แวมไพร์ถูกพระเจ้าสาปแช่งเอาไว้ว่าต้องดูดเลือดมนุษย์เพื่อประทังชีวิต
และไม่สามารถที่จะเห็นพระอาทิตย์ได้ถ้าแสงแดดส่องกระทบโดนตัวเขา เขาก็จะกลายเป็นเถ้าธุลีสลายหายไปกับสายลมเพราะฉะนั้นแวมไพร์ก็ได้แต่ใช้ชีวิตในยามกลางคืนไล่ล่าผู้โชคร้ายที่หลงเข้าไปในความมืด
วันหนึ่งมีเทพผู้หนึ่งมาสู่ดินแดนแห่งมนุษย์ ใบหน้าเขาแลดูสวยยิ่งกว่าเทพอื่นๆใด
เขาคือบุตรที่พระเจ้าโปรดปรานมากที่สุดและเขาเดินทางมาสู่โลกก็เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายเขารักษาโรคเจ็บป่วยต่างๆให้คนนับไม่ถ้วนถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ป่วยหนักใกล้ตายแล้วเขาเพียงแค่ยื่นมือมาแตะเบาๆก็สามารถรักษาให้หายได้ในพริบตา
เมื่อแวมไพร์ได้รับรู้ข่าวนี้ก็ปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดามาหาท่านเทพองค์เทพก็รู้สึกแปลกใจอย่างยิ่งที่มีคนมาหากลางดึกเขามองครั้งแรกก็รู้เลยว่าเป็นแวมไพร์ปลอมตัวมาแต่เขาก็อยากรู้ว่าทำไมแวมไพร์ถึงได้กล้าหาญถึงเพียงนี้
"ท่านมาหาเราด้วยเหตุใดหรือ?" องค์เทพถามอย่างแปลกใจ
"ข้าป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถพบแสงอาทิตย์ได้ ขอให้ท่านเทพช่วยรักษาข้าได้ไหม?" แวมไพร์ตอบเช่นนี้ "เป็นเพราะโรคนี้ทำให้ข้าต้องหลบอยู่ในโลกที่มืดมน แต่...
เพียงสักครั้งก็ยังดี ข้าอยากเห็นความงามของตะวันยามรุ่งอรุณ"
สิ่งนี้เป็นคำขอที่ยากนัก ถึงแม้องค์เทพจะเก่งมากเพียงใดก็มิอาจเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ไปได้ แวมไพร์ไม่สามารถพบแสงแดดได้
ก็เพราะว่านั่นคือการลงโทษจากพระเจ้าถ้าแวมไพร์ยังอยู่ในโลกนี้ก็จะต้องทนรับโทษไปไม่มีวันสิ้นสุด
"เราต้องขออภัยด้วย เราไม่สามารถทำได้"
"สักครั้งก็ไม่ได้หรือไร?"
องค์เทพเกิดความรู้สึกว่าแวมไพร์น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง เขาปลอบใจแวมไพร์ว่า
"ถึงแม้เราไม่อาจจะทำให้ท่านเห็นได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าท่านไม่รังเกียจเรายินดีที่จะอธิบายให้ท่านฟัง"
แวมไพร์เห็นด้วยกับความเห็นขององค์เทพทั้งสองนัดกันไว้ว่าในวันเพ็ญที่จะถึงนี้ ไปพบกันที่ปราสาทที่แวมไพร์ หลบอาศัยอยู่เมื่อวันนั้นมาถึง องค์เทพก็ไปตรงตามเวลาที่นัดไว้ เขานั่งอยู่เคียงข้างแวมไพร์เล่าความเกี่ยวกับตะวันรุ่งอรุณด้วยเสียงอ่อนโยน
เมื่อถึงเวลาที่เขาทั้งสองต้องแยกลากัน แวมไพร์ก็พูดกับองค์เทพอีกว่า
"ขออภัยที่ต้องขอร้องท่านอีกหน แต่เพียงสักครั้งก็ยังดีข้าอยากเห็นความงามของตะวันยามเที่ยงตรงบ้าง"
องค์เทพก็คงยังไม่สามารถทำตามที่แวมไพร์ขอได้เขาก็จึงนัดแวมไพร์ให้พบกันในวันเพ็ญครั้งต่อไป
"ถึงแม้เราไม่อาจจะทำให้ท่านเห็นได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าท่านไม่รังเกียจเรายินดีที่จะอธิบายให้ท่านฟัง"
เมื่อถึงวันเวลาที่นัดเอาไว้แวมไพร์ก็นั่งรอองค์เทพอย่างกระสับกระส่าย องค์เทพยืนอยู่ใต้แสงจันทร์อันนวลผ่อง ปีกที่ขาวบริสุทธิ์แลดูวาวระยับ ราวกับว่าเขาได้ใส่ผ้าคลุมสีเงินอันสวยอย่างไม่มีที่ติดังนั้นความงามขององค์เทพทำให้แวมไพร์มิอาจเอนสายตาไปทางอื่นใดได้องค์เทพนั่งลงเคียงข้างแวมไพร์และพูดถึงตะวันที่ตั้งอยู่บนกลางท้องฟ้ารอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ขององค์เทพทำให้แวมไพร์หลงใหลยิ่งนักดังนั้นแวมไพร์จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขอร้องเป็นครั้งที่สาม
"ขออภัยที่ต้องขอร้องท่านอีกหน แต่เพียงสักครั้งก็ยังดีข้าอยากเห็นความงามของตะวันยามเย็นบ้าง"
"ถึงแม้เราไม่อาจจะทำให้ท่านเห็นได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าท่านไม่รังเกียจเรายินดีที่จะอธิบายให้ท่านฟัง"
แวมไพร์และองค์เทพก็ยิ้มให้แก่กันคราวนี้ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากสัญญาเขาทั้งสองก็รู้ดีว่าจะมาพบกันในคืนวันเพ็ญครั้งต่อไปต่างฝ่ายต่างก็เฝ้ารอการพบครั้งต่อไป ต่างฝ่ายต่างก็หวังให้พระจันทร์เต็มดวงเร็วๆ
ในที่สุดก็ถึงคืนวันเพ็ญ องค์เทพนั่งอยู่เคียงข้างแวมไพร์ดังเดิมพูดถึงเกี่ยวกับตะวันตกดินเมื่อคำสนทนาจบลงแวมไพร์ก็เอ่ยปากถามองค์เทพด้วยเสียงระรัว "ขอบคุณท่านมากที่เล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง ถ้าเป็นไปได้
ท่านจะยอมรับฟังความฝันของข้าอีกสักอย่างจะได้ไหม?"
"เราจะพยายามทำถ้าเราทำได้"
"ข้าอยากจะพบท่านอีกข้ารู้สึกว่าเพียงแค่ได้อยู่เคียงคู่กับท่านแสงตะวันก็นับว่าเป็นเรื่องเล็กไม่ว่ายามรุ่งอรุณ, เที่ยงวันหรือยามเย็นก็ตามท่านแลดูสวยงามยิ่งกว่าแสงตะวันนัก"
องค์เทพได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นมา "เราก็หวังที่จะทำให้ความฝันของท่านเป็นจริงแต่เราต้องยุติภาระในแดนมนุษย์ในวันรุ่งขึ้นและต้องกลับขึ้นไปสู่แดนสวรรค์ ไม่สามารถมาพบกับท่านได้อีก"
เมื่อแวมไพร์ได้ยินคำปฏิเสธขององค์เทพแล้ว ก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา "อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เทียบกับที่นี่แล้วสวรรค์คงเป็นดินแดนที่อบอุ่นและสว่างมากสินะข้าก็เป็นเพียงแค่ปีศาจที่อาศัยอยู่ในความมืดมนเท่านั้นนี่นาช่วงเวลาสั้นที่ได้อยู่กับท่านก็น่าจะเพียงพอแล้ว"
"ขอโทษนะ" องค์เทพออกไปจากปราสาทของแวมไพร์อย่างเศร้าใจเขากลับไปสู่ดินแดนสวรรค์ของเขา
พระเจ้าสังเกตเห็นใบหน้าของบุตรที่ท่านโปรดปรานแลดูผิดปกติ จึงถามว่า "ลูกน้อยเจ้าคิดอะไรอยู่หรือไร?" ใจที่องค์เทพอาทรนั้นก็มีเพียงแต่แวมไพร์ที่โดดเดี่ยวคนนั้น
"ลูกอยู่ในแดนมนุษย์ได้พบกับแวมไพร์ตนหนึ่ง เขาอยากเห็นแสงตะวันมาก
แววตาของเขาบ่งบอกลูกว่าเขาอยู่อย่างเงียบเหงายิ่งนักหลายร้อยปีที่ผ่านมาเขาต้องอาศัยอยู่ในที่ที่ห่างไกลจากผู้คนและอยู่แต่ในความมือที่น่าเศร้าใจ" องค์เทพเอ่ยปากบอกความในใจเขาแก่พระเจ้า
"เพราะฉะนั้น ลูกอยากจะช่วยเหลือเขา อยู่ใกล้เคียงเขา พูดคุยกับเขาเมื่อลูกบอกกับเขาว่าไม่สามารถพบกันได้อีกลูกรู้ว่าเขามองส่งลูกจากไปด้วยความอาลัยจนลับตาเขา"
"ลืมเขาเสียเถิดมันไม่มีค่าพอที่ลูกจะอาวรณ์อยู่ร่ำไป" พระเจ้ากำชับองค์เทพซ้ำแล้วซ้ำอีกเสมือนว่าพระเจ้ารับรู้แล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในภายหน้า "ลืมเขาเสียเถิดมิฉะนั้นเจ้าจะต้องเผชิญกับความทรมานยิ่งกว่านี้"
องค์เทพยอมเชื่อฟังคำชี้แนะของพระเจ้าแต่โดยดีเขาตั้งใจว่าจะไม่นึกคิดอะไรเกี่ยวกับแวมไพร์อีกเขาหลบไปอาศัยอยู่ในส่วนลึกแห่งดินแดนสวรรค์อย่างเงียบๆคนเดียว ดำรงชีวิตไปตามปกติมีเพียงว่าบางครั้งเขาจะปวดใจขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
ในแดนมนุษย์แวมไพร์ก็เป็นเช่นเดียวกับองค์เทพทั้งๆที่องค์เทพบอกกับเขาว่าจะไม่กลับมาอีกแต่แวมไพร์ก็คงยังรอคอยอยู่อย่างเดียวดายทุกคืนวันเพ็ญเช่นเดิม
"ไม่แน่เขาอาจจะมาก็เป็นได้" แวมไพร์พึมพำเช่นนี้กับตัวเองเสมอ
แต่สิ่งที่ได้มาจากการรอคอยของเขาก็มีแต่ความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากนั้นแวมไพร์ก็เปลี่ยนเป็นเฝ้ารอทุกคืนวันเขานึกคิดไปว่าองค์เทพอาจจะเคยมาหาเขาและสวนทางกับเขาในเวลาที่เขาออกไปหากินเขาไม่ยอมออกไปดูดเลือดมนุษย์อีกร่างกายเขาค่อยๆทรุดโทรมลงแรงพลังของเขานับวันก็ยิ่งอ่อนล้าลงเขาได้แต่นั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น รอคอยการกลับมาขององค์เทพ
เทพอื่นๆได้รับรู้สภาพความของแวมไพร์แล้ว ก็นำความนี้ไปแจ้งให้พระเจ้าทราบ
"บนท้องฟ้าไม่สามารถมีพระอาทิตย์และพระจันทร์ปรากฏขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน
ถ้าเขาทั้งสองต้องการจะอยู่ด้วยกันจริงๆองค์เทพก็ต้องถูกกักขังอยู่ในราตรีเคียงคู่กับเขาตลอดไป"
พระเจ้าไม่อาจทนเห็นบุตรที่ท่านโปรดปรานต้องไปอยู่กับแวมไพร์ในโลกที่มืดมนท่านได้สั่งกับบรรดาเทพทั้งหลายไม่ให้เข้าใกล้องค์เทพและห้ามบอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับแวมไพร์ให้เขารู้โดยเด็ดขาด
วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วแวมไพร์ทรุดโทรมมากถึงขนาดว่ากลางคืนก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปไหนได้เมื่อเขาใช้พลังหมดแล้วก็จะหมดความรู้สึกตัวไปหลับไปจนกระทั่งพลังของเขาจะเพิ่มเติมจนเต็มจากแสงพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญในช่วงเวลานี้ เขาจะไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ไม่มีแม้กระทั่งความฝัน
แวมไพร์ได้แต่นอนหลับไปเรื่อยๆ ถึงแม้เวลาจะไม่รอใครแต่อย่างน้อยในเวลาที่แวมไพร์ยังหลับอยู่เขาก็ไม่ต้องทรมานกับความคิดถึงที่เขามีแก่องค์เทพจนกว่าเขาจะตื่นขึ้นมา
ถ้ามีใครมาจุดไฟเผาร่างเขาในเวลานี้เขาก็จะมอดไหม้เป็นเถ้าธุลีไปโดยไม่มีความเจ็บปวดใดๆทั้งสิ้นเขาไม่กลัวว่าจะถูกทำลาย เขากลัวแต่ว่าเขาจะไม่ได้พบกับองค์เทพอีกเขามองท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอยบุคคลที่เขาคิดถึงและรอคอยอยู่ทุกค่ำคืนวันอาศัยอยู่บนชั้นบนสุดของท้องฟ้าที่กว้างไกลนี้นั่นคือดินแดนของพระเจ้า
ดินแดนแห่งความบริสุทธิ์ไม่ใช่สถานที่ที่ปีศาจที่สกปรกและต่ำต้อยอย่างเขาหวังจะขึ้นไปอยู่ได้
องค์เทพตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่นะ? คงจะร้องรำทำเพลงพูดคุยกับปวงเทพอย่างสนุกสนานก็เป็นได้ ไม่รู้ว่าเขายังจำได้หรือไม่ว่าเคยนั่งอยู่เคียงข้างเขาในคืนวันเพ็ญสามคืนนั้น?นั่นอาจจะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งในภาระทั้งหมดที่องค์เทพต้องทำแต่สำหรับแวมไพร์แล้วความสุขที่เขาได้ในสามคืนวันเพ็ญนั้นสามารถลบล้างความทรมานที่เกิดจากต้องทุกทนอยู่กับความเหงามาหลายร้อยปีได้หมดสิ้นมีความทรงจำที่ดีๆของสมาคืนนั้นแล้ว จะให้เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกหลายร้อยปีก็ได้แต่ทว่า... เขาคงจะไม่มีเรี่ยวแรงที่จะดำรงชีวิตได้นานขนาดนั้น
ความเศร้าของแวมไพร์ ได้แปรเปลี่ยนเป็นกระแสคลื่นส่งไปถึงใจขององค์เทพเขาเก็บตัวอยู่อย่างเงียบๆเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของพระอาทิตย์และพระจันทร์ทุกคืนวันบางครั้งเขาก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้สาเหตุเขารู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างในร่างกายเขาได้หายไปแล้วจะเรียกให้เขาลืมสิ่งนั้นทิ้งไปให้หมดได้อย่างไร?
สวรรค์นั้นดูขาวสะอาดจนเกินไป บรรดาเทพทั้งหลายในชุดหลากสีความอ่อนโยนและรอยยิ้มเหล่านั้นดูเสมือนเป็นสิ่งที่หลอกลวงความเงียบสงบก็ดูไร้ความจริง
ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้องค์เทพรู้สึกหมองใจจนอยากร้องไห้ออกมาแวมไพร์ผู้น่าสงสารเวลานี้คงแหงนหน้ามองท้องฟ้าคิดถึงเราใช่ไหมนะ? สิ่งเดียวที่ปกป้องเขาได้ก็มีแต่ความมืดแท้จริงแล้วเขานั้นบอบบางและโดดเดี่ยวมาตลอดแต่เรากลับหักหลังเขา ทิ้งเขาไว้คนเดียวทั้งที่ๆเขาต้องการความช่วยเหลือจากเรามากกว่าใครๆ
น้ำตาขององค์เทพไหลหยาดสู่พื้นดิน กลายเป็นฝนแห่งความเศร้าตกลงสู่ดินแดนมนุษย์
"เราอยากพบเขา" องค์เทพตัดสินใจดังนี้ แต่ถ้าไม่มีคำสั่งของพระเจ้าเขาไม่สามารถลงไปสู่ดินแดนมนุษย์ได้ เขาจึงคิดจะหลบออกไปทางปลายแดนสวรรค์คิดไม่ถึงว่าเมื่อเขากำลังจะหนีออกไป พระเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นมาอยู่ต่อหน้าเขา
"บุตรที่ข้ารัก ทำไมเจ้าถึงอยากไปจากที่นี้หรือ?" พระเจ้าถามเสียงอ่อนโยน "ถ้าเจ้าไปหาแวมไพร์ตนนั้นแล้ว จะต้องอยู่แต่ในความมืดเช่นเดียวกับเขาไม่สามารถกลับคืนสู่แดนสวรรค์ได้อีกและอาจจะโดนประทุษร้ายจากผู้อื่นที่คิดว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกับแวมไพร์ศัตรูของพวกเขา มันช่างน่ากลัวยิ่งนัก"
"ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเราก็ขอเป็นแสงสว่างแห่งเดียวในความมืดนั้นก็เพียงพอแล้ว
อย่างน้อยเราสามารถคอยส่องทางให้เขาได้"
"ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่สามารถลืมเขาได้หรือไร?"
"ถ้าเขาไม่รอคอยเราอีกต่อไปเราก็จะตัดสินใจลืมเขาเสีย"
"..." พระเจ้าเงียบไปครู่หนึ่ง
ท่านเห็นใจในการตัดสินใจขององค์เทพและสงสารที่องค์เทพจะต้องเผชิญกับสิ่งที่เลวร้าย
"ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าขออวยพรให้เจ้านะ บุตรน้อย ถึงแม้เจ้าไม่อาจกลับคืนมาสู่สวรรค์ได้อีก แต่ข้าอนุญาตให้เจ้าดึงปีกของเจ้าทิ้ง ถ้าเจ้าไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปถึงเวลานั้นข้าจะให้ความสงบแก่เจ้าตลอดไป"
และแล้วองค์เทพก็ค่อยๆบินลงไปสู่ดินแดนมนุษย์ วันนั้นก็เป็นคืนวันเพ็ญพอดีเมื่อแวมไพร์เห็นองค์เทพปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์ถึงแม้ร่างกายเขาจะอ่อนเพลียมากเขาก็ยังลุกขึ้นไปรอรับองค์เทพลงมาสู่พื้นดินด้วยความตื้นตันใจ
"ท่านจะอยู่ที่นี้ต่อไปหรือไม่?"
"เราไม่ต้องการจะไปไหนอีกแล้วนอกจากอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป"
องค์เทพร้องไห้พลางโอบกอดแวมไพร์อย่างแนบแน่นและแล้วเขาทั้งสองก็เริ่มอาศัยอยู่ด้วยกันแต่แวมไพร์ก็คงยังอ่อนเพลียมากเขาไม่สามารถลุกออกจากโลงศพไปไหนได้ องค์เทพได้แต่นั่งเฝ้าอยู่เคียงข้างเขาพูดคุยกับเขาเมื่อเขาตื่นขึ้นมาในยามกลางคืน
"ท่านก็รู้ซึ้งอยู่แก่ใจว่าข้าไม่มีอะไรเลย ก่อนหน้าที่ได้พบท่านข้าไม่รู้ว่าข้าอยู่บนโลกนี้เพื่อใครและอยู่ไปทำไม แต่ท่านทำให้ข้าได้เห็นและรับรู้ในสิ่งที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน"แวมไพร์บอกกับองค์เทพเช่นนี้
"สถานที่นี้ดูงดงามมาก แต่มันก็ทำให้ข้าหวาดหวั่นปีศาจอย่างข้ามิสมควรที่จะได้รับความสุขสำราญมากเช่นนี้ ข้าไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไรไม่แน่ว่าความสุขที่ข้ามีอยู่อาจจะหายไปในพริบตาก็เป็นได้"
"ท่านกลัวมากหรือ?" องค์เทพยื่นมือสัมผัสมือที่เย็นเฉียบของแวมไพร์
"ข้ากลัวว่าเราจะจากกันไปพูดได้ว่าข้ากลัวว่าข้าจะต้องเสียท่านไป ตลอดกาล ข้ากลัวการมาถึงของวันนั้น"
"เราจะไม่จากท่านไปเป็นเด็ดขาด"
"ถ้าคนที่จากไปคือข้าล่ะ?"
"ท่านจะทำเช่นนั้นหรือ?"
"ไม่ ถ้าข้าจากไปแล้วเหลือแต่ท่านอยู่คนเดียวได้อย่างไร ท่านก็ไม่สามารถกลับสู่สวรรค์ได้อีกแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้น เราสองคนจับมือกันไว้ตลอดนะ อย่าปล่อยเป็นอันขาดนะ"
องค์เทพจุมพิตมือของแวมไพร์อย่างแผ่วเบา และซบหน้าลงบนอุ้งมือของแวมไพร์
วันหนึ่ง มีเด็กน้อยคนหนึ่งได้หลงทางในป่าและเข้ามาถึงปราสาทของแวมไพร์
องค์เทพพาเด็กน้อยกลับไปสู่ในเมืองหลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกไปว่าองค์เทพอาศัยอยู่ในเมืองบรรดานักบวชและชาวบ้านก็เดินทางไปหาองค์เทพบ้างก็ขอให้องค์เทพช่วยรักษาโรคเจ็บป่วยให้องค์เทพก็ช่วยตรวจดูรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ชาวบ้านในยามกลางวันไม่คิดที่จะสนใจบรรดานักบวชทั้งหลาย
นักบวชคนหนึ่งที่เคยโดนองค์เทพปฏิเสธแอบหลบเข้าไปในปราสาทในยามที่องค์เทพกำลังรักษาโรคอยู่เขาพบแวมไพร์อาศัยอยู่ในปราสาทหลังจากนั้นข่าวลือก็กระจายไปทั่วบางคนว่าเทพองค์นี้อาศัยอยู่กับปีศาจก็คงจะไม่ใช่เทพที่ดีแน่นอน
บางคนก็ว่าองค์เทพอยู่กับปีศาจเพื่อที่จะล้างบาปให้ปีศาจตนนั้น
พวกข้าราชการในเมืองได้แอบตัดสินใจเอาไว้เพราะว่าผู้คนต่างแดนที่นับถือองค์เทพได้เข้าเมืองมาเป็นจำนวนมากทำให้พวกเขากินกำไรไปได้ไม่น้อย แวมไพร์เป็นจุดด่างขององค์เทพ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดพวกเขาก็จะกำจัดแวมไพร์ทิ้งไปให้ได้
พวกเขาได้ส่งนักบวชคนหนึ่งไปเฝ้ารออยู่ใกล้ๆปราสาทและใช้อุบายหลอกให้องค์เทพออกมา
"แย่แล้วท่านเทพ!! ท่านรัฐมนตรีป่วยหนักมากขอเชิญท่านไปตรวจดูท่านรัฐมนตรีให้หน่อย"
องค์เทพได้ยินแล้วก็มีความรู้สึกที่แปลกประหลาดขึ้นมาอยู่ในใจแต่เขาก็ตามชายคนนั้นออกไปจากปราสาทหลังจากนั้นนักบวชทั้งหลายบุกเข้าไปในปราสาทพร้อมกับไม้กางเขนและไม้แหลมอยู่ในมือ พวกเขาล้อมแวมไพร์เอาไว้และสวดมนตร์ท่องคาถาต่างๆเพื่อที่จะปลุกแวมไพร์ให้ตื่นขึ้นมา
เกิดอะไรขึ้นกันแน่? แวมไพร์คงยังอ่อนเพลียมากแต่เมื่อเขาเห็นสถานการณ์ที่อยู่ต่อหน้าเขาก็ต้องฝืนแรงหลบหนีภัยเขากัดคอฆ่านักบวชไปหลายคน เพื่อที่จะหาทางออกจากวงล้อม
องค์เทพล่ะ? โดนคนเหล่านี้จับไปแล้วหรือ? เขาอยู่ไหน? มีอันตรายหรือไม่?
แวมไพร์หลบหนีผู้ไล่ล่าทั้งหลาย เขารู้จักสถานที่นี้ดีกว่าใครๆไม่นานเขาก็ไปหลบอยู่ภายใต้ผ้าม่านผืนหนาในมุมมืดแห่งหนึ่ง
"เจ้าปีศาจล่ะ?"
"หนีไปได้เร็วจริงเชียว"
เสียงฝีเท้าของบรรดานักบวชวิ่งผ่านตัวเขาไป ...มนุษย์ที่น่าชัง!!ถ้าไม่ใช่ว่านี่เป็นเวลากลางวันข้าจะทำให้พวกเจ้าแต่ละคนตายอย่างอนาถ...แวมไพร์พอได้มีดูดเลือดคนไปหน่อยก็รู้สึกมีพลังฟื้นขึ้นมาบ้างเขาคิดวางแผนว่าเมื่อตะวันตกดินไปแล้วเขาจะพาองค์เทพหนีไปอย่างไรทันใดนั้นแวมไพร์ก็สังเกตเห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้สู่ตัวเขา...ถ้าข้าได้ดูดเลือดเด็กคนนี้แล้วพลังของข้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นอีก...เขามองดูเด็กน้อยอย่างเงียบๆเด็กน้อยค่อยๆเข้ามาใกล้ตัวเขา และแล้ว
เขาก็อุดปากเด็กน้อยไว้และลากตัวเขาเข้าไปในที่มืด "อืม~อืม~อืม~"
เมื่อมองหน้าเด็กอย่างชัดๆแวมไพร์ก็จำได้ว่าเขาคือเด็กที่องค์เทพเคยช่วยเหลือจากการหลงทางถ้าฆ่าเขาแล้วองค์เทพคงจะเศร้าใจแน่นอน... คิดถึงนี่แล้วแวมไพร์ก็ปล่อยมือและพูดเบาๆว่า
"เจ้าไปเถอะ ข้าไม่ฆ่าเจ้า"
เด็กน้อยเบิกตาโพลงไม่เชื่อว่าตัวเขาจะโชคดีเพียงนี้ เขาล้มลุกคลุกคลานหนีไป
แต่สักพักเด็กน้อยดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หันกลับมามองแวมไพร์อย่างเคียดแค้น
"เจ้าคือปีศาจที่ทำให้องค์เทพแปดเปื้อนไปด้วยความสกปรกกำจัดเจ้าทิ้งคือของขวัญที่ดีที่สุดที่ข้ามอบให้แก่องค์เทพ!!"
เด็กน้อยดึงผ้าม่านออกอย่างสุดแรงแวมไพร์ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ต้องโดนแสงแดดสอดส่องเขาทั้งตัว...
องค์เทพรู้สึกปวดหน้าอกขึ้นมาโดยกะทันหันเหมือนกับว่าโดนกระชากอะไรไปสักอย่างเขาปวดมากจนล้มฟุบลงกับพื้นชายผู้นำทางถามองค์เทพอย่างตกใจ "ท่านเทพ ท่านเทพเป็นอย่างไรหรือ?"
องค์เทพรู้ว่ามีบางสิ่งที่ร้ายแรงเกิดขึ้น เขารีบย้อนกลับกางปีกบินกลับไปสู่ปราสาท ไม่ว่าชายผู้นั้นจะร้องเรียกอย่างไร เขาก็ไม่สนใจภายในปราสาทคล้ายกับว่ามีงานเลี้ยงฉลองอะไรสักอย่าง
เด็กน้อยคนหนึ่งโดนผู้คนโยนขึ้นโยนลงด้วยความปีติ พวกเขาหัวเราะเฮฮาพูดชมถึงความกล้าหาญของเด็กน้อย
"ควรจะทำตราประทับให้เด็กน้อยผู้นี้นะ"
"เป็นเกียรติของพวกเราอย่างยิ่ง เจ้าปกป้องคนทั้งเมืองจากหายนะ"
"ดูสิ!!ท่านเทพมาแล้ว!!" มีคนเห็นองค์เทพยืนมองพวกเขาอยู่ไม่ไกล
บรรดาผู้คนพากันเดินเข้าใกล้องค์เทพ บอกกับองค์เทพด้วยความยินดี
"เด็กคนนี้ได้กำจัดปีศาจทิ้งไปแล้ว"
"ท่านเทพโปรดอวยพรให้เขาด้วย"
"นี่คือพลังที่ยิ่งใหญ่ทำให้เรากำจัดปีศาจได้ เป็นเวลาที่น่าระทึกใจพวกเราควรจะสลักหินบันทึกเก็บเอาไว้"
องค์เทพผลักผู้คนออกเขาวิ่งไปสู่กลางสนามที่ที่มีด้ายแดงล้อมบางสิ่งอยู่
ภายในวงล้อมนั้นมีเพียงแต่กองเถ้าธุลี เสียงระเบิดดังขึ้นในสมองเขา...
"ข้าป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถพบแสงอาทิตย์ได้ ขอให้ท่านเทพช่วยรักษาข้าได้ไหม?"
"...อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เทียบกับที่นี่แล้วสวรรค์คงเป็นดินแดนที่อบอุ่นและสว่างมากสินะ..."
พระเจ้าผู้เป็นใหญ่แวมไพร์เขาอยากพบเห็นแสงตะวันมากยิ่งนัก แต่ดูสิว่าแสงตะวันให้อะไรกับเขา?
องค์เทพร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น บรรดาชาวบ้านได้แต่มองหน้ากันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี?
"เราไม่ต้องการจะไปไหนอีกแล้วนอกจากอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป"
องค์เทพแลมองรอบๆอย่างสลดใจแล้วก็ดึงปีกอันขาวบริสุทธิ์ที่กลางหลังเขาออกอย่างแรงเลือดของเขาทะลักไหลออกไม่ไม่หยุดไหลรินลงบนเถ้าธุลีกองนั้น
องค์เทพล้มนอนลงบนกองธุลี และไม่ลืมตาขึ้นมาอีกเลย
ลมคงจะรับรู้ถึงความรู้สึกขององค์เทพ พัดพาธุลีสีแดงปลิวไปตามสายลม
คงจะเป็นเพราะโดนลมพัดเถ้าเข้าตาก็เป็นได้ผู้คนที่ล้อมรอบเดินจากไปพร้อมน้ำตา...
ถ้ามีกัลปาวสานจริงๆ...
ขอให้ฉันได้รักเธอ... ทุกๆวัน...ตลอดไป...
ถ้ากัลปาวสานไม่มีจริง...
ขอให้เวลาหยุดลงตรงนี้... วินาทีนี้ที่ฉันได้รักเธอ...
เป็นไงบ้าง ขอความเห็นด้วยจ้าาา ^O^
เราชอบเรื่องนี้มากเลย เกือบร้องไห้แน่ะ T^T
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น