ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เหตุผลของคนตาย

    ลำดับตอนที่ #26 : Chapter3 เงื่อนงำที่สอง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 152
      2
      4 ต.ค. 56

    Chapter3 เงื่อนงำที่สอง

     

    วันที่ 10 ธันวาคม 2011 เวลา 19.30 นาฬิกา (ในศาลาสวดศพ)

     “กุสะลา  ธัมมา,   
    อะกุสะลา ธัมมา
    ,   

    อัพพะยากะตา  ธัมมา,
    กะตะเม ธัมมา กุสะลา,   
    ยัสสะมิง สะมะเย
    ,   
    กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง อุปปันนัง โหติโสมะนัสสะสะหะคะตัง ญาณะสัมปะยุตตัง
    ,   
    รูปารัมมะนัง วา
    ,  

    สัททารัมมะนัง  วา,   

    คันธารัมมะนัง วา,   

    ระสารัมมะนัง  วา,   
    โผฏฐัพพารัมมะนัง วา
    ,  

    ธัมมารัมมะนัง  วา  ยัง  ยัง  วา  ปะนารัพภะ,   

    ตัสสะมิง  สะมะเย  ผัสโส  โหติ, 

    อะวิกเขโป  โหติ, 

    เย  วา  ปะนะ  ตัสสะมิง  สะมะเย, 

    อัญเญปิ  อัตถิ  ปะฏิจจะสะมุปปันนา  อะรูปิโน  ธัมมา,   

    อิเม  ธัมมา  กุสะลา”   
                (บทสวด พระสังคิณี

    คำแปล
    ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล
    ธรรมทั้งหลายที่เป็นอัพยากฤต ธรรมเหล่าไหนเป็นกุศล ในสมัยใด
    กามาวจรกุศลจิตที่ร่วมด้วยโสมนัส คือความยินดี 

    ประกอบด้วยญาน คือ ปัญญา เกิดขึ้นจาก ปรารภอารมณ์ใด ๆ

    จะเป็นรูปารมณ์ คือยินดีในรูปเป็นอารมณ์ก็ดี

    จะเป็นสัททารมณ์ คือยินดีในเสียงเป็นอารมณ์ก็ดี

    จะเป็นคันธารมณ์  คือยินดีในกลิ่นเป็นอารมณ์ก็ดี
    จะเป็นรสารมณ์ คือยินดีในรสเป็นอารมณ์ก็ดี

    จะเป็นโผฏฐัพพารมณ์ คือยินดีในสิ่งที่กระทบ สัมผัสถูกต้องกายเป็นอารมณ์ก็ดี

    จะเป็นธรรมารมณ์ คือยินดีในธรรมเป็นอารมณ์ก็ดี

    ในสมัยนั้น ผัสสะ ความฟุ้งซ้านย่อมมี อีกอย่างหนึ่งในสมัยนั้น ธรรมเหล่าใดแม้อื่น
    มีอยู่ เป็นธรรมที่ไม่มีรูป อาศัยกันและกันเกิดขึ้น
    ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล

    หมายเหตุ ผู้เขียนมิใช่ผู้ที่ศึกษาทางด้านนี้โดยเฉพาะ หากมีข้อผิดพลาด ขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วย แต่เนื่องจากคำแปลมีความหมายต่อเนื้อเรื่องจึงต้องการยกมาไว้เพื่ออ้างอิง)

    เสียงสวดมนต์จากพระสงฆ์สี่รูปดังก้องศาลาวัดขนาดกลาง เป็นเสียงที่ฟังชัดเจนทุกถ้อยอักขระ แต่ผู้คนที่นั่งอยู่จนเต็มศาลาจนล้นออกไปยังด้านนอก หาได้มีผู้ใดสนใจความหมายที่แท้จริงของบทสวดไม่

    มันคงจะจริงที่ว่า งานศพคืองานของคนตายที่มีไว้สำหรับคนเป็น เพราะร่างที่นอนอยู่ในโลงศพไม่อาจรับรู้อะไรได้อีก แม้แต่เสียงพร่ำสวดของเหล่าพระสงฆ์ที่มอบให้แก่เขา ความจริงหากจะมีใครสักคน มองลึกไปถึงความหมายที่มีในบทสวด เขาคนนั้นก็จะรู้ว่าบทสวดนั้นมันไม่ได้แจ้งอะไรแก่ผู้ที่ไร้ลมหายใจ แต่เป็นคำสอนที่ไว้ใช้เตือนสติแก่ผู้ที่ยังอยู่เบื้องหลัง ให้สำนึกถึงความไม่เที่ยงแท้ใดๆ ที่มีอยู่ในโลก แม้วันนี้ผู้ที่เป็นที่รักของเราจะมีชีวิตอยู่เคียงข้างเรา แต่พรุ่งนี้ข้างกายของเราก็อาจจะไม่มีเขาแล้วก็ได้ เช่นเดียวกันกับชีวิตของเรา วันนี้เราอาจจะมีชีวิตอยู่เพื่อทำในสิ่งที่เราต้องการ แต่เมื่อพรุ่งนี้มาถึงเราก็อาจไม่มีโอกาสนั้นแล้วก็ได้

    แม้จะเป็นคืนที่สองของงานศพนายแพทย์เอกณรงค์ แต่ภายในศาลาวัดก็ยังมีคนแสดงความเสียใจอย่างเนืองแน่น ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้ตายและบิดามารดาเป็นผู้ที่คนในสังคมละแวกเดียวกันรู้จักเป็นอย่างดี ทั้งจากอาชีพอดีตหัวหน้าคุมงานก่อสร้างของบิดา และความมีมิตรไมตรีที่มีต่อเพื่อนบ้านของมารดา และยังมีอีกหลายคนที่อ้างว่าเป็นคนรู้จักของนายแพทย์เอกณรงค์ แม้ว่าจะเป็นเพียงผิวเผินก็ตาม

    ส่วนหนึ่งของคนเหล่านั้นก็มาเพราะความอยากรู้อยากเห็นว่าเหตุใดหมอหนุ่มถึงต้องฆ่าตัวตาย และอีกส่วนก็เนื่องมาจากคืนนี้ผู้บังคับการเรือนจำตรัง หรือที่ลูกน้องเรียกว่าพัศดีตรัง หัวหน้างานคนปัจจุบันของหมอเอกได้ขอเป็นเจ้าภาพในการสวดศพ ทำให้มีเจ้าหน้าที่เรือนจำหลายคนมาร่วมงานด้วย เช่นเยาวรินทร์ที่นั่งพนมมือตั้งรับคำสวดของพระ แต่หูและปากของพยาบาลสาวก็ยังพูดคุยอยู่กับเพื่อนร่วมงาน โดยส่วนใหญ่เรื่องที่เธอและเพื่อนๆ สนทนากัน ไม่ได้เป็นผลดีต่อผู้ตายเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นหลายต่อหลายคนก็ยังเงียหูฟังด้วยความสนใจ และร่วมวิพากษ์วิจารณ์ไปด้วย

    เมื่อคะเนเอาว่าใกล้เวลาที่พระสงฆ์จะจบบทสวดรอบสุดท้าย พัศดีตรังที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหน้าร่วมกับบิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ของผู้เสียชีวิต ก็หันไปทางโอภาสที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วบอกเสียงเบา

    “พอสวดจบผมขอคุยกับคุณโอภาส และคุณนารีสักครู่นะครับ”

    โอภาสคิดเอาว่าพัศดีตรังต้องการแสดงความเสียใจจึงรับปากง่ายๆ

    “ได้สิครับท่าน เดี๋ยวเราคุยกันต่อตรงนี้เลยก็ได้ วันนี้มีลุงของเอกมาด้วย ผมกับนารีคงไม่ต้องลุกออกไปส่งแขกแล้ว”

    “ไม่ได้ครับ พอดีผมมีเรื่องสำคัญอยากจะบอก เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะให้ใครรู้ ขอไปคุยข้างนอกศาลาแล้วกัน”

    คำพูดนั้นแฝงความนัยที่น่าสงสัย จนโอภาสและนารีต้องหันกลับมามองหน้ากัน แต่ก็นั่งนิ่งรอเวลาสวดจบ พร้อมกับคิดสงสัยว่าสิ่งที่พัศดีตรังกำลังจะบอกพวกเขา คงจะเป็นเรื่องไม่สู้ดีนักของเอกณรงค์ ถึงต้องพูดลับหลังแขกอื่น ความคิดนั้นสร้างความหวาดหวั่นให้แก่ทั้งสองว่ามีเรื่องร้ายอะไรอีก ที่ทั้งคู่ยังไม่รู้เกี่ยวกับบุตรชาย

    ………Brake………
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×