ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Manigator Saga Rebellion Soldiers

    ลำดับตอนที่ #34 : ตอนที่ 16 การฝึกโหดในหนึ่งสัปดาห์บนหุบเขาเหนือฟ้า แปดพี่น้องยอดฝีมือ ดาบแห่งความยุติธรรมปรากฎ บทสำเร็จวิชา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 28
      0
      13 ก.ย. 64

              หลังจากนั้นเวลาผ่านไป 2 วันต่อมา มาสวาร์ทาร์เหลือเวลาเพียง 5 วันแล้ว วกกลับมาที่พวกโคเคสกัน ในวันที่ 4 หลังจากที่มาสวาร์ทาร์กับพวกไปจากฐานทัพกันแล้ว วันที่สามนั้น พวกครอสตรีมได้ล่าถอยกลับไปและไม่ได้ออกรบอีกเลย จนกระทั่งพวกแอตแลนไทซ์ก็มารับช่วงต่อในวันต่อมา
              "ฟ้าววว ฟ้าววว เปรี้ยงๆๆๆๆๆ" ที่ค่ายของพวกแอตแลนไทซ์ ตอนนี้ถูกกองรบโคเคสโจมตีด้วยอาวุธพลังไฟฟ้ากันอย่างหนักหน่วงจนสปาดาไนซ์ถูกช็อตแน่นิ่ง มิลมีซอนถึงกับตัวชา ในขณะที่เฮอคูลอนที่เข้ามาป้องกันนั้นโดนหนักสุดจนเดี้ยงยกกองด้วยกัน "พวกเราต้านพวกมันไม่อยู่แล้วละครับ" สปาดาไนซ์ชายกล่าวกับนายกองที่เป็นเฮอคูลอนตาเดียว
              "เปิดอควอโซนและจัดการกับพวกทหารโคเคสกันเดียวนี้เลย" เฮอคูลอนสั่งให้ใช้อาวุธสร้างโดมน้ำขนาดใหญ่เพื่อกักดูดพวกทหารให้ติดแหงกอยู่ในโดมน้ำและตกเป็นเป้าให้กับพวกแอตแลนไทซ์ แต่ก็... "ฟ้าวว ซ่าๆๆๆๆๆ" เวลลิท ชาร์เครฟและแฮคชัคพาพวกบีสทอยด์ปลาโดดเข้าไปในโดมน้ำและบุกเข้าตะลุมบอนใส่พวกแอตแลนไทซ์กันอย่างหนักหน่วง เพราะเมื่อปลามีน้ำ จึงแหวกว่ายเริงร่าได้อย่างร่าเริงกันแล้ว
              "ฟ้าวววว แกร็กๆๆๆๆๆ โครมมมม" ฉับพลัน เสาขนาดใหญ่ที่อยู่กลางค่ายก็โดนอัลติเมทเอทและอาร์ซโทรนเอลเวนท์ไดน์ของบัลโต้ถอนออกมา จนอควอโซนได้หายไป เหล่าบีสทอยด์นกก็คว้าตัวบีสทอยด์ปลาที่ว่ายอากาศธาตุอยู่มาได้กันหมดทุกคน "เราได้เตาพลังงานไฮโดรฟอสมาแล้วละ" บัลโต้บอก
              โคเคสพยักหน้า "ตอนนี้แหละ รุกฆาตเลย"
              "รับทราบคะ อีเรเซอร์แคนน่อน ยิง" มิลด์จัดการปิดซิงถล่มค่ายของพวกแอตแลนไทซ์ไปจนพังพินาศกันหมด
              เซริซ่ากล่าว "ไม่อยากเชื่อจริงๆว่าพวกแอตแลนไทซ์พยายามจะสร้างหุ่นที่มีความคล้ายคลึ่งกับมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีน้ำในร่างกายกันน่ะ" โดยตอนนี้เธอมาช่วยวูลลิเซียงัดแงะร่างของสปาดาไนซ์จนเห็นเค้าโครงร่างกันไว้
              "แม้ส่วนแขนและขาที่เป็นแท่งเกรียวระบบไฮโดรลิคกันก็ตาม แต่โครงสร้างภายในถูกออกแบบให้มีอานุภาคไฮโดรฟอสหล่อเลี้ยงเอาไว้ ซึ่งอานุภาคที่เลียนแบบน้ำนั้นจะไม่ทำให้ข้อต่อเกิดปฏิกิริยาออกไซด์ที่ทำให้เกิดสนิมขึ้น บวกกับชิ้นส่วนภายในร่างกายนั้น ไม่ได้เป็นเหล็กแท้ๆ แต่มีอโลหะผสม อย่างซิลิคอนและพลาสติกห่อหุ้มเอาไว้ เพื่อให้ส่วนข้อต่อมีความไหลลื่นโดยไม่เกิดสนิมขึ้นมาน่ะ" วูลลิเซียบอก "และที่สำคัญ ปกติแล้ว หัวใจทำหน้าที่เป็นตัวสูบฉีดเลือดที่สร้างจากไขกระดูกใช่มั้ยละ แต่ หัวใจของพวกแอตแลนไทซ์หรืออีกนัยหนึ่งคือเตาพลังงานนั้น มันเป็นเตาพลังงานที่สร้างและสังเคราะห์ไฮโดรฟอสขึ้นไว้รวมกันเลยน่ะ"
              เซริซ่าบอก "แล้วส่วนที่ควรจะเป็นไขกระดูกนั้น ถ้าความสามารถในการสร้างเลือดไปอยู่ที่หัวใจ แล้วมันทำอะไรได้ล่ะ.."
              "เป็นตัวช่วยกลั่นกรองอนุมูลสารแปลกปลอมที่เข้ามาในร่าง ไม่ว่าจากภายนอกหรือภายในก็ตาม เปรียบเหมือนกับไตของพวกมนุษย์หากแต่กับพวกแอตแลนไทซ์นั้น ส่วนที่เป็นไตจะเป็นตัวปรับความดันในร่างกายเวลาอยู่ในสภาพแรงกดดันสูง ซึ่งพวกนี้ถูกสร้างมาเพื่อสู้รบกับเรือรบและเรือดำน้ำอย่างแน่นอน เพราะพวกแอตแลนไทซ์ทั้งหมดเป็นแมนิเกเตอร์หุ่นยนต์ เรื่องออกซิเจนจึงแทบไม่มีความจำเป็นสำหรับการหายใจ แต่มีไว้สำหรับขับดันไฮโดรฟอสที่อยู่ในร่างเพื่อทำให้ข้อต่อไหลลื่นขึ้นก็เท่านั้นเองแหละ" วูลลิเซียวิเคราะห์
              เซริซ่ากล่าว "แล้วแทงค์กลางหลังสองข้างนั้น คงจะไม่ได้แค่เป็นแบ็คแพ็คสำหรับใช้งานใต้น้ำอย่างเดียวละสิ"
              "จากการที่ฉันได้ทำการแกะไฮโดรแทงค์จากทั้งสามอันมาตรวจสอบโดยอ้างอิงข้อมูลการใช้งานของคลอเวฟมาเทียบดู ปรากฎว่า ไฮโดรแทงค์เหล่านี้ มันทำหน้าที่เป็นบูสเตอร์สำหรับแรงขับเคลื่อนเวลาใช้งานบนภาคพื้น และอาวุธสำหรับโจมตีพิสัยไกลกันนี้แหละ" วูลลิเซียกล่าว "ซึ่งแม่ทัพใหญ่ของแอตแลนไทซ์คงจะสร้างให้แทงค์แต่ละอันมีระบบกลไกพิเศษในการทำให้ทุกส่วนของแทงค์ที่ดูเรียบง่ายนั้นแยกชิ้นส่วนทั้งด้านในและด้านนอกออกจากกันโดยทำการขยายตัวชิ้นส่วนทุกชิ้นให้กลายเป็นชิ้นส่วนสำหรับอาวุธปืน ซึ่งตัวแทงค์ของแต่ละตัว ล้วนถูกออกแบบให้สามารถปรับเปลี่ยนเป็นปืนหรืออาวุธหนักใดๆก็ได้ตามที่ระบบถูกเซตมาแต่แรกหรือใส่โปรแกรมเข้าไปไม่ว่าจะเพิ่มเติมหรือทดแทนเลยก็ตามน่ะ"
              เซริซ่าบอก "งั้นที่แทงค์ใหญ่ของคลอเวฟสามารถเปลี่ยนเป็นปืนใหญ่นั้น ล้วนแล้วเป็นการเซตโปรแกรมเอาไว้ละสิ"
              "ใช่ หากแต่ตัวแทงค์ของคลอเวฟน่าจะเป็นรุ่นที่ไม่มีการใส่โปรแกรมเพิ่มและถูกเซตไว้ไม่ให้มีการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมเข้าไป เพราะฉันเช็คกับแทงค์อันอื่นที่เก็บกู้มา พบว่ามันเป็นรุ่นใหม่ที่มีการปรับเปลี่ยนใส่โปรแกรมอาวุธหนักไว้ได้อย่างหลากหลายกันนะสิ" วูลลิเซียบอก "จากการตรวจสอบร่างทั้งสามแบบของพวกแอตแลนไทซ์กันแล้ว ฉันถึงได้รู้ว่า สปาดาไนซ์เป็นนักรบระดับเบาขั้นเริ่มต้น เนื่องจากว่าส่วนลำตัวทั้งหมดมีการปิดส่วนโครงสร้างที่เบาบาง โดยเฉพาะส่วนขา ที่ปิดด้วยเกราะทรงกระบอกเหลี่ยมเอาไว้เพื่อเน้นความคล่องตัว ผิดกับอีกสองแบบ ซึ่งมีการเสริมโครงเกราะที่หนาแน่นขึ้นตามลำดับ จากระดับกลางไประดับหนัก ตามขีดความสามารถของตัวสมุนแอตแลนไทซ์ ว่าไปได้ไกลถึงขั้นที่ต้องใช้เฟรมแบบไหนบ้างน่ะ"
              เซริซ่าบอก "พูดง่ายว่า ทั้งสามแบบนั้น ตั้งแต่เบาไปหนักก็คือ ระดับพลทหาร นายทหาร และหัวหน้ากอง แม้ว่าแต่ละกลุ่มจะต้องมีระดับผู้นำด้วยเพื่อความเป็นระเบียบละสิ"
              "ใช่ แต่ฉันรู้สึกได้ว่า คลอเวฟนั้นมีโครงสร้างของมิลมีซอนและเฮอคูลอนรวมกัน แม้อัตลักษณ์จะเป็นเฮอคูลอน ที่ส่วนหัวไหล่ไม่มีส่วนเกราะด้านข้างที่ประกบเป็นลูกตุ้มขนาดใหญ่เลย และมีความคล่องตัวที่ดีกว่าเฮอคูลอนด้วยแล้ว ฉันจึงเดาว่าคลอเวฟคงสวมเกราะขาทับในส่วนขาของมิลมีซอนที่อาจจะรับน้ำหนักได้ไม่ดีแน่นอนน่ะ" วูลลิเซียกล่าว
              เซริซ่าบอก "ไม่อย่างงั้นคลอเวฟคงไม่โดดสูงมากเลยสิน่ะ อืมมมมมม แม่ทัพใหญ่ของแอตแลนไทซ์สร้างพวกสมุนให้มีความเป็นมนุษย์แบบนี้ แต่คงไม่ได้ผลิตส่วนสืบพันธุ์ไว้ให้เหมือนกับของพวกเราด้วยสิ"
              "ฉันคิดว่า แม่ทัพของแอตแลนไทซ์ไม่มีหัวคิดที่จะสร้างระบบสืบพันธุ์แบบเดียวกับเราหรอก อย่างมาก แค่ผลิตสร้างกองทัพแมนิเกเตอร์ที่น่าเกรงขามที่สุดในเจ็ดคาบสมุทรขึ้นเป็นจำนวนมากก็น่าจะเกินพอแล้วละ" วูลลิเซียกล่าว
              เซริซ่าบอก "แม้แมนิเกเตอร์ที่มาจากแรซัลก้าอย่างสเปียริทจะถูกสร้างมาให้เหมือนมนุษย์แม้กระทั่งสืบพันธุ์สร้างลูกหลานขึ้นมาได้ละก็ พวกนี้ก็คงจะวิวัฒนาการไปได้ถึงขั้นนั้นแน่ๆเลยละ"

              แล้ววันที่ 5 นั้นก็.... "ฟู้วววววววววววววววว" ทหารหุ่นยนต์ใช้ปืนพลังความเย็นเข้าโจมตีใส่พวกเฮอคูลอนที่แห่บุกมาพร้อมกับมิลมีซอน จนไฮโดรฟอสถูกแช่แข็งจากภายในและล้มลงกระแทกพื้นแตกกระจุยไปเป็นสิบ เช่นเดียวกับพวกบีสทอยด์ไดโนเสาร์ที่ใช้พลังความเย็นโจมตีไปด้วย "อะไรกันเนี้ย พวกเราสวมเกราะป้องกันไฟฟ้าเอาไว้แล้ว แต่ทำไมถึงได้...." มิลมีซอนหญิงกล่าวและถูกแช่แข็งโดยพาแรมและถูกพาลกิสหวดแขนโตติดลูกตุ้มทุบจนแตกกระจุยไป
              "รีบเซตเป็นระบบฮีทเตอร์เดียวนี้เลย อ้อ เซตให้อยู่ในระดับกลางไว้ เพื่อมิให้เกิดโอเวอร์ฮีทด้วยละ" เฮอคูลอนระดับนายกองสั่ง
              "รับทราบ" สมุนทั้งหมดตอบรับและทำตาม แต่ก็... "ซูมมมมมมมมมมมมมม" พวกทหารมิวแทนบางส่วนที่ใช้ไฟได้ก็พ่นไฟจากปากและฝ่ามือ เข้าเสริมกับอาวุธพลังความร้อนของมาร์ซอยด์เข้าไปจน "ร้อนๆๆๆๆ โว้ววว ตรูมมมม" เฮอคูลอนที่โดนพลังความร้อนเล่นงานจนระบบปรับความร้อนทำงานเกินกำลังจนต้มสสารไฮโดรฟอสให้เป็นไอและระเบิดจนเป่าควันร้อนออกมา มิลมีซอนที่โดนไฟเผาก็ "โว้วววว" ควันออกปากและควันร้อนพุ่งออกจากส่วนหูทั้งสองข้างลงไปแดดิ้นลง
              "ใครใช้ให้พวกแกร้อนตัวจนโดนพวกเราต้มพวกแกให้ลงไปกองกันเล่า สวนกลับไปเลย" บรูโน่บอก โดยตอนนี้หน่วยการ์เซนท์และเมทัลแล็กซ์โจมตีด้วยปืนเพลิงและเลเซอร์ความเย็นเล่นงานพวกเฮฟโวลที่บุกเข้ามาช่วยจนแดดิ้นไปกันหมด
              "วันนี้เราก็ชนะพวกมันด้วยสภาพแวดล้อมและการปรับตัวให้เป็นประโยชน์กันด้วยน่ะ" บัลโต้กล่าว
              เบย์แทนด์บอก "ด้วยสภาพแวดล้อมโดยรวมเป็นทะเลทรายที่ร้อนระอุนั้น ถ้าขนาดคุณคลอเวฟยังต้องใช้ระบบปรับอุณหภูมิให้ตัวเองเย็นเพื่อลดความร้อนจากภายนอกมา พวกแอตแลนไทซ์เองก็ต้องทำเช่นนั้นเหมือนกัน เลยเอาตรงนี้มาใช้นะครับ"
              "ขนาดเจ้าตัวไม่อยู่ เรายังใช้วางแผนรับมือแบบนี้ ก็ถือว่ามีประโยชน์ไม่น้อยเช่นกันเลยน่ะ" เฮลิคบอก
              โคเคสกล่าว "ว่าแต่ มีความเคลื่อนไหวอย่างอื่นที่นอกเหนือจากพวกแอตแลนไทซ์กันบ้างมั้ยละ"
              "ตอนนี้ หน่วยลาดตระเวนที่ตรวจตราแถวทะเลทรายโกบีนั้น ตรวจสอบพบกองรบครอสตรีมกองหนึ่งวนเวียนอยู่แถวๆนั้น ซึ่งไม่ทราบว่าพวกนี้จะมาที่ทะเลทรายแห่งนี้ไปทำไมกันน่ะ" เฮลิคกล่าว "เช่นเดียวกันกับกองรบอื่นๆของพวกครอสตรีม เห็นว่าส่วนหนึ่งพยายามตามล่าพวกมาสวาร์ทาร์กันอยู่ หลังจากที่พวกนั้น....พึ่งจะเสียอดีตแม่ทัพไปนะสิ"
              โคเคสได้ฟังก็ตกใจไม่น้อย "นี้แสดงว่า แม่ทัพอาทรัสเตอร์ แม่ทัพคนก่อนของครอสตรีมนั้นเสียชีวิตไปแล้วสิน่ะ"
              "ใช่ ทีมลาดตระเวนส่วนหนึ่งที่ฉันส่งไปเพื่อเช็คเส้นทางที่พวกพีวิลใช้ตามหาไซโคลเนียนั้น พบว่าในพื้นที่ทุ่งร้างทางทิศตะวันออกของไฮด์เฟเธอร์นั้น มีดาบใหญ่ครอสเซียมปักคาพื้นไว้ จากคำบอกเล่าของหัวหน้าเผ่าฟาลเคน่อนว่าไว้ มันเป็นดาบใหญ่ หนึ่งในสองอาวุธประจำตัวของอาทรัลเตอร์กันน่ะ" เฮลิคบอก
              บัลโต้กล่าว "อืมมม ถ้าให้เดา พวกครอสตรีมคงจะฆ่าอาทรัลเตอร์ที่ไปช่วยมาสวาร์ทาร์และพวกให้หลบหนีไปได้นั้น แล้วไปได้ของสำคัญที่ไม่ใช่แผนที่ระบุที่ตั้งของสุดยอดอาวุธเอาไว้แน่ๆละสิ"
              "สุดยอดอาวุธนะหรือ เออ แต่บางที แม่ทัพอาทรัลเตอร์อาจจะถูกมาสวาร์ทาร์สังหารก็เป็นได้เลยน่ะ เพราะแม้ว่าเขา..." เบย์แทนด์บอก
              โคเคสบอก "อย่าลืมสิ เบย์แทนด์ ว่าก่อนที่ฉันกับพวกจะก่อตั้งกลุ่มกบฎ ฉันกับพวกอยู่ภายใต้อุ้งเท้าของโอเวอร์เดสมาก่อน และได้รู้จักกับแม่ทัพอาทรัลเตอร์กันด้วย ซึ่งแม่ทัพผู้นี้เป็นนักรบที่ทรงเกียรติยศและมีคุณธรรมที่สูงส่ง แม้ว่าจะเป็นสมุนเอกของโอเวอร์เดสเลยก็ตาม เขาเคยให้คำแนะนำและพูดคุยกับฉันในฐานะผู้อาวุโสกับผู้อ่อนวัยกว่ามาหลายครั้ง จึงได้รู้ว่า อาทรัลเตอร์เองก็เป็นคนดีคนหนึ่งที่รักษากฎระเบียบภายในกองทัพ และไม่อภัยให้กับพวกที่เล่นโกงหรือใช้กลอุบายไปในทางที่ผิดกันน่ะ"
              "สรุปคือ คุณก็นับถือเขาเป็นเหมือนผู้หลักผู้ใหญ่เลยสิครับ" เบย์แทนด์กล่าว
              วูลลิเซียถาม "และที่บอกว่าดาบใหญ่นั้นเป็นหนึ่งในสองอาวุธประจำตัว งั้นอีกชิ้นนั้นคงจะเป็น...."
              "เกรซคาลิเบอร์ ดาบยาวครอสเซียมอันทรงพลัง หนึ่งในอาวุธที่น่าเกรงขามและไร้เทียมทานที่สุดในหมู่อาวุธของพวกครอสตรีมกันนะสิ" บัลโต้บอก
              เฮลิคกล่าว "หากแต่ดาบเล่มนั้น มันทรงอำนาจมากเกินกว่าที่นักรบครอสตรีมจะใช้มันได้ ซึ่งแม้มันจะผ่านมือผู้ที่มันคู่ควร แต่อย่างที่ว่ามานี้แหละ ของดีที่ทรงคุณค่าย่อมเป็นที่หมายปองของผู้ที่พยายามเสาะหามัน ซึ่งพวกนักรบครอสตรีมเองหวังจะเป็นเจ้าของดาบเทพของอาทรัลเตอร์ ที่ตอนนี้ถูกนำไปไว้ในสุสานแห่งดาบ อันเป็นสถานที่ลับสุดยอด ซึ่งเป็นที่ๆเก็บดาบของพวกครอสตรีมที่วายชนม์ไปแล้ว ให้อยู่อย่างสงบปราศจากการรบกวนใดๆและการมาหยิบยืมเพื่อใช้สู้ต่อ ทั้งๆที่เจ้าของเดิมมีความตั้งใจจะให้ดาบเล่มนี้ไม่ถูกใช้ต่อเลยก็ตามน่ะ"
              "นั้นก็พอจะรู้แล้วละ ว่าทำไมพวกครอสตรีมที่ควรจะบุกใส่พวกเราถึงถอยออกไปในช่วงวันที่สองกันน่ะ" วูลลิเซียกล่าว
              โคเคสบอก "และก็รู้ด้วยว่า ตอนนี้มีส่วนหนึ่งที่ต้องการใช้ดาบเทพเล่มนี้ และพยายามออกตามหากันอยู่ ซึ่งพวกครอสตรีมที่ไม่รู้ว่ามาสวาร์ทาร์กับพวกหลบหนีไปที่ไหนกันบ้าง คงเลือกที่จะรอ รอให้มาสวาร์ทาร์ปรากฎตัวอย่างแน่นอน"
              "นี้ก็เหลือห้าวันไปแล้ว ไม่รู้ว่ามาสวาร์ทาร์กับพวกไปหลบอยู่ที่ไหนกันนะสิ" บัลโต้บอก
              เฮลิคกล่าว "หวังว่ามาสวาร์ทาร์คงจะรู้เรื่องนี้และรีบมาหยุดยั้งก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้กันเสียเลยน่ะ"

              ตัดกลับมาที่ยอดเขาหอเมฆากันต่อ กับการฝึกในวันที่ 3 บนเขา กับอีก 5 วันของมาสวาร์ทาร์
              "อย่างงั้นเองนะหรือ นี้แปลว่า โลกภายนอกก็มีคนแบบพวกเราอย่างงั้นละสิ" ฟันดิวเรคกล่าวหลังจากที่ฝึกกับพวกมาสวาร์ทาร์ไปแล้ว และถามเรื่องโลกภายนอกด้วยความสงสัย
              ทอฟคานิคบอก "งั้นเรื่องที่ว่าโลกภายนอกถูกคุกคามโดยคนยักษ์เหล็กนามโอเวอร์เดสก็เป็นจริงนะสิ แม้ว่านั้นจะเป็นข่าวลือจากเสียงสายลมที่อาจารย์ได้ยินอยู่น่ะ"
              "ใช่ และบวกกับพวกนายนั้นต่างมีความสามารถทางร่างกายที่แปลกไปจากคนอื่นด้วยแล้ว อย่างน้อยพวกนายก็ช่วยสอนวิชาหมัดมวยให้...." สเตฟอร์ดบอก
               เซเทธกล่าว "....เสียใจ เพราะพวกเราจะไม่ถ่ายทอดวิทยายุทธให้กับคนภายนอกที่ไม่เข้าใจหลักการของพวกเราอย่างถ่องแท้เป็นอันขาด"
              "นี้คงไม่ใช่คำสั่งอาจารย์อย่างงั้นละสิ" คลอเวฟกล่าว
              เลอแชนบอก "วิทยายุทธที่ท่านอาจารย์บัญญัติขึ้นจากการสะสมเคล็ดวิชาจากสำนักหมัดมวยและวิชาต่อสู้หลายแขนงไว้นั้น เราจะไม่ใช้สอนให้นำไปใช้เป็นอาวุธในการทำสงครามกันหรอก ถึงแม้ว่านั้นจะเป็นการปกป้องพวกมนุษย์จากการคุกคามของพวกโอเวอร์เดสกันด้วยแล้ว คิดหรือว่าความสงบสุขนั้นจะกลับมากันน่ะ"
              "แต่ พวกนายเองก็ไม่อาจจะอยู่ที่นี้ได้นานหรอกน่ะ เพราะไม่วันใดวันหนึ่งที่โอเวอร์เดสกับพวกจะ...." มาสวาร์ทาร์บอก
              เซเทธกล่าว "...ถ้าพวกนั้นบุกมาจริง ทั้งหมดก็เป็นความผิดของพวกนายเองแหละ ที่ไปดึงให้พวกนี้ให้มาเหยียบที่นี้เอง แม้พวกนายจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามกันน่ะ"
              "พอทีเถอะน่า เซเทธ พวกเขามาที่นี้เพียงเพราะต้องการปรับปรุงทักษะของพวกเขาไว้ก็น่าจะเกินพอแล้วน่ะ" ทินเหมาลีบอก
              โมคุโตะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ห้าวไปว่า "ถ้าไม่เห็นแก่อาเจ้หรือพี่ใหญ่ ก็น่าจะเห็นแก่ท่านอาจารย์กันบ้างสิ"
              "ทั้งๆที่พวกนั้นรู้ความจริงเกี่ยวกับอาเจ้กันเนี้ยนะ มันไม่เข้าท่ากันหรอกน่า" เลอแชนยังไม่วายพูดถึงเรื่องของโมคุโตะไปอีก
              ทินเหมาลีต้องตำหนิไปว่า "ฉันคิดว่าเรื่องนี้ควรจะจบได้เสียทีแล้วน่ะ เลอแชน แม้พี่ใหญ่จะรู้ว่าไม่วันใดวันหนึ่งความลับนี้จะต้องถูกเปิดเผย ถ้าพวกเขาเลวจริงก็คงรีบไปบอกพีวิลและคนอื่นๆจนรู้ไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วละ"
              "ยิ่งในตอนนี้ พี่ใหญ่อยู่ในช่วงฝึกสอนทั้งสี่คนด้วยแล้ว ถึงเราไม่พูด พี่ใหญ่ก็อนุมานเรื่องทั้งหมดได้จากพีวิลและเจเนลอยู่แล้วละน่า พี่เลอแชน" กริมเบอรี่บอก เลอแชนได้ฟังก็ไม่สบอารมณ์

              โดยฝั่งพีวิลและเจเนไซด์ทีมนั้น "ฟึ่บๆๆๆ ควับ ฟึ่บๆๆๆๆ" จายด์และจิลเข้าโจมตีใส่เฟยหลงที่ใช้มือเปล่าปัดรับหมัดอันใหญ่โตของจายด์และการโจมตีด้วยเทเลพอร์ตของจิลที่มาทุกทางได้หมดทุกดอก ในเวลาเดียวกันกับที่เจเนลและพีวิลสู้กับบรอนเซอรูทไว้ "นี้แปลว่า นายกับพวกน้องๆถูกคนพามาที่เขานี้ตั้งแต่เด็กแล้วหรือ" พีวิลกล่าวพลางชกใส่บรอนเซอรูทที่ใช้หลังมือปัดหมัดให้ออกไป พร้อมกับยกเท้าหลบการเตะตัดขาของเจเนลไปด้วย
              "ใช่ แม้พวกน้องๆยังหลับสนิทอยู่ แต่ฉันพึ่งจะรู้เพราะอยู่ๆเหมือนมีหยดน้ำหล่นมาที่หน้า จนลืมตาเห็น หน้าของผู้หญิงคนหนึ่งที่ปิดหน้าไว้ครึ่งบนจนมองไม่ออกว่าหน้าตาของเธอผู้นั้นเป็นใครกัน" บรอนเซอรูทกล่าว แม้เขาจะเล่าไปพลางสู้กับเจเนลและพีวิลไป สมาธิของเขายังมั่นคงอยู่ แม้เจเนลจะตวัดเตะหลอกจากเตะตรงมาเป็นฟาดส้น บรอนเซอรูทก็ใช้ฝ่ามือยันและสบัดทำให้เจเนลเสียหลักไป
              "แล้วนายไม่คิดเลยหรือว่านั้นคงเป็นแม่ของนายกับพวกบ้างน่ะ" เจเนลกล่าวพร้อมกับกระโดดเข้าชกใส่บรอนเซอรูทไปด้วย
              "ทีแรก ฉันก็คิดเช่นนั้น แต่ถ้าเป็นแม่ของเราจริงก็น่าจะพูดให้ได้ยินสิว่า ลูกแม่ กันบ้าง แต่เธอกลับไม่ปริปากบอกอะไรเลยน่ะ"
              "แสดงว่ามีนายคนเดียวที่รู้ว่านายกับพวกน้องๆถูกใครพามาที่หุบเขาแห่งนี้สิน่ะ แล้วไม่คิดลงจากเขาแล้วออกตามหากันเลยหรือ" พีวิลกล่าวโดยหมุนตัวเตะใส่บรอนเซอรูทไปด้วย
              บรอนเซอรูทบอก "เคย หากแต่อาจารย์ให้พวกเด็กๆและเพื่อนร่วมสำนักมาขวางไว้กันทั้งนั้นน่ะ โดยอ้างไปว่า พวกเรายังไม่ถึงเวลาบ้าง ยังไม่พร้อมเตรียมใจรับความจริงไว้บ้าง ซึ่งพวกเราก็โดนมาหลายครั้งจนไม่คิดที่จะลงจากเขาเลยนะสิ แม้ว่าฉันจะได้ยินเรื่องราวจากโลกภายนอกที่พวกนายประสบมา และอยากจะช่วยพวกนายกันด้วยนะสิ" แล้วก็ใช้ฝ่ามือหยุดหมัดของเจเนลและฝ่าเท้าของพีวิลพร้อมกับ "ฟึ่บๆๆๆๆ" สบัดให้ทั้งสองเซล้มลงกับพื้นไป เช่นเดียวกับจายด์และจิลด้วย
              "แสดงว่า ลึกๆแล้ว นายกับพวกอยากจะรู้ว่าตัวตนของพวกนายเป็นใคร ใครเป็นคนพาพวกนายมา และพามาทำไมอย่างงั้นละสิ" เจเนลบอก
              เฟยหลงบอก "แม้ชาติกำเนิดจะเป็นเช่นไร เลวร้ายหรือดีงามแค่ไหน ก็ไม่สำคัญไปว่าการได้รู้จักตัวตนของตัวเองจากข้างในได้อย่างถ่องแท้ ซึ่งฉันกับบรอนเซอรูทต่างรู้ประสบการณ์ตรงของพวกเจ้ากันมาบ้างแล้ว แน่นอนว่าพรรคพวกของเจ้าเองก็คงแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน"
              "ในเมื่อพวกลูกศิษย์ของพวกท่านมีความพิเศษจริง แล้วทำไมถึงไม่ให้ลงจากเขาเสียเลยละ" จิลบอก
              จายด์กล่าว "คงไม่ได้ทำไปเพื่อปกป้องพวกเขาจากการเอาชีวิตของพวกโอเวอร์เดสงั้นสิ"
              "ก็มีส่วน เพราะคนที่ข้องแวะกับสงครามนั้นจะอายุสั้นเร็วกว่าพวกที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าขงเบ้งไม่เจอกับเล่าปี่และปฏิเสธความช่วยเหลือแล้วละก็ มังกรหลับก็คงจะอยู่บนเขาอย่างสงบมานานร้อยปีกว่าแล้ว ไม่น่ามาจบชีวิตลงในสมรภูมิรบสามแผ่นดินไปได้หรอก" เฟยหลงเปรียบเปรย "แม้ว่าพวกเจ้าทั้งสี่จะรู้สาแก่ใจดี ว่าพวกเจ้าที่ถูกปลุกจากความตายขึ้นมาในฐานะนักรบและเครื่องมือสำหรับทำสงคราม จิตใจของพวกเจ้าที่ผ่านความตายที่ควรจะเป็นปลายทางสุดท้ายของชีวิตแล้วฟื้นขึ้นมาคงจะมีสภาพจิตที่ไม่มั่นคง บวกกับปัจจัยทางกายภาพที่มาจากกลไกที่อยู่ในตัวพวกเจ้าทั้งสาม และพลังอันยิ่งใหญ่ที่เจ้ามีในตัวด้วยนั้น ทำให้ยากที่จะผ่านการฝึกฝนครั้งนี้ไปได้น่ะ"     
              เจเนลถาม "แล้วไม่มีทางไหนที่จะแก้ไอ้ตัวระบบเฮงซวยนี้กันเลยหรือ"
              "สิ่งที่ติดตัวพวกเจ้ามาโดยตลอดนั้น ถ้าเป็นวิธีการทางแพทย์หรือด้านวิชาการ อาจจะช่วยถอดออกได้ แต่จิตใจที่แตกร้าวจากการผ่านความตายมานั้น เป็นจิตของตัวพวกเจ้าเอง จำเป็นต้องให้พวกเจ้าเยียวยาด้วยตัวเองไว้ ข้าแค่ทำได้เพียงแนะแนวทางให้พวกเจ้าปฏิบัติได้ด้วยตัวเองเท่านั้นน่ะ" เฟยหลงบอก และสั่งให้ "ไปนั่งสมาธิกันตรงนั้นได้แล้วละ" ทั้งสี่ไปนั่งด้านหน้าน้ำตกไว้
              "ว่าแต่ต้องทำนานแค่ไหนกันน่ะ" จิลถามหลังจากที่เธอขัดสมาธิไว้ แม้ว่าจายด์จะขัดสมาธิได้ลำบากเพราะขาสวมเกราะเอาไว้
              "จนกว่าพวกเจ้าจะเข้าใจในตัวตนของพวกเจ้านี้แหละ เอาละ หลับตา แล้วก็กำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆ" เฟยหลงบอก เจเนลจึงทำตามแบบไม่เต็มใจ เฟยหลงกล่าว "แล้วก็ทำใจให้ว่างเอาไว้ เจเนล ฉันรู้น่ะว่ามันยาก แต่ถ้าเจ้าปล่อยให้จิตฟุ้งซ้าน มีอะไรคิดอยู่ในหัวอยู่ตลอดเวลา เหมือนเช่นที่เจ้าปล่อยให้โทสะครอบงำเจ้า เจ้าก็จะทำอะไรพลาดตลอดเลยน่ะ"
              เจเนลกล่าว "เอาอย่างงั้นก็ได้นะ ลุง แม้ที่ว่ามานั้นจะตรงทุกประการเลยน่ะ"

              "ซ่า....." เสียงน้ำตกไหลเข้ามาในหูของทั้งสี่ไว้ เฟยหลงหลับตากล่าวด้วยกระแสจิต "ตอนนี้ สมาธิของพวกเจ้าอยู่ในสภาพว่างแล้ว ใจสงบนิ่ง พร้อมที่จะเรียนรู้ถึงตัวตนของเจ้ากันแล้ว จิล ตัวของเจ้ากำลังลอยอยู่ กรุณาคุมให้อยู่นิ่งกับพื้นไว้ตลอดน่ะ" เมื่อเห็นจิลขัดสมาธิลอยตัวอยู่
              จิลหลับตาโดยที่ใช้กระแสจิตสื่อสาร "แต่จะคุมได้ไงกันคะ ในเมื่อพลังจิตของฉันยังคุมให้อยู่นิ่งไม่ได้เลยน่ะ"
            "นั้นเพราะแม้จิตของเจ้าจะนิ่งก็จริง แต่ก็นิ่งเพียงบางส่วนเท่านั้นเองน่ะ ซึ่งนั้นก็คือบททดสอบการเรียนรู้ตัวตนของพวกเจ้าเอง ไปพร้อมกับสู้กับปัญหาที่มาจากภายใน ด้วยการเข้าใจถึงสิ่งที่พวกเจ้าเป็นอยู่" เฟยหลงกล่าว และเริ่มต้นเทศน์สอนไป "ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นก็ย่อมมีดับไป แม้พวกเจ้าจะโชคดีที่ผ่านพ้นความตายมาได้ก็จริง ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ผ่านเข้าในช่วงชีวิตของเจ้าที่ชาตะกรรมได้ดึงพวกเจ้าให้ยังอยู่ เพราะพวกเจ้ายังไม่ถึงคราวที่จะจบชีวิตกันในเวลานี้ก็จริง แต่พวกเจ้าก็ย่อมเจอกับวาระสุดท้ายไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตาม แม้จะดิ้นรนหรือไม่ ก็ไม่อาจจะหนีพ้นความตายไปได้กันน่ะ"
              เจเนลที่หลับตาตั้งสมาธิคิดในใจขึ้นมา "แปลว่าพวกเราจะต้องตายเพราะหมดพลังอย่างงั้นนะหรือ"
            "เป็นเช่นนั้นแหละ เจเนล เพราะถ้าทุกชีวิตล้วนมีอายุขัยที่สั้นยาวฉันใด แมนิเกเตอร์อย่างพวกเจ้าและพวกศัตรูของพวกเจ้าเอง ก็ย่อมมีวันที่ดับสูญลงได้เช่นกัน หากแต่วันนั้นจะมาช้าหรือเร็วนั้น ยากที่จะรู้ได้" เฟยหลงหลับตาพูดคุยจนเจเนลได้ยินไปด้วย เช่นเดียวกับพีวิลและจายด์ที่ได้ยินเสียงเข้ามาในหัวไว้ "แม้สิ่งที่แมนิเกเตอร์อย่างพวกเจ้าจะถูกสร้างมาด้วยวิธีที่ฝืนอำนาจธรรมชาติอย่างมาก แต่เมื่อสิ่งหนึ่งถูกสร้างและมีความรู้สึกคิดอ่าน พูดคุยสื่อสาร หรือแม้กระทั่งรับฟังหรือตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า แมนิเกเตอร์เองก็มีจิตใจเป็นเหมือนกัน หากแต่ พวกเขาอยู่ในสภาพที่ไม่รู้หรือไม่ยอมรับถึงกฎการเวียนว่ายตายเกิดอย่างถ่องแท้ ซึ่งรวมถึงมนุษย์ที่ควรจะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิต แต่ถูกดึงออกจากวัฎจักรขั้นสุดท้ายกลับสู่วังวนแห่งการมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะมีอัตลักษณ์ที่แตกต่างกันไป ร่างกายที่แปรเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งกายเดิมของเจ้าย่อมมีหรือไม่มี ก็ขึ้นกับว่าพวกเจ้าตายกันยังไงน่ะ"
              พีวิลบอก "เหมือนที่ผมถูกฆ่าตายไป และคิดว่าคงจะจบสิ้นลงแค่นั้นสิน่ะ"
            "ถูกต้อง ข้าได้ยินเสียงแห่งจิตของเจ้าก็พบว่าเจ้ามีจิตที่แกร่งมาก แม้กายเนื้อของเจ้าจะเสียหายไปไม่น้อยถึงขั้นต้องเยียวยาด้วยการแฝงวัตถุบางอย่างเข้าไปในร่างกายเพื่อรักษาชีวิตของเจ้าเหมือนที่เจเนล จายด์และจิลถูกกระทำโดยไม่ได้ต้องการก็ตาม หากแต่จิตใจของเจ้านั้นสั่นไหวและหวั่นเกรงจากบาปที่กระทำไว้โดยที่ไม่รู้สึกตัวเลยสิน่ะ" เฟยหลงบอก
              พีวิลพยักหน้า "ที่ท่านพูดมาตรงทุกประการนะครับ แม้จะสามารถชนะอีเนอไมนด์ลงไปได้ แต่ก็มิอาจลบล้างความรู้สึกผิดบาปในใจเอาไว้เลยนะครับ"
            "และยากจะปล่อยวางมัน เพราะถ้าปล่อยวางบาปที่ก่อ ก็จะไม่มีตัวบ่งบอกว่าเราไม่ควรจะกระทำผิดซ้ำเลยสิน่ะ" เฟยหลงกล่าว "พีวิล ฉันรู้ดีว่าเจ้าแบกรับบาปมานานแค่ไหน แต่ จะให้แบกอย่างงี้ต่อไปจนเกิดความหวาดกลัวในใจถึงขั้นที่หวาดกลัวต่อตัวเธอเอง แม้เธอจะพูดว่าเข้มแข็งหรือไม่เป็นไรเช่นนี้ เธอกำลังโกหกตัวเองซึ่งถือว่าบาปมากที่ไม่ซือตรงต่อตัวเองกันด้วยน่ะ"
              พีวิลได้ฟังก็เข้าใจ "ท่านพูดมา ผมได้เข้าใจดีแล้วละครับ"
            "เจเนลเองก็เช่นกัน เธอซึ่งเป็นเพื่อนของพีวิลที่เติบโตและสูญเสียพ่อแม่มาเหมือนกันนั้น แม้อุปนิสัยของเธอจะเป็นคนที่ไม่ยอมฟังใครและทำตามใจตัวเอง เพราะส่วนหนึ่งเธอต้องการให้มีคนยอมรับในตัวเธอ แม้ว่านั้นจะทำให้พีวิลต้องลำบากใจกับการกระทำของเธอด้วยการทะเลาะเบาะแว้งกันก็ตาม ด้วยนิสัยที่เธอมีอยู่ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือแมนิเกเตอร์ก็ตาม จึงเป็นตัวฉุดรั้งให้เธอเป็นฝ่ายตามหลังพีวิล และเป็นตัวกระตุ้นให้เธอท้าทายและสู้กับพีวิลเพื่อให้ตัวเองทัดเทียมกว่าเขาเลยสิน่ะ" เฟยหลงบอก
              เจเนลกล่าว "นี้ท่านอ่านใจของผมด้วยหรือ แม้ว่าที่ท่านพูดมานั้นจะตรงทุกประการเลยน่ะ"
            "สิ่งที่เจ้ากระทำและปฏิบัติตนอยู่นั้น ได้บอกถึงสภาพจิตใจของเจ้าที่เป็นอยู่กันด้วยน่ะ เจเนล หากแต่การใช้ความก้าวร้าวหรือวู่ว่ามนั้น ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องหรอกน่ะ เพราะถึงพีวิลจะได้ตำแหน่งยศที่สูงกว่าเจ้าก่อนก็จริง ในฐานะเพื่อนนั้น เจ้าควรจะยอมรับและให้กำลังใจผู้เป็นเพื่อนที่ได้ดี เช่นเดียวกันกับคอยเตือนสติเวลาที่เพื่อนเกิดความลำพองใจและปล่อยให้ความทะเยอทะยานครอบงำ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ข้าพูดถึงพีวิล มันจะไปตรงกับสิ่งที่เจ้าเป็นอยู่ก็ตาม" เฟยหลงบอก "สิ่งที่ทำให้เจ้าทัดเทียมกับพีวิลได้นั้น คือการยอมรับความผิดพลาดของตนเองและภูมิใจในสิ่งที่มีและเป็นอยู่ ทำอะไรย่อมมีหัวคิดและรอบคอบ เพราะคนเราก็ดี แมนิเกเตอร์ก็ช่าง ล้วนมีหรือสร้างความผิดพลาดให้ตัวเองและคนอื่นได้เสมอ แม้หนึ่งความผิดพลาดเล็กๆก็ย่อมกลายเป็นปัญหาอันใหญ่โตได้ หากไม่ระวังมากพอกันน่ะ"
              จายด์กล่าว "แม้กระทั่งร่างกายที่ใหญ่เองก็อาจเป็นปัญหาเหมือนกันกับพลังจิตของจิลด้วยละสิ"
            "ใช่แล้วละ จายด์ แม้อุปนิสัยดังเดิมของเจ้าคืออ่อนน้อมถ่อมตน และมีน้ำอดน้ำทนมากกว่าใครเพื่อนก็จริง แต่ลึกๆแล้ว จิตใจของเจ้าก็อยากจะโต้ตอบกับพวกเขาด้วยกำลังเพื่อหยุดพวกเขากันบ้าง แม้ว่านั้นจะทำให้ตัวเองดูเป็นคนที่ชอบใช้กำลังและความรุนแรงไปเลยก็ตาม เนื่องจากว่าร่างอันสูงใหญ่ของเจ้านั้นที่ทำให้ถูกมองไปในแง่ลบเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ได้มองในแง่ดีของมัน ที่เจ้าได้ใช้เพื่อสละชีพให้กับคนอื่นๆไว้ แม้ในตอนนี้ กายของเจ้าจะใหญ่มากจนทำอะไรติดขัดไปเลยก็ตาม" เฟยหลงพูดกับจายด์ไว้ "แต่เจ้าจงจำเอาไว้น่ะ กายของเจ้าแม้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่จิตใจของเจ้าขอให้แกร่งตามไปด้วย ความอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพเรียบร้อยขอให้รักษาเอาไว้ เช่นเดียวการประมาณตนในการใช้พละกำลังที่เพิ่มพูนของเจ้าให้พอเหมาะไปด้วย เพราะความเปลี่ยนแปลงทางกายของเจ้านั้นจะต้องใช้ความรับผิดชอบต่อตนเองสูงแต่ไม่ถึงกับเห็นแก่ตัวจนละเลยความเป็นตัวของตัวเองด้วยละ"
              จิลถาม "แล้วฉันละคะ"
            "ว่ากันตามตรงเลยน่ะ จิล หนูมีจิตที่กล้าแกร่งถึงขั้นที่สามารถมองเห็นตัวตนของหนูไว้ แม้ว่าอัตลักษณ์ภายนอกของหนูจะต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ตาม ส่วนหนึ่งที่หนูยังควบคุมพลังไม่ได้นั้น เพราะยังหวาดกลัวว่าหนูไม่มีความมั่นใจบวกกับความหวาดกลัวว่าพลังของหนูที่มากมายนั้นจะทำร้ายคนอื่นเหมือนที่หนูพลั้งเผลอกันไว้สิน่ะ" เฟยหลงกล่าว จิลพยักหน้าแม้เฟยหลงจะใช้สรรพนามแทนตัวจิลว่า หนู ก็ตาม แต่ก็ไม่โกรธอะไรเพราะน้ำเสียงแห่งจิตที่สุภาพเรียบร้อยของผู้ที่ผ่านโลกมาอย่างยาวนานได้ลดทอนความโมโหลง แล้วฟังอาจารย์เล่าต่อ "ด้วยจิตใจดั่งเดิมของหนูที่อ่อนแอเช่นนั้น เลยทำให้พลังจิตของหนูที่เดิมไม่สามารถควบคุมได้หลังจากที่หนูเสียชีวิตไปแล้ว แม้จะมีคนทำให้ร่างกายหนูหดเพราะคิดว่าปริมาณขนาดเล็กน่าจะกักมวลสารขนาดใหญ่ให้อยู่การควบคุม แต่จริงๆแล้ว ภาชนะที่ยิ่งใหญ่มากต่างหากละที่ควรจะใช้ใส่มวลสารที่เหมาะสม เปรียบเหมือนโหลแก้วเล็กที่พยายามจะนำไปบรรจุน้ำมหาสมุทรทั้งปวงลงในขวดเพียงหนึ่งเดียวฉันใด โหลแก้วเล็กนั้นย่อมแตกลงภายในเวลาอันสั้นแน่นอน"
              จิลได้ฟังก็ถึงกับตกใจ "แล้วแบบนี้ หนูก็คงไม่หัวโตจนแตกกระจุยเลยหรือคะ"
            "พลังจิตนั้นเป็นของหนูที่ติดตัวมาอย่างงั้นใช่มั้ยละ" เฟยหลงถาม จิลพยักหน้า และฟังผู้อาวุโสแนะนำ "จิตใจของหนูในตอนนี้ หนูไม่เพียงต้องยอมรับว่าตัวหนูเองก็มีพลังจิตที่ยิ่งใหญ่อยู่กับตัว หากแต่หนูจำต้องควบคุมมันด้วยตัวหนูเอง และอย่ากลัวที่จะต้องใช้มัน เพราะความกลัวนั้นจะยิ่งทำให้พลังที่น่ากลัวนั้นอยู่เหนือการควบคุมของหนูไปทีละนิด เผลอๆอาจจะทำให้จิตใจของหนูเสียสูญไปด้วย สติสัมปะชัญญะของหนูนั้นกล้าแกร่งในระดับเดียวกับพีวิล เจเนลและจายด์หรืออาจจะมากกว่านั้น แค่หนูตั้งสติให้มั่นคงมากพอเพื่อที่จะควบคุมสิ่งที่คนธรรมดาหรือคนนอกมิอาจแก้ไขได้ เช่นเดียวกันกับเปิดใจให้กว้างให้คนอื่นยอมรับในความจริงจังของตัวหนูไว้ แม้หนูจะมีกายเป็นเด็กแต่จิตใจของหนูล้วนใหญ่พอๆกันกับจายด์เสียอีกน่ะ ซึ่งฉันไม่ได้พูดโอ้อวดแต่อย่างใดเลยน่ะ"
              จิลบอก "แค่ได้ยินคำชมก็ถือว่าดีแล้วละ แล้วที่เราต้องยอมรับในกายและในพลังของเรานั้น คงไม่ได้ให้ยอมรับในความเจ็บปวดที่คนอื่นทำให้หรือว่าติดตัวเรามาด้วยนะหรือ"
            "ไม่ว่าจะเหตุผลกลใดก็ตาม บาดแผลแห่งความเจ็บปวดของเจ้าก็ได้ปรากฎขึ้นมากันแล้ว แม้บาดแผลนั้นจะยากเกินกว่าจะอดทนอดกลั้นไปได้ก็ต้องยอมรับในความเจ็บปวดดังกล่าว เหมือนเช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานั้น ย่อมมีการผันแปรเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือจากการกระทำก็ตาม แม้เจ้าจะรับรู้ได้หรือไม่ ลึกซึ่งหรือตื้นเขินกันเพียงไร รู้มากน้อยแค่ไหน สติของพวกเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่าควรทำเช่นไร แม้ว่าลึกๆแล้วพวกเจ้าอาจจะยอมรับหรือไม่ยอมรับเลยก็ตาม นั้นก็เป็นการตัดสินใจของพวกเจ้ากันอยู่แล้ว" เฟยหลงบอก "เพราะว่าไม่มีใครหน้าไหนสามารถล่วงรู้อนาคตได้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนราวกับมีตาทิพย์หรือญาณล่วงหน้ากันก็ตาม อนาคตเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นและย่อมมีเปลี่ยนแปลงได้เสมอ อดีตเป็นเรื่องราวที่ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม ก็อย่ายึดติดและใส่ใจมากจนเกินไป ควรปล่อยวางกันเสียบ้างเพื่อให้จิตใจไม่มีพันธะผูกมัดเอาไว้ ดังนั้น เราควรอยู่กับปัจจุบันและมีสติอยู่เสมอเวลากระทำอะไรไว้ แม้สภาพการณ์จะไม่เอื้ออำนวยให้ต้องคิดเลยก็ตาม รวมถึงพวกเจ้าทั้งหมดที่ต้องเสี่ยงอันตรายที่เข้ามาหาตัวพวกเจ้าเลยก็ตาม" แล้วก็ตบมือเพื่อปลุกพวกพีวิลให้ตื่นขึ้นมา

              พีวิลกล่าว "ไม่นึกเลยว่ากระแสจิตของพวกเราจะได้ยินเสียงของท่านด้วยน่ะ ทั้งๆที่เราอยู่นิ่งๆกันเลยน่ะ"
              "และไม่เคยนั่งอะไรได้นานแบบนั้นมาก่อนน่ะ พอรู้สึกตัวอาการปวดเมือยก็บังเกิดได้ในทันทีเลยน่ะ" เจเนลบอก
              บรอนเซอรูทกล่าว "นั้นเพราะว่าสติของพวกนายไม่ได้ควบคุมกายที่อยู่นิ่งไว้ จนอาการปวดเมือยบังเกิดและสะสมไว้ทีละนิด หากแต่กายที่นิ่งเพราะจิตสงบนิ่งไม่รับรู้สภาวะใดๆทั้งภายนอกและภายในกายในช่วงที่พวกนายตั้งสมาธิไว้เป็นเวลานาน พอสติกลับมาที่ร่างตามเดิม ความปวดเมือยที่สะสมนั้นก็บังเกิดขึ้นมาไว้อย่างที่เป็นอยู่นี้แหละ"
              "แน่ละ เพราะว่าร่างกายของเราไม่ได้แข็งทือเหมือนหินเลยนิ" จิลกล่าว
              เฟยหลงบอก "นั้นก็คงจะเข้าใจได้แล้วสิน่ะ ว่าขีดจำกัดทางร่างกายนั้นย่อมมีข้อจำกัดมากน้อยตามแต่สภาพที่เป็นอยู่ เช่นเดียวกับภายในร่างกายของพวกเจ้าเอง ซึ่งถ้าเจ้าสามารถคุมสติตั้งมั่นอยู่ในสมาธิเอาไว้ เจ้าก็จะสามารถควบคุมพลังและบางอย่างในร่างกายของพวกเจ้าที่มีติดตัวในเวลานี้ได้ดั่งใจนึก หากแต่ข้อจำกัดของเจ้านั้นจะค่อยๆขยายตัวเพื่อรองรับกับอัตราของพลังภายในที่เจ้ามีอยู่เช่นกัน ซึ่งรวมถึงการทำให้กายของเจ้าแข็งแกร่งกันด้วย"
              "งั้นที่ให้ฝึกยกของหนักก็ดี ให้ไปวิ่งทั้งอย่างงั้นก็ดี หรือแม้กระทั่งยืนนิ่งๆนั้นก็เป็นการฝึกทางร่างกายด้วยนะหรือ" จายด์กล่าว
              เฟยหลงบอก "ถูกต้อง เพราะว่าพวกเจ้าเกือบทั้งหมดนั้น มีพื้นฐานการต่อสู้อยู่ แม้เจ้ากับจิลไม่มีทักษะการต่อสู้ติดตัวเหมือนกับพีวิลและเจเนล ที่มีทั้งพลัง ทักษะและกายพร้อมสำหรับการฝึกเพิ่มเติม เช่นเดียวกับบรอนเซอรูทที่มีความสามารถการต่อสู้รอบด้าน แต่ก็ต้องฝึกเพื่อขัดเกลาฝีมือให้แข็งแกร่งอยู่เสมอกันน่ะ"
              "แต่ ในเมื่อท่านฝึกผมและพวกเจเนลได้ แล้วทำไมถึงไม่ฝึกคนอื่นๆเลยละครับ" พีวิลถามเพราะสงสัยในสิ่งที่เฟยหลงทำอยู่
              ปรมาจารย์จำต้องอธิบายไปว่า "เอชมาสวาร์ทาร์มีทักษะเชิงดาบที่ผ่านการฝึกฝนมาแต่เด็กจนถึงบัดนี้ อยู่ในขั้นที่สามารถสอนวิชานั้นให้กับคนอื่นๆได้แล้ว แม้จิตใจจะกังวลถึงสภาพกายที่มีปัญหาในตอนนี้อยู่บ้าง แต่ก็สามารถเข้าใจในตัวเองได้ดีและเร็วกว่า จึงไม่จำเป็นต้องสอนเพิ่มเติม สเปียริทนั้น ทักษะอาวุธนั้นมีอยู่กับตัว แต่ยังไม่ได้ฝึกกระบวนท่าบางอย่างเบื้องต้น และยังขาดทักษะด้านการสู้ด้วยหมัดมวยที่ควรจะใช้ในยามที่อาวุธไม่อยู่กับตัว ซึ่งทินเหมาลีกำลังฝึกสเปียริทกันอยู่ คลอเวฟนั้นแม้จะแข็งแกร่งด้วยทักษะการใช้อาวุธและกายภาพที่เป็นอยู่ แต่จิตที่คิดว่าตัวเก่งกาจมาก เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องฝึกทั้งๆที่สิ่งที่ควรจะฝึกนั้น คือฝึกให้สำรวมจิตและใจเย็นตามพลังธาตุน้ำที่มีอยู่ สเตฟอร์ดและโฟรซ่านั้นก็มีทักษะการต่อสู้ที่เก่งกาจมากเกินกว่าที่จะสอนเพิ่มเติม แค่ให้ปรับปรุงและขัดเกลาฝีมือที่มีอยู่ให้ดีขึ้นเช่นเดียวกับเรียนรู้เพิ่มเติมท่วงท่าไม้ตายมากขึ้น" แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาและพูดต่อ "พลัสเชอริทเองก็ต้องฝึกให้รับมือได้ด้วยตัวเองมากขึ้น เรียนรู้ในสิ่งที่สมองกลของเขาไม่เคยประสบมา เช่นเดียวกับฝึกให้ไซโคลเนียพึ่งพาตัวเองและเอาตัวรอดในยามที่ความสามารถในการบินที่มีอยู่นั้นใช้การไม่ได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทั้งหมดนี้ล้วนต้องพึ่งพาพวกทินเหมาลีในการฝึกสอน เช่นเดียวกับ สอนพวกเขาให้รู้จักโลกภายนอกและรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงสภาพแวดล้อมที่พวกเจ้าอยู่ด้วยกันน่ะ"
              "งั้นที่พวกแปลกๆทั้งเจ็ดนั้นไปฝึกก็เพื่อที่ให้พวกนั้นรู้ว่าเกิดอะไรนอกเขาด้วยนะหรือ" เจเนลบอก
              เฟยหลงกล่าว "ใช่ และพวกเจ้าทั้งสามเอง โดยรวมแล้วไม่ใช่คนเลวร้ายไปซะทั้งหมดหรอกน่ะ หากแต่พวกเจ้าไปเจอคนผิดกันก็เท่านั้นเอง ข้าจึงมองว่าพวกเจ้าไม่เพียงที่จะได้รับการสอนสั่งเพื่อขัดเกลาจิตใจที่ยังสับสนว่าจะทำอะไรต่อไป หากไม่มีคนที่ชื่อครองคอร์ดหรือหลุดพ้นจากกำมือของคนๆนั้นไปแล้ว ซึ่งข้าไม่รีบบังคับให้พวกเจ้าตัดสินใจได้หรอกน่ะ"
              "ว่าแต่ พวกนายสองคนจะสู้ต่อหรือเปล่าละ" บรอนเซอรูทกล่าว
              พีวิลบอก "ขอพวกเราไปพักกันได้มั้ย นั่งนานไปหน่อยเลยแทบไม่มีแรงจะทำอะไรต่อแล้วน่ะ" เจเนลพยักหน้าแต่แยกไปเดินอีกทางไว้ แล้วการฝึกช่วงบ่ายก็จบลง

              ตัดกลับมาที่แกรนฟอร์เทสซิโม่
              "สัญญาณของพวกเจเนไซด์ทีมสูญหายไปแบบนี้ ท่านคงจะร้อนใจมากเลยสิน่ะ" โครเต้กล่าว
              ครองคอร์ดบอก "สัญญาณล่าสุดนั้นมันหายไปในรัศมีแถบนี้ ซึ่งครอบคลุมเขตชายแดนของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ฝั่งตะวันตกไว้ แถมในช่วงนี้กองทัพประเทศจีนเองก็เคลื่อนไหวมากยิ่งขึ้น นับแต่โซลูนาสตี้บุกโจมตีเมืองต่างๆในแถบเอเชียตะวันออกและอาคเนย์กันด้วยน่ะ"
              "แปลว่า ท่านไม่เสี่ยงพอที่จะบุกไปตอนนี้เลยละสิ" โครเต้บอก
              ครองคอร์ดพยักหน้า "....การค้นหาพวกเจเนไซด์ทีมและพวกคนทรยศนั้น แม้จะหลบซ่อนบนหุบเขากันก็จริง แต่ น่าเสียดายมากที่ข้าไม่สามารถบินขึ้นไปบนนั้นได้ ต่อให้บินสูงแค่ไหน ข้าก็เสี่ยงให้ถูกจับก็ไม่ได้เสียด้วยกันน่ะ"
              "แต่ข้าสามารถช่วยท่านได้น่ะ" ไวซ์ไมเซลบอก และเปิดภาพโฮโลแกรมแผนที่ชายแดนตะวันตกมา "ไฮดร้าที่จายด์ยืมไปใช้นั้น มันพึ่งเดินอยู่ในเขตป่าซึ่งบนหลังได้ติดเครื่องสแกนเนอร์ตรวจสอบสภาพพื้นที่โดยรอบไว้ จนพบว่า ในเขตเทือกเขาทางชายแดนตะวันตกของจีนนั้น มีหุบเขาลูกหนึ่งที่สูงเกินระดับเพดานบินของท่านในระดับ 1,000 ฟุต อยู่ลูกหนึ่ง ที่ไม่เพียงตรวจเจอสัญญาณของพวกมนุษย์ แต่ยังตรวจพบอีกว่า บนยอดเขาในระดับความสูงตั้ง 800-900 ฟุตนั้นมีลมพัดอยู่ล้อมรอบซึ่งรบกวนระบบสื่อสารทุกประเภทเอาไว้ คาดว่าพวกนี้จะอยู่บนยอดเขากันด้วยน่ะ"
              ครองคอร์ดบอก "แล้วมีอะไรที่พิสูจน์ได้มั้ยละ ว่าพวกนั้นอยู่บนยอดเขากันน่ะ"
              "สตอร์มฮอวค์อาคาชิคบินออกจากป่ากลับไปยังไฮด์เฟเธอร์เมื่อ 3-4 วันก่อน ซึ่งเจ้าอาคาชิคนั้นเป็นนกยักษ์ที่อาทรัลเตอร์ดูแลไว้ จึงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพวกมาสวาร์ทาร์อยู่บนยอดเขาลูกนั้นแน่นอน" ไวซ์ไมเซลกล่าว
              โครเต้บอก "ตะกี้นี้เจ้าบอกว่า พวกมาสวาร์ทาร์อยู่บนยอดเขาสูงพันฟุตนะหรือ....อืมมมม....ข้าคิดว่า แค่ให้พวกนั้นไปที่สุสานแห่งดาบก็น่าจะเกินพอแล้วละ"
              "แต่ ถ้าเราไม่ไปตามจัดการกับพวกศัตรูบนยอดเขาที่มีพวกมนุษย์กบดานอยู่ด้วยแล้ว เผลอๆเกิดพวกมันลงจากเขาและบุกมาโจมตีท่านถึงฐานนั้นก็คงจะ..." ไวซ์ไมเซลบอก
              ครองคอร์ดกล่าว "....ข้าเห็นด้วยกับแผนของท่านแม่ทัพโครเต้น่ะ ถ้าเกิดว่าหุบเขาแห่งนั้นติดกับชายแดนของแผ่นดินจีนกันก็จริง แม้มันจะมีหรือไม่อาวุธหรือระบบป้องกันซ่อนเอาไว้บนเขา หรือคนบนเขานั้นมีการป้องกันหรือเตรียมโต้ตอบเรามากน้อยแค่ไหนก็ตาม การบุกโจมตีบนยอดเขานั้นไม่เพียงจะทำให้เครื่องบินตรวจการณ์ของทางการจีนที่อาจจะวนเวียนอยู่บนฟากฟ้าเห็นเข้าจนแจ้งเรียกกำลังเสริมมารวมตัวกัน แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะไม่เอื้ออำนวยสำหรับกองรบยานเกราะ แต่กับพลทหารที่ชำนาญพื้นที่ในป่าและหุบเขาสูง รวมถึงอากาศยานของประเทศจีนที่แข็งแกร่งไม่เป็นสองรองใครในกลุ่มพันธมิตรเอเชียใหญ่ด้วยแล้ว นั้นจะทำให้พวกเราเสียกำลังรบไปโดยใช่เหตุเลยน่ะ"
              "ความหมายของท่านก็คือ รอให้พวกคนทรยศและลูกน้องของท่านลงจากเขามา อย่างงั้นใช่มั้ยละ" ไวซ์ไมเซลกล่าว ครองคอร์ดพยักหน้า
              โครเต้บอก "ตามความคาดเดาของข้า ปานนี้ทราเวยน์คงจะออกตามหาที่ตั้งสุสานแห่งดาบกันแล้ว เวลาของมาสวาร์ทาร์ในตอนนี้มาถึงครึ่งทางด้วย ภายใน 5 วันต่อจากนี้ มันจะต้องมาแน่นอน หาไม่ มาสวาร์ทาร์จะต้องตายโดยไม่ได้ทำอะไรสักอย่างเลยน่ะ"
              "ไว้เราจัดการกับพวกคนทรยศที่นั้นพร้อมกับสหายใหม่สักคนสองคนไปด้วย อย่างน้อย นั้นจะตัดกำลังใจของโคเคสและพวกกันอย่างมากเลยละ" ครองคอร์ดบอก และสั่งการให้ "ไวซ์ไมเซล สั่งให้ไฮดร้าของเจ้าจับตารอบๆเขาไว้ทุกฝีก้าวด้วยละ"
              ไวซ์ไมเซลตอบ "เรื่องนี้ข้าจัดการไว้นานแล้วละ พอคนทรยศลงจากเขามา ไฮดร้าก็จะทำงานในทันทีเลย..." แต่หารู้ไม่ว่า ตอนนี้ไฮดร้าของจายด์ที่ไมเซลใช้อยู่นั้น ถูกตัดคอไปจนไม่งอกออกมากันหมดแล้ว

              ตอนกลางคืนของการฝึกในวันที่สามบนเขา
              "ยัยสเปียริทหายไปไหนกันน่ะ" โฟรซ่ากล่าวโดยเดินกลับเข้าห้องหลังจากที่ไปแปรงฟันแล้ว
              คลอเวฟบอก "ยัยบื้อนั้นแอบไปข้างหลังอาราม เพื่อไปที่หอสูงสามหอกันนะสิ"
              "หมายถึงหอเก็บตำราซึ่งช่วงกลางวันนั้นมีคนเฝ้าอยู่ไม่ว่าจะช่วงเช้าหรือช่วงบ่ายกันละสิน่ะ แม้ว่าเมื่อวานจะเปิดไว้เพื่อให้พวกเด็กๆเข้าไปเรียนหนังสือกับศิษย์คนอื่นๆกันด้วยน่ะ" สเตฟอร์ดบอก
              มาสวาร์ทาร์กล่าว "ตอนนี้ฉันก็โดนเรียกให้มาที่อารามหลัก ซึ่งตอนนี้อาจารย์เฟยหลงเรียกให้ไปคุยกันสักหน่อยน่ะ"
              "แล้วพีวิลและพวกเจเนไซด์ทีมล่ะ" ไซโคลเนียถาม
              พลัสเชอริทบอก "พีวิลหลับกันตรงนี้แล้วละ ส่วนพวกเจเนลนั้นหลับอยู่ฝั่งตรงข้ามไว้ แน่นอนว่า ทอฟคานิค เลอแชน ฟันดิวเรคและเซเทธเฝ้าอยู่ เลยเข้าไปไม่ได้กันน่ะ"
              "คงจะกลัวว่าพวกนี้จะลุกขึ้นมาก่อเรื่องเหมือนเมื่อวันก่อนละสิ" โฟรซ่าบอก
              มาสวาร์ทาร์กล่าว "ไม่หรอก เพราะว่าพวกเขาทั้งสามนั้น อยู่ภายใต้คำสั่งของครองคอร์ดและถูกบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการมาแต่แรกนั้น ก็เท่ากับว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายเหมือนกับครองคอร์ดและพวกแต่อย่างใด ดังนั้น การที่อาจารย์เฟยหลงให้พวกเขาฝึกพร้อมกับพีวิลนั้น ก็เพื่อชี้นำพวกเขาไปในทางที่ถูกที่ควรกันน่ะ"
              "ทั้งๆที่เจเนลมันโคตรกวนตีนมากเลยเนี้ยน่ะ มันจะรับฟังคำสั่งโคเคสได้เลยหรือ" คลอเวฟกล่าว
              สเตฟอร์ดบอก "นายก็อย่าลืมด้วยน่ะ ว่าเจเนลเองก็เคยเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของฉันและโฟรซ่ามาก่อน ถ้าเจเนลไม่เห็นแก่พีวิลก็น่าเห็นแก่พวกเรากันบ้างน่ะ"
              "มันก็จริงอยู่น่ะ เพราะตอนนี้สี่ตัวเอ้ในหน่วย 54 ก็ครบทีมแล้วนิ" ไซโคลเนียบอก
              โฟรซ่ากล่าว "ตอนนี้นายเหลือเพียงแค่ 5 วันแล้วสิน่ะ มาสวาร์ทาร์ นายเตรียมพร้อมสำหรับการสู้กับขุนพลตัวแสบของนายหรือยังละ"
              "ฉันเตรียมไว้นานแล้วละ แม้จะรู้ว่าทราเวยน์จะได้ดาบที่ทรงพลังอยู่ในมือก็ตาม ทั้งกายและใจพร้อมที่สู้เต็มที่แล้วละ" มาสวาร์ทาร์กล่าวและเดินออกจากที่พักไป
              ในเวลาเดียวกันกับที่... "ยัยทินเหมาลีเรียกเรามานี้คงไม่คิดที่จะทำอะไรแพลงๆกันละสิ" สเปียริทเดินเข้ามาตรงหน้าหอตำราไว้ ซึ่งก็.... "งึง" สเปียริทรู้สึกได้ถึงความทรงจำที่เธอยืนอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ไว้ และเปิดออกมามีเงาขนาดใหญ่ทั้งสิบรออยู่ "ความรู้สึกนี้ เหมือนกับที่เราเห็นในฝันมาโดยตลอด หรือว่า เบื้องหน้าประตูนี้ อืมมมม ต้องเข้าไปกันสักหน่อยแล้วละ" แล้วก็เดินเข้ามาภายในพร้อมกับถือหอกในมือเอาไว้
              "ครืดดด ตรึงงง" ประตูทั้งสองบานปิดลงในทันทีที่สเปียริทเดินเข้ามาในหอสมุดไว้ พร้อมกับ "พรึบๆๆๆๆ" หลอดไฟที่อยู่ตามเสาก็สว่างขึ้นมา จนเผยให้เห็นตู้หนังสือที่เรียงรายเต็มไปหมด เช่นเดียวกับ... "ดาบ หอก และอาวุธนะหรือ ที่นี้มันหอตำราจริงๆหรือเปล่าน่ะ" สเปียริทกล่าว โดยที่เธอมองไปรอบๆเห็นหอกและง้าววางอยู่ในแท่นเก็บเรียงรายกันไว้
              "หอตำราแห่งนี้ไม่เพียงเป็นสถานที่สำหรับเรียนรู้วิชาจากหนังสือตำรับตำราทั้งหลายแหล่ที่ท่านอาจารย์เสาะหาและรวบรวมมา หากแต่ มันยังเป็นสถานที่เก็บรักษาอาวุธของเหล่านักรบที่ต่อสู้ในสงครามบนแผ่นดินจีนมาตลอด 4,000 ปีเต็ม นับแต่ศึกเทพสวรรค์ของเจียงจือหยา การรวมแว้นแคว้นของจิ๋นซีฮ่องเต้ สงครามสามก๊ก แล้วก็ศึกสงครามต่างๆที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินนี้ ตั้งแต่จักรวรรดิ์จีนแผ่นดินใหญ่ ไปสาธารณประชาชนจีนจนถึงปัจจุบันนี้ ทั้งหมดทั้งมวลนั้นคือเหตุการณ์ที่บรรพบุรุษของท่านปรมาจารย์หลีเฟยหลงได้พบพานและผ่านพ้นมันมาจนสืบต่อเนื่องมาถึงยุคของท่านไว้น่ะ" ทินเหมาลีโดดลงมาจากชั้นบน มาตรงหน้าสเปียริทไว้
              "แสดงว่า บรรพบุรุษของเจ้าสำนักก็คือนักรบที่ปรากฎบนภาพอย่างงั้นนะหรือ" สเปียริทชี้ไปที่ขุนพลหน้าแดงผู้มีนามว่ากวนอู หนึ่งในสามพี่น้องร่วมสาบานใต้ต้นท้อของจ๊กก๊ก โดยที่มีภาพของเล่าปี่ พี่ใหญ่และผู้นำจ๊กก๊ก กับเตียวหุย น้องเล็กในหมู่สามพี่น้อง เรียงรายเช่นเดียวกับขุนศึกในยุคเดียวกัน
              "เปล่า ภาพเหล่านั้นคือภาพขุนศึกที่บรรพบุรุษของท่านอาจารย์พบพานและได้เห็นในสนามรบกันนะ ซึ่งไม่ใช่แค่ในยุคสามก๊กอย่างเดียว แต่มีภาพขุนศึกอีกมากนับร้อยนับพัน หากแต่ หอตำรานี้แคบเกินกว่าจะติดภาพทั้งหมดไว้กันน่ะ" ทินเหมาลีอธิบายไป "เช่นเดียวกับอาวุธที่วางอยู่รอบๆนี้ ท่านอาจารย์ไม่เพียงเก็บรวบรวมเอาไว้เพื่อกันมิให้มันถูกทำลายไม่ว่าจะเหตุผลกลใดก็ตาม เพื่อเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า สมัยก่อน นักรบโบราณเขาใช้อาวุธยาวทั้งหลายนี้ ดาบ กระบี่ ตะบองและอื่นๆอีกมากเข้ารบราฆ่าฟันกันภายในยุทธภพตลอด 4 พันปีด้วยกัน"
              "พูดง่ายๆก็คือ เจ้าสำนักไม่เพียงเรียนรู้และฝึกฝนศาสตร์การต่อสู้มือเปล่า แต่หมายรวมถึงอาวุธด้วยละสิ" สเปียริทกล่าว
              ทินเหมาลีบอก "เพราะบรรพบุรุษของท่านอาจารย์ถ้าไม่เป็นนักรบ เป็นทหาร ก็ต้องเป็นชาวยุทธที่ดูไม่มีบทบาทอะไรในยุทธภพเลยก็ตาม และเพราะไม่มีบทบาทนี้แหละ ที่สามารถรับรู้และผ่านพ้นเรื่องราวทั้งสองด้านได้กันน่ะ" แล้วก็เดินผ่านสเปียริทพร้อมกับหยิบหอกของเธอไปด้วย "ที่ฉันเรียกเธอมานี้ เพื่อฝึกฝนศาสตร์การต่อสู้ด้วยกัน ฉันจะสอนเธอในเรื่องศาสตร์มือเปล่า ส่วนเธอ...ช่วยซ้อมเพลงอาวุธให้ได้มั้ยละ"
              "ด้วยความยินดีอยู่แล้วน่ะ" สเปียริทบอก ทินเหมาลีโยนหอกให้ลอยขึ้นไป "ควับๆๆๆๆๆๆๆ ปั้ก" พอคมหอกปักลงพื้น สเปียริทเลยขยับเท้าและพุ่งเข้ามา ทินเหมาลีเลยสาวเท้าก้าวมาข้างหน้าและ "ฟึ่บๆๆๆๆๆ" ตะบบด้วยฝ่ามือสองข้างอย่างรวดเร็ว จนสเปียริทรีบหลบหลีกไปมา แล้วก็ "ฟึ่บบบ ฟึ่บบบ ฟึ่บบบ" ชกใส่ทินเหมาลีไปสองที ซึ่งสาวหมวยใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างปัดป้อง ดอกที่สามสเปียริทก็เตะเข้าใส่ แต่ทินเหมาลีเตะสวนกลับมา "ป้ากกก" จนทั้งคู่ชักเท้ากลับหลังจากที่เตะไปแล้ว "ฟึ่บๆๆๆ" ทินเหมาลีสบัดแขนและตั้งท่ารำมวยจีนไว้ โดยที่สเปียริทตั้งการ์ดเอาไว้
              "สามวันที่ผ่านมา เธอเรียนรู้ได้ไวกว่าที่คิดเลยสิน่ะ ทั้งๆที่เธอน่าจะรู้ช้าเลยนิ"
              สเปียริทบอก "ฉันเห็นเธอร่ายรำเพลงมวยที่ฝึกตอนกลางคืน และตอนที่ฝึกในช่วงกลางวันมาตลอด เลยจำไว้ในหัวและรีบนำมาใช้โดยเร็ว เพราะไม่อยากจะเป็นฝ่ายโดนเล่นงานเพียงฝ่ายเดียวนะสิ"
              "ไม่เลวนิ งั้นที่รู้วิชาการใช้อาวุธยาวจนสามารถใช้สู้กับศัตรูได้นั้น ก็คงใช้หลักท่องพักลักจำสิน่ะ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เกรงใจกันละ" ทินเหมาลีบุกเข้ารั่วถีบใส่สเปียริทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเธอรีบใช้หลังแหวนปัดป้องโดยเร็ว จนสเปียริทเอี้ยวหลบและคว้าจับขาของทินเหมาลีแล้วทุ่มให้ปลิวขึ้นสูงไป หากแต่สาวหมวยที่ถูกทุ่มนั้น หมุนตัวหันส่วนเท้าไปยังรั้วกั้นชั้นลอยไว้และใช้เท้าถีบตัวพุ่งเข้าใส่ พร้อมกับม้วนหน้ายื่นส่วนเท้าทั้งสองมายังสเปียริท "ปึ้กๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" รั่วถีบด้วยท่าถีบปั่นจักรยานโดยเร็ว ซึ่งสเปียริทไขว้แขนบล็อกไว้ ทั้งดอกที่รั่วถีบไม่ยั้งและดอกสุดท้ายที่ถีบขาคู่ซึ่งถีบแรงมาก แต่สเปียริทก็บล็อกได้ แล้วก็.. "ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ" ซัดฝ่ามือเข้าใส่ไปสี่ดอกด้วยกัน และทินเหมาลีก็ตวัดหลังแหวนปัดป้องไปเช่นเคย "ย้ะ" สเปียริทซัดฝ่ามือขวาโดยที่ทินเหมาลีเหวี่ยงหลังแหวนเพื่อปัดกลับ แต่ "ฟึ่บบบ" ฝ่ามือของสเปียริทที่ซัดมาก็โยกกลับไปอย่างรวดเร็วและ "ป้ากกก" ถีบด้วยขาซ้ายไปอย่างจังๆ จนทินเหมาลีถอยครูดไป "เริ่มพลิกแพลงท่วงท่าจากมือไปเท้าแล้วสิน่ะ เพราะบางครั้ง คู่ต่อสู้อาจจะมีท่วงท่าที่ผิดแปลกไปจากที่คาดคิดไว้ กระบวนท่าที่เราใช้อยู่อาจจะใช้กับคู่ต่อสู้ดังกล่าวนั้นไม่ได้ จำเป็นต้องพลิกแพลงสลับกันไป ซึ่งไม่ใช่แค่ท่วงท่าหมัดมวย แต่หมายรวมถึงท่วงท่าที่ใช้กับอาวุธนั้นด้วย" ทินเหมาลีพูดไปพร้อมกับต่อกรกับสเปียริทอย่างเต็มที่ ซึ่งสเปียริทเองก็โต้ตอบกลับไปบ้าง
              "จะบอกว่า ในระหว่างที่ใช้อาวุธ เราถีบหรือต่อยใส่ได้อย่างงั้นสิน่ะ" สเปียริทกล่าวพร้อมกับหมุนตัวเตะกลับหลังและเตะกวาดทั้งบนและล่างอย่างรวดเร็ว
              "ใช่ แม้จะจดจำและสามารถนำไปใช้ได้ก็จริง แต่....ยังไงก็ไม่ควรขาดการขัดเกลาฝีมือให้ดีขึ้น เปรียบเหมือนคมดาบคมหอกที่ปล่อยทิ้งไว้ไม่ไปขัดเช็ดหรือลับคมให้คมเหมือนเดิมหรือยิ่งกว่าฉันใด คมดาบและหอกนั้นจะทื่อและเสื่อมสภาพลงฉันนั้นแหละ" ทินเหมาลีกล่าว แล้วก็กระโดดถอยหลังไปยังชั้นวางอาวุธ และหยิบเอาง้าวจันทร์เสี้ยวที่วางไว้ออกมา เช่นเดียวกับ "หวับๆๆๆๆๆ" หยิบง้าวดาบโค้งมังกรฟ้าให้กับสเปียริทไว้
              "โอ้ว นี้อย่าบอกน่ะ ว่านอกจากเพลงมวยของเธอแล้ว ยังเก่งด้านใช้อาวุธด้วยน่ะ" สเปียริทกล่าว
              "เป็นเช่นนั้น นั้นแหละคือพรสวรรค์ที่ฉันมีเหมือนกับเธอนี้แหละ ย้า" ทินเหมาลีบุกเข้าใช้เพลงง้าวเข้าสู้กับสเปียริทที่ใช้ง้าวต่อสู้ไว้ จน "เกร้งๆๆๆๆๆๆ" เสียงปะทะคมอาวุธดังออกมาจากหอตำราไว้ ซึ่งมาสวาร์ทาร์เล่นหมากกับเฟยหลงอยู่
              "ไม่คิดเลยว่า ศิษย์คนรองของท่านจะชำนาญแบบเดียวกันกับสเปียริทด้วยน่ะ" มาสวาร์ทาร์กล่าวและวางหมากขาวลงกระดานไว้
              "ทินเหมาลีหัวไวและมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น บวกกับว่าอายุของเธอแก่กว่าน้องคนอื่นๆแต่เป็นรองบรอนเซอรูทกันแล้ว เธอจึงแบกรับความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่นด้วยน่ะ" เฟยหลงบอก "บวกกับว่าเธอมีความสนใจในศาสตร์การต่อสู้ทุกแขนงและใจกว้างมากพอที่จะสอนคนอื่นได้ แม้เธอจะรู้ดี ว่าการสอนให้กับคนที่ไม่เอาถ่านหรือคนที่ไม่อาจจะควบคุมอารมณ์ไม่ให้ถูกโทสะหรือโมหะครอบงำนั้น ไม่ได้ให้ผลดีเลยก็ตามน่ะ" และวางหมากปิดทางการวางหมากของมาสวาร์ทาร์ไว้ โดยฝ่ายนักดาบกล่าว
              "ท่านกำลังพูดถึงข้าพเจ้ากันอย่างงั้นละสิครับ"
              "เพลงดาบของเจ้าแม้จะมีพื้นฐานมาจากแดนอาทิตย์อุทัย บวกกับมีทักษะดาบจากฝั่งตะวันตกไกลแฝงรวมอยู่ แต่ด้วยพรสวรรค์และความเจียมเนื้อเจียมตัวของเจ้านั้น ทำให้เจ้าเป็นนักดาบที่ไม่เพียงมีฝีมือที่เก่งกาจ หากแต่เป็นสุภาพชนที่วางตัวกับทุกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ว่าควรหรือไม่ควรที่จะกระทำบางอย่างไปบ้าง" เฟยหลงบอก "แล้วใยเจ้ายังเก็บงำสิ่งที่เจ้าได้เรียนรู้ไว้ ไม่ไปสอนให้พวกลูกศิษย์ของเจ้าเสียเลยละ"
              มาสวาร์ทาร์บอก "แล้วถ้าท่านตั้งใจจะสอน แต่พวกเขากลับไม่รับฟังเพราะคิดว่าตัวเองเก่งมากพอแล้ว ท่านยังจะดันทุรังและกดดันให้พวกเขาทำในสิ่งที่ไม่ชอบกันมั้ยละครับ" แล้วก็วางหมากลงกระดานต่อ
              "เจ้าก็เลยไม่สอนกันอย่างงั้นสิน่ะ อืมมมมม ส่วนหนึ่งเพราะเจ้าไม่ใช่คนที่บีบบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากจะทำ หรือไม่ควรทำ เพราะไม่อยากจะไปทำลายเจตจำนงอิสระกันเลยสิน่ะ" เฟยหลงวางหมากขวางมาสวาร์ทาร์ไว้อีกเช่นเคย
              มาสวาร์ทาร์พยักหน้า "ก็เหมือนหลักการของท่าน ใครก็ตามที่ฉลาดจนสำคัญตนว่าตัวเองฉลาดมากพอ ไม่จำเป็นต้องสอนแล้ว เปรียบเหมือนเรารินน้ำชาลงแก้วที่มีน้ำชาอยู่เกือบเต็ม ซึ่งพอเทลงไปก็จะล้นและหกลงนอกแก้วเอาไปกินไม่ได้นั้น แม้ผมอยากจะสอนพวกเขา แต่พวกเขาบางคนไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะรับฟังหรือคิดว่าตัวเองเก่งพอแล้วนั้น การสอนของผมก็อาจจะไม่มีความหมายเลยน่ะ"
              "จริงๆแล้ว เจ้าก็รู้สึกหวาดกลัวต่อลูกศิษย์ของพวกเจ้าส่วนหนึ่งเลยสิน่ะ" เฟยหลงวางหมากขวางปิดทางมาสวาร์ทาร์อยู่ "เช่นเดียวกันกับการรักษาสัญญาที่เจ้ารับปากต่อผู้อื่น ซึ่งนั้นเป็นการแบกรับภาระมาไว้เกินตัว จะละทิ้งหรือปล่อยวาง ก็เหมือนเป็นการผิดสัญญาที่ให้ไว้ ถึงจะเก็บไปก็อาจจะเป็นภาระในหัวของเจ้า ทั้งๆที่เจ้า มีเรื่องที่เจ้าสมควรจะทำอยู่ก็ตามน่ะ" มาสวาร์ทาร์มองดูกระดานที่ตอนนี้หมากดำของเฟยหลงถูกวางขวางทางหมากขาวของมาสวาร์ทาร์ไว้ ชายหนุ่มจึงตอบไปว่า
              "....ด้วยเวลาที่มีอยู่น้อยนิด ทำให้ผมได้รู้ว่า แม้จะได้รับชีวิตใหม่จากโอกาสที่สองมาเพื่อที่จะสานต่อในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำหรือทำค้างไว้ในฐานะของมนุษย์เลยก็ตาม แต่ก็ย่อมหมายถึง เราอาจจะต้องเสี่ยงกับความเป็นความตาย เจอกับอันตรายและความเสี่ยงได้ทุกเมื่อ แม้ลึกๆผมจะรู้สึกหวาดกลัวและหวั่นเกรงกันบ้าง แต่ผมก็รู้ว่า ทุกวินาทีย่อมมีค่าเสมอ ขึ้นกับว่าผมจะใช้มันยังไงให้คุ้มค่ามากที่สุด ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นด้วย" และวางหมากขาวในจุดที่หมากดำขวางไว้
              "แม้ว่าหนทางที่เจ้าเดินจะต้องเสี่ยงและรับประกันไม่ได้ว่ามันจะประสบความสำเร็จได้เลยหรือ" เฟยหลงวางหมากดำไว้ แต่มาสวาร์ทาร์วางโต้กลับไป
              "จอมยุทธหรือนักดาบนั้น เมื่อคิดที่จะพิชิตคู่ต่อสู้ที่มีความเก่งกาจจนสามารถกำชัยลงไปได้ ไม่เพียงเตรียมใจที่จะชนะฝ่ายตรงข้าม แต่ต้องเตรียมใจที่จะเป็นฝ่ายถูกฆ่ากันด้วย เมื่อคิดเช่นนี้ไปแล้ว มันไม่มีอะไรที่ต้องหวาดกลัวกันด้วยน่ะ"
              "แม้การตายของเจ้าอาจจะเป็นการทำลายสัญญาที่เจ้าให้ไว้กับคนอื่นๆกันเลยหรือ" เฟยหลงวางหมากโต้ไปอีกที
              มาสวาร์ทาร์บอก "....ตราบใดที่ผมยังอยู่ สัญญาที่ให้ไว้นั้นจะยังอยู่จนกว่าสำเร็จลงไปได้ แม้จะทุ่มเททุกอย่างรวมถึงชีวิตของตนเองไว้ จนคนอื่นมองว่าเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเลยก็ตาม ความเชื่อมั่นของผมก็ยังไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะผมคิดเสมอ ว่าแม้ผมจะทำมันไม่ได้ แต่เพื่อนๆของผมที่ยังอยู่ จะสานต่อไปเอง และเชื่อว่าพวกเขาต้องทำได้อย่างแน่นอนน่ะ" แล้วก็วางหมากปิดเกมจนหมากขาวล้อมหมากดำของเฟยหลงไว้ "เช่นเดียวกันกับที่สถานการณ์ของเพื่อนผมในเวลานี้ด้วย ว่าพวกเขาเจอสถานการณ์ย้ำแย่แค่ไหนก็ย่อมต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน" โดยในตอนนี้ โคเคสโต้ตอบการบุกของพวกแอตแลนไทซ์ในช่วงกลางคืนไปได้แล้ว
              "แสดงว่าเจ้าคงเตรียมใจไว้พร้อมแล้วสิน่ะ กับการดวลของเจ้าเองน่ะ แม้คนที่เจ้าจะต้องดวลไปนั้น ได้สังหารบุรุษเคราหยกลงด้วยการใช้กลอุบายซ้ำยังลบหลู่ผู้พ่ายแพ้ที่เปรียบเหมือนบิดาแท้ๆด้วยแล้ว ข้าเชื่อว่า จิตใจที่เปรียบด้วยความซือตรงและยึดมั่นในความถูกต้องของเจ้า จะนำพาเจ้าไปสู่ชัยชนะเองแล้วกัน" เฟยหลงกล่าว "แต่จงจำเอาไว้ว่า บางครั้งสิ่งที่เจ้ายึดมั่นกับสถานการณ์บางอย่างที่บีบให้เจ้าต้องฝืนทำในสิ่งที่ตรงข้ามกัน ดังนั้น การปล่อยวางคือทางเลือกอย่างหนึ่ง แม้ว่าเจ้าไม่อยากจะทำเลยก็ตามน่ะ"
              มาสวาร์ทาร์กล่าว "ผมรู้ว่าควรจะทำเช่นไรนะครับ แม้ว่าจะขัดกับความตั้งใจไว้ แต่ผมเชื่อว่าพวกเขาคงจะเข้าใจในการกระทำของผมบ้างนะ"

              ในขณะเดียวกันนั้นเอง ที่ทะเลทรายโกบี กองรบของทราเวยน์บางส่วนนั้นก็ตั้งค่ายเอาไว้และเสาะหาที่ตั้งของสุสานแห่งดาบอยู่
              "เรียนท่านทราเวยน์ ฝั่งตะวันออกยังไม่พบที่ตั้งของสุสานเลยคะ" พาราไดน์หญิงมารายงาน
              พาราไดน์อีกตนที่มีเขาตัวเอรายงาน "ฝั่งตะวันตกไม่เจอเลยละครับ ท่านทราเวยน์"
              "ทิศเหนือก็ไม่เจอ ทิศใต้ก็ไม่มีวี่แวว ถ้าฝั่งอีสาน พายัพ อาคเนย์ หรดียังไม่มีแล้วละก็ ต่อให้ต้องควานหาทุกเม็ดทราย ยังไงก็ต้องหาให้เจอให้ได้" ทราเวยน์กล่าวโดยตอนนี้มีตรากุญแจอยู่ในมือ
              พาราไดน์หญิงกล่าว "ตราที่ท่านถือนั้นมันเป็นกุญแจใช่มั้ยละคะ บางที ถ้ากระตุ้นให้มันชี้ทางไปที่สุสานกันเลยละคะ"
              "แต่ พวกเราลองกันแล้วน่ะ มันก็ไม่ได้ผลเลยน่ะ" พาราไดน์ชายทัดทาน
              ทราเวยน์ได้ฟังก็คิดพิจารณาไปแล้ว "ที่ข้าไม่พาพวกเทมพาร่ามาด้วย ทั้งๆที่พวกนี้น่าจะหาที่ตั้งของสุสานแห่งดาบได้ เนื่องจากว่ามีพลังจิตอันแรงกล้าถึงขั้นรับรู้ถึงจิตของผู้วายชนม์ได้อย่างชัดเจน ถ้าไม่ติดว่าเฟอคาน่ายังอยู่ในคำสั่งของโครเต้ด้วยแล้ว ฉันคงไม่น่าเกณฑ์กองรบที่มีอยู่มาเพื่อควานหาสุสานกันหรอกน่ะ" และมองดูตรากุญแจไว้ "ถ้าอาทรัลเตอร์ทำแผนที่หาย และเหลือตรากุญแจไว้ในมือ อืมมมมม ยังไงก็ต้องลองดูแล้วกัน"
              "หมับบบ" แล้วทราเวยน์ก็ตั้งจิตไปที่ตรากุญแจที่ถือชูไปข้างหน้าไว้ โดยที่ใส่พลังครอสเซียมจากในตัว "ตราแห่งกุญแจ ข้า ขุนพลทราเวยน์แห่งครอสตรีม ข้าต้องการจะรู้ถึงที่ตั้งของผู้วายชนม์เพื่อทำการเคารพสักการะพี่น้องที่ตายจากไปแล้ว เพื่อบอกกับพวกเขาว่าหลังจากที่พวกเขาจากโลกนี้ไปแล้ว โลกได้เปลี่ยนแปลงกันยังไงบ้าง...ได้โปรดเถิด ตราแห่งกุญแจ ถึงไม่สำแดงเดชก็ไม่เป็นไร เพราะ ข้าก็ไม่คิดที่จะตามหาสุสานแห่งดาบกันแต่แรกแล้ว" ไม่ทันไร ตรากุญแจก็... "แว้งงงงง" ยิงลำแสงชี้นำทางไปอย่างรวดเร็ว
              พาราไดน์ชายบอก "มันได้ผลน่ะครับ ท่านขุนพล" ทราเวยน์เลยปล่อยให้ตราออกจากมือเพื่อให้มันชี้ทางให้
              "ใช่ ข้าเคยได้ยินคำสอนของอาทรัลเตอร์ที่ว่า แม้เราไม่อยากได้สิ่งที่ต้องการ มันก็จะต้องมา ในขณะเดียวกัน แม้สิ่งที่เราอยากได้สิ่งที่ต้องการ มันจะไม่มาแม้เราอยากให้มันมาแค่ไหนก็ตาม คำสอนนี้ข้าไม่เข้าใจสักเท่าไหร่เพราะสิ่งที่อ้างอิงมันตรงข้ามกันสิ้นเชิง แต่ไม่นึกเลยว่า มันจะทำให้ตรากุญแจทำงานได้น่ะ" ทราเวยน์บอก "ว่าแต่ แสงนั้นมันส่องไปที่ตรงไหนกันละ"
              พาราไดน์หญิงกล่าว "จากตำแหน่งนั้น มันเป็นทิศหรดีคะ"
              "สั่งการให้ทั้งหมดย้ายฐานทัพไปที่ตำแหน่งนั้นเดียวนี้เลย ไม่สิ ห่างจากตำแหน่งที่ควรจะเป็นไป 10 กิโลเมตรและอำพรางที่ตั้งเอาไว้ด้วย" ทราเวยน์สั่งการไว้ แล้วทั้งหมดก็มุ่งหน้าตรงไปตำแหน่งที่แสงส่องไปถึง ซึ่งกองรบพาราไดน์ที่ไปสืบในตำแหน่งทิศหรดีที่ได้เห็นแสง ก็มารอทราเวยน์ที่เดินทางมาด้วยมังกรดำแล้ว
               "ท่านขุนพลทราเวยน์ครับ" นายกองพาราไดน์กล่าว เมื่อทราเวยน์ลงจากหลังมังกรแล้ว
              "อืมมม" ทราเวยน์เลยใช้ตรากุญแจส่องไปที่พื้นทรายจน "วี้งงงงงง" มีแสงส่องจากใต้พื้นทรายและ "ครืนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นมาพร้อมกับ "ครืนนนนนนนนน" ศิลาแลงสีดำขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาพร้อมกับบานประตูขนาดใหญ่ไว้ ซึ่งตรงกลางมีช่องเสียบกุญแจเอาไว้ ทราเวยน์จึงเสียบตรากุญแจเข้าไปตรงกลาง "แกร็กก กรึกกก" เสียงกลไกดังขึ้นทันทีที่กุญแจถูกเสียบเข้าช่อง "ครืดดดดดดดดด ตรึงงงง" ประตูสองบานได้เปิดอ้าเผยเส้นทางลงจากภายในไว้ "นั้นคงจะเป็นสถานที่พักพิงของพวกพ้องของเรา เช่นเดียวกับ ดาบของอดีตแม่ทัพเลยสินะครับ" พาราไดน์ชายกล่าว
              พาราไดน์ชายที่มีส่วนเขาตรงหน้าผากรูปตัวเอ็มกล่าว "ว่าแต่จะให้พวกเราไปด้วยมั้ยละครับ ท่านขุนพล"
              "พวกเจ้าเฝ้าอยู่รอบๆนี้ไว้ เพราะข้าต้องมั่นใจว่า มาสวาร์ทาร์กับพวกจะต้องโผล่มาอย่างแน่นอน" ทราเวยน์กล่าว
              พาราไดน์หญิงกล่าว "ขอให้ท่านขุนพลกลับมาอย่างปลอดภัยเลยละคะ" แล้วทราเวยน์ก็เดินลงบันไดไปเพื่อเอาสุดยอดดาบที่อาทรัลเตอร์ปิดตายเอาไว้
              "ทราเวยน์รุกล้ำเขตหลับพักอย่างสงบแล้วสิน่ะ" เฟอคาน่าหลับตากล่าวกับเทมพาร่าที่มารายงาน
              "คะ ท่านเฟอคาน่า ว่าแต่ จะให้เราไปจัดการกับทราเวยน์เลยมั้ยละคะ"
              "ไม่ต้อง ถ้าทำเช่นนั้น ทราเวยน์จะรู้ทันทีว่าท่านโครเต้สั่งให้ข้ามาจับตาและลงมือจัดการกับทราเวยน์ไว้ ถ้าเกิดว่าทราเวยน์ได้ดาบเกรซคาลิเบอร์มาจริงๆ เกรงว่าพวกเราจะเป็นกลุ่มแรกที่จะต้องสังเวยให้กับดาบอันทรงพลังนั้นเลยน่ะ" เฟอคาน่าบอก
              เทมพาร่ากล่าว "แต่ แต่ถ้าเราไม่ขัดขวาง ทราเวยน์ก็ใช้ดาบมาจัดการกับท่านโครเต้และยึดตำแหน่งไปง่ายๆเลยสิคะ"
              "ท่านโครเต้มีแรมลอชอยู่ แม้จะรับประกันไม่ได้ว่าจะต้านทานแรงดาบอันทรงพลังไว้ได้ก็จริง" เฟอคาน่าบอก โดยมองโหลนาฬิกาทรายที่เหลือเพียง 4 อันแล้ว "เวลาเหลือเพียง 4 วัน หากมาสวาร์ทาร์ไม่ปรากฎตัว หรือปรากฎตัวแต่มาไม่ทันเวลาแล้วก็ละก็ ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องหยุดทราเวยน์ด้วยตัวเอง ดังนั้น เจ้าไปสั่งพวกลูกน้องใต้บังคับบัญชาให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายได้เลย"
              เทมพาร่าพยักหน้า "รับทราบคะ ท่านเฟอคาน่า"

              บนยอดเขาหอเมฆา ในวันที่หกนั้น การฝึกก็ยังดำเนินต่อไป มาสวาร์ทาร์ฝึกดาบเพียงคนเดียวในป่าตอนกลางคืนและมาร่วมฝึกกับคนอื่นๆ ในขณะที่ทินเหมาลีและพวกน้องๆฝึกฝนสเปียริทและพองเพื่อนกันอยู่ ส่วนพีวิลและเจเนไซด์ทีมนั้น บรอนเซอรูทและเฟยหลงฝึกฝนพวกเขาด้วยการนั่งสมาธิ ฝึกกายและใจเหมือนเช่นเคย แล้วหลังจากนั้น สองวันต่อมา ในวันที่แปด
              "แกร้งๆๆๆๆๆๆๆ" เลอแชนไล่โจมตีใส่โฟรซ่าอย่างรวดเร็ว แต่เธอก็ปัดการโจมตีด้วยเรซเซอร์อาร์มอย่างทันควันพร้อมกับ.... "หมับ โครมมม" จับทุ่มฟาดกับพื้นแล้วก็ฟาดฝ่ามือเข้าใส่ "แคร้งงง" แต่เลอแชนไขว้มีดหลังแขนเอาไว้ได้ก่อน ส่วนเซเทธนั้น... "ฟึ่บๆๆๆๆๆๆ" บุกเข้าใส่พลัสเชอริทที่ยืนนิ่งด้วยความเร็วสูงและ... "ลูกถีบกิเลนบิน" พุ่งถีบเข้าใส่ แต่พลัสเชอริทที่ยืนอยู่ก็... "หมับ หวับบบบ" จับส่วนเท้าที่เข้าถึงตัวไว้ "อาศัยแรงโมเมนตั่มของฝ่ายตรงข้ามคืนตัว" และเหวี่ยงส่งเซเทธให้ปลิวกระเด็นไป หากแต่เซเทธตีลังกากลับตัวไว้ได้ทัน "ปั้กๆๆๆๆๆ" ทอฟคานิคปะหมัดใส่คลอเวฟแบบไม่ยั้ง และพยายามล็อกคอ แต่คลอเวฟก็จับตรงปลายคางทอฟคานิคและทุ่มฟาดกับพื้น จนทำให้ทอฟคานิคสวนคืนด้วย "โครมมมม ฟ้าววว ฟ้าววว ฟ้าววว" การซัดก้อนหินขนาดใหญ่ออกไป "วอเตอร์เวฟ" คลอเวฟเลยซัดคลื่นน้ำกลับคืน ซึ่งเข้าทำลายก้อนหินบินกระจุยไปกันหมดทั้งสามก้อนด้วยกัน "ฟ้าวววววว" ฟันดิวเรคซัดหมัดยืดเข้าใส่ไซโคลเนีย แต่เธอกระโดดขึ้นสูงและ "ย้า เบิร์ดไดเวอร์" พุ่งโฉบเข้าใส่ฟันดิวเรคโดยไม่ใช้เจ็ทบู้ทอย่างจังๆ ซึ่งฟันดิวเรคไม่ทันเปลี่ยนตัวเองเป็นยางไว้ ด้านกริมเบอรี่เอง "ควับๆๆๆๆ" ใช้ท่าเฮดสปินคิกไล่เตะสเตฟอร์ดที่ถอยหลังมา พร้อมกับกระโดดพุ่งโค้งถีบขาคู่ใส่ "หมับบบบ โป้กกก" แต่โดนสเตฟอร์ดจับฟาดกับหน้าแข้งไปเต็มๆ ซึ่งกริมเบอรี่ทำให้กระดูกด้านหลังแข็งต้านรับไว้แล้ว "ฟึ่บ ปึ่กๆๆๆๆๆ" โมคุโตะบุกเข้าโจมตีใส่มาสวาร์ทาร์อย่างรวดเร็ว ซึ่งมาสวาร์ทาร์ปัดกลับด้วยดาบไม้เอาไว้ "สู้อย่างมั่นใจแล้วละสิน่ะ" มาสวาร์ทาร์บอก โดยเอี้ยวหลบและชกเข้าตรงหน้าโมคุโตะไว้
              "ในเมื่อมีคนที่เข้าใจในตัวฉันแบบนี้ อย่างน้อยก็วางใจได้บ้างละน่ะ" โมคุโตะกล่าวโดยใช้เสียงห้าวอยู่ แล้วก็หมุนตัวเตะเข้าใส่ ซึ่งมาสวาร์ทาร์บล็อกป้องกัน
              ด้านสเปียริทและทินเหมาลีนั้น... "แกร้งๆๆๆๆๆ" ก็ดวลด้วยง้าวและทวนของจีนไว้ ซึ่งทินเหมาลีต้านแรงกดปะทะของสเปียริทเพื่อทำให้เธอเซล้ม แต่ก็ "ฟึ่บบบ" สเปียริทที่ก้มเพราะเสียหลักก็เตะดีดเท้าซ้ายเข้าจนเฉียดโดนหน้าทินเหมาลีไปอย่างจังๆ และทิ้มง้าวเพื่อดันตัวเองให้ยืนตรงไว้ พร้อมกับ "หวับบบ โป้งงง" ค้ำถ่อด้วยด้ามง้าวเพื่อถีบใส่ทินเหมาลีไป โดยที่เหมาลียกด้ามหอกมาป้องกันเอาไว้ จนถอยไปอย่างจังๆ "ไม่นึกเลยว่าจะใช้ท่าถีบหางแมงป่องแบบนี้ แต่ถ้ามันไม่ทัน ก็ยอมเจ็บตัวกันสักหน่อยน่ะ" ทินเหมาลีกล่าว และรั่วแทงทวนอย่างรวดเร็ว
              "นี้พูดจากใจจริงหรือเปล่าละ หือ" สเปียริทกล่าว
              ทินเหมาลีบอก "ถ้าโกหกคงจะพูดเยิ่นยอไปนานแล้วละ ว่าแต่ เธอเคยฝึกสอนวิชาของเธอให้กับใครมาหรือเปล่า"
              "ไม่เคย มีแต่เธอคนเดียวแหละที่เป็นคนแรกน่ะ" สเปียริทบอก พลางฝึกฝนการต่อสู้ไปด้วย
              ทินเหมาลีถาม "หมายความว่ายังไงกันน่ะ นี้อย่าบอกน่ะ ว่าเธออาศัยการดูคนอื่นฝึกเพลงอาวุธแล้วนำไปฝึกด้วยตัวเอง โดยที่คนๆนั้นไม่ได้ขอเลยหรือ"
              "ฉันก็จำไม่ค่อยได้เลยน่ะ แค่จำได้ลางๆว่าฉันแอบสังเกตุเห็นผู้ยอดยุทธนั้นสู้ด้วยเพลงอาวุธอย่างหนักหน่วง และจดจำท่วงท่าดังกล่าวเอาไว้กันเลยนะสิ" สเปียริทกล่าวแล้วก็ยิงลำแสงจากคมง้าวเข้าใส่
              ทินเหมาลีเลยตวัดทวนให้เป่าคลื่นพลังวิ่งเข้าสกัดลำแสงไว้ "แสดงว่าเธอจำในส่วนที่เขาฝึกด้วยอาวุธ แต่ไม่ได้มองดูพวกเขาฝึกขั้นพื้นฐาน ซึ่งรวมถึงกระบวนท่าหมัดมวยด้วยละสิ แล้วก่อนหน้านั้นเธอมัวทำอะไรอยู่ละ"
              "ฉันจำได้แค่ว่า ฉันอยู่แต่ในห้องหนังสือนี้แหละ เพราะฉันจำได้ว่ารอบๆนั้นมีหนังสือมากมายเต็มไปหมด ขนาดตอนอยู่ในหอตำราเมื่อวานซืน ก็รู้สึกเช่นนั้น แม้จะอ่านตัวอักษรที่เขียนอยู่ไม่ออก แต่อนุมานได้ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงกันน่ะ" สเปียริทกล่าว
              ทินเหมาลีบอก "ฉันคิดว่าเธอยังพอจำอดีตได้บ้างน่า แม้ว่าหนังสือที่อยู่ในหอตำรามันเขียนตัวจีนกันทุกหน้าเลยก็ตาม แต่ยังอ่านตั้งแต่ตำนานสามก๊ก การเดินทางของพระถังซัมจั่งทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่งอย่างไซอิ๋ว ตำนานเทพยุทธที่มีเจียงจือหยาร่วมมือกับเหล่าเทพปราบมารจิ้งจอกเก้าหาง ตำนาน 108 ผู้กล้าเขาเหลียงซาน แม้กระทั่งเคล็ดวิชาลัทธิเต๋าและศาสตร์เหนือธรรมชาติที่ไม่เคยมีใครได้อ่านเลย ได้อย่างรู้เรื่องแบบนี้ หอสมุดที่เธอเห็นจากภาพความจำน่าจะมีหนังสือภาษาจีนรวมอยู่ด้วยน่ะ"
              "แต่ฉันไม่รู้เลยว่าตัวอักษรที่อยู่ในหนังสือที่ฉันเคยอ่านมาก่อนมันจะเป็นตัวจีนที่เป็นต้นแบบตัวเขียนคันจิที่มาสวาร์ทาร์ใช้อยู่กันน่ะ" สเปียริทบอก
              นเหมาลีบอก "แต่เธออ่านหนังสือเหล่านั้นได้คล่องเช่นนี้ ถ้าเธอไม่เคยอ่านเจอและจำไว้ในหัวแบบนั้น ความจำของเธอยังพอจำได้นี้แหละ แต่ยังเลือนลางไปบ้างน่ะ" แล้วก็หยุดพักไว้ เพื่อที่จะคุยกันได้ด้วย "ที่เธอรู้สึกว่าจำได้นั้น ไม่ใช่แค่สมาธิได้ทำให้เธอมีสติอยู่กับตัวมากขึ้น แต่นั้นก็ทำให้จิตใจของเธอที่ยังปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ค่อยได้ให้ชัดเจนขึ้นมาในระดับหนึ่ง แม้เธอจะไม่รู้สึกตัวเลยก็ตาม"
              "หมายความว่า หากฉันคุมสติไว้และมีสมาธิมากขึ้นด้วยแล้ว บางทีความทรงจำของฉันก็อาจจะกลับมางั้นสิ" สเปียริทบอก
              ทินเหมาลีกล่าว "ไม่เชิงหรอกน่ะ เพราะอาจารย์รู้ว่าความทรงจำของเธอที่สูญเสียไปนั้น ส่วนหนึ่งเพราะเธอได้เจอกับความเจ็บปวดสองอย่างในอดีตมาก่อน ซึ่งคงจะเจอเรื่องสะเทือนใจที่ทำให้เธอสูญเสียตัวตนเดิมและกลายเป็นตัวเธอในเวลานี้ และอีกเรื่องหนึ่งนั้น น่าจะเป็นเรื่องแรกหากแต่ผลของมันส่งผลให้พบกับความตายของเธอกันด้วย ซึ่งอย่างหลังนั้น รุนแรงมากที่สุดเลยน่ะ"
              "อย่างงั้นนะหรือ มันก็จริงน่ะ เพราะฉันเห็นภาพเงาลางๆของคนที่เคยเอาชีวิตของฉันมาก่อน หากแต่ไม่รู้ว่าใครเป็นตัวการนะสิ" สเปียริทพูดอย่างเข้าใจ
              ทินเหมาลีบอก "ตอนนี้ เธอยังไม่ควรรีบจะดีกว่าน่ะ สเปียริท เรื่องฝึกวิชานั้น มาต่อเลยดีกว่า"

              "ฟ้าวววววว" จิลพุ่งเข้าเตะเสยขาคู่ใส่เฟยหลงที่ปัดรับด้วยพัดกระดาษไว้ แล้วก็... "นี้แน่ๆๆๆๆๆ" รั่วต่อยใส่อย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ "ปึ่กๆๆๆๆๆๆ" เฟยหลงหุบพัดและใช้โต้ตอบห่าหมัดที่ชกมาอย่างเร็ว และ "ฟึ่บบบ ฟ้าวว" สบัดพัดให้เกิดลมปราณเป่าจิลให้กระเด็นไป แต่เธอก็ "งึงงงง" ใช้พลังจิตเบรคตัวเองให้ลอยค้างกลางอากาศไว้ แล้วก็ "วึมมม" เทเลพอร์ตหายไปโดยที่เฟยหลงหวดพัดใส่ "แป๊ะ" จิลที่โดดถีบเข้ามาจนล้มลง "เจ้าสามารถข่มจิตที่ไม่ให้ฉันรับรู้ได้อย่างชัดเจนจากการที่เจ้าควบคุมพลังจิตด้วยสมาธิอันมั่นคงไว้จนข้าอาจไม่รู้ แต่ก็อย่าลืมน่ะ ว่าฉันก็จับทิศทางการเคลื่อนไหวของเจ้าไม่ว่าจะวิ่งมาหรือหายตัวมาไม่ว่าจะมาทางไหนก็ตามน่ะ เพราะถึงแม้จะปกปิดมิดชิดไว้ แต่ก็ไม่นานนักหรอกน่ะ เพราะความตื่นเต้นที่น้อยนิดจนให้ฉันได้ยินน่ะ"
              จิลบอก "อุตสาห์เอาให้แนบเนียนแล้วเชียวน่า"
              "โว้วววว" จายด์เลยบุกเข้าออกอาวุธหมัดเท้าเข่าศอกใส่เฟยหลง ซึ่งก็ใช้พัดปัดป้องเหมือนเช่นเคย แม้การโจมตีของจายด์นั้นรุนแรงไว้ แต่เฟยหลงก็ปัดรับด้วยความใจเย็น "เจ้าโจมตีได้อย่างแม่นยำแล้วสิ แม้เจ้าจะหยั่งมือไว้แล้วก็ตามน่ะ" เฟยหลงบอกพร้อมกับโจมตีด้วยการถีบและใช้พัดหวดใส่
              จายด์กล่าว "ก็เพราะว่าคุณดีเกินกว่าจะใช้กำลังได้นี้แหละ" แล้วก็กระโดดออกมา พร้อมกับ "ฟ้าวว ควับๆๆๆๆ" พุ่งเข้าใส่และม้วนตัวจนเป็นลูกบอลขนาดยักษ์พุ่งเข้ามา เฟยหลงรีบกระโดดขึ้นไป โดยที่จายด์รีบคลายตัวและตบพื้นเพื่อหมุนตัวให้หันกลับมา "ควับๆๆๆๆๆๆ" ขดตัวพุ่งเข้าใส่ไปอย่างรวดเร็ว เฟยหลงที่โดดลงพื้นก็ตบพื้นด้วยฝ่ามือจน "ครืนนนน โครมมม" เสากำแพงดินพุ่งขึ้นมารับการโจมตีไว้ จนทำให้จายด์ที่พุ่งกระแทกใส่นั้นล้มลง "เจ้าปรับทิศทางการหมุนตัวไว้ได้โดยเร็วแบบนี้ แต่ในจังหวะที่โจมตีโดนหรือถูกสกัดจนคลายจากการขดตัวไปนั้น เจ้าต้องป้องกันไว้ด้วยน่ะ" เฟยหลงจ่อพัดมาตรงหน้าจายด์ และประคองให้ลุกขึ้นไว้
              "ก็นับแต่ท่านสอนให้เราตั้งสมาธิในทุกการกระทำ แม้กระทั่งต่อสู้อยู่แล้วนิ" จายด์กล่าว
              บรอนเซอรูทบอก "สตินั้น ไม่เพียงแค่ทำให้เราจดจ่อกับสิ่งที่กระทำ แต่ยังรับรู้รอบด้านได้อีกด้วย รวมถึงสามารถคิดและตัดสินใจที่จะกระทำไว้ด้วยน่ะ"
              "แล้วว่าแต่ นายไม่ไปสู้กับเจเนลเลยหรือ" จิลถาม
              บรอนเซอรูทตอบ "ตอนนี้ยังไม่ว่างกันน่ะ เพราะกำลังคุยกับพีวิลอยู่นะสิ" ซึ่งการคุยระหว่างพีวิลกับเจเนลนั้น ก็คือการต่อสู้ หมัดและเท้าคือเครื่องมือสื่อสารกัน
              "บอกตรงๆน่ะ พีวิล ไม่ว่าอะไรฉันก็รู้สึกอิจฉาในตัวนายไม่น้อย ที่แม้จะสูญเสียพ่อแม่เหมือนกัน แต่นายก็ยังเป็นคนดีและทำอะไรมีคนรักใคร่อยู่ตลอดเวลา แม้ฉันอยากจะเป็นเหมือนกับนาย แต่ก็ไม่อยากจะสวนทางกับสิ่งที่ฉันเป็นอยู่ก็ตาม" เจเนลเตะและถีบใส่พีวิลอย่างรวดเร็ว
              "ส่วนหนึ่งเพราะว่านายวู่ว่ามและทำอะไรไม่คิดจนก่อเรื่องมาหลายครั้งกัน ซึ่งฉันเตือนนายมาแล้ว เพราะต้องการให้นายสำนึกได้กันน่ะ" พีวิลเลยชกสวนกลับไปสามที ซึ่งเจเนลบล็อกต้านไว้
              "แต่แย่หน่อยตรงที่นิสัยของฉันมันแก้ไม่หายกันอยู่แล้วน่ะ ไอ้เกลอ" แล้วเจเนลก็สบัดขาเตะใส่ไปสามดอก ซึ่งพีวิลโยกหลบการเตะไปมา เช่นเดียวกับ "ฟึ่บบบ" ท่าเครเซนต์คิกของเจเนลที่เตะขึ้นมา ซึ่งพีวิลบล็อกต้านเอาไว้ "หากแต่ เหตุที่ฉันอยากจะเหนือหรือเสมอกว่านายนั้น ก็เพราะว่าฉันอยากให้นายยอมรับในตัวฉันบ้าง แม้ว่านั้นจะต้องใช้กำลังเลยก็ตามน่ะ"
              พีวิลบอก "เพราะว่านายไม่ใช่ไทป์ที่พูดคุยโดยตรงอย่างสุภาพเหมือนที่ฉันเป็นสิน่ะ แต่นายก็พยายามไล่ตามฉันมาด้วยตัวนายเองแล้วนิ"
              "ใช่ แม้ว่าฉันอาจจะต้องเป็นที่สองหรือเป็นรองนายกันบ้าง ซึ่งฉันไม่ยอมรับมาโดยตลอด เพราะฉันอยากเป็นเพื่อนนาย และอยากได้การยอมรับจากนายมากกว่า แต่ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นรองหรือเป็นที่สองก็ตาม ฉันก็ยังเป็นที่หนึ่งได้เช่นกันนี้แหละ" เจเนลเสยหมัดซ้ายเข้าปะทะกับหมัดขวาของพีวิลอย่างจังๆ จนทั้งคู่ถูกเป่าด้วยแรงปะทะเอาไว้
              พีวิลกล่าว "แม้นายจะยอมรับในตัวนาย ฉันก็ยอมรับว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีเท่าที่คิด และรู้ว่าจะต้องพยายามให้มากขึ้นไปด้วย แม้จะทำได้ไม่ดีก็ตาม แต่ลูกผู้ชายที่แท้จริงนั้น ย่อมต้องก้าวหน้าต่อเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหนก็ตามน่ะ"
              "ตั้งแต่เป็นมนุษย์ยันแมนิเกเตอร์ นายก็ยังคงความเป็นลูกผู้ชายเหมือนเคยเลยสิน่า" เจเนลกล่าว แล้วก็บุกเข้าใส่ด้วยหมัดขวา แม้จะรู้ว่ามือนั้นจะต้องเปลี่ยนเป็นมือดาบไว้
              พีวิลพูด "แน่อยู่แล้วละ เพราะเราต่างก็เข้าใจในตัวของพวกเรากันแล้วนิ" แล้วสวนหมัดกลับจน "ป้ากกก" ซึ่งหมัดขวาของเจเนลที่ปะทะกับหมัดซ้ายของพีวิลนั้นนอกจากจะไม่เปลี่ยนเป็นมือดาบแล้ว
              เจเนลรู้สึกได้ว่า "....ความรู้สึกนี้ นั้นคงเป็นพลังอีเนลเซียมในร่างของพีวิล ที่แม้จะสงบนิ่งแล้วแต่ยังส่องสว่างยิ่งกว่าเดิมละสิ"
              เช่นเดียวกับพีวิลเองก็... "มือขวาของเจเนลแข็งกว่าที่คิด แม้จะไม่ได้เปลี่ยนเป็นดาบ แต่รู้สึกได้ถึงความแข็งของโครมเมทาเลี่ยมจากมือข้างนี้ด้วยน่ะ" แล้วทั้งคู่ก็โดดถอยออกมา ซึ่งพีวิลเองก็... "วึม วึม วึม" มือขวาของพีวิลเรืองแสงขึ้นมา พีวิลจึงตั้งสมาธิและ "ฟึ่บบบบ" จุดเพลิงอีเนลเซียมขึ้นที่นิ้วชี้และนิ้วกลางอย่างทันควัน แล้วก็ "ฟึ่บบบ แวบบบบ" ดับเพลิงที่นิ้วทั้งสองข้างเพื่อเปลี่ยนพลังจากคลื่นเพลิงมาเป็นพลังงานแสงที่หลังแหวนไว้
              เจเนลรู้สึกได้ถึง... "เสียงนี้ เสียงจากแขนทั้งสองข้างของเรานิ หรือว่า..." ซึ่งเขาสูดหายใจพร้อมกับ "กึกกก ฟึ่บบบ ครืดด แกร็ก" กำหมัดซ้ายเอาไว้แน่นๆ จนมือซ้ายหุบเข้าไปในแขนและปากกระบอกปืนจีบัสเตอร์ก็โผล่มา "เปรี้ยะๆๆๆๆ ฟู้ววววว แวบบบ" ปากลำกล้องปล่อยประจุไฟฟ้ามาก่อน ตามด้วยไอร้อนที่พุ่งออกมา แล้วก็เสียงของมวลอานุภาคที่สะสมเอาไว้ "ฉันรู้สึกได้ถึงระบบภายในของจี-บัสเตอร์กันด้วย รวมถึงสามารถควบคุมให้มันใช้อาวุธได้ดั่งใจนึกแบบนี้ ถ้าอย่างงั้น...." เจเนลพิจารณากับสิ่งที่เกิดขึ้น และลองกับมือขวา ซึ่งก็... "ฟึ่บบบบ งื้งงง ครี้งงงงงงงง"  รวบนิ้วทั้งห้าแนบติดกันจนฝ่ามือแปรสภาพเป็นเมทัลเบลดไว้ ซึ่งเจเนลลองใช้นิ้วซ้ายจิ้มใส่ตัวดาบที่เป็นมือด้วย "แกร้งๆๆๆๆ" เสียงกระทบของตัวดาบนั้นเป็นเหล็ก ซึ่งเจเนลไม่เพียงรู้สึกได้ถึงความแข็งของมือที่เป็นอยู่
              "นี้อย่าบอกน่ะว่า เจเนลสามารถควบคุมระบบอาวุธจากแขนทั้งสองข้างได้แล้วน่ะ" จิลบอก
              บรอนเซอรูทกล่าว "ในเมื่อพีวิลและเจเนลได้เข้าใจถึงจิตใจของพวกเขาเอง รวมถึงยอมรับในตัวตนของพวกเขากันไว้แล้ว เท่ากับว่าจิตก็ได้เชื่อมต่อกับร่างของพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งนั้นหมายถึง พวกเขารู้วิธีการควบคุมสิ่งที่พวกเขามีอยู่กับตัวได้อย่างเป็นอิสระแล้วนะ"
              "จริงด้วยน่ะ ถ้าเช่นนั้นก็..." จายด์ลองทำตามพร้อมกับเปลี่ยนมือให้เป็นจีแฮมเมอร์ไว้ และเปลี่ยนกลับไปเหมือนเดิมด้วย จิลก็ลองเปลี่ยนส่วนแขนให้เป็นจีนีดเดิ้ลสไปค์และจีเลเซอร์กันด้วย
              "....จริงด้วยน่ะ ตอนนี้ฉันสามารถควบคุมระบบอาวุธได้ด้วยตัวเองแล้ว งั้นก็เท่ากับว่า...." จิลหลับตาเพื่อใช้กระแสจิตกับ "แกร็ก ฟิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆ" ไซโครบิทที่อยู่ในแบ็คแพ็คใหญ่ของเธอให้ออกมา "ควับๆๆๆๆๆๆ" ซึ่งเธอควบคุมให้บิทรูปว่าวหมุนวนทวนเข็มนาฬิกา 4 อัน และตามเข็มนาฬิกา 4 อันตาม ส่วนที่เหลือนั้นก็ให้มันเต้นรำวนรอบไปมา แล้วก็สั่งทั้งหมดให้พุ่งทะยานขึ้นสูงและให้บินวนรอบยอดเขาราวกับเป็นดาวเทียมโคจรรอบโลก พร้อมกับ "ฟิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆ กึกๆๆๆๆๆๆๆๆ แกร็ก" สั่งให้มันบินกลับลงไปอยู่ในแบ็คแพ็คใหญ่ตามลำดับ "ได้ผลน่ะ ฉันควบคุมบิทให้บินได้ไกลกว่าและจัดระเบียบให้มันทำตามอย่างคล่องแคล้วแล้วละ" จิลบอก
              "นั้นคงจะเป็นผลของการฝึกฝนของนายกับท่านอาจารย์ละสิ" พีวิลบอก
              บรอนเซอรูทกล่าว "ใช่ เพราะว่าพวกนายทั้งสี่นั้นมีพร้อมทั้งร่างกายและพลังแล้ว หากแต่จิตใจของพวกนายในตอนแรกนั้นยังไม่นิ่งมากพอ การฝึกฝนของฉันกับท่านอาจารย์จึงเป็นการขัดเกลาด้านจิตใจให้พวกนายเรียนรู้ตัวของพวกนายเองและยอมรับในกาย ใจและกรรมของพวกนายตามไปด้วยน่ะ"
              "เพราะต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะแข็งแกร่งขั้นไร้เทียมทาน มีพลังอันยิ่งใหญ่หาผู้ใดเหนือกว่า หรือมีวิชาการต่อสู้ที่หลากหลายและโต้ตอบได้ยากก็ตาม หากปราศจากจิตใจที่ยอมรับในการกระทำของตนเองและตัวตนของตัวเอง ซึ่งรวมถึงยอมรับในความผิดพลาดที่ประสบพบเจอหรือได้กระทำลงด้วยความตั้งใจของตนเอง ปล่อยให้กิเลสและอารมณ์ด้านลบครอบงำจนอยู่เหนือเหตุและผล นักสู้คนนั้นก็จะไม่ใช่นักสู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง หากแต่เป็นผู้ที่พ่ายแพ้ต่อตนเองอย่างแท้จริง กับผู้ที่หลงระเริงในอำนาจจนเป็นบุคคลที่น่ากลัวมากที่สุดกันด้วย" เฟยหลงบอก "เพราะส่วนมาก นักสู้ที่เก่งกาจมักจะให้ความสำคัญกับพลัง ท่วงท่า และความแข็งแกร่งจนละทิ้งสิ่งสำคัญไปที่สุด นั้นคือจิตใจและหัวใจของนักสู้นั้นๆ ซึ่งการขัดเกลาจิตใจให้มั่นคงและเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลานั้น คือสิ่งสำคัญที่นักสู้ส่วนมากมักจะหลงลืมและไม่ปฏิบัติตามอยู่เสมอ จึงไม่แปลกเลย ที่พวกเขาต้องประสบกับความพ่ายแพ้ เพราะความลำพองใจที่ว่าตัวเองเก่งกาจและต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน โดยไม่ได้นึกถึงตรงส่วนที่ตนจะต้องพ่ายแพ้กันด้วย ถ้าด้านจิตใจยังอ่อนแอและยังพ่ายแพ้ให้กับกิเลสทั้งในและนอกฉันใด อย่าว่าแต่จะชนะเลย เพราะยิ่งสู้หลายครั้งก็จะแพ้หลายครั้งตาม"
              พีวิลบอก "และเพราะเหตุนั้น ท่านจึงสอนให้เจเนลรู้จักประมาณตนสินะครับ"
              "ใช่ เพราะว่าเจเนลยึดติดกับชัยชนะมากเกินไป และอาจจะทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งสร้างความเดือดร้อนเพื่อแสดงให้เธอหรือคนอื่นเห็นถึงความเก่งกาจของเขาไว้ หากแต่โดยส่วนลึกของจิตใจของเขาแล้ว ว่าเขาอยากจะชนะเธอด้วยความสามารถของเขาเอง และรู้ว่าการชนะด้วยกลอุบายและเล่ห์เหลี่ยมไม่ได้ทำให้เขารู้สึกภูมิใจเลย แต่กลับทำให้เขาเจ็บปวดมากกว่า" เฟยหลงบอก
              เจเนลพยักหน้า "ใช่ เพราะว่าคนที่ได้ดีเพราะไปทำให้คนอื่นเดือดร้อนนั้น แม้จะอยู่บนจุดสูงสุดได้นานก็จริง แต่ก็ย่อมนอนหลับไม่สนิทตาม ซึ่งคุณพ่อได้สอนให้ผมเข้าใจมาตั้งแต่เด็ก จนปฏิบัติตามมากันแล้วนะครับ"
              "งั้นแปลว่า ที่นายยอมทำตามคำสั่งของครองคอร์ดนั้น นายทำเพราะว่าถูกบีบบังคับเลยสิน่ะ" พีวิลกล่าว
              เจเนลพยักหน้า "แม้ว่าการอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับนาย จะทำให้ฉันได้มีโอกาสสู้กับนายอยู่ แต่พอฉันรู้ว่าพวกเราถูกหลอกใช้ให้เรียกพวกศัตรูมารังควานพวกนายไว้ ฉันก็อยากจะไปเอาเรื่องพวกนั้น เพื่อช่วยไม่ให้นายกับพวกเจ็บตัวฟรีกันนะสิ"
              "หากแต่เพนฟีดแบ็คที่อยู่ในร่างของพวกเรานั้น เป็นตัวปัญหาที่พวกเราแก้ไม่ตกเลยน่ะ" จายด์บอก
              จิลพยักหน้าและกล่าว "แม้จะรู้ว่าเราไม่อยู่ได้โดยไม่มีมัน ตอนนี้เราต่างรู้แล้วว่า เราควรจะยอมรับในความเจ็บปวดจากภายในและภายนอกกันไว้ เช่นเดียวกับ ยอมรับในความแข็งแกร่งทางใจของพวกเราเองด้วยน่ะ"
              "พวกเจ้าทั้งสี่คงจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันได้สอนไว้แล้วสิน่ะ" เฟยหลงกล่าว "แต่หลังจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันคงหวังว่าพวกเจ้าทั้งสามนั้นคงจะไม่ใช้สิ่งที่ฉันสอนมาไปในทางที่ผิดกันหรอกน่ะ"
              เจเนลกล่าว "ไม่อีกแล้วละครับ ท่านอาจารย์ พวกเราจะไม่กลับไปหาคนที่หลอกใช้พวกเรากันอีกต่อไปแล้วน่ะ"
              "จริงหรือ เจเนล นี้นายคงไม่ได้หมายความว่า...." จิลถาม
               เจเนลพยักหน้า "....ถ้าขนาดพีวิลที่ถูกครอบงำให้ต้องสังหารคนนับร้อยนับพันยังได้สติกลับมา และลุกขึ้นมาช่วยพวกโคเคสโต้ตอบพวกอีเนอไมนด์และโอเวอร์เดสกันได้เช่นนี้ แล้วทำไม พวกเราไม่โต้ตอบครองคอร์ดที่ควบคุมและหลอกใช้พวกเราให้ทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำกันละ แม้ว่าจะมีตัวระบบเฮงซวยอยู่และอาจจะแกะมันไม่ได้ก็ตาม แต่ถ้าอยู่กับพีวิล ไม่เพียงฉันจะมีโอกาสสู้ตัวต่อตัวกันอย่างตรงไปตรงมา แต่ ฉันอยากจะใช้สิ่งที่มีและสิ่งที่ได้รับมานั้นให้เป็นประโยชน์สูงสุดโดยไม่หวังอะไรมากมายกันด้วยน่ะ"
              "อืมมมม ในเมื่อนายตัดสินใจเช่นนั้นแล้ว ฉันอยากจะปกป้องทุกๆคนเอาไว้ด้วย แม้กายจะใหญ่เกินประตูเข้าออก แต่มันก็ไม่สำคัญไปกว่าการได้ช่วยคนอื่นเหมือนที่ทำในตอนเป็นมนุษย์ด้วย อีกอย่าง นายไม่ควรบุกไปโดยไม่มีกำแพงเดินได้อย่างฉันด้วยน่ะ" จายด์บอก
              จิลกล่าว "และแม้นายจะรู้จักตัวเองก็จริง แต่นายก็ยังระห่ำบ้าพลังกันแบบนี้อาจจะหาเรื่องเจ็บตัวได้ง่ายๆด้วยแล้ว ฉันควรจะอยู่เพื่อเบรคนายไม่ให้ทำอะไรบ้าๆกันด้วยน่า"
              "ขอบใจมากนะ จายด์ จิล ที่นายสองคนตัดสินใจแบบนี้น่ะ" เจเนลกล่าวอย่างภูมิใจที่ลูกน้องและเพื่อนคนสำคัญทั้งสองตัดสินใจติดตามเขาไว้
              พีวิลบอก "ทั้งนี้พวกเราต้องขอบคุณท่านอาจารย์มากเลยนะครับ"
              "เอาละ ตอนนี้ พวกนายก็เข้าใจกันแล้ว จะว่าอะไรมั้ย หากว่า..." บรอนเซอรูทกล่าว "นายสองคนมาสู้กับฉันต่อมั้ยละ เพราะฉันก็ไม่อยากจะอยู่นิ่งๆด้วยน่ะ" เจเนลยิ้มขึ้น
              พีวิลกล่าว "เอางั้นก็ได้น่ะ บรอนเซอรูท นายขอมาทั้งที ไม่ทำให้มันก็ไม่เป็นลูกผู้ชายกันนะสิ"
              "งั้นก็เริ่มเลยดีกว่า" เจเนลกล่าว แล้วทั้งสองก็ตั้งท่าพร้อมสู้เช่นเดียวกับบรอนเซอรูทด้วย ซึ่งทั้งสามก็บุกเข้าใส่พร้อมกัน โดยที่เฟยหลงมองดูอยู่
              "ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งหมดคงจะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันสิน่ะ" แล้วก็ล้วงเอาบางอย่างจากในเสื้อออกมา "พรุ่งนี้คงจะถึงเวลานั้นแล้วสิน่ะ"

              วกกลับมายังพวกโคเคสกันบ้าง วันที่หกนั้น "ตรูมมมม ตูมมมม บรึมมม ตูมมมม" ที่ฐานทัพถูกระดมโจมตีจากระยะไกลโดยพวกฟาลครีด้าและเซนครีทไว้ ก่อนที่พวกนั้นจะออกบุกเสียอีก "พวกมันยิงมาจากไหนกันแน่วะ" เฮอคูลอนนายกองกล่าวอย่างยั้วะๆ
              มิลมีซอนบอก "พวกมันยิงมาจากด้านข้างในระยะใกล้กับเขตเมืองเวลเซน่านะครับ"
              "ดี สั่งให้เฮฟโวลที่ยังใช้ได้ โจมตีสวนกลับด้วยไทดัลลองค์เรนจ์แคนน่อนได้เลย" เฮอคูลอนนายกองกล่าว โดยสปาดาไนซ์ขึ้นควบคุมเฮฟโวลออกมา "ตรุ้งๆๆๆๆ" และยิงกระสุนน้ำจากระยะไกลเพื่อถล่มใส่ "ตรูมม ตรูมม ตูมมมม" เสียงระเบิดดังขึ้นสามที แต่ที่โดนไปนั้น "บ้าชะมัด ไอ้โคเคส เล่นหลอกพวกเราเป็นกำบังเลยวะ" เนโมสบถเพราะกองรบหุ่นยนต์และมิวแทนของตนโดนถล่มโดยพวกแอตแลนไทซ์ ซึ่งเนโมและพวกกำลังบุกใส่พวกโคเคสที่ป้องกันด้วยกำแพงหนาไว้ หากแต่โคเคสสั่งยิงไกลเพื่อหลอกให้พวกแอตแลนไทซ์ถล่มใส่พวกเนโมไปเสียเอง และต้องถอนตัวกลับไป
              ส่วนวันที่เจ็ดนั้น... พวกแอตแลนไทซ์ขนทั้งไฮดร้า คิไมร่า แล้วก็ "ส่งบาซิลิคซ์และค็อกคาลิชออกไปเลย" มิลมีซอนนายกองส่งตะกวดหางไก่และไก่หางงูที่มาดวงตาทำให้คนตัวแข็งเหมือนหินออกมา 20 กว่าตัวไว้ เพราะคิดว่าพวกโคเคสคงรับมือไม่ได้แน่ๆ แต่.... "ก็อกๆๆๆ กระต้อกกกก" "แกว็กกกกก" พอค็อกคาลิชและบาซิลิคซ์กู่ร้องและเพ่งดวงตาเพื่อทำให้พวกทหารแมนิเกเตอร์ฝ่ายสหพันธ์นั้นชะงัก มันก็... "กึกกก ตรึงงง ตรึงงงงง" ตัวแข็งแน่นิ่งกองกับพื้นเสียเองถึง 8 ตัวด้วยกัน เนื่องจากว่า...
              "คิดว่าเราไม่ได้อ่านนิยายกรีกเลยหรือ ว่าถ้าจะรับมือกับเมดูซ่าที่มีตาสาปให้คนเป็นหิน ก็ต้องใช้กระจกสะท้อนหรือพยายามมองมันแบบอ้อมๆไม่ให้มองตาของมันโดยตรงกันน่ะ" บัลโต้กล่าว โดยในตอนนี้พวกเขาโต้ตอบด้วยบาเรียผิวกระจกสำหรับป้องกันแสงไว้แล้ว จากนั้นก็เปิดนำด้วยแรปิดเดเตอร์มาโรวเดอร์ถล่มใส่พวกไก่และตะกวดที่กลายเป็นหินจนแตกกระจุย ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ ทหารชุดหุ่นยนต์ระดมโจมตีด้วยคลื่นเสียงเล่นงานพวกไฮดร้าและคิไมร่าให้ชะงักงันไป ส่วนพวกทหารแอตแลนไทซ์นั้นเจอพวกบีสทอยด์สัตว์ใหญ่ไล่กระทืบไปด้วย
              แล้ววันที่แปดก็... "เราไม่คิดเลยว่าพวกโคเคสจะหมดแรงกันในวันนี้ เลยสั่งบุกไปเพราะน่าจะถล่มพวกมันได้จริง แต่..." มิลมีซอนหัวหน้ากองรายงานต่อเกซเฟลิค
              เฮอคูลอนบอก "....พวกเราคาดผิด โคเคสและพวกยังมีแรงเต็มเปี่ยมแถมยังโต้ตอบพวกเราที่กำลังบุกมาจนราบคาบ มิหน่ำซ้ำ ยังส่งพวกบีสทอยด์และพวกมิวแทนอยด์ไปวางระเบิดฐานทัพของพวกเราด้วยนะครับ"
              "ไม่ได้เรื่องๆๆๆ ถ้าข้าไม่ลงโทษพวกเจ้ากับความผิดพลาดที่เลวระยำแบบนี้ พวกเจ้าคงไม่สำนึกแน่นอน ดังนั้น เตรียมถูกรีไซเคิ่ลกันเดียว...." เกซเฟลิคตำหนิต่อพวกลูกน้องที่แพ้กลับมา
              ครองคอร์ดกล่าว "เดียว ท่านแม่ทัพเกซเฟลิค การที่ลูกน้องของท่านพาพวกล่าถอยกลับมาได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว พร้อมกับเมมโมรี่เซอกิตของพวกพ้องที่ถูกพิชิตไปซึ่งได้นำกลับมากันหมด ก็สามารถสร้างร่างให้ใหม่กันอยู่แล้ว ถ้าบดขยี้พวกเขาทิ้ง แล้วลูกน้องที่เหลือของท่าน มิกลายเป็นเหมือนคลอเวฟเลยหรือ"
              "แค่กองรบเหล่านี้นำแผงสมองกลกลับมาเกือบทั้งหมดก็ถือว่าเป็นความดีความชอบที่ป้องกันมิให้ฝ่ายตรงข้ามแย่งชิงไปได้เช่นนี้ ถ้าท่านบดขยี้พวกเขา ก็มิกลายเป็นการทำลายโอกาสหนที่สองที่จะเอาคืนพวกคนทรยศเลยหรือ" โครเต้แนะนำ
              เกซเฟลิคได้ฟังก็สั่งไปว่า "เห็นแก่ท่านขุนพลและแม่ทัพโครเต้ที่แนะนำให้ข้าไว้ชีวิตพวกเจ้ากันน่ะ แม้ว่าพวกเจ้าจะแพ้ไอ้พวกกบฎในวันนี้จนเกือบเสียพรรคพวกไปก็ตาม แต่ข้าก็ละเว้นการลงโทษก็ไม่ได้ด้วย....ดังนั้น ข้าจะลงโทษพวกเจ้าด้วยการเนรเทศไปอยู่แรซัลก้าซะ" แล้วก็สั่งอีกด้วยว่า "ส่วนแผงวงจรของพรรคพวกของพวกเจ้าที่กู้มาได้นั้น ข้าจะสร้างร่างให้พวกเขาเป็นการชดเชย และเป็นโอกาสครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่ข้าจะมอบให้ หวังว่าตอนอยู่กับท่านเทพสงคราม พวกเจ้าจะทำคุณไถ่โทษต่อความผิดพลาดบนโลกนี้ไว้ด้วยละ"
              "ขอบคุณมากครับ ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านแม่ทัพโครเต้ และท่านขุนพลครองคอร์ด" เหล่าสมุนที่แพ้โคเคสกับพวกตอบรับอย่างยินดี
              เกซเฟลิคบอก "เชิญไสหัวกลับไปเดียวนี้ ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจใช้คำสั่งเดิมด้วยละ" แล้วทั้งหมดก็เดินจากไป
              "เราต้องรีบจัดการกับคนทรยศและพวกนั้นให้ได้โดยเร็วแล้วละ ก่อนที่โคเคสและพวกจะได้ใจไปมากกว่านี้" เกซเฟลิคแนะนำ
              ครองคอร์ดกล่าว "ท่านโครเต้ วันนี้เป็นวันที่แปดกันแล้ว มาสวาร์ทาร์ยังไม่โผล่มาเลยหรือ"
              "ยัง แม้ว่าในตอนนี้ทราเวยน์ใช้เวลาเกือบสองวันในการปะทะกับเหล่าขุนพลที่ท่านอาทรัลเตอร์เหลือไว้เป็นผู้อารักขาเฝ้าดาบเกรซคาลิเบอร์ด้วยกัน ซึ่งถ้าวันนี้ทราเวยน์ไม่ได้ดาบมา ก็ถือว่าเฟอคาน่าไม่จำเป็นต้องลงโทษต่อทราเวยน์ แต่ข้าจะสั่งให้นางไปจัดการกับมาสวาร์ทาร์แทน" โครเต้บอก
              เกซเฟลิคถาม "แล้วถ้าเกิดว่าขุนพลทราเวยน์ทำสำเร็จขึ้นมาในวันที่สอง แต่แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อตบตาแม่มดมรกตกันละ"
              "ถึงทราเวยน์ใช้แผนหลอกพวกเราจริง แต่ก็อย่าลืมน่ะ ว่ามาสวาร์ทาร์เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น อาจจะใช้วิธีแบบยอดนักดาบที่แสร้งทำเป็นมาสาย เพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามที่หงุดหงิดจนสูญเสียความสุขุมรอบคอบและพลาดพลั้งถูกสังหารไป ซึ่งมาสวาร์ทาร์คงไม่โง่พอที่จะใช้วิธีนี้กันได้หรอกน่ะ เพราะเวลาที่เหลือเพียงวันสองวันนั้น กว่าจะมาถึงก็ไม่ทันการณ์หรอก ต่อให้ขี่นกมาก็ตาม" โครเต้บอก
              ครองคอร์ดกล่าว "แต่ก็อย่าลืมน่ะ ว่ามาสวาร์ทาร์มีตราระบุแผนที่อยู่ในมือ การเดินทางจึงเป็นไปได้ง่ายอยู่แล้ว ตอนนี้ข้าก็พร้อมสำหรับเตรียมการกำจัดพวกคนทรยศ รวมถึงพวกเจเนไซด์ทีมกันด้วยน่ะ"
              "เอาเป็นว่าตอนนี้ ข้าจะให้เฟอคาน่าเตรียมพร้อมเอาไว้ ท่านเองก็เตรียมพร้อมรับมือกับพวกคนทรยศที่เหลือเลยแล้วกันน่ะ" โครเต้กล่าว "เพราะข้ารู้สึกได้ว่าตอนนี้ ทราเวยน์ได้สิ่งที่ต้องการกันแล้วน่ะ"
              เพราะภายใต้สุสานแห่งดาบนั้น "เหอะๆๆๆๆ นั้นนะหรือคือดาบของอาทรัลเตอร์กันน่ะ วิเศษ สุดยอด เหนือคำบรรยายจริงๆเลยนะ วะฮะๆๆๆๆๆๆๆ"

              หลังจากนั้น วันที่เก้าก็มาถึง วันจบการศึกษาของพวกแมนิเกเตอร์ทั้งสองกลุ่ม
              "ตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ฉันได้สอนวิชาการต่อสู้แขนงต่างๆให้กับพวกลูกศิษย์ลูกหาที่ขึ้นมาบนเขาหรือพบเจอจากโลกภายนอกมาตลอด เพื่อหวังว่าพวกเขาจะเติบใหญ่บนโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายและความยากลำบากอย่างภาคภูมิ" เฟยหลงบอก "แต่พอฉันสอนกับพวกเธอทุกๆคนในเวลาเดียวกันกับที่สอนและอุปถัมภ์พวกบรอนเซอรูทมาจนเติบใหญ่นั้น ฉันถึงได้รู้ว่า แมนิเกเตอร์อย่างพวกเธอก็ไม่ใช่คนเลวเหมือนกับพวกโอเวอร์เดสแต่อย่างใดด้วย แม้ว่าจะมีบางคนที่สอนยากเลยก็ตามน่ะ"
              ไซโคลเนียกล่าว "แม้จะไม่ได้ฟังท่านสอนโดยตรง แต่พวกบรอนเซอรูทก็ช่วยเราได้มากเลยนะคะ"
              "แล้วพวกเจ้ามีความเห็นเช่นไรละ" เฟยหลงถามลูกศิษย์คนโปรดทั้งแปดไว้
              ทินเหมาลีบอก "พวกเราได้ฝึกฝนพวกเขาไปพร้อมกับได้เรียนรู้จากพวกเขาไปด้วยกัน เราสอนวิชาการต่อสู้เพื่อขัดเกลาและเพิ่มเติมทักษะไว้ เขาสอนพวกเราในเรื่องโลกภายนอกกันด้วย แม้ว่าพวกเราจะไปไกลจากเขาลูกนี้ แต่ความทรงจำที่ดีเราจะไม่ลืมเลือนเสมอนะคะ"
              "ท่านอาจารย์ได้เลี้ยงดูพวกเราเปรียบเหมือนลูกแท้ๆ มาโดยตลอด ซึ่งพวกเรารู้สึกเสียดายที่อาจจะต้องจากลากันก็ตาม คำสอนของท่าน พวกเราจะไม่ลืมนะครับ" เซเทธกล่าว
              เฟยหลงพยักหน้า "แสดงว่า พวกเจ้าตัดสินใจดีแล้วสิน่ะ"
              "ครับ ท่านอาจารย์ เพราะพวกเรามิอาจจะอยู่ที่นี้ตลอดไปกันไม่ได้เลย แม้นี้อาจจะเป็นการจากลาไปไกลแสนไกลมากแค่ไหน พวกเราจะไม่ลืมท่าน และทุกๆคนที่อยู่บนเขาลูกนี้ด้วยนะครับ" บรอนเซอรูทกล่าว ซึ่งพวกเด็กๆและเพื่อนร่วมสำนักต่างเสียดายไม่น้อย
               เฟยหลงกล่าว "เวลานั้นมาถึงแล้วสิน่ะ" แล้วก็ล้วงเอาตลับยาวออกจากเสื้อของตนมามอบให้บรอนเซอรูท
              "อันนี้มันคืออะไรกันละครับ ท่านอาจารย์" บรอนเซอรูทบอก
              "มันคือสิ่งที่ แม่ของเจ้า ได้มอบให้กับข้าหลังจากที่ นางได้มอบพวกเจ้าทั้งแปดมาให้ข้ารับผิดชอบดูแลกันนะสิ" เฟยหลงกล่าว
              ฟันดิวเรคบอก "ท่านอาจารย์ ตะกี้นี้ ท่านบอกว่า แม่ของเรา พาพวกเรามาที่นี้อย่างงั้นนะหรือ"
              "เป็นเช่นนั้นแหละ เมื่อ 20 ปีก่อน ในช่วงที่ฉันนั่งสมาธิอยู่ในอารามตอนกลางคืน ซึ่งมีพายุฝนพัดเข้ามากันนั้น ข้าได้ยินเสียงร้องของพวกเด็กๆดังมาจากข้างนอก เลยรีบรุดออกมาดู ปรากฎว่าแม่เด็กได้นำเด็กทารกทั้งแปดคนมาวางไว้ตรงหน้าประตูทางเข้าสำนักของฉัน ซึ่งตามปกติแล้ว ถ้าแม่ที่คิดจะทอดทิ้งลูกเพื่อฝากภาระให้กับคนอื่นรับผิดชอบแทนนั้น ก็ต้องวิ่งหนีไปพร้อมกับความเสียใจที่ต้องทำลงไป เนื่องจากความไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบหนึ่งชีวิตที่ให้กำเนิดมา" เฟยหลงกล่าว "แต่....แม่ของพวกเจ้าทั้งแปด กลับไม่มีท่าทีจะหนี ใบหน้าของนางนั้นปราศจากอารมณ์และความรู้สึกใดๆ แต่ฉันมองเห็นถึงความเป็นห่วงของผู้เป็นแม่ และความเชื่อมั่นที่มีต่อฉัน ว่าฉันสามารถอุปการะและเลี้ยงดูพวกเขาให้เป็นคนดีได้ แม้ฉันไม่รู้ว่านางเป็นใครมาจากไหนหรือเปล่า"
              ทอฟคานิคถาม "แล้วแม่ของพวกเรา บอกอะไรกับท่านอาจารย์หรือเปล่าละ"
              "นางพูดกับฉันไว้อย่างงี้..." เฟยหลงกล่าวและเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น ที่ได้พบปะกับแม่ของเด็ก
              "เด็กทั้งแปดนี้ ไม่เพียงท่านต้องดูแลและเลี้ยงดูพวกเขาไว้ แต่....พวกเขาจะเป็นความหวังในการช่วยเหลือผู้อื่น แม้ว่า รูปลักษณ์ภายนอกและความแปลกประหลาดที่พวกเขามีจะทำให้พวกเขา แตกต่างจากพวกคุณ แต่ฉันเชื่อว่า ท่านต้องทำได้แน่นอน" แม่ของเด็กที่สวมผ้าคลุมปิดหน้าไว้กล่าว พร้อมกับ...ส่งบางอย่างมาให้เฟยหลง "เมื่อพวกเขาโตขึ้นและเห็นสมควรว่าพร้อมที่จะให้พวกเขาไปจากนี้ ท่านก็มอบให้พวกเขาไว้กันน่ะ"
              "แล้วแม่นางเป็นใครกันละ เพราะตามปกติแล้ว การที่จะมีคนขึ้นมาถึงตรงนี้ ถ้าไม่เดินขึ้นบันไดพันขั้นก็ต้องปีนขึ้นมา ซึ่งการมาพร้อมกับเด็กทารกแปดคนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่จะพาขึ้นมาถึงตรงนี้แน่นอน" เฟยหลงถาม แม่เด็กได้ฟังจำต้อง... "ฟึ่บ" เผยตัวด้วยการงอกปีกใบมีดทั้งหกออกมาจากกลางหลังไว้ ซึ่งเฟยหลงตกตะลึงไปพักหนึ่ง แต่แม่เด็กบอกไปว่า
              "ในเมื่อท่านรู้เรื่องนี้แล้ว ฉันก็หมดห่วงไปแล้ว เพราะฉันไม่ต้องการให้พ่อเด็กมาเจอพวกเขาในตอนนี้ ซึ่งฉันได้โป้ปดเขาไว้เพื่อปกป้องชีวิตที่ไม่สมควรจะถูกใช้สนองความต้องการบ้าๆนี้ และฉันเชื่อว่า ท่านจะสอนให้พวกเขาต่างจากที่ผู้เป็นพ่อของพวกเขาเป็นอยู่กันน่ะ"
              "แม่ของเราเป็นเทวดานะหรือ ถึงได้มีปีกหกปีกกันน่ะ" เลอแชนกล่าวอย่างไม่เชื่อ
              โมคุโตะบอก "นี้อย่าบอกน่ะว่าแม่ของพวกเราบินมาที่ยอดเขานี้เพื่อพาพวกเราตอนเด็กๆมาให้ท่านอาจารย์ดูแลพร้อมกับปกป้องพวกเราจากผู้เป็นพ่อนะหรือ พ่อของพวกเราทำเรื่องแย่ๆอะไรกันถึงต้องลามมาถึงพวกเรากันน่ะ"
              "ไม่ แม่ของพวกนายไม่ใช่เทวดาหรอก...เพราะว่า เราเองก็รู้จักคนที่เป็นแม่ของพวกนายด้วยนะสิ" โฟรซ่ากล่าว
              สเตฟอร์ดบอก "ถ้าฟังจากอาจารย์เฟยหลงเล่ามา ผู้หญิงที่มีปีกรูปร่างคล้ายดาบหรือมีดหกอัน และปิดหน้าเอาไว้ให้เห็นแค่ปากนั้น คงจะหนีไม่พ้น ไวซ์แลงค์ ผู้ช่วยของไวซ์ไมเซล แม่ทัพกองรบสัตว์ประหลาดของพวกโอเวอร์เดสกันนะสิ"
              "อย่าบอกน่ะ ว่าพ่อแม่ของพวกเรา เป็นศัตรูกับพวกนายกันน่ะ" กริมเบอรี่บอก
              โมคุโตะกล่าว "แต่ มันเป็นไปไม่ได้หรอกน่ะ เพราะว่าพวกเราเป็นมนุษย์แปลกประหลาด แต่คนที่พวกนายอ้างว่าเป็นพ่อแม่จะเป็นแมนิเกเตอร์กัน..."  และนึกขึ้นมาได้... "ท่านอาจารย์ฮะ แล้วแม่ของเราลาจากพวกเราและท่านนิ แม่ของเราไปจากหุบเขานี้กันยังไงฮะ"
              "แม่ของพวกเจ้า ได้บินไปจากที่นี้ ต่อหน้าต่อตาฉันไว้ แถมบินฝ่าพายุฝนที่ตกหนักมากไปแบบรวดเร็ว โดยไม่กลัวเกรงต่อสายลมแรงที่พัดผ่าน ห่าฝนที่กระหน่ำเทแบบไม่หยุดยั้ง และสายฟ้าฟาดที่ฟาดลงมาอย่างฉับพลัน สันนิษฐานว่า นางคงจะบินพาพวกบรอนเซอรูทมาที่ยอดเขานี้แบบไม่กลัวเกรงว่าลูกของนางคนใดคนหนึ่งจะพลัดตกลงสู่เบื้องล่างกันน่ะ" เฟยหลงบอก
              พีวิลกล่าว "นั้นแสดงว่า ไวซ์แลงค์คงจะบินสูงกว่าที่คิดเลยละสิ แม้ว่ามันเสี่ยงกับการตรวจจับของเรดาห์เลยน่ะ"
              "บรอนเซอรูท นายคงไม่คิดที่จะอยู่ที่นี้กันหรอกน่ะ" เจเนลถาม
              บรอนเซอรูทตอบ "ถ้าฉันกับพวกยังอยู่ที่นี้ ก็ไม่มีทางรู้คำตอบที่ว่าผู้เป็นพ่อของพวกเราเป็นต้นเหตุให้คุณแม่ต้องพาพวกเรามาที่นี้ เผลอๆฉันกับน้องๆเองก็คงไม่แคล้วต้องมาเจอกับพวกนายในฐานะศัตรู แล้วก็ไม่ได้เจอกับท่านอาจารย์และได้รับการสอนจากท่านมาจนถึงวันนี้หรอกน่ะ" แล้วก็กล่าวไปว่า "อีกอย่าง ฉันควรจะขอบใจเสียด้วยซ้ำ ที่พวกนายทำให้เรื่องของพวกเราง่ายขึ้นกว่าเดิมเลยน่ะ"
              "แล้วนายตัดสินใจจะทำเช่นไรกับเรื่องนี้กันละ บรอนเซอรูท ในเมื่อศัตรูเป็น...." พีวิลถาม
              บรอนเซอรูทกล่าว "....ถ้าพ่อของเราสติดีเหมือนกับนายและเจเนลจริง ก็คงไม่ทำให้แม่ของเราส่งพวกเรามานี้กันหรอกน่ะ ดังนั้น พ่อของเราได้ตายไปนานแล้ว และกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองรบโอเวอร์เดสกันด้วย ในฐานะที่เป็นลูกหรือไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือด คนๆนี้สมควรจะต้องหยุดยั้งไว้ให้ได้กันน่ะ"
              "แล้วพวกนายที่เหลือละ" คลอเวฟถาม
              เซเทธกล่าว "แม้พวกเราอาจจะไม่เป็นที่ต้องการของพวกพ้องของนายก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าไปร่วมมือกับคนที่บีบบังคับคุณแม่กันเช่นนี้หรอก"
              "เรื่องนี้มันไม่ตลกกันแล้วน่า แม้ว่าอยากจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องโจ๊กก็ตาม หากว่าคนที่เป็นพ่อของเราตามมาถึงนี้ คงหัวเราะไม่ออกแน่ๆแล้วละ" ฟันดิวเรคพูดอย่างจริงจังขึ้นมา
              เลอแชนบอก "พวกเราจะลงจากเขาไปจัดการกับพ่อเฮงซวยนี้ให้จงได้เลยละ"
              "เราจะช่วยเหลือพวกนายในการต่อสู้ครั้งนี้ไปด้วยน่ะ" โมคุโตะบอก
              กริมเบอรี่กล่าว "อย่างน้อย พวกพ้องของนายในตอนนี้ ต้องการวิชาหมัดมวยและวิทยายุทธ์เมื่อ 4 พันปีเอาไว้กันด้วยน่ะ"
              "แม้จะไม่แน่ใจว่า เราจะช่วยพวกนายได้มากน้อยแค่ไหน แต่....ก็ยังดีกว่าอยู่บนเขาแล้วไม่ได้ใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาให้เป็นประโยชน์กันด้วยน่ะ" ทินเหมาลีบอก
              สเปียริทกล่าว "ในเมื่อเธอกับพวกเห็นด้วยแล้ว พวกเราจะพาพวกเธอไปด้วยแล้วกันน่ะ"
              "ท่านอาจารย์ รักษาตัวด้วยนะครับ" บรอนเซอรูทบอก     
              เจเนลกล่าว "ขอบคุณสำหรับคำสอนของท่านไว้ ต่อจากนี้ไป พวกเราจะไม่ลืมเลือนคำสอนของท่านเลยนะครับ"
              "พวกเจ้าทั้งหลายต่างเป็นลูกศิษย์ของฉันแล้ว ไม่ต้องห่วงที่นี้กันหรอกน่ะ เพราะว่า พวกเราจะดูแลด้วยกันเองนี้แหละ" เฟยหลงบอก และมอบห่อผ้าไว้ "ในห่อผ้านี้คือตำราวิชาที่พวกเจ้าสามารถนำไปอ่านและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ที่สำคัญก็คือ เจ้าสามารถจารึกหรือเขียนสิ่งที่พวกเจ้าได้ร่ำเรียนหรือฝึกฝนมาลงในนี้ เพื่อให้ลูกหลานรุ่นถัดจากพวกเจ้าได้เรียนรู้ไว้ในภายภาคหน้าด้วยน่ะ" บรอนเซอรูทจึงรับไว้
              พีวิลกล่าว "ถ้าเช่นนั้น พวกเรา ขอลาท่านเพียงเท่านี้แล้วละครับ"
              "อืมมม ฉันขอให้พวกเจ้าโชคดี บนเส้นทางที่พวกเจ้าได้เลือกเดินไว้แล้วน่ะ" เฟยหลงบอก แล้วเหล่าเด็กและลูกศิษย์ชั้นผู้น้อยกล่าวไปว่า...
              "ขอให้พวกท่านทั้งแปดดูแลตัวเองด้วยนะครับ และขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่พวกท่านสอนมากันน่ะ" บรอนเซอรูทพยักหน้าก่อนที่จะพาน้องๆทั้งเจ็ดลงจากเขาไปพร้อมกับพวกพีวิลและเจเนลกันแล้ว
              "ฉันรู้สึกได้ว่า นั้นคงจะเป็นการจากลาไปไกลแสนไกลเลยน่ะ" ทินเหมาลีบอก บรอนเซอรูทพยักหน้า
              กริมเบอรี่กล่าว "ตลอด 20 ปีที่พวกเราอยู่บนนี้กับท่านอาจารย์นั้น คือความทรงจำที่จะติดตัวพวกเราไปกันน่ะ" โดยทั้งหมดก้าวเดินลงบันไดมาด้วย
              "โอ้ว เดินลงนิ ยากมากเลยน่ะเนี้ย" สเตฟอร์ดกล่าว
              คลอเวฟบอก "ไม่ใช่แค่พวกเราหรอกที่ควรจะต้องระวังกันน่ะ แต่ ถ้าจายด์ก้าวพลาดมา รับรองว่าเราต้องมีวิ่งกระจายแน่นอน" เพราะจายด์เดินตามหลังมาด้วย
              "จายด์ เดินระวังหน่อยน่ะ" เจเนลกล่าว
              จายด์บอก "เข้าใจแล้วละ แม้ว่าเท้าจะใหญ่กว่าขั้นบันไดก็ตามทีละน่า" ในระหว่างที่ก้าวเดินลงบันไดไปนั้น ด้วยสมาธิที่ผ่านการฝึกฝนทำให้จายด์เดินอย่างระมัดระวังเช่นเดียวกับคนอื่นๆด้วย จากเดิมที่ต้องใช้เวลา 5 ชั่วโมงในการปีนขึ้นหรือเดินขึ้นบันไดมา ตอนนี้ 15 นาทีพวกเขาลงมาจนถึงส่วนที่เป็นสำนักหมัดมวยเก๊กันแล้ว
              "ตรงนี้ก็มีสำนักมวยด้วยหรือวะ" เจเนลกล่าวอย่างงงๆ
              "อ้อ นั้นเป็นพวกที่ไม่อดทนและไม่พยายามให้ดี บวกกับความหวาดกลัวและความไม่แน่ใจว่ายอดเขามีสำนักอยู่จริงหรือเปล่า สติที่ยังดีอยู่ก็หลุดกรอบจนเพี้ยนและพาลคิดว่าตนเป็นเจ้าสำนักคอยดึงพวกคนที่เดินขึ้นบันไดมาที่สำนักของเรามาอยู่กับคนบ้าจนเพี้ยนตามไปด้วยนะสิ" ทินเหมาลีบอก
              เลอแชนกล่าว "พอเห็นพวกนี้แล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อน พวกเราแทบเซ็งจนอยากจะกลับขึ้นไปกันแล้ว แต่ตอนนี้ เราเริ่มเห็นใจพวกนี้กันบ้างแล้วละ"
              "เฮ้ ว่าแต่ พวกแกมาจากตรงไหนกันน่ะ หน้าไม่คุ้นเลยหว่า" เจ้าสำนักกระบี่เบี้ยวที่ไม่คุ้นหน้าบรอนเซอรูทถาม
              เจ้าสำนักมวยเก๊เห็นพวกพีวิลก็รู้เลยว่า "นั้นมันพวกที่ปีนเมื่อหลายวันก่อนนิ พวกแกเดินลงมาจากยอดเขาเลยหรือ"
              "ใช่ พวกเราปีนขึ้นมาข้างบนเองแหละ ด้วยความพยายามของพวกเราเองด้วยน่ะ" คลอเวฟบอก
              เจ้าสำนักมวยเก๊บอก "ง้านหรือ แล้วบนนั้นเจออะไรบ้างละ อย่าบอกน่ะ ว่ามีหมีหรือสัตว์ประหลาดดักกินคนบนนั้นน่ะ"
              "พวกคุณคงไม่รู้หรอกนะ ว่าพวกเราอยู่บนยอดเขานี้มาตลอด 20 ปีด้วยกัน ก่อนหน้าที่พวกคุณจะปีนขึ้นมาบนนี้ บอกตรงๆน่ะ ว่าบนเขาไม่มีอันตรายอย่างที่คุณหรือพวกคิดหรอก" บรอนเซอรูทกล่าว
              เซเทธแย้ง "แต่พี่ใหญ่ ไปพูดกับพวกนี้แล้วเกิดพวกนั้นบุกขึ้นมารังควานท่านอาจารย์ขึ้นมากันละ"
              "ถ้าพวกเขาตั้งใจที่จะมาถึงสำนักของท่านอาจารย์จริง พวกเขาควรจะขึ้นมาได้ตั้งนานแล้ว ไม่น่ามาจมปลักตรงนี้กันหรอกน่า" ทินเหมาลีบอก
              สเปียริทกล่าว "ถ้าขนาดแมนิเกเตอร์อย่างพวกเราขึ้นไปถึงยอดได้ แล้วทำไม มนุษย์ที่น่าจะมีน้ำอดน้ำทนและความพยายามมากกว่านี้ ถึงทำไม่ได้ซะละ"
              "แล้วจะทำไม พวกเราจะอยู่ตรงนี้ซะอย่างน่ะ มีอะไรอะเปล่า" เจ้าสำนักคนบ้าย้อน
              มาสวาร์ทาร์ได้ฟังก็ส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่า "เราอย่าเสียเวลากันดีกว่าน่ะ พวกเราขอตัวก่อนแล้วกัน" แล้วเหล่าแมนิเกเตอร์และพองเพื่อนจากบนเขาทั้งแปดก็เดินลงมา ซึ่งพอลับตาไปได้สักพัก
              "....ถ้าพวกแมนิเกเตอร์มันทำได้ถึงขนาดนี้ แล้วพวกเรามัวทำบ้าอะไรกันวะเนี้ย" เจ้าสำนักคนหนึ่งที่ได้ฟังก็คิดได้ขึ้นมา  
              "นั้นสิ ถ้ามีคนเดินลงมาจากยอดเขาจริง ก็แปลว่าที่ผ่านมาเราก็มโนไปเองละสิเนี้ย" เจ้าสำนักหญิงกล่าวโดยเริ่มได้สติกลับมากันแล้ว เช่นเดียวกับคนอื่นๆด้วย
              เจ้าสำนักดาบเลยโยนของเก๊ลง "พวกเราทั้งหลาย มาพยายามด้วยกันเหอะ ไปให้ถึงยอดต่อ ต่อให้มันจะอันตรายหรือไม่ พวกเราก็ไม่ยอมแพ้พวกแมนิเกเตอร์กันหรอกน่ะ" แล้วก็ชักชวนลูกศิษย์ทั้งสติไม่ดีแต่เริ่มเห็นแรงบันดาลใจกับพวกสติดีที่ได้เห็นตัวอย่างมา จนทั้งหมดเฮลั่นขึ้นและเสียงดังไล่หลังพวกแมนิเกเตอร์ไป
              "ว้าว พวกเราช่วยพวกคนบ้าให้หายบ้าไปได้เลยนะเนี้ย" กริมเบอรี่บอก
              ทอฟคานิคบอก "นั้นก็คงเป็นความดีอย่างหนึ่งที่เราได้ทำเลยสิน่ะ" แล้วทั้งหมดก็เดินลงมาผ่านครึ่งทางกันแล้ว จนมาถึงชุมชนหมู่บ้านบนเขาช่วงต้นกัน
              "คนเหล่านี้ เดินลงจากเขากลับมาอย่างปลอดภัยเลยหรือ" ชายชราคนหนึ่งกล่าว
              หญิงแก่บอก "....นี้พวกหนูมาจากบนยอดเขานะหรือ แล้วๆๆ หลานของฉันล่ะ"
              "ถ้าเป็นหลานของคุณยายละก็ สบายดีอยู่และน่าจะลงจากเขามากันแล้วละคะ" ทินเหมาลีบอก แล้วพวกบรอนเซอรูทก็สอบถามพวกชาวบ้านถึงพวกเด็กๆที่เดินขึ้นเขามา บางคนดีใจที่ลูกหลานอยู่สบายบนนั้น แต่บางคนเสียใจที่รู้ชาตะกรรมของญาติที่จากไปไม่ว่าจะป่วยตายโดยโรคร้ายหรือประสบอุบัติเหตุมาก็ตาม
               ผู้ใหญ่บ้านบอก "ขอบคุณพวกเจ้ามากๆที่ทำให้พวกเรารู้ว่าลูกหลานของพวกเรามีชาตะกรรมยังไง และต้องขอบคุณท่านเฟยหลงที่ดูแลพวกเขาไว้ด้วยน่ะ"
              "ไว้ให้พวกลูกศิษย์ของพวกท่านลงจากเขามา แล้วค่อยไปฝากคำขอบคุณจากพวกเขาเลยดีกว่านะครับ" เลอแชนบอก แม้จะก้าวร้าวแต่เมื่อเจอกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่รู้เรื่องของพวกลูกๆหลานๆที่เป็นศิษย์ของเขาก็ต้องสุภาพอ่อนน้อมไว้
              ผู้ใหญ่บ้านกล่าว "แต่ต้องระวังด้วยละ เพราะว่าในป่านี้ ปรากฎนกยักษ์สองตัวอยู่ในป่ากันด้วยน่ะ"
              "นกยักษ์สองตัวนะหรือ" เซเทธกล่าว
              มาสวาร์ทาร์เลยเข้าไปถาม "แล้วนกยักษ์ มิได้ทำอันตรายต่อพวกท่านเลยหรือครับ"
              "ไม่เคยนะสิ หากแต่พวกมันอยู่ในป่าตรงทางขึ้นบันไดไว้ พวกเราเลยไม่กล้าเดินลงไปกันนะสิ" ผู้ใหญ่บ้านบอก
              พีวิลกล่าว "เดียวก่อนนะ หรือว่านั้นจะเป็น...."

              "กวี้กกกก กวี้กกก กี้กกกก" เจ้าอาคาชิค นกสตอร์มฮอว์คของอาทรัลเตอร์นี้เอง มันร้องด้วยความดีใจที่เห็นมาสวาร์ทาร์และพวกเดินลงเขามา "เจ้านกตัวนี้นะหรือ ที่อาทรัลเตอร์พาพวกนายมาส่งตรงนี้กันน่ะ" เจเนลบอก
              มาสวาร์ทาร์พยักหน้า "และดูเหมือนว่า มันพึ่งจะคาบข่าวมาบอกด้วยละ ว่าตอนนี้พวกครอสตรีมส่วนหนึ่งมันมาที่สุสานแห่งดาบด้วยน่ะ"
              "นี้แปลว่า ไอ้เวรทราเวยน์มันเจอดาบเทพแล้วละสิ" คลอเวฟกล่าว
              โมคุโตะบอก "แต่ พวกชาวบ้านบอกว่ามีนกยักษ์แบบนี้สองตัวด้วยนิ แล้วอีกตัวนั้น...."
              "กวี้......." สตอร์มฮอวค์ตัวหนึ่งบินมา ซึ่งตรงปีกจุดหนึ่งนั้นมีสีอ่อนกว่าขนปีกที่สีเข้มขึ้น และกระพือปีกบินลงมาพอดี "ไทฟูล นี้นายหายดีแล้วหรือเนี้ย" ไซโคลเนียบอก ที่แท้มันคือไทฟูลนี้เอง ซึ่งตอนนี้มันใช้เวลาเกือบสัปดาห์ในการรักษาบาดแผลบนปีกไว้แล้ว
              เลอแชนบอก "นี้อย่าบอกน่ะว่านายมีเพื่อนเป็นนกยักษ์ด้วยน่ะ"
              "กี้ กวี้กกก กี้กกก" ไทฟูลสังเกตุเห็นพวกบรอนเซอรูทก็ก้าวเดินมา และจ้องหน้าอย่างยกใหญ่ "กวี้กๆๆๆๆ" ไทฟูลร้องลั่นขึ้นมา "นี้นายจะบอกว่าเราเป็นลูกของคนที่สร้างพวกนายมาอย่างงั้นนะหรือ" โมคุโตะบอก ไทฟูลพยักหน้า
              ทินเหมาลีเลยเดินมาแตะตรงจงอยปากไว้ "อืมมมม แม้เธอกับพวกจะเกิดมาผิดธรรมชาติจากน้ำมือของผู้เป็นพ่อของเรา แต่...พวกเราไม่ใช่ศัตรูของพวกเธอ และเป็นเพื่อนกับพวกพีวิลด้วยน่ะ"
              "กวี้กกก กวี้ก" ไทฟูลร้องเมื่อรู้สึกสัมผัสจากทินเหมาลีไว้ โดยที่อาคาชิคก้าวเดินมาจ้องหน้าเซเทธ ฟันดิวเรค ทอฟคานิค เลอแชน กริมเบอรี่ โมคุโตะและบรอนเซอรูทไว้ "กี้กกก กวี้กกก" มันกู่ร้องขึ้น "โอ้ว มันยอมรับพวกเราว่าพวกเราไม่ใช่ศัตรูของพวกมันแล้วละ" เซเทธกล่าว เช่นเดียวกับมันก้มให้เจเนล จายด์และจิลไว้
              "ดูเหมือนว่า มันจงรักภักดีต่อท่านอาทรัลเตอร์และขอบคุณพวกเราที่ช่วยฝังศพให้ด้วยน่ะ" จิลบอกโดยเธอสื่อสารกับเจ้าอาคาชิคผ่านกระแสจิตไว้แล้ว
              "เยี่ยม งั้นก็เท่ากับว่าเราแก้ปัญหาเรื่องนกสองตัวได้แล้วละ" คลอเวฟกล่าว แต่ไทฟูลกู่ร้องขึ้น "กวี้กๆๆๆๆๆ กี้กก กวี้กๆๆ"
              ไซโคลเนียกล่าว "เอ้ มันเจอซากไฮดร้าตายอยู่รอบๆตีนเขาเมื่อ 2-3 วันนะหรือ...." ไทฟูลพยักหน้าแล้วก็ก้าวตรงไปที่พุ่มไม้และจิกเอา "ฟึ่บบบ ตรึงงงงง" หัวของไฮดร้าทั้งห้าหัวที่แน่นิ่ง ลำตัวไฮดร้าที่ถูกตัดครึ่ง ซึ่งตอนนี้ถูกจิกจนส่วนหลังแหว่งให้เห็นเครื่องจักรที่อยู่ข้างในไว้
              "อะไรอยู่ในหลังงูใหญ่ห้าหัวนั้นน่ะ" บรอนเซอรูทกล่าว
              เจเนลเลยลองดึงเครื่องจักรนั้นมา... "โอ้ว ครองคอร์ดให้ไวซ์ไมเซลส่งไฮดร้าที่จายด์ยืมมา ติดตั้งเครื่องสแกนพื้นที่ ตรวจสอบหาพวกเราที่อยู่ในระแวกนี้จนตรวจเจอหุบเขาแห่งนี้แล้วนะสิ" เจเนลบอก
              "เดียวก่อนน่ะ นี้พวกนายจะเอายังไงกันแน่เนี้ย" เลอแชนบอก
              มาสวาร์ทาร์กล่าว "ว่าแต่ พวกนายไม่รู้เรื่องเครื่องสแกนที่ฝังอยู่ในไฮดร้าเลยหรือ"
              "ไม่ ไวซ์ไมเซลบอกว่า ไฮดร้าตัวนี้สภาพดี เอาไปขี่ได้เลย ซึ่งก็บอกเพียงเท่านี้แหละ" จายด์กล่าว
              พีวิลถาม "แล้วเครื่องนั้นยังทำงานอยู่หรือเปล่าน่ะ"
              "มันเจ็งไปนานแล้วละ อีกทั้งไฮดร้าเองหากไม่ใช้ไฟเผาตรงแผลเพื่อไม่ให้มันงอกแล้ว มันก็ไม่มีทางถูกฆ่าตายง่ายๆกันหรอกน่ะ" เจเนลกล่าว
              มาสวาร์ทาร์บอก "เพราะเหตุนี้แหละ ครองคอร์ดถึงไม่ส่งใครมาดักพวกเราตรงนี้ เพราะอาณาบริเวณของหุบเขานี้เป็นส่วนหนึ่งของชายแดนจีนฝั่งตะวันตก ซึ่งต่อให้ทางเดินวิบากและกันดารเข้าถึงได้ยากแค่ไหน ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับทหารที่อยู่ในระแวกนี้ที่ชำนาญพื้นที่เป็นอย่างดีไปได้หรอกน่ะ"
              "ทหารที่อยู่ชายแดนใกล้กับหุบเขานี้มันเยอะมากเลยหรือ" ฟันดิวเรคถาม
              สเตฟอร์ดบอก "ถ้าเป็นพื้นที่ฝั่งตะวันตกของจีนละก็ จำนวนทหารนับแสนที่อยู่ตามมณฑลในอาณาบริเวณนี้ก็เยอะพอที่จะมาถึงนี้ได้กันน่ะ"
              "อย่ารอช้าเลย เรารีบไปจากนี้กันดีกว่าน่ะ" พีวิลบอก
              บรอนเซอรูทกล่าว "เพราะอย่างน้อย พวกนายก็มีเรื่องที่ควรทำกันอยู่แล้วนิน่า" แล้วทั้งหมดก็ขี่นกสตอร์มฮอว์คทั้งสองตัวออกจากเขตป่ารอบเขาหอเมฆาโดยเร็ว ซึ่งไวซ์แลงค์ได้แอบมองดูอยู่ห่างๆไว้

    ต่อพาร์ทสุดท้ายเลย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×