ลำดับตอนที่ #12
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 9 จุดเริ่มต้นของหนทางสิ้นสุด
ตอนที่ 9 จุดเริ่มต้นของหนทางสิ้นสุด
“ถ้าจะเมาคราวหน้าก็ให้พี่หมวดอยู่ด้วยนะพี่หมอ ผมไม่ถนัดลากผู้ชายเข้าห้อง ขอเก็บแรงไว้ลากน้องๆ หนูๆ ดีกว่า"
สมเจตบ่นอุบเมื่อต้องแบกร่างของสัมมาที่ทั้งสูงกว่า แถมยังหนักกว่าเข้าลิฟท์ โดยที่แขนอีกข้างยังต้องหอบหิ้วกีต้าร์เครื่องมือหากินไปด้วย กว่าสองปีแล้วจากครั้งสุดท้ายที่เขาต้องหิ้วปีกของรุ่นพี่ที่เมาหนักจนเดินเองไม่ไหว โชคดีที่ครั้งนั้นมีคนล่ำสันอย่างหมวดชาญช่วย แต่โชคร้ายที่ครั้งนี้คนเคยช่วย ไม่ยอมออกมาช่วย อ้างว่าไม่อยากปล่อยให้แฟนต้องอยู่ในห้องเพียงลำพัง โดยปราศจากคนคอยเฝ้าระวังอยู่ข้างๆ ห้อง ทำให้หนุ่มตัวเล็กต้องแบกรับภาระหนักอยู่คนเดียว หลังจากปล่อยให้คนคออ่อนอาเจียนจนหมดท้อง จุ๊ยก็กึ่งลากกึ่งพยุงสัมมาเข้ามาในตึก
“บ่นมากปล่อยกูนอนหน้าคอนโดก็ได้โว๊ย กูไม่ถือหรอก”
ถึงแรงเดินจะหมด แต่แรงเถียงยังมี ที่สำคัญตอนนี้ในสมองของหมอสัมโดนแอลกอฮอลล์ตีกลับ จนขี้เกียจเดินเข้าห้องของตัวเองแล้ว ถ้าไม่ติดรุ่นน้องส่งเสียงเร่งให้เดินอยู่ข้างหู เขาคงลงไปนอนบนพื้นดินที่ใกล้ที่สุดไม่ฝืนเดินให้คลื่นไส้
“ขืนผมให้พี่หมอไปนอนร้องเพลงงิ้วหน้าตึก พรุ่งนี้ก็ได้หาที่อยู่ใหม่ด้วยกันทั้งคู่แน่ งวดที่แล้วทำเลือดนองสยองตึกไปที เขายังบ่นข้ามปีไม่เลิกอยู่เลย”
เรื่องเถียงไม่มีใครเกินไอ้จุ๊ย แต่พอลิฟท์เปิด มันก็รีบหรี่เสียงแล้วรวบรวมแรงลากสัมมาอย่างสงบ เพื่อป้องกันคนร่วมชั้นไปฟ้องเจ้าหน้าที่นิติประจำตึก และด้วยความเงียบนั้นเองเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงหน้าห้องของสัมมา คนในห้องตรงข้าม จึงเปิดประตูออกมาจากห้อง613 ออกมาเจอพอดี
ปกติวิทยาไม่ใช่คนเนี้ยบ ต่อให้เทียบกับหนุ่มเซอร์อย่างสมเจตก็ตาม แต่สภาพเสื้อผ้าบนตัวที่ยับยุ่ง และรอยลิปสติกที่เปื้อนใบหน้า บอกอะไรได้มากมายหลายอย่าง ที่สำคัญเมื่อคนที่ยืนอยู่นอกห้องมองเข้าไปในห้อง ก็เห็นอริญในสภาพที่ไม่ต่างกันนัก ผิดแต่ว่าฝ่ายหญิงมีคราบน้ำตาเปื้อนแก้มเป็นทาง ทำให้คนที่มองเดาเรื่องได้ในทันที
“ไอ้เหี้ยกอร์ฟมึงทำอะไรเอย”
แรงที่คิดว่าหมดกลับคืนสู่ร่างกายของสัมมาพร้อมด้วยแรงโกรธ ก่อนจะทันได้คิดสองมือของหมอหนุ่มก็รวบกระชากคอเสื้อของรุ่นน้อง วิทยาเองกำลังตกใจเกินกว่าจะปัดป้อง จึงเซถอยหลังไปกระแทกผนังที่อยู่ใกล้ๆ
“มึง กล้า รังแกเอยหรอ”
หมอสัมคั้นคำพูดแต่ละคำด้วยการกระแทกร่างของวิทยาเข้ากับผนัง แต่พอจบประโยคคนที่ยอมปล่อยให้ทำร้ายก็ตาเปลี่ยนแววจากงุนงงเป็นเจ็บแค้น มีเพียงความนับถือแต่เก่าก่อนเท่านั้นที่ทำให้หนุ่มรุ่นน้องไม่ตอบโต้ จนเมื่อมือขวาของสัมมาปล่อยออกจากคอของเขาและเปลี่ยนสภาพเป็นกำปั้น กอร์ฟจึงไม่คิดเป็นเป้านิ่งอีกต่อไป เขาดิ้นสะบัดจนหลุดก่อนจะตะโกนโต้ตอบ
“คนที่ทำให้เอยเจ็บก็คือพี่หมอต่างหากล่ะ”
ความโกรธของสัมมาเพิ่มระดับอย่างรวดเร็ว กำปั้นที่เงื้ออยู่ตรงเข้าไปยังใบหน้าของวิทยา แต่อีกฝ่ายระวังตัวอยู่แล้ว จึงปัดหมัดนั้นออกทัน แต่มันก็ยังแรงพอที่จะทำให้เขาเซ ความอดทนจึงหมดลง เมื่อหมอหนุ่มถลันเข้ามาซ้ำ วิทยาจึงสวนกลับด้วยหมัดที่ผ่านการการันตีจากสมาคมมวยสมัครเล่น ส่งให้ร่างสูงของหมอสัมแทบหงายหลังลงไปนอนกองกับพื้น ดีที่สมเจตหายจากอาการตกตะลึงทิ้งกีต้าร์เข้ามาประคองไว้ทันพร้อมกับล๊อคตัวเขาเอาไว้ ด้านกอร์ฟเองก็ไม่สามารถเข้าไปทำร้ายรุ่นพี่ต่อได้อีก เพราะอริญถลันมาฉุดแขนเอาไว้
“กอร์ฟพอได้แล้ว อย่าทำอะไรสัมนะ”
แรงของอริญที่ฉุดแขนวิทยาไม่มากเท่าไหร่ แต่น้ำเสียงที่แสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อผู้ชายคนอื่น ทำให้คนที่มีใจให้อีกฝ่ายเสมอมาชะงัก เขามองหน้าคนที่อยู่ข้างกายเขาแต่ใจไปอยู่กับสัมมาด้วยแววตาเจ็บปวด
ด้านสัมมาเองก็มองภาพนั้นด้วยความร้าวรานไม่ต่างกัน เขาไม่อาจรักอริญอย่างคนรักได้ แต่ก็ไม่ต้องการให้ใครทำร้ายเธอเช่นกัน แม้ว่าแรงชกบวกกับฤทธิ์เหล้าในตัวจะทำให้เขาแทบยืนไม่อยู่ แต่สัมมาก็ยังพยายามจะพุ่งเข้าหาวิทยา สมเจตจึงต้องออกแรงดึงไม่ให้รุ่นพี่ไปทางเพื่อนร่วมห้องของเขาได้
“ไอ้จุ๊ยปล่อยกู กูจะฆ่าไอ้กอร์ฟ”
“เป็นเหี้ยอะไรกันว่ะ”
ชาญเดชที่ได้ยินเสียงเอะอะจึงวิ่งออกมาจากห้องตรงข้ามพร้อมปืน โดยมีธัญญ์ชยาออกมาจากห้องข้างๆ มายืนมองด้วยความงุนงง สมเจตชะงักหันไปมองตามเสียงของหมวดหนุ่ม จนทำให้สัมมามีโอกาสสะบัดตัวหลุดพุ่งเข้าหาวิทยาที่ถูกอริญยึดตัวเอาไว้
“อย่านะ”
อริญพยายามจะห้าม แต่วิทยาที่เลือดขึ้นหน้าดึงแขนหลุดจากการฉุดรั้งแล้วโผนเข้าใส่สัมมา ทั้งคู่กระแทกใส่กันล้มกลิ้งลงกับพื้น โดยสัมมาเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ชาญเดชแม้จะยังไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไง แต่ก็ตัดสินใจเหน็บปืนเก็บ ก่อนจะเข้าไปแยกทั้งคู่ออกจากกัน โดยอาศัยความช่วยเหลือของสมเจต แต่กว่าจะแยกออกมาได้ หน้าตี๋ๆ ของสัมมาก็เขียวไปหลายจุด ในขณะที่คู่กรณีเพียงแค่ปากแตกเท่านั้น
“พอกันได้แล้ว เป็นอะไรกันว่ะ”
หมวดชาญพูดไปก็ต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีรั้งตัววิทยาเอาไว้ เพราะรุ่นน้องมีทั้งแรงและฝีมือการต่อยตีพอๆ กับตำรวจอย่างเขา แต่ถึงจะถามไปคู่กรณีก็ไม่ยอมบอก ตั้งหน้าจะฆ่ากันให้ได้ โดยเฉพาะสัมมาที่ถึงแรงจะหมด แต่ก็สบถด่าเป็นชุดชนิดที่ปลุกคนทั้งตึกขึ้นมาดู ธัญญ่าเห็นว่าถามไปก็คงจะไม่รู้เรื่องแน่นอน จึงหันไปทางอริญที่ยืนน้ำตาไหลพรากอยู่
“เอยเกิดอะไรขึ้น ทำไมสัมถึงมีเรื่องกับกอร์ฟล่ะ”
“ก็ไอ้กอร์ฟมันเหี้ยน่ะสิ มันปล้ำเอย”
คนถูกถามไม่ตอบเพราะยังร้องไห้ คนตอบจึงเป็นสัมมาที่ทำท่าอยากฆ่าวิทยาให้ตายคามือ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีต่างกันเลย
“หยุดพูดไปเลย คนอย่างพี่ มันไม่เคยคิดถึงใจคนอื่นสักครั้ง อย่ามาพูดดีกว่า”
“จะเสียงดังกันอีกนานไหม อยากให้เอยอายชาวบ้านมากกว่านี้หรอ”
คำพูดของชาญ ดึงสติให้กับทั้งคู่ ยิ่งเมื่อมองสายตาของคนร่วมตึกที่ออกมาดู รวมกับน้ำตาบนแก้มอริญ สัมมาและวิทยาก็หยุดการทะเลาะทุ่มเถียงลงทันที ธัญญ่ารีบฉุดแขนเอยพาเข้าห้องของเธอเพื่อปลอบโยน ชาญเดชเห็นว่าวิทยาสงบลงแล้วก็ตัดสินใจปล่อยแขนรุ่นน้องก่อนจะถามเสียงเข้ม
“จะคุยกันที่ห้องกูหรือห้องมึง”
“ผมไม่คุย ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคนแบบนี้อีกแล้ว”
สายตากร้าวของวิทยาจับจ้องสัมมาด้วยความโกรธเคือง ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับห้องของตัวเอง ชาญเดชคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะรั้งตัวคนที่กำลังโกรธจัดเอาไว้ จึงหันไปทางสัมมาที่ยังถูกล็อคตัวโดยสมเจต
“เข้าห้องได้แล้วไอ้หมอ จุ๊ย มึงอยู่คุยกับกูก่อน กูอยากรู้ว่าคืนนี้มันเกิดอะไรกันขึ้น”
สมเจตไม่เถียงสักคำ แต่ไม่ยอมปล่อยแขนออกจากตัวสัมมา ส่วนหนึ่งเพราะยังไม่แน่ใจว่ารุ่นพี่จะตามไปต่อยกับวิทยาอีกหรือเปล่า อีกส่วนไม่แน่ใจว่าสภาพของหมอสัมจะเดินไปเองไหวหรือไม่ เมื่อสามหนุ่มเดินเข้าไปในห้องเรียบร้อย ก็เป็นไปตามที่จุ๊ยคาดคิดไว้อย่างหลัง เมื่อสัมมาเดินเซไปนอนแผ่บนเตียงแบบหมดสภาพ
“เอาล่ะ กูรู้แค่ไอ้หมอเมา แต่เมาเพราะอะไร แล้วทำไมเสือกอยากต่อยปากกะไอ้กอร์ฟเนี่ยกูไม่รู้ ไหนมึงบอกกูทีสิจุ๊ย ว่าคืนนี้มันเกิดเหี้ยอะไรขึ้น”
“ผมไม่แน่ใจเหมือนกันพี่ ตอนเล่นดนตรีไม่ทันสังเกต เห็นอีกทีพี่หมอนั่งอยู่กับหญิง เมาหัวจะทิ่มพื้นอยู่แล้ว ผมเลยลากกลับห้อง แต่พอถึงหน้าห้องดันเจอไอ้กอร์ฟออกจากห้องพี่เอย แล้วเรื่องก็เป็นแบบที่พี่เห็นน่ะแหละ”
“สรุปไอ้กอร์ฟมีอะไรกับเอย ไอ้หมอเลยของขึ้น”
“เอ่อ..จะว่างั้นก็ได้”
จุ๊ยตอบไม่เต็มเสียงนัก เพราะเกรงใจคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เสียงอ่อนแรงของหมอสัมจึงแทรกเข้ามาขยายความเสียเอง
“ไอ้กอร์ฟมันเหี้ย มันฉวยโอกาสกับเอย”
“ไอ้สัม เอยไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะโว๊ย ถ้าเขาไม่เต็มใจ ไอ้กอร์ฟมันไม่กล้าหรอก กูก็อยู่ในห้อง ถ้าเอยร้องให้ช่วยทำไมกูจะไม่ได้ยิน”
คำพูดของชาญเดชมีเหตุผล แต่สำหรับสัมมาที่เริ่มสร่างเมา มันยังมีเหตุผลไม่พอ เพราะเขาไม่อยากเชื่อว่าเอยจะยอมมีอะไรกับกอร์ฟ
“กูไม่ได้หมายความว่ามันใช้กำลัง แต่มันฉวยโอกาสตอนเอยกำลังเสียใจต่างหากล่ะ”
“มีอะไรที่กูควรรู้เพิ่มอีกไหมเนี่ย”
หมวดชาญที่คบกับหมอสัมเป็นสิบๆ ปี รู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องอื่นอีก เขามองหน้าเพื่อน ที่หลบตาก่อนจะยอมพูดออกมา
“กูมีอะไรกับผู้หญิงที่กูกินเหล้าด้วยวันนี้”
“ให้กูทายนะ มึงเจตนาให้เอยรู้ใช่ไหมว่ามึงจะเอากับผู้หญิงคนนั้น”
“ใช่”
สัมมายอมรับเสียงเบา แต่ชาญเดชด่ากลับเสียงดัง
“เหี้ยมากมึง ทำไมว่ะ มึงก็รู้ว่าเอยรักมึง ทำไมมึงยังทำร้ายจิตใจเขาแบบนี้ว่ะ”
“กูอยากให้เขาตัดใจ”
ฟังสัมมาพูด คนที่ได้ยินต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ จุ๊ยเลือกที่จะเงียบ ปล่อยให้ชาญเดชเป็นคนพูดกับเพื่อนสนิทเอง เขาพูดช้าๆ เหมือนจะย้ำว่าไม่อยากเชื่อว่าเพื่อนที่ฉลาดในหลายๆ เรื่องจะโง่ในเรื่องแบบนี้
“ถ้าเอยจะตัดใจจากมึง เขาคงตัดใจได้ตั้งแต่หลายปีก่อนแล้วโว๊ย ไม่ทนมองมึงมั่วอย่างทุกวันนี้หรอก” สัมมาหลบตาด้วยความรู้สึกผิด แต่ชาญเดชยังถามต่อ
“เขาเลยเสียใจกลับห้อง โดยมีไอ้กอร์ฟตามมาด้วยน่ะหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่ามันรอฉวยโอกาสอยู่ ไอ้กอร์ฟแม่งก็เหี้ยได้ใจจริงๆ”
“เปล่า กูกับเอยทะเลาะกัน เอยขอให้กูคบกับเขา แต่กูปฎิเสธ เขากำลังเสียใจ กูเลยให้กอร์ฟตามเอยกลับมาด้วย”
“ไอ้...”
ชาญเดชไม่สามารถสรรหาคำด่าเพื่อนให้สาสม จุ๊ยเองก็ได้แต่ทำตาปริบๆ ทั้งกลุ่มรู้ดีว่าวิทยาแอบรักอริญ ติดตรงที่ฝ่ายหญิงไม่เคยมีใจให้เพราะรักสัมมา แต่ในเมื่อสถาณการณ์บีบคั้นจิตใจจึงไม่แปลกที่อริญจะพลาดท่าให้กับวิทยา
“พี่หมอผมว่า...”
“มึงไม่ต้องพูดไอ้จุ๊ย กูรู้ว่างานนี้ใครผิด กูผิดเอง แต่กูไม่ปล่อยไอ้กอร์ฟไปง่ายๆ แน่”
สัมมาตัดบทจุ๊ยแล้วพูดด้วยสีหน้าแววตาเจ็บแค้น แสดงให้เห็นว่าเขาพร้อมจะต่อยตีกับวิทยาเพื่ออริญอีกครั้งอย่างแน่นอน
“มึงจะทำอะไรมัน จะเอามีดผ่าศพไปจี้มันหรือไง ไอ้นั้นมันแชมป์มวยไทยสมัครเล่นนะโว๊ย หรือว่ามึงจะด่ามันให้หูเสื่อมด้วยภาษาทางการแพทย์”
หมวดชาญชี้ให้เห็นถึงเรื่องที่ทุกคนต่างก็รู้ดี เพราะในกลุ่มนอกจากสัมมาที่รักษาหุ่นเพราะฟิตเนส แต่ละคนก็ถนัดศิลปะป้องกันตัวคนละอย่างสองอย่าง ดังนั้นไม่มีทางที่หมอผ่าศพจะไปต่อยชนะเจ้าหน้าที่กู้ภัย แม้แต่เวลานี้สัมมาเองก็มีรอยช้ำบนใบหน้าเป็นเครื่องพิสูจน์เรื่องนั้นเป็นอย่างดี
“ต่อให้กูต้องโดนมันกระทืบตาย กูก็จะให้มันรับผิดชอบเอย”
“ถ้ามึงต้องการอย่างนั้น มึงก็ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่อยู่เฉยๆ ก็พอ ไอ้กอร์ฟมันรักเอยจะตาย ยังไงมันก็ไม่มีวันทิ้งเอยอยู่แล้ว”
ชาญเดชพูดตรงจนไม่มีใครโต้แย้งได้ สัมมาเองก็คิดเช่นนั้นแต่ภายในใจของเขากลับรู้สึกว่างโหวงแปลกๆ อย่างที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจเข้าใจ
“เอ่อ...ผมขอตัวกลับห้องก่อนนะพี่”
สมเจตที่ยืนกระสับกระส่ายท่ามกลางความเครียด เอ่ยปากโดยไม่เจาะจงว่าพูดกับรุ่นพี่คนไหน ชาญจึงพยักหน้าเป็นเชิงอณุญาติให้จุ๊ยกลับ แต่ไม่ทันที่นักนิติวิทยาศาสตร์จะเดินพ้นห้อง โทรศัพท์ของหมอสัมก็ส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้า เจ้าของเครื่องล้วงจากกระเป๋ากางเกงออกมาดู ก่อนจะสบถดังลั่นด้วยความตกใจ
“ฉิบหายแล้ว”
คนที่เหลือรีบวิ่งมาดูหน้าจอมือถือของสัมมา พบว่าเป็น MMS ส่งภาพมาสองภาพ ภาพแรก เป็นร่างของหญิงสาวที่อยู่ในสภาพชวนหดหู่ ไม่ต้องตรวจดูก็รู้ว่าไร้ลมหายใจแล้ว ภาพที่สองเป็นภาพถ่ายกระจกหน้ารถที่มีข้อความเขียนเอาไว้ด้วยเลือด มันเป็นภาพที่ถ่ายโดยอาศัยเพียงแสงในรถ แต่คุณภาพของกล้องที่ใช้ถ่าย ชัดเจนพอจะอ่านได้ว่า
ถ้าพี่สัมไม่มีอะไรกับเมย์ ผมคงไม่ต้องฆ่าเธอ
ถ้าพี่ไม่รักผม ก็อย่ารักใคร
จาก คนที่อยู่ใกล้ตัวพี่
“ผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม ที่มึงมีอะไรด้วย”
สัมมานิ่งเงียบไม่ตอบคำถามของเพื่อน แต่สำหรับชาญเดชถือว่าเป็นคำตอบที่ชัดเจนมากพอ เขาจัดการส่งข้อความที่สัมมาได้รับ เข้าไปยังเบอร์มือถือของตัวเองและเบอร์มือถือของผู้กองธนู เมื่อเครื่องของเขาได้รับข้อความแล้ว หมวดชาญก็รีบกดหมายเลขโทรศัพท์หาเจ้าของคดี ระหว่างรอให้อีกฝ่ายรับสายก็หันไปสั่งความสองคนที่ยังอึ้งอยู่
“จุ๊ย มึงหากาแฟให้ไอ้หมอกิน ไอ้หมอมึงไปล้างหน้าล้างตาซะ คืนนี้คงไม่ต้องนอนกันแล้ว ฮัลโหลผู้กอง ได้รับข้อความที่ผมส่งให้แล้วใช่ไหมครับ ใช่ครับ มันส่งเข้าเครื่องของหมอสัมมา ได้ครับ ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วเจอกันครับ”
ประโยคท้ายๆ หมวดชาญพูดกับโทรศัพท์มือถือ เมื่อวางสายเขาก็หันมาพูดกับคนในห้องต่อ
“ไอ้หมอรีบสร่างได้แล้ว เดี๋ยวพวกเราต้องไปที่ ส.น. กัน ขอกูบอกธัญญ่าแป๊บแล้วก็ไปกันได้เลย”
ความจริงหลังจากเห็นภาพ สัมมาก็แทบจะสร่างเมาแล้ว เมื่อชาญเดชพูดถึงแฟนสาว สัมมาก็คิดถึงผู้หญิงอีกคนที่อยู่ด้วยกัน
“เอยล่ะ”
“เอยอยู่กับธัญญ่าสองคน คงไม่มีอะไรน่าห่วง อีกอย่างเรื่องของเอย ไม่ใช่เรื่องที่มึงต้องสนใจ”
เพราะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องไม่ควรยืดเยื้อ ชาญจึงตัดบทเพื่อนอย่างชัดเจน ให้รู้ว่าในฐานะเพื่อนสัมมามีสิทธิห่วงอริญ แต่ในเมื่อมีหลายอย่างที่เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน ทั้งคู่จึงไม่อาจสนิทสนมได้เหมือนในวันเก่าๆ และที่สำคัญในเมื่อวันนี้อริญมีวิทยา สัมมายิ่งไม่มีสิทธิจะวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของอริญ
สัมมาหลบตาเพื่อนที่จ้องมอง แล้วลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมจะไปยังสถานีตำรวจ ทั้งที่เขารู้สึกว่าหนทางข้างหน้าของตัวเองกำลังสิ้นสุดลงเรื่อยๆ ทุกเส้นทาง
To be continue.
To be continue.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น