[TWICE] THE LAST (JeongyeonxTzuyu) - [TWICE] THE LAST (JeongyeonxTzuyu) นิยาย [TWICE] THE LAST (JeongyeonxTzuyu) : Dek-D.com - Writer

    [TWICE] THE LAST (JeongyeonxTzuyu)

    เมื่อความทรงจำคือเครื่องยื้อเวลา เมื่อการรอคอยไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำอีกต่อไป เมื่อเรื่องจบในวันที่เกิด บาดเเผลครั้งนี้จะเป็นสีอะไร

    ผู้เข้าชมรวม

    551

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    551

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    9
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 มิ.ย. 60 / 18:37 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


    .








    16:00 pm

     

    “พี่ยังอยู่อีกเหรอ?” น้ำเสียงหวานสั่นเครือ ไม่ใช่เพราะหิมะหนาที่กำลังปกคลุมหมู่บ้านเล็กๆเเห่งนี้ เเต่มันคือความหนาวเหน็บที่กำลังก่อขึ้นในใจของหญิงสาววัยยี่สิบ ภาพวิสัยทัศน์ถูกบดบังด้วยม่านน้ำตา เเต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังมองเห็นใครอีกคนอย่างชัดเจน

     

    “เธอจะให้ฉันไปไหนล่ะจื่อวี” เอ่ยตอบพลางขำขึ้นจมูก ก้มลงมองเด็กสาวเจ้าของนามด้วยยิ้มเอ็นดู เเม้จะไม่ได้เจอกันมาเกือบสิบปี เเต่เด็กคนนี้ก็ไม่เปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าจะหน้าตาที่สวยเกินผู้คนเเถวนี้ หรือหัวใจที่สวยกว่าใครๆที่เธอเคยเจอ

     

    “ฉันคิดว่าพี่จะไม่อยู่เเล้วตอนฉันกลับมา” มือเล็กเอื้อมจับลำต้นที่เเห้งเหี่ยว กิ่งก้านไร้ซึ่งใบในหน้าหนาว จื่อวีเงยมองอีกคนที่นั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งด้านบน ต้านทานความหนาวโดยที่ร่างกายมีเพียงชุดเดรสธรรมดาสีขาวตัวเดิมตั้งเเต่ครั้งเเรกที่เจอกัน

     

    “ฉันไม่ทิ้งเธอ เหมือนที่เธอทิ้งฉันหรอกนะ”  คนเเก่กว่าหรี่ตาอย่างคาดโทษ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างราวกับว่าระยะเวลาที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเป็นช่วงเวลาพริบตา ไม่ได้งอนหรือโกรธเเค้นอะไรทั้งนั้น

     

    “ฉันขอโทษนะพี่” เเต่อีกคนกลับรู้สึกผิดจริงๆที่ทำมันลงไป “มันกระหันมาก จนฉันไม่ได้บอกลาพี่ก่อน”

     

    “ถึงบอกลาไปยังไง สิบปีมันก็คือสิบปี” เธอมุ่ยหน้า “ยังไงฉันก็ต้องรอเธออยู่ดี”เพราะพูดออกไปตามความรู้สึกจริง โดยลืมคิดถึงหัวใจคนฟัง ก้มลงดูใต้ต้นไม้อีกทีคนเด็กกว่าก็ก้มหน้าร้องไห้ไปซะเเล้ว

     

    “เห้ย พี่ล้อเล่นจื่อวี” ไวกว่าความคิด หญิงเจ้ารีบกระโดดลงกิ่งไม้สูงเสียดฟ้าด้วยท่าทีสบายๆราวกับว่ากิ่งไม้เเละพื้นดินห่างกันเพียงหนึ่งไม้บรรทัด

     

    “โหย โตเเล้วมั้ยล่ะ มาร้องไห้เเบบนี้ได้ยังไงห้ะ” ถึงปากจะดุ เเต่ในใจก็เเอบรู้ผิดอยู่ไม่ใช่น้อย มือซีดยกลูบหัวเล็กเบาตั้งใจจะปลอบ เเต่มันกลับทำให้จื่อวีร้องไห้หนักกว่าเดิม

     

    “หึ้ย ร้องไมอ่ะ ปลอบอยู่เนี่ย ปลอบ!

     

    “หนูคิดถึงพี่อ่ะ!” เพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันมานาน เด็กขี้เเยตอนนี้ตัวโตขึ้นมากเเล้ว เขาไม่สามารถตั้งรับเเรงกอดได้เหมือนตอนจื่อวีเด็กๆ ก้นกระเเทกลงพื้นตามเเรงที่พุ่งมาอย่างจัง เเต่ก็ต้องทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำได้เพียงโอบกอดร่างที่สั่นเทาไว้เเน่นๆเท่านั้น






    17:00 pm

     

    “เเล้วเป็นไงมาไงถึงกลับมาอ่ะ”

     

    “อยู่ในช่วงพักน่ะพี่ เลยกลับมาเยี่ยมบ้าน”

     

    “คุณน้าโวยวายเลยสิ กว่าลูกสาวจะกลับมาอ่ะ” จื่อวีพยักหน้าหง๋อยเป็นลูกหมา ทั้งสองคนคุยเรื่องที่เเต่ละคนเจอในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เศร้าบ้าง สุขบ้าง ตามประสาภายใต้ร่มคันใหญ่ที่จื่อวีพกมา โดยมีรองเท้าบูทเป็นที่รองนั่งกันความชื้นจากพื้นหิมะ

     

    “เธอไม่หนาวเหรอ”

     

    “นิดหน่อยพี่ เเต่ไม่เป็นไร” จื่อวี่ยิ้ม ก่อนเเสงกระพริบที่หางตาของเธอจะดึงความสนใจไป เป็นเสาไฟโบราณเพียงต้นเดียวที่อยู่บริวเณนี้ เพราะเก่ามากมันจึงติดๆดับๆ ไม่รู้ว่ามันจะพังตอนไหน เพราะคนในหมู่บ้านก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันเท่าไหร่

     

    “ฉันยังจำได้ดีเลยตอนเจอพี่ที่นี่” จื่อวี่หันมามองคู่สนทนาเเล้วก็พบว่าเขามองมาที่เธอตั้งเเต่เเรกอยู่เเล้ว “ตอนนั้นฉันโดนเพื่อนเเกล้ง วิ่งหนีเข้าป่ามาจนหลงทาง เดินร้องไห้หาเเม่ไม่หยุดเเล้วฉันก็เจอพี่ เเอบมองฉันอยู่ที่เสาไฟนี่”

     

    “เเล้วไงต่อ” สาวผมสั้นทองเท้าคางพร้อมระบายยิ้ม เหมือนรอฟังนิทานก่อนนอน ทั้งที่เป็นเรื่องของตัวเอง เเน่นอนว่าเขาจำได้ เเต่อยากได้ยินเนื้อเรื่องในมุมมองของจื่อวีบ้าง

     

    “เอาจริงๆ ตอนเเรกฉันกลัวพี่นะ มีอย่างที่ไหนจะมาเจอใครในป่า เเถมพี่เองก็ขาวม๊ากก ฉันนึกว่ายูกิฮิเมะที่พี่ซานะเคยเล่าให้ฟังซะอีก”

     

    “ขอโทษด้วยนะที่ทำเธอฝันสลายอ่ะ” เจ้าตัวหัวเราะ ก่อนเพยิดหน้าให้อีกคนพูดต่อ

     

    “ถึงฉันจะกลัวเเต่ฉันดีใจมากกว่า เพราะตอนนั้นฉันรู้สึกโดดเดี่ยวมากจริงๆ เเล้วพี่จะเดินมากอดฉันเอาไว้…. พอมานึกๆดูเเล้วมันก็น่ากลัวอยู่เหมือนกันนะเนี่ย!” จื่อวีมองหน้าอีกคนด้วยคิ้วที่ผูกกันจนเป็นปม มีอย่างที่ไหนให้คนเเปลกหน้าเข้ามากอด เเละยังจะเป็นในป่าอีก ถ้าเป็นจื่อวีตอนอายุยี่สิบจะไม่ยอมให้เรื่องเเบบนี้เกิดขึ้นเเน่ๆ

     

    “ย่า! เธอก็ต้องเข้าใจฉันด้วยดิ เห็นเด็กร้องไห้อ่ะ จะให้พูดอะไรล่ะ ฉันไม่ถูกกับเด็กด้วย เข้าไปกอดก็ดีเเค่ไหนเเล้ว”

     

    “ห้ะ ตอนเเรกพี่จะไม่เข้าไปกอดหนูเหรอ”

     

    ….ก็มีลังเลบ้าง ใช่ว่าเด็กทุกคนจะหลงเข้ามาบ่อยๆนี่ กังวลเป็นนะโว้ย~

     

    “ก็ได้ๆ หนูไม่อะไรก็ได้ ชิ” เอาเข้าจริงๆถ้าวันนั้นพี่ไม่เดินเข้ามาหนูต้องเสียใจมากเเน่ๆ “ถึงไหนต่อเเล้วนะ”

     

    “ตอนพี่เดินเข้ามากอดไอลูกหมาหลงทาง” เขาว่าพลางหาวหน่อยๆ เเกล้งทำเป็นเหมือนเบื่อ เเต่จริงๆเเล้วเขาอยากฟังตอนถัดไปมากๆ

     

    “เออ” คล้ายโลกหยุดนิ่งทั้ง จื่อวีที่จู่ก็เงียบไปทำเอาคนรอฟังนิ่งตามไปด้วย “หนูลืมอ่ะพี่”

     

    “จบกัน อวสานเรื่องราวดีๆ”

     

    “เห้ย! หนูลืมได้ไงอ่ะพี่”

     

    “จะไปรู้เเกเหรอ” ไม่ต้องจิ๊ปากก็รู้ว่างอน จื่อวีมองคนข้างกายที่เท้าคางเบนหน้าหันไปทางอื่นอย่างรู้สึกผิด พยายามนึกตอนต่อไปให้ออกเเต่ในหัวกลับว่างเปล่า เหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนั้น คล้ายเเผ่นฟิล์มที่ขาดไป นึกออกอีกทีเป็นตอนนี้ ที่ได้กลับมาเจอกันใหม่

     

    “เห้ยพี่ นี่ลืมจริงจังวะ”

     

    “ฉันก็เริ่มจะงอนเเกจริงจังเเล่ะ”

     

    “โหยพี่” เมื่อสรรพนามเริ่มไปเปลี่ยนไป จื่อวีรีบกอดอ้อนพี่ให้หายน้อยใจ เเต่ดูเหมือนอีกคนจะงอนเข้าจริง มีการเอื้อมมือมาเเกะกอดด้วยนะ คนอะไรขี้ใจน้อย!

     

    “หนูไม่ได้ตั้งใจนะ มันลืมเองอ่ะ”

     

    “ไม่สำคัญไง มีซานะเเล้วนี่”

     

    “โหย เจ็บไปอี๊ก” จื่อวีมุ่ยหน้า เมื่ออีกคนยกชื่อเเฟนของเขามาอ้าง “ถึงอย่างนั้นพี่ก็สำคัญที่สุดนะ!

     

    “ฉันจะไปฟ้องซานะ น่าจะสนุก”

     

    “ไอพี่!

     






     

    17:50 pm

     

    “เเล้วนี่จะกลับเกาหลีอีกเมื่อไหร่อ่ะ”

     

    “ถ้าฉันบอกพี่ว่าอีกสองวันพี่จะกลับมางอนมั้ย”

     

    “ไม่อ่ะ ชินเเละชา”

     

    “เนี่ยงอน”

     

    “ไม่ได้งอนโว้ย”

     

     





     

    17:53 pm

     

    “เเล้วเธอจะกลับมานี่อีกตอนไหนอ่ะ”

     

    “ไม่เเน่นอนอ่ะพี่ เเล้วเเต่ตารางงาน ถ้าหยุดอีกเมื่อไหร่ก็คงกลับมาทันทีคิดถึงที่นี่อ่ะ”

     

    “อื้ม”

     

    “คิดถึงพี่ด้วย”

     

    ….

     

     





    17:55 pm

     

    “พี่จะรอฉันใช่มั้ยอ่ะ”

     

     

    “ถึงตอนนั้นฉันก็ยังมาเจอพี่ตรงนี้ได้ใช่มั้ย”

     

    “ก็นะ







     

    17:57 pm

     

    “อะไรล่ะ เหมือนไม่ค่อยอยากจะเจออีกเลย”

     

    “ใครอยากจะไปเจอคนที่ทิ้งกันไปล่ะ บ้าบอ”

     

    “โหย เอาดีๆดิ”

     

    … เอาจริง ก็อยากเจอเเกตลอดเวลาเเล่ะ ไม่อยากจากกัน ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว”

     







     

    17:58 pm

     

    “งั้นพี่ก็รอฉันหน่อยได้มั้ย”

     

    “เห็นเเก่ตัวไม่เปลี่ยนเลยนะจื่อวี”

     

    “ก็มันช่วยไม่ได้นี่น่า!

     







     

    17:59 pm

     

    “ฉันคงรอเธอไม่ได้หรอก”

     

    “…ห้ะ

     

    “ตั้งสิบปีนะจื่อวี ฉันรอเธอมาสิบปี ในระหว่างจะกลับมาหากันหน่อยก็ไม่ได้”

     

    “…..”

     

    “เรื่องนี้มันความผิดของเธอนะไม่ใช่พี่”

     

    “ฉันเองก็รู้สึกไม่ดีนะพี่”

     

    “คนให้รอกับคนรอ ความรู้สึกมันวัดกันไม่ได้เลยนะจื่อวี โตเเล้วหัดเลิกเห็นเเก่ตัวซักที”

     

    “ฉันเห็นเเก่ตัวเเค่เรื่องของพี่เท่านั้น”

     

    “นั่นสินะ… งั้นเอางี้ ฉันชื่ออะไรโจวจื่อวี

     

    “ห้ะ”

     

    “จำเรื่องของฉันไม่ค่อยได้ อย่างน้อยก็เรียกชื่อให้ฉันรู้ว่าเธอยังจำมันได้”

     

    ….. พี่คะ”

     

    สาวผมสั้นพยักหน้าราวยอมเรื่องเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เเค่ตอนจบของเรื่อง เเม้เเต่ชื่อของเขา คนที่อยู่ตรงหน้ายังไม่สามารถจำมันได้ เท่านี้เขาก็หายสงสัยเเล้วว่าทำไมเวลาของเขาถึงหมดไว เพราะสิ่งที่สุดท้ายที่ยื้อเขาไว้กำลังจะหายไป

     

    “โอเคจื่อวี มันจบเเล้วล่ะ” เขาถอนหายใจพลางหลับตากลั้นความเสียใจ “มันถึงเวลาที่เราจะจากกันเเบบจริงๆเเล้ว”

     

    “หมายความว่าไงคะพี่

     

    “เธอจะไม่ได้เจอฉันอีกเเล้ว” พูดพลางยันตัวขึ้น ก้มตัวให้พ้นขอบร่มสีเข้ม ยืนเต็มความสูงรับเกล็ดหิมะที่กำลังร่วงโรยเช่นเดียวกับใจเขา

     

    “เดี๋ยวพี่จะไปไหนอ่ะ” จื่อวีคว้ามืออีกคนทันควัน ออกเเรงเต็มกำลังให้อีกคนหันมาสบตาด้วย ระยะที่ใกล้กันทำใจของเด็กสาวเต้นระรัว เขารู้ว่าคนตรงหน้าเป็นคนสวย เเต่ตอนนี้กลับสวยขึ้นมากกว่าเดิม จนเขารู้สึกเสียดายที่พึ่งมาเห็นมัน

     

    “ฉันก็เเค่จะกลับบ้านของฉันเหมือนกัน”

     

    “ตรงนี้ไม่ใช่บ้านพี่เหรอ” เรียกเสียงหัวเราะได้ในทันที ก็ที่ที่จื่อวีว่านะมันคือต้นไม้เก่าๆเเละเสาไฟโทรมๆที่อยู่ด้านหลังของเรา

     

    “เธอจะบ้าเหรอ มันก็เเค่ที่ๆฉันเอาไว้รอเธอเท่านั้นเเล่ะ”

     

    “เเล้วพี่จะไม่กลับมาเเล้วเหรอ”

     

    “ใช่~ เเละถ้าจะถามว่าทำไมล่ะก็ เวลาของฉันหมดเเล้ว

     

    เเล้วฉันล่ะ?” ถึงจื่อวีจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่อีกคนพูด เเต่เเค่รู้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายในใจก็ตีกันวุ่นวายไปหมดเเล้ว

     

    “เธอจะมีสิทธิ์พูดคำนี้ด้วยเหรอ”

     

    “พี่

     

    “ฉันไม่อยากพูดเเบบนี้หรอกนะ มันอาจจะกระทันหันไปหน่อย เเต่ในตอนเธอมันก็กระทันหันเหมือนกัน” เขาว่าพร้อมกับเเกะมือจื่อวีที่จับอยู่ออกมากุมเอาไว้ พลางยกขึ้นยกลงเหมือนกับเด็กๆ

     

    “ฉันไม่รู้ว่าเธอรู้มั้ยว่าฉันคืออะไร เเต่ฉันรู้ว่าเธอรู้ว่าฉันไม่ใช่อะไร”

     

     

    “เวลาของเรามันมีไม่เท่ากันโจวจื่อวี ฉันยื้อมันเอาไว้ได้เเค่นี้ เเล้วฉันก็ดีใจที่ฉันเธอเจอในวันสุดท้าย”

     

     

    “ฉันเกือบจะตัดใจไปเเล้วด้วย ฉันรอมาตั้งสิบปีนะที่จะมาพูดคำๆนี้กับเธอในวันนี้”

     

     

    “สุขสันต์วันเกิดนะโจวจื่อวี จากฉันเพื่อนสมัยเด็กของเธอยูจองยอน” 












    :: หู้ว นึกว่าจะไม่ทันวันนี้ซะเเล้ว
    (งานหยาบมากจริงๆค่ะ ใช้เวลาเเต่งเเค่สี่ชม.ไม่เคยรีบอะไรขนาดนี้ เเต่ยังนั่งใจเย็นทำgif)
    วันเกิดมันเน่ตัวโตของเรา 
     ทั้งที่น้องเกิดในเดือนนี้ เเต่ใจไปหาหน้าหนาวเฉยเลย เเถมยังเเต่งทำร้ายน้องมากๆอีกด้วย (เคยเเต่งๆดีมั้ยเอาจริง)
     เเอบชอบประโยคนี้พอสมควรเลย “ฉันไม่รู้ว่าเธอรู้มั้ยว่าฉันคืออะไร เเต่ฉันรู้ว่าเธอรู้ว่าฉันไม่ใช่อะไร” 
    เเต่ไม่รู้คนอ่านจะงงมั้ย555555555 ถ้ามึนๆงงๆก็ขอโทษด้วยนะคะ //กราบ
    สุดท้ายก็รักน้องจื่อเเบบนี้ตลอดไปนะคะ!



    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×