่งเงียบอย่างหมดคราบคนอวดดี
จางอี้ชืงที่เห็นอาการของร่างเล็กจึงเอ่ยต่อเพื่อไม่ให้เสียเวลา
“เอาล่ะคุณแบคฮยอน คุณรู้เยอะเกินไปแล้วและถึงเวลาที่ผมจะได้ใช้งานมีดเล่มนี้สักที”
ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ชาวจีนกำมีดในมือแน่นและจับจ้องไปที่ลำคอของแบคฮยอน
คนตัวสูงที่ยืนจับสังเกตและฟังทุกเรื่องราวมาโดยตลอดอย่างเอสก็เริ่มเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวของเขาเงียบเชียบคล้ายสัตว์ป่าที่รอเวลาตะปบเหยื่อ
มือใหญ่ซึ่งใส่ถุงมือหนังสีดำเอาไว้เคลื่อนที่ช้าๆไปที่กระบอกปืน
เขาควักปืนออกจากขอบกางเกงก่อนจะเล็งเป้า
ไม่มีใครรับรู้ถึงการกระทำเหล่านั้นและนั่นทำให้ริมฝีปากภายใต้หน้ากากกระตุกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
วินาทีที่อี้ชิงยกมือขึ้นเพื่อจรดปลายมีดลงกับเส้นเลือดใหญ่ที่คอของแบคฮยอนนั้นเองคือเวลาที่เสียงกึกก้องจะดังไปทั่วห้องแคบๆอีกครั้ง
ปัง!
น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟเช่นใด มีดหนึ่งเล่มก็ย่อมแพ้ปืนหนึ่งกระบอกเช่นนั้น...
กระสุนหนึ่งนัดที่ทะลุผ่านมือขาวของคนทรยศทำให้มีดที่กำลังจะปลิดชีพแบคฮยอนกระเด็นไปไกล
อี้ชิงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เขาใช้มืออีกข้างกุมมือที่ถูกยิงเอาไว้
เลือดไหลทะลักออกมาจากปากแผลคล้ายเขื่อนที่ถูกทำลายซึ่งนั่นทำให้เจ้าหน้าที่ชาวจีนสะท้านไปด้วยความทรมาน
เขายืนตั้งสติอยู่อึดใจเดียวเท่านั้นก่อนจะหันไปมองยังชายตัวสูงด้วยสายตาโกรธแค้น
“นี่มันอะไรกันน่ะบอส!”
อี้ชิงตวาดลั่นอย่างเกรี้ยวกราด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
คนที่ควรจะทรมานต้องเป็นแบคฮยอนไม่ใช่หรือแล้วทำไมเอสจึงได้ยิงเขาแบบนี้? ทั้งๆที่เอสสัญญาว่าจะให้เขาฆ่าแบคฮยอนด้วยตัวเองแต่เมื่อถึงเวลากลับเป็นเขาที่ถูกทำร้ายอย่างนั้นหรือ?
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่อี้ชิงก็ยิ่งแค้นเคืองมากขึ้นเท่านั้น ความเดือดดาลทำให้คนตัวขาววิ่งเข้าไปหาคนร้ายกาจที่หักหลังพวกเดียวกันแต่ยังไม่ทันได้ประชิดตัวขายาวๆข้างหนึ่งก็ถีบอัดเข้ามาที่หน้าอกจนเขาเซถอยหลัง
“ไอ้เหี้ยเอส!”
ความอ่อนโยนของหัวหน้าของทีมบีได้หายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน
เป็นครั้งแรกที่แบคฮยอนได้ยินจางอี้ชิงพูดคำหยาบและเป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขาไม่ได้รู้สึกกังวลต่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
คนตัวเล็กทำเพียงแค่มองการปะทะกันของผู้ชายสองคนที่เหมือนน้ำกับไฟ ในขณะที่อี้ชิงถูกเผาไหม้ไปด้วยความโกรธ
แต่ร่างสูงกลับตอบโต้กลับด้วยท่าทีสบายๆเพียงเท่านั้น
หนอนบ่อนไส้ไม่ละความพยายามที่จะพุ่งเข้าใส่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าของไนท์แมร์
แต่เป็นเพราะเสียเลือดและแรงโทสะที่ทำเขาให้ควบคุมร่างกายได้ไม่ดีนัก
ด้วยเหตุผลนั้น วายร้ายจึงเตะตัดขาอี้ชิงได้อย่างง่ายดาย ร่างของคนทรยศลอยอยู่กลางอากาศไม่ถึงหนึ่งวินาทีก่อนจะร่วงลงบนพื้นแข็งๆ
แรงกระแทกทำให้อี้ชิงเจ็บแผลเป็นสองเท่าพร้อมกับความจุก
คนตัวสูงก้าวเท้าเข้ามาใกล้พร้อมเอียงคอมองคนที่นอนสิ้นฤทธิ์
หน้ากากสีขาวยิ่งทำให้เอสดูกวนประสาทแต่ก็ไม่เท่ากับการยืนนิ่งๆราวกับจะประกาศชัยชนะ
เลือดจากแผลที่ถูกยิงไหลเปรอะไปบนพื้นผสมกับฝุ่นสีคล้ำจนเป็นภาพที่ไม่น่าดู
ทว่าสิ่งที่ไม่น่าดูยิ่งกว่าภาพเหล่านั้นก็คือตัวของอี้ชิงเอง
เขาไม่เคยคิดว่าจะพลาดท่าให้คนเจ้าเล่ห์เช่นนี้และนั่นทำให้เขาเจ็บใจมากกว่าเจ็บกายเสียอีก
“ไอ้เอส!
มึงหักหลังกู!”
อี้ชิงพูดลอดไรฟันอย่างโกรธเกรี้ยว แม้จะคิดว่านี่อาจเป็นประโยคสุดท้ายในชีวิตแต่เขาก็ยังพยายามแสดงออกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเจ็บใจแค่ไหน
แต่สิ่งที่เอสทำกลับไม่ใช่การเหนี่ยวไกปืนเพื่อจบชีวิตของเขา
ร่างสูงเหน็บปืนไว้ที่ขอบกางเกงตามเดิมก่อนจะถอดที่ครอบหูและเครื่องปลอมแปลงเสียงออก
หัวหน้าของทีมบีชะงักไปเพราะคาดไม่ถึงกับสิ่งที่เอสกำลังทำอยู่
วินาทีต่อมานั้นเองที่ร่างทั้งร่างของอี้ชิงค้างนิ่งราวกับถูกแช่แข็งเมื่อมือใหญ่ปลดหน้ากากอันเป็นสัญลักษณ์ของไนท์แมร์ออกอย่างช้าๆและเสียงทุ้มต่ำที่ออกมาจากปากของคนตรงหน้าก็คล้ายว่าจะทำให้อี้ชิงแทบลืมวิธีหายใจ
“โทษที...แต่ผมไม่ใช่เอสของคุณ”
“ค...คุณชานยอล”
สิ้นประโยคนั้นประตูเข้าออกของห้องแคบๆก็ทลายลง
ตำรวจไม่น้อยกว่าสิบนายกรูกันเข้ามาพร้อมปืนในมือ
จางอี้ชิงถูกกระชากให้ลุกขึ้นยืนด้วยฝีมือของตำรวจที่เขาไม่ได้สนใจจะหันไปมองเลยด้วยซ้ำ
เพราะสิ่งที่ยังดึงดูดสายตาของเขาเอาไว้คือใบหน้าคมอันแสนคุ้นเคย
บุคคลที่ใครหลายคนคิดว่าหายสาบสูญใต้แม่น้ำกำลังส่งยิ้มมาให้
มันเป็นรอยยิ้มที่ย้ำเตือนว่าคนทรยศไม่ได้ตกหลุมพรางของคนเจ้าเล่ห์อย่างเอสแต่เป็นปาร์คชานยอล...เป็นชานยอลมาตั้งแต่ต้น
“คนร้ายได้รับบาดเจ็บ ส่งเขาไปทำแผลก่อนแล้วหลังจากนั้นค่อยสอบสวนเขาอีกที”
ชานยอลประสานงานกับตำรวจพลางเสยผมลวกๆเพราะอากาศที่อบอ้าว
ใบหน้าของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อเพราะใส่หน้ากาก ไหนจะชุดสีดำที่ทำให้ร้อนและอึดอัดแต่คนที่เขาเป็นห่วงกว่าตัวเองคือแบคฮยอน
ตำรวจหลายนายได้เข้าไปช่วยแก้มัดให้ร่างเล็กเรียบร้อยแล้ว
ตอนที่ชานยอลหันไปสบตากับคนรักเป็นจังหวะเดียวกับที่แบคฮยอนยิ้มน้อยๆมาให้
รอยยิ้มนั้นช่างสดใสตัดกับความอึมครึมภายในห้องจนทำให้เขาเผลอยิ้มตาม
ทว่ายังไม่ทันได้เดินไปหาคนรักอย่างที่ใจคิด
อี้ชิงที่ฝืนตัวไม่ให้ตำรวจควบคุมตัวไปนั้นกลับเอ่ยปากรั้งเอาไว้เสียก่อน
“ทำไมคุณถึงรู้ว่าเป็นผม?”
คำถามสั้นๆทำให้ชานยอลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
เขาประมวลผลภายในหัวไม่นานก็เข้าใจว่าอี้ชิงต้องการคำตอบแบบไหนและเขาก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดที่จะไม่พูดกับคนทรยศ
“ผมรู้ว่าคุณเป็นคนทรยศได้ยังไงน่ะเหรอ?
มันไม่มีอะไรยากเลยคุณอี้ชิงแต่อันดับแรกที่คุณจะควรรู้คือเราจับกุมเอสได้แล้ว”
ข้อเท็จจริงนั้นทำให้จางอี้ชิงแทบลืมความเจ็บปวดตรงปากแผล
เอสถูกจับกุมได้แล้ว...ประโยคนี้วนเวียนอยู่ในหัวของเขาราวกับตอกย้ำให้เข้าใจว่าไนท์แมร์ได้จบสิ้นลงแล้ว
“หมอนั่นไม่ได้สารภาพเป็นคำพูดแต่สารภาพเป็นตัวอักษร
คุณคงเข้าใจใช่ไหมว่าถ้าเอสยอมสารภาพแค่คนเดียว การจับกุมไนท์แมร์คนที่เหลือก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
แล้วที่ผมเป็นบอสของคุณได้แนบเนียนขนาดนี้ก็เพราะผมเคยแฝงตัวเข้าไปอยู่ในไนท์แมร์มาก่อน
ฉะนั้น การลอกเลียนท่าทางหรือคำพูดร้ายกาจของเอสน่ะไม่ยากขนาดนั้นหรอกครับ
แล้วผมก็ดีใจนะที่คุณหลงเชื่อว่าผมเป็นคนเลวร้ายจริงๆ” ชานยอลหัวเราะเบาๆให้กับคำพูดของตัวเองก่อนที่จะพูดด้วยเสียงในระดับคงที่ต่อไป
“ผมจะบอกคุณให้ว่าวันนี้ไม่มีเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องอะไรหรอก
แต่คุณคิมเป็นคนเดียวในสตาสที่รู้แผนของเรา เขาส่งแบคฮยอนมาในที่เปลี่ยวแบบนี้ก็เพื่อจะล่อคุณให้มาติดกับ
เราลองเสี่ยงดูว่าคนอย่างคุณที่อยากฆ่าแบคฮยอนมากขนาดนั้นจะเดินตามแผนไหม แล้วก็น่าแปลกใจที่คนฉลาดอย่างคุณกลับถูกความชั่วยึดพื้นที่ในจิตใจมากเกินไปหน่อย
คุณคงคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้กำจัดแบคฮยอนได้อย่างแนบเนียนที่สุด แต่คุณรู้อะไรไหม?
คุณน่ะอยู่ท่ามกลางแสงไฟมาโดยตลอด ผมอ่านเกมของคุณออกและเดาตอนจบของคุณได้ตั้งแต่แรกแล้ว”
สายตาคมเหลือบมองแบคฮยอนที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องพลางหลบตำรวจที่วิ่งวุ่นทำตามหน้าที่
ภาพของคนตัวเล็กที่เอี้ยวตัวหลบคนนู้นทีคนนี้ทีช่างน่าเอ็นดูไม่น้อย
“หรือถึงแม้ว่าคุณจะไม่ถูกจับในตอนนี้
แต่ผลเลือดที่กำลังเดินทางมาถึงหน่วยของเราก็คือเลือดของคุณ...อี้ชิง
ไม่มีสัจจะในหมู่โจรหรอกนะและเอสก็ไม่มีสัจจะต่อคุณเหมือนกัน”
“…”
“แล้วถ้าคุณกำลังคิดว่าแผนทั้งหมดนี้เป็นแผนของผมคุณก็คิดผิดแล้วล่ะ
เพราะคนที่รู้ว่าคุณคือคนทรยศก่อนใครอื่นและเป็นคนที่วางแผนนี้คือแบคฮยอน” ชานยอลมองไปที่แผลของอี้ชิงซึ่งเลือดยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล
เขาจึงพูดให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้จบการสนทนานี้แล้วไปดูอาการของคนรักเสียที “แบคฮยอนคิดว่าถึงเราจะมีหลักฐานที่มัดตัวคุณได้แต่ถ้าจับคุณไปแล้วก็อาจไม่เกิดประโยชน์
ก็อย่างที่คุณพูดว่าไนท์แมร์ไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเองให้เจ้าหน้าที่ฟัง
แบคฮยอนจึงยอมเอาตัวเองมาเป็นเหยื่อล่อเพื่อฟังคำสารภาพและทุกคำพูดของคุณนั้นก็ถูกบันทึกไว้ด้วยกล้องและเครื่องบันทึกเสียงเรียบร้อยแล้ว”
“…”
“หมดเรื่องที่ผมจะพูดแล้วล่ะ
ขอให้โชคดี”
“แบคฮยอนเป็นตัวแสบอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆสินะ”
แม้ว่าชานยอลจะตัดบทสนทนาลงที่การอวยพรแต่จางอี้ชิงก็ยังดึงดันที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด
เขายิ้มหยันเหมือนจะสมเพชตัวเองที่สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถเอาชนะคนตัวเล็กจอมดื้อรั้นได้เลย
“แต่เขาก็คิดถูกแล้วล่ะ เพราะถ้าผมถูกจับกุมไปแล้วผมก็คงจะไม่ยอมสารภาพอะไรอีกเหมือนกัน”
ร่างสูงถอนหายใจเบาๆก่อนจะส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้ตำรวจนำตัวของอี้ชิงออกไป
เขากังวลว่าแผลที่ถูกยิงนั้นจะทำให้คนตัวขาวเจ็บปวดไปมากกว่านี้
ถึงคนตรงหน้าจะเปลี่ยนสถานะจากเจ้าหน้าที่เป็นคนร้ายแต่ชานยอลก็ยังคงเป็นห่วงอี้ชิงอย่างที่เพื่อนมนุษย์จะรู้สึกต่อกัน
ทว่าก่อนที่อดีตหัวหน้าของทีมบีจะถูกควบคุมตัวไปนั้นน้ำเสียงนิ่มนวลที่แฝงไปด้วยความหนักแน่นกลับเอ่ยประโยคที่ทำให้คิ้วเข้มต้องขมวดเข้าหากัน
“คุณชานยอลเคยได้ยินเรื่องนี้ไหมครับ...ที่ว่าในสงครามโลกครั้งที่สองอเมริกาเอาชนะญี่ปุ่นได้ด้วยระเบิดปรมาณูสองลูกคือลิตเติ้ลบอยและแฟทแมน
ผมอยากจะบอกคุณว่าผมเป็นได้แค่แฟตแมนเท่านั้นล่ะครับ
เพราะลิตเติ้ลบอยที่มีพลังทำลายล้างมากกว่าไม่ใช่ผมและถ้าเรื่องที่คุณจับผมและเอสได้แล้วถูกเผยแพร่ออกไปเมื่อไหร่
ผมบอกเลยว่าแบคฮยอนจะไม่โชคดีเหมือนวันนี้อีก”
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่จางอี้ชิงได้พูดในฐานะเจ้าหน้าที่ชาวจีนของสตาส
ทันทีที่เขาก้าวออกไปจากห้องนี้เขาจะกลายเป็นผู้ต้องหาซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับสตาสโดยสิ้นเชิง
คนตัวขาวหันมามองชานยอลกับแบคฮยอนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกไปเพื่อเข้าสู่สถานะใหม่โดยละทิ้งความเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้เบื้องหลัง
และจางอี้ชิงคงต้องยอมรับว่าการรับบทบาทเป็นทั้งคนดีและคนชั่วของเขานั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว
“เป็นไงมั่งอ่ะ?”
เสียงแหบของคนตัวเล็กที่เข้ามายืนใกล้ๆเรียกความสนใจจากชานยอลได้ในทันที
มือเรียวที่แตะลงบนแขนแกร่งให้สัมผัสอุ่นอย่างที่คนตัวสูงชอบ
เขามองคนที่ทำหน้าตาสงสัยอย่างนึกขำก่อนจะแกล้งถามกลับ
“อะไร?”
แบคฮยอนขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจที่ชานยอลทำเหมือนไม่เข้าใจเขา
ถ้าจะพูดตามตรงแล้วแบคฮยอนรู้ว่าคนตัวสูงกำลังแสร้งตีหน้ามึนแต่เขาเหนื่อยเกินกว่าจะเล่นในตอนนี้
“ก็คุณอี้ชิงไง
เห็นคุยกับนายหน้าเครียดเชียว”
“ไม่มีอะไรหรอก
ฉันก็แค่เล่าให้ฟังว่าจับเขาได้ยังไงแค่นั้น”
ชานยอลตอบออกไปตามตรงเมื่อเห็นความเหนื่อยล้าในดวงตาเรียว เขาเอื้อมมือไปปัดคราบฝุ่นบนแก้มอวบๆให้คนรักโดยไม่สนใจตำรวจอีกสี่ชีวิตที่อยู่ในห้อง
ต่างจากแบคฮยอนที่เริ่มยืนตัวเกร็งเพราะไม่คุ้นชินกับการถูกสัมผัสท่ามกลางสายตาของคนอื่น
“ไหนเอาแขนมาดูซิ”
“เดี๋ยวค่อยดูก็ได้
ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
“แบคฮยอน”
เจ้าของชื่อถอนหายใจแรงๆ
ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำเสียงดุใส่ด้วย โอเค รู้น่าว่าเป็นห่วงแต่ช่วยอายคนอื่นหน่อยได้ไหม!
ถึงจะบ่นในใจแบบนั้นแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นสบเข้ากับดวงตากลมโตคู่นั้นแล้ว
คนตัวเล็กก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยื่นแขนของตัวเองให้ชานยอลอย่างช้าๆ
รอยถลอกตามแขนขาวอันเนื่องมาจากถูกเชือกมัดนั้นทำให้ร่างสูงจิ๊ปากอย่างขัดใจและนั่นก็ทำให้แบคฮยอนทำหน้าตูมมากกว่าเดิม
“บอกเลยว่าฉันจะไม่มีวันยอมให้นายทำเรื่องแบบนี้อีก”
“ถ้าจะบ่นก็พอเลย บ่นมาทั้งคืนแล้วยังไม่เบื่ออีกเหรอ?”
“ก็มันอันตราย แล้วไม่กลัวเลยรึไง?”
ชานยอลถามคนรักที่เอาแต่เถียงฉอดๆ ยอมรับว่าหลังจากที่เมื่อคืนนี้เรามีอะไรกันจู่ๆแบคฮยอนก็เสนอแผนจับกุมจางอี้ชิงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เขาเถียงหัวชนฝา ค้านจนเกือบทะเลาะกันแต่สุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะแบคฮยอนไปได้
เพราะในขณะที่เขาห้ามไม่ให้ร่างเล็กทำแผนนี้ด้วยความเป็นห่วง แบคฮยอนกลับหยิบยกเหตุผลขึ้นสู้
สุดท้ายแล้ว อารมณ์ก็ไม่อาจต่อกรกับเหตุผล โดยเฉพาะยิ่งเป็นเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ชานยอลก็ไม่สามารถคัดค้านอะไรได้อีก
“ฉันเป็นผู้ชายนะแถมเป็นสตาสด้วย เรื่องแค่นี้มันไม่น่ากลัวหรอก” จอมรั้นตอบอย่างฉะฉานแม้ว่าที่แท้จริงแล้วจะแอบใจกระตุกไปบ้างยามเห็นคมมีดของจางอี้ชิงที่กวัดแกว่งอย่างน่าหวาดเสียวแทบตลอดเวลา
แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขาไม่นึกกลัวอันตรายในครั้งนี้เป็นเพราะผู้ชายตัวสูงภายใต้หน้ากาก
ผู้ชายที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยได้เสมอไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบไหนก็ตามซึ่งก็คือคนๆเดียวกับที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“อีกอย่าง...ฉันรู้ว่านายปกป้องฉันได้”
ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่พูดความรู้สึกในใจต่อกันแต่แบคฮยอนก็ยังคงเขินอายทุกครั้ง
และถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ชานยอลได้ยินคำพูดน่ารักของคนรักแต่เขาก็ใจสั่นทุกครั้งเช่นกัน
ร่างสูงกลั้นยิ้มก่อนจะพยักหน้าตอบรับตำรวจที่ขอตัวออกไปด้านนอกและทิ้งไว้เพียงแค่เจ้าหน้าที่คู่รักทั้งสอง
“ในขณะที่นายไม่กลัวอะไรเลย ฉันกลัวแทบตาย...กลัวว่านายจะเป็นอะไรไป” ชานยอลพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ เขาแสร้งทำเป็นไม่พอใจเรื่องที่คนตัวเล็กเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงถึงขนาดนี้เพียงเพื่อต้องการคำสารภาพจากคนทรยศ
แบคฮยอนเองก็รับรู้ถึงความคิดของคนรักเป็นอย่างดี
ปกติแล้วพวกเขาคุยกันด้วยเหตุผลเสมอ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องอันตราย
ชานยอลจะเป็นคนแรกที่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้นแต่ก็จะไม่ค่อยพอใจนัก
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ”
“ขอหอมหน่อย”
ร่างสูงเอ่ยขอด้วยสีหน้าตึงเครียด คิ้วเข้มทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันจนหัวคิ้วแทบชิดต่างจากแบคฮยอนที่ทำหน้าเหวออย่างลืมตัว
อะไรคือการขอหอมกันด้วยสีหน้าจริงจังแบบนั้น ร่างเล็กลอบกลืนน้ำลายเพราะไม่รู้ว่าชานยอลพูดเล่นหรือเอาจริง
เขากำลังคิดว่าถ้าให้ชานยอลทำตามใจตัวเองแล้วบังเอิญมีตำรวจเดินเข้ามาในห้องนี้เขาจะทำยังไง
แบคฮยอนยอมรับว่าคิดมากเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวที่มากเกินพอดีเวลาอยู่นอกบ้าน
เขากับชานยอลเป็นผู้ชายทั้งคู่และเขาไม่อยากให้คนอื่นมองเราสองคนไม่ดี
ด้วยเหตุผลนั้น จอมรั้นจึงส่ายหัวดิกพร้อมกับยกเหตุผลขึ้นมาอ้าง
“ไม่เอาน่า เนื้อตัวมีแต่ฝุ่น”
หลังสิ้นคำนั้นจมูกโด่งก็กดลงมาบนแก้มจนได้ยินเสียงดังฟอด
ที่เขาปฏิเสธไปเมื่อครู่นี้ไม่มีความหมายเลยใช่ไหม แบคฮยอนก็คิดนะว่าถ้าจะหอมกันเลยแบบนี้แล้วจะถามทำไม
“บอกว่าไม่ให้ไง!”
“อ๋อเหรอ”
คำตอบรับกับรอยยิ้มกวนประสาทจากคนเจ้าเล่ห์ยิ่งทำให้แบคฮยอนหน้ามุ่ยหนักกว่าเดิม
ร่างเล็กมองคนรักตาขวางจนในที่สุดคนขี้แกล้งก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ ตอนนั้นเองที่ชานยอลคิดว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะเดินทางกลับไปยังหน่วยเพื่อจัดการเรื่องของจางอี้ชิงต่อไป
เขาเอ่ยปากชวนให้แบคฮยอนไปขึ้นรถและคนตัวเล็กก็ทำตามอย่างว่าง่ายและเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว
รถออดี้สีดำที่เคยหลอกล่ออี้ชิงว่าเสียก็ทะยานออกสู่ถนนมุ่งหน้าไปสู่หน่วยสตาส
จากสองข้างทางที่รกร้างถูกแทนที่ด้วยตึก
อาคารและบ้านเรือน ระหว่างที่รถเคลื่อนที่นั้นความคิดของแบคฮยอนก็ขับเคลื่อนอย่างไม่หยุดพักเช่นกัน
สิ่งที่อี้ชิงพูดไว้สร้างความกังวลให้แก่เขาได้อย่างถึงแก่น
มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าในสตาสยังมีคนที่ต้องการกำจัดเขาด้วยเหตุผลปริศนา เจ้าหน้าที่ตัวเล็กคิดไม่ออกว่าเคยไปทำอะไรให้คนอื่นไม่พอใจจนถึงขั้นอยากทำลายชีวิตของเขาขนาดนี้และไม่ว่าจะพยายามคิดอย่างไรก็ดูเหมือนจะมืดแปดด้าน
ฝ่ายชานยอลที่สังเกตได้ว่าคนรักนิ่งเงียบไปก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นเพราะอะไร ร่างสูงได้ติดตั้งกล้องจิ๋วไว้บนเสื้อของแบคฮยอนเพื่อบันทึกคำสารภาพของจางอี้ชิงและเพื่อบันทึกเส้นทางที่อี้ชิงจะจับคนรักของเขาไป
เพราะแบบนั้น ทุกคำพูดที่เจ้าหน้าที่ชาวจีนกระซิบบอกกับแบคฮยอน เขาจึงได้ยินผ่านทางหูฟังขนาดเล็กที่ใส่เอาไว้
หากแบคฮยอนกำลังกังวล ชานยอลก็กังวลยิ่งกว่าเพราะนั่นหมายความว่าอันตรายยังคงรอเล่นงานคนรักของเขาอยู่ตลอดเวลา
“ตอนที่นายทำเป็นตกใจที่เห็นฉันเดินออกมานี่เนียนมากเลยนะ
นายทำอย่างกับว่าตกใจที่ได้เห็นเอสจริงๆจนหลอกอี้ชิงได้เลย ถ้านายไปเป็นนักแสดงฉันว่าน่าจะรุ่งแน่ๆ” ถึงแม้ว่าจะกังวลและเป็นห่วงคนรักมากแค่ไหน แต่เจ้าของโค้ดเนมทริซก็ไม่อยากให้คนรักคิดมาก
ชานยอลจึงเปิดบทสนทนาด้วยเรื่องเบาสมองยามเมื่อต้องจอดรถเพราะสัญญาณไฟสีแดงข้างหน้า
“ว่าแต่ฉัน นายเองก็เหมือนกันที่ตีบทแตกได้ขนาดนั้น
ซ้อมมานานแค่ไหนเหรอ”
แบคฮยอนที่เหม่อมองออกไปนอกกระจกตั้งแต่ขึ้นรถหันมาตอบโต้ด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น
คนตัวเล็กเองก็รู้ว่าชานยอลอยากทำให้เขาสบายใจจึงยอมปัดเรื่องที่อยู่ในหัวทิ้งไปแล้วหันมาสนใจคนตัวสูงแทน
“จะว่าไปนายนี่ก็ปากเก่งเหลือเกินนะเนี่ย”
“ใช่ นายบอกว่าจะตัดลิ้นฉันด้วยหนิ”
ชานยอลมองร่างเล็กด้วยสายตาเอ็นดูแต่น่าเสียดายที่แบคฮยอนไม่เห็น
เขาจึงไม่รู้ว่ามีความรักเต็มเปี่ยมอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นี้มากแค่ไหน
แต่ถึงกระนั้น
ชานยอลก็ไม่ได้บังคับให้แบคฮยอนหันหน้ามามองกันเพราะเขารู้ว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าจอมรั้นจะเป็นฝ่ายหันมาหาเขาเอง
“จริงๆแล้วตอนนั้นฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องตัดลิ้นหรอก
ปากเก่งแบบนายน่ะน่าจะโดนอย่างอื่นมากกว่า”
“อะไรล่ะ?”
เป็นอย่างที่คาดเมื่อแบคฮยอนหันมาถามด้วยสายตาใคร่รู้ ความน่ารักแบบเป็นธรรมชาติของแบคฮยอนนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับความอ่านง่ายของเจ้าตัว
รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาบนใบหน้าหมดเสียแบบนี้
ยิ่งหน้าตาตอนอยากรู้อะไรสักอย่างช่างเหมือนลูกหมาเข้าไปทุกที
“แบบนี้ไง”
ชานยอลไม่ปล่อยให้เสียเวลานานมากไปกว่านี้
เขาใช้จังหวะที่แบคฮยอนเผลอยื่นหน้าไปขโมยจุมพิตที่ริมฝีปากสีอ่อนเร็วๆเสียงจุ๊บที่ดังก้องทั่วรถทำให้คนตัวเล็กหัวใจเต้นรัวจนคล้ายว่าได้ยินเสียงตึกตักอื้ออึงอยู่ในหู
เขาหันไปมองคนเจ้าเล่ห์ที่ยักคิ้วให้อย่างกวนประสาทแล้วอดไม่ได้ที่จะโวยวาย
“ย่าห์! จะลองดีใช่ไหม!”
“ลองก็ดีนะ อยากลองเหมือนกัน”
ให้ตายเถอะ พอปลอมตัวเป็นเอสแล้วก็เลยกวนประสาทมากยิ่งกว่าเดิมแบบนี้น่ะเหรอ
ร่างเล็กกลอกตาทั้งที่ใจสั่น แต่เขาจะไม่เผยไต๋ไปมากกว่านี้แล้วว่ารู้สึกเขินอายแค่ไหนเพราะจะยิ่งทำให้คนตัวสูงได้ใจ
“ถอดกล้องออกรึยัง?”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าแบคฮยอนหันหน้าหนีมองออกไปนอกกระจก
แก้มขาวขึ้นริ้วแดงอย่างที่ดูผ่านๆก็รู้ว่าร่างเล็กนั้นรู้สึกอย่างไรอยู่ แต่เขาคิดว่าได้แกล้งคนรักมามากพอแล้วจึงไม่เอ่ยแซวให้ต้องอายมากขึ้นไปอีก
เขาถามถึงกล้องจิ๋วที่ติดไว้ที่เสื้อของแบคฮยอนแต่คิดว่าตำรวจน่าจะถอดเพื่อนำไปเป็นหลักฐานเรียบร้อยแล้ว
เพราะไม่อย่างนั้น กล้องก็จะบันทึกเสียงที่พวกเขาคุยกันเอาไว้และส่งผ่านไปยังตำรวจผู้ที่มีหน้าที่ดูจอบันทึกภาพของกล้องซึ่งนั่นก็จะทำให้แบคฮยอนไม่ชอบใจอย่างแน่นอน
“เอ้อลืมไปเลยอ่ะ
ไว้ค่อยไปถอดออกที่หน่วยก็แล้วกัน”
แย่แล้วล่ะ...
แต่สาบานเลยว่าชานยอลจะไม่บอกแบคฮยอนเด็ดขาด
สัญญาณไฟเปลี่ยนจากสีแดงเป็นเขียวแล้ว
รถบนท้องถนนเริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้าๆจนกระทั่งคงที่
ตอนนั้นเองที่ชานยอลละมือจากพวงมาลัยข้างหนึ่งไปกอบกุมมือเรียวของคนรักเอาไว้ ความอบอุ่นถูกส่งผ่านจากคนตัวสูงไปสู่คนตัวเล็ก
ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่พวกเขาต้องเจอนั้นจะโหดร้ายหรือเหน็ดเหนื่อยสักแค่ไหนแต่เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มจากอีกฝ่ายก็คล้ายว่าความทุกข์ใจที่แบกเอาไว้จะหายไปจนสิ้น
พวกเขาสองคนก็เป็นแค่คนธรรมดาที่รักกันท่ามกลางอันตรายและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
ความคล้ายคลึงของทั้งสองทำให้พวกเขาเข้าใจในความรู้สึกของคนรักได้เป็นอย่างดี
พวกเขารู้ว่าช่วงไหนที่ควรให้ความรักแก่อีกฝ่าย
ช่วงไหนที่ต้องให้อีกฝ่ายได้ทบทวนด้วยตัวเองหรือช่วงไหนที่คำปลอบใจและการอยู่ข้างกันจะมีค่ามากที่สุด
แบคฮยอนมองใบหน้าด้านข้างของร่างสูงก่อนจะคลี่ยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดจากเจ้าของมือใหญ่ที่แสนอบอุ่น
“เชื่อใจฉันเถอะนะ
ยังไงฉันก็จะปกป้องนายให้ได้”
และเป็นตอนนั้นเองที่ทั้งสองคิดว่าการอยู่ด้วยกันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนล้ำค่า
“แน่นอนสิ
ฉันเชื่อใจนายอยู่แล้วชานยอล”
แค่พวกเขายังได้มีลมหายใจร่วมกันก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงอีกต่อไปแล้ว
TBC
เป็น 35% สุดท้ายที่ยาวกว่า 65% ข้างบน 55555 อี้ชิงทำร้ายแบคคือจัดฉาก
แต่ของจริงมันจะเริ่มจากนี้ ไม่รู้ว่าตอนอ่านทุกคนคิดยังไงบ้าง บอกกันได้น้า ;__; จริงๆตอนนี้เราว่าทุกคนเดาได้ละอะว่าคนสุดท้ายนี่ใคร
คือเราก็อยากใส่มาเลยอ่ะนะ แต่ยาวจัง ยาวเกิ๊นนนนน เลยตัดไปบอกตอนหน้า
สมมุติว่ายังไม่รู้ก็แล้วกันนะคะทุกคน5555555
ตัวละครอี้ชิงเป็นอะไรที่ยากมากเลยสำหรับเรา
กว่าจะแต่งเขาออกมาได้ น้ำตาแจะแชร์ขอไหลนะคะ คือก็เลวอะ แต่ก็เลวไม่สุด
เป็นความเลวแบบยั้งๆ สื่อคาแรคเตอร์ย๊ากยาก แต่ก็จบพาร์ทของเขาแล้ว เย่
ละเหตุผลที่ไนท์แมร์แต่ละคนยอมผันตัวมาเป็นอาชญากรส่วนใหญ่แล้วจะเล่นประเด็นครอบครัวนิดนึงเนอะ
พ่อแม่ตายบ้าง พ่อแม่ไม่รักบ้าง แต่เราคิดว่าอาจจะไม่มีใครสังเกตเห็นประเด็นนี้ก็บอกเองตรงนี้เลย555555
ถ้ายังมีคนจำได้พ่อแม่แบคก็ตายตั้งแต่เด็กเนอะ ตายไม่ดีด้วย
(จำไม่ได้ให้ย้อนกลับไปอินโทรเลยค่ะ TT นานเกิ๊น) คือต่างคนก็มีปมในใจต่างกันอะ แต่ทุกคนมีทางเลือกนะ
เลือกที่จะเป็นคนดีหรือไม่ดีก็ได้ อย่างจื่อเทาที่พ่อไม่รักแต่คนอื่นก็ยังรักเขา
แบคฮยอนเองก็ด้วยถึงพ่อแม่จะฆ่ากันตายแต่เขาก็รู้ว่ายังมีคนอื่นที่รักเขาเหมือนกัน
ถึงปัญหาหรือปมในใจจะหนักหน่วงแค่ไหนแต่ชีวิตไม่ได้ปูทางไว้เพื่อให้ทุกคนกลายเป็นคนดีหรือคนเลวนะ
ทุกคนมีทางเลือก ทุกคนเลือกด้วยตัวเองได้อะว่าจะใช้ชีวิตยังไง นั่นแหละจ้า
อยากบอกเจ๋ยๆ แต่ถ้ามีใครไม่เข้าใจหรือคิดต่างเราก็ไม่ได้ว่าอะไรน้า
อีก 3 ตอนที่เหลือไม่มีอะไรซับซ้อนแล้วค่ะ
ปมคลายทั้งหมดแล้ว ดีใจ แต่จื่อเทายังมีบทอีกนะคะ แหะ และแน่นอนว่าพระเอกก็มีบทสำคัญค่ะ
ถึงพี่พระเอกอาจจะหายหน้าหายตาไปบ้างแต่ขึ้นชื่อว่าพระเอกเขาก็ต้องมีบทค่ะ5555555555555 แต่ที่หายหน้าหายตากว่าพระเอกคือไรท์เตอร์ควัฟ จะตายแหล่ว กว่าจะอัพได้
ไม่รู้ว่าโดนบ่นไปแค่ไหนแล้ว ฮรึก ส่วนชะตากรรมแบคฮยอนจะเป็นยังไงต่อนี่ก็ต้องลุ้นกัน
และด้วยความรักของเราที่มีต่อแบคฮยอน สัญญาว่าจะไม่ออมมือ555555555 หยอกๆ
ป.ล.1. เรื่องเล่มเราจะพิมพ์เล่ม1-2ไปก่อนนะคะเพื่อไม่ให้เสียเวลา พอแต่งเล่ม3จบแล้วจะรีบส่งให้โรงพิมพ์เลยเช่นกัน
ของแถมก็กำลังทำอยู่ค่า จะอัพเดทให้เรื่อยๆน้า
ป.ล.2. ถ้าคิดว่าทำไมเราพูดมากจังก็แบบ
ฮึก ขอหน่อย ได้ทอล์คกับคนอ่านเดือนละครั้งเองนะ55555555555555555
ป.ล.3 สรุปคือยาวทั้งเนื้อเรื่องทั้งทอล์ค
เป็นฟิคที่ทำลายสถิติคนไทยอ่านหนังสือ 7 บรรทัดต่อปีไปเลย
Up: 18/09/2016 (10%) 11/10/2016 (40%)
19/11/2016 (65%) 18/12/2016 (100%)
ความคิดเห็น