รักครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเทพและแวมไพร์ - รักครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเทพและแวมไพร์ นิยาย รักครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเทพและแวมไพร์ : Dek-D.com - Writer

    รักครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเทพและแวมไพร์

    เป็นนิยายรักระหว่างเทพกับแวมไพร์น่ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    408

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    408

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    4
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  30 ส.ค. 53 / 21:52 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
              แวมไพร์ถูกพระเจ้าสาปแช่งเอาไว้ว่าต้องดูดเลือดมนุษย์เพื่อประทังชีวิต
      และไม่สามารถที่จะเห็นพระอาทิตย์ได้ถ้าแสงแดดส่องกระทบโดนตัวเขา  เขาก็จะกลายเป็นเถ้าธุลีสลายหายไปกับสายลมเพราะฉะนั้นแวมไพร์ก็ได้แต่ใช้ชีวิตในยามกลางคืนไล่ล่าผู้โชคร้ายที่หลงเข้าไปในความมืด
              วันหนึ่งมีเทพผู้หนึ่งมาสู่ดินแดนแห่งมนุษย์ ใบหน้าเขาแลดูสวยยิ่งกว่าเทพอื่นๆใด
      เขาคือบุตรที่พระเจ้าโปรดปรานมากที่สุดและเขาเดินทางมาสู่โลกก็เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายเขารักษาโรคเจ็บป่วยต่างๆให้คนนับไม่ถ้วนถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ป่วยหนักใกล้ตายแล้วเขาเพียงแค่ยื่นมือมาแตะเบาๆก็สามารถรักษาให้หายได้ในพริบตา
      เมื่อแวมไพร์ได้รับรู้ข่าวนี้ก็ปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดามาหาท่านเทพองค์เทพก็รู้สึกแปลกใจอย่างยิ่งที่มีคนมาหากลางดึกเขามองครั้งแรกก็รู้เลยว่าเป็นแวมไพร์ปลอมตัวมาแต่เขาก็อยากรู้ว่าทำไมแวมไพร์ถึงได้กล้าหาญถึงเพียงนี้
             "ท่านมาหาเราด้วยเหตุใดหรือ?" องค์เทพถามอย่างแปลกใจ
             "ข้าป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถพบแสงอาทิตย์ได้ ขอให้ท่านเทพช่วยรักษาข้าได้ไหม?"  แวมไพร์ตอบเช่นนี้ "เป็นเพราะโรคนี้ทำให้ข้าต้องหลบอยู่ในโลกที่มืดมน แต่...
      เพียงสักครั้งก็ยังดี ข้าอยากเห็นความงามของตะวันยามรุ่งอรุณ" 

              สิ่งนี้เป็นคำขอที่ยากนัก ถึงแม้องค์เทพจะเก่งมากเพียงใดก็มิอาจเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ไปได้ แวมไพร์ไม่สามารถพบแสงแดดได้
      ก็เพราะว่านั่นคือการลงโทษจากพระเจ้าถ้าแวมไพร์ยังอยู่ในโลกนี้ก็จะต้องทนรับโทษไปไม่มีวันสิ้นสุด
              "เราต้องขออภัยด้วย เราไม่สามารถทำได้"  
              "สักครั้งก็ไม่ได้หรือไร?" 
              องค์เทพเกิดความรู้สึกว่าแวมไพร์น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง เขาปลอบใจแวมไพร์ว่า  
              "ถึงแม้เราไม่อาจจะทำให้ท่านเห็นได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าท่านไม่รังเกียจเรายินดีที่จะอธิบายให้ท่านฟัง"
              แวมไพร์เห็นด้วยกับความเห็นขององค์เทพทั้งสองนัดกันไว้ว่าในวันเพ็ญที่จะถึงนี้ ไปพบกันที่ปราสาทที่แวมไพร์ หลบอาศัยอยู่เมื่อวันนั้นมาถึง องค์เทพก็ไปตรงตามเวลาที่นัดไว้ เขานั่งอยู่เคียงข้างแวมไพร์เล่าความเกี่ยวกับตะวันรุ่งอรุณด้วยเสียงอ่อนโยน
      เมื่อถึงเวลาที่เขาทั้งสองต้องแยกลากัน แวมไพร์ก็พูดกับองค์เทพอีกว่า
              "ขออภัยที่ต้องขอร้องท่านอีกหน แต่เพียงสักครั้งก็ยังดีข้าอยากเห็นความงามของตะวันยามเที่ยงตรงบ้าง"
              องค์เทพก็คงยังไม่สามารถทำตามที่แวมไพร์ขอได้เขาก็จึงนัดแวมไพร์ให้พบกันในวันเพ็ญครั้งต่อไป
              "ถึงแม้เราไม่อาจจะทำให้ท่านเห็นได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าท่านไม่รังเกียจเรายินดีที่จะอธิบายให้ท่านฟัง" 
              เมื่อถึงวันเวลาที่นัดเอาไว้แวมไพร์ก็นั่งรอองค์เทพอย่างกระสับกระส่าย  องค์เทพยืนอยู่ใต้แสงจันทร์อันนวลผ่อง ปีกที่ขาวบริสุทธิ์แลดูวาวระยับ  ราวกับว่าเขาได้ใส่ผ้าคลุมสีเงินอันสวยอย่างไม่มีที่ติดังนั้นความงามขององค์เทพทำให้แวมไพร์มิอาจเอนสายตาไปทางอื่นใดได้องค์เทพนั่งลงเคียงข้างแวมไพร์และพูดถึงตะวันที่ตั้งอยู่บนกลางท้องฟ้ารอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ขององค์เทพทำให้แวมไพร์หลงใหลยิ่งนักดังนั้นแวมไพร์จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขอร้องเป็นครั้งที่สาม
              "ขออภัยที่ต้องขอร้องท่านอีกหน แต่เพียงสักครั้งก็ยังดีข้าอยากเห็นความงามของตะวันยามเย็นบ้าง"
              "ถึงแม้เราไม่อาจจะทำให้ท่านเห็นได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าท่านไม่รังเกียจเรายินดีที่จะอธิบายให้ท่านฟัง"
               แวมไพร์และองค์เทพก็ยิ้มให้แก่กันคราวนี้ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากสัญญาเขาทั้งสองก็รู้ดีว่าจะมาพบกันในคืนวันเพ็ญครั้งต่อไปต่างฝ่ายต่างก็เฝ้ารอการพบครั้งต่อไป ต่างฝ่ายต่างก็หวังให้พระจันทร์เต็มดวงเร็วๆ 
               ในที่สุดก็ถึงคืนวันเพ็ญ องค์เทพนั่งอยู่เคียงข้างแวมไพร์ดังเดิมพูดถึงเกี่ยวกับตะวันตกดินเมื่อคำสนทนาจบลงแวมไพร์ก็เอ่ยปากถามองค์เทพด้วยเสียงระรัว "ขอบคุณท่านมากที่เล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง ถ้าเป็นไปได้
      ท่านจะยอมรับฟังความฝันของข้าอีกสักอย่างจะได้ไหม?"
                "เราจะพยายามทำถ้าเราทำได้"
                "ข้าอยากจะพบท่านอีกข้ารู้สึกว่าเพียงแค่ได้อยู่เคียงคู่กับท่านแสงตะวันก็นับว่าเป็นเรื่องเล็กไม่ว่ายามรุ่งอรุณ, เที่ยงวันหรือยามเย็นก็ตามท่านแลดูสวยงามยิ่งกว่าแสงตะวันนัก"       
                 องค์เทพได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นมา "เราก็หวังที่จะทำให้ความฝันของท่านเป็นจริงแต่เราต้องยุติภาระในแดนมนุษย์ในวันรุ่งขึ้นและต้องกลับขึ้นไปสู่แดนสวรรค์ ไม่สามารถมาพบกับท่านได้อีก" 
                 เมื่อแวมไพร์ได้ยินคำปฏิเสธขององค์เทพแล้ว ก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา "อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เทียบกับที่นี่แล้วสวรรค์คงเป็นดินแดนที่อบอุ่นและสว่างมากสินะข้าก็เป็นเพียงแค่ปีศาจที่อาศัยอยู่ในความมืดมนเท่านั้นนี่นาช่วงเวลาสั้นที่ได้อยู่กับท่านก็น่าจะเพียงพอแล้ว" 
                 "ขอโทษนะ" องค์เทพออกไปจากปราสาทของแวมไพร์อย่างเศร้าใจเขากลับไปสู่ดินแดนสวรรค์ของเขา 
                 พระเจ้าสังเกตเห็นใบหน้าของบุตรที่ท่านโปรดปรานแลดูผิดปกติ จึงถามว่า "ลูกน้อยเจ้าคิดอะไรอยู่หรือไร?" ใจที่องค์เทพอาทรนั้นก็มีเพียงแต่แวมไพร์ที่โดดเดี่ยวคนนั้น 
                 "ลูกอยู่ในแดนมนุษย์ได้พบกับแวมไพร์ตนหนึ่ง เขาอยากเห็นแสงตะวันมาก
      แววตาของเขาบ่งบอกลูกว่าเขาอยู่อย่างเงียบเหงายิ่งนักหลายร้อยปีที่ผ่านมาเขาต้องอาศัยอยู่ในที่ที่ห่างไกลจากผู้คนและอยู่แต่ในความมือที่น่าเศร้าใจ" องค์เทพเอ่ยปากบอกความในใจเขาแก่พระเจ้า 
                 "เพราะฉะนั้น ลูกอยากจะช่วยเหลือเขา อยู่ใกล้เคียงเขา พูดคุยกับเขาเมื่อลูกบอกกับเขาว่าไม่สามารถพบกันได้อีกลูกรู้ว่าเขามองส่งลูกจากไปด้วยความอาลัยจนลับตาเขา"
                 "ลืมเขาเสียเถิดมันไม่มีค่าพอที่ลูกจะอาวรณ์อยู่ร่ำไป" พระเจ้ากำชับองค์เทพซ้ำแล้วซ้ำอีกเสมือนว่าพระเจ้ารับรู้แล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในภายหน้า  "ลืมเขาเสียเถิดมิฉะนั้นเจ้าจะต้องเผชิญกับความทรมานยิ่งกว่านี้" 
                 องค์เทพยอมเชื่อฟังคำชี้แนะของพระเจ้าแต่โดยดีเขาตั้งใจว่าจะไม่นึกคิดอะไรเกี่ยวกับแวมไพร์อีกเขาหลบไปอาศัยอยู่ในส่วนลึกแห่งดินแดนสวรรค์อย่างเงียบๆคนเดียว ดำรงชีวิตไปตามปกติมีเพียงว่าบางครั้งเขาจะปวดใจขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
                 ในแดนมนุษย์แวมไพร์ก็เป็นเช่นเดียวกับองค์เทพทั้งๆที่องค์เทพบอกกับเขาว่าจะไม่กลับมาอีกแต่แวมไพร์ก็คงยังรอคอยอยู่อย่างเดียวดายทุกคืนวันเพ็ญเช่นเดิม 
                 "ไม่แน่เขาอาจจะมาก็เป็นได้" แวมไพร์พึมพำเช่นนี้กับตัวเองเสมอ
      แต่สิ่งที่ได้มาจากการรอคอยของเขาก็มีแต่ความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า  หลังจากนั้นแวมไพร์ก็เปลี่ยนเป็นเฝ้ารอทุกคืนวันเขานึกคิดไปว่าองค์เทพอาจจะเคยมาหาเขาและสวนทางกับเขาในเวลาที่เขาออกไปหากินเขาไม่ยอมออกไปดูดเลือดมนุษย์อีกร่างกายเขาค่อยๆทรุดโทรมลงแรงพลังของเขานับวันก็ยิ่งอ่อนล้าลงเขาได้แต่นั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น รอคอยการกลับมาขององค์เทพ
                 เทพอื่นๆได้รับรู้สภาพความของแวมไพร์แล้ว ก็นำความนี้ไปแจ้งให้พระเจ้าทราบ 
                 "บนท้องฟ้าไม่สามารถมีพระอาทิตย์และพระจันทร์ปรากฏขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน
      ถ้าเขาทั้งสองต้องการจะอยู่ด้วยกันจริงๆองค์เทพก็ต้องถูกกักขังอยู่ในราตรีเคียงคู่กับเขาตลอดไป" 
                 พระเจ้าไม่อาจทนเห็นบุตรที่ท่านโปรดปรานต้องไปอยู่กับแวมไพร์ในโลกที่มืดมนท่านได้สั่งกับบรรดาเทพทั้งหลายไม่ให้เข้าใกล้องค์เทพและห้ามบอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับแวมไพร์ให้เขารู้โดยเด็ดขาด 
                 วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วแวมไพร์ทรุดโทรมมากถึงขนาดว่ากลางคืนก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปไหนได้เมื่อเขาใช้พลังหมดแล้วก็จะหมดความรู้สึกตัวไปหลับไปจนกระทั่งพลังของเขาจะเพิ่มเติมจนเต็มจากแสงพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญในช่วงเวลานี้ เขาจะไม่มีความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ไม่มีแม้กระทั่งความฝัน 
                 แวมไพร์ได้แต่นอนหลับไปเรื่อยๆ ถึงแม้เวลาจะไม่รอใครแต่อย่างน้อยในเวลาที่แวมไพร์ยังหลับอยู่เขาก็ไม่ต้องทรมานกับความคิดถึงที่เขามีแก่องค์เทพจนกว่าเขาจะตื่นขึ้นมา 
                 ถ้ามีใครมาจุดไฟเผาร่างเขาในเวลานี้เขาก็จะมอดไหม้เป็นเถ้าธุลีไปโดยไม่มีความเจ็บปวดใดๆทั้งสิ้นเขาไม่กลัวว่าจะถูกทำลาย เขากลัวแต่ว่าเขาจะไม่ได้พบกับองค์เทพอีกเขามองท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอยบุคคลที่เขาคิดถึงและรอคอยอยู่ทุกค่ำคืนวันอาศัยอยู่บนชั้นบนสุดของท้องฟ้าที่กว้างไกลนี้นั่นคือดินแดนของพระเจ้า
      ดินแดนแห่งความบริสุทธิ์ไม่ใช่สถานที่ที่ปีศาจที่สกปรกและต่ำต้อยอย่างเขาหวังจะขึ้นไปอยู่ได้ 
                 องค์เทพตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่นะ? คงจะร้องรำทำเพลงพูดคุยกับปวงเทพอย่างสนุกสนานก็เป็นได้ ไม่รู้ว่าเขายังจำได้หรือไม่ว่าเคยนั่งอยู่เคียงข้างเขาในคืนวันเพ็ญสามคืนนั้น?นั่นอาจจะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งในภาระทั้งหมดที่องค์เทพต้องทำแต่สำหรับแวมไพร์แล้วความสุขที่เขาได้ในสามคืนวันเพ็ญนั้นสามารถลบล้างความทรมานที่เกิดจากต้องทุกทนอยู่กับความเหงามาหลายร้อยปีได้หมดสิ้นมีความทรงจำที่ดีๆของสมาคืนนั้นแล้ว จะให้เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกหลายร้อยปีก็ได้แต่ทว่า... เขาคงจะไม่มีเรี่ยวแรงที่จะดำรงชีวิตได้นานขนาดนั้น 
                  ความเศร้าของแวมไพร์ ได้แปรเปลี่ยนเป็นกระแสคลื่นส่งไปถึงใจขององค์เทพเขาเก็บตัวอยู่อย่างเงียบๆเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของพระอาทิตย์และพระจันทร์ทุกคืนวันบางครั้งเขาก็ร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้สาเหตุเขารู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างในร่างกายเขาได้หายไปแล้วจะเรียกให้เขาลืมสิ่งนั้นทิ้งไปให้หมดได้อย่างไร?
                  สวรรค์นั้นดูขาวสะอาดจนเกินไป บรรดาเทพทั้งหลายในชุดหลากสีความอ่อนโยนและรอยยิ้มเหล่านั้นดูเสมือนเป็นสิ่งที่หลอกลวงความเงียบสงบก็ดูไร้ความจริง
      ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้องค์เทพรู้สึกหมองใจจนอยากร้องไห้ออกมาแวมไพร์ผู้น่าสงสารเวลานี้คงแหงนหน้ามองท้องฟ้าคิดถึงเราใช่ไหมนะ? สิ่งเดียวที่ปกป้องเขาได้ก็มีแต่ความมืดแท้จริงแล้วเขานั้นบอบบางและโดดเดี่ยวมาตลอดแต่เรากลับหักหลังเขา ทิ้งเขาไว้คนเดียวทั้งที่ๆเขาต้องการความช่วยเหลือจากเรามากกว่าใครๆ 
                  น้ำตาขององค์เทพไหลหยาดสู่พื้นดิน กลายเป็นฝนแห่งความเศร้าตกลงสู่ดินแดนมนุษย์
                  "เราอยากพบเขา" องค์เทพตัดสินใจดังนี้ แต่ถ้าไม่มีคำสั่งของพระเจ้าเขาไม่สามารถลงไปสู่ดินแดนมนุษย์ได้  เขาจึงคิดจะหลบออกไปทางปลายแดนสวรรค์คิดไม่ถึงว่าเมื่อเขากำลังจะหนีออกไป  พระเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นมาอยู่ต่อหน้าเขา 
                  "บุตรที่ข้ารัก ทำไมเจ้าถึงอยากไปจากที่นี้หรือ?"  พระเจ้าถามเสียงอ่อนโยน      "ถ้าเจ้าไปหาแวมไพร์ตนนั้นแล้ว จะต้องอยู่แต่ในความมืดเช่นเดียวกับเขาไม่สามารถกลับคืนสู่แดนสวรรค์ได้อีกและอาจจะโดนประทุษร้ายจากผู้อื่นที่คิดว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกับแวมไพร์ศัตรูของพวกเขา มันช่างน่ากลัวยิ่งนัก"
                  "ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเราก็ขอเป็นแสงสว่างแห่งเดียวในความมืดนั้นก็เพียงพอแล้ว
      อย่างน้อยเราสามารถคอยส่องทางให้เขาได้"
                  "ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่สามารถลืมเขาได้หรือไร?"
                  "ถ้าเขาไม่รอคอยเราอีกต่อไปเราก็จะตัดสินใจลืมเขาเสีย" 
                  "..." พระเจ้าเงียบไปครู่หนึ่ง 
                  ท่านเห็นใจในการตัดสินใจขององค์เทพและสงสารที่องค์เทพจะต้องเผชิญกับสิ่งที่เลวร้าย
                  "ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าขออวยพรให้เจ้านะ บุตรน้อย ถึงแม้เจ้าไม่อาจกลับคืนมาสู่สวรรค์ได้อีก   แต่ข้าอนุญาตให้เจ้าดึงปีกของเจ้าทิ้ง ถ้าเจ้าไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปถึงเวลานั้นข้าจะให้ความสงบแก่เจ้าตลอดไป"  
                  และแล้วองค์เทพก็ค่อยๆบินลงไปสู่ดินแดนมนุษย์  วันนั้นก็เป็นคืนวันเพ็ญพอดีเมื่อแวมไพร์เห็นองค์เทพปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์ถึงแม้ร่างกายเขาจะอ่อนเพลียมากเขาก็ยังลุกขึ้นไปรอรับองค์เทพลงมาสู่พื้นดินด้วยความตื้นตันใจ
                  "ท่านจะอยู่ที่นี้ต่อไปหรือไม่?" 
                  "เราไม่ต้องการจะไปไหนอีกแล้วนอกจากอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป"
                  องค์เทพร้องไห้พลางโอบกอดแวมไพร์อย่างแนบแน่นและแล้วเขาทั้งสองก็เริ่มอาศัยอยู่ด้วยกันแต่แวมไพร์ก็คงยังอ่อนเพลียมากเขาไม่สามารถลุกออกจากโลงศพไปไหนได้ องค์เทพได้แต่นั่งเฝ้าอยู่เคียงข้างเขาพูดคุยกับเขาเมื่อเขาตื่นขึ้นมาในยามกลางคืน 
                  "ท่านก็รู้ซึ้งอยู่แก่ใจว่าข้าไม่มีอะไรเลย ก่อนหน้าที่ได้พบท่านข้าไม่รู้ว่าข้าอยู่บนโลกนี้เพื่อใครและอยู่ไปทำไม  แต่ท่านทำให้ข้าได้เห็นและรับรู้ในสิ่งที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน"แวมไพร์บอกกับองค์เทพเช่นนี้
                  "สถานที่นี้ดูงดงามมาก แต่มันก็ทำให้ข้าหวาดหวั่นปีศาจอย่างข้ามิสมควรที่จะได้รับความสุขสำราญมากเช่นนี้  ข้าไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไรไม่แน่ว่าความสุขที่ข้ามีอยู่อาจจะหายไปในพริบตาก็เป็นได้" 
                  "ท่านกลัวมากหรือ?" องค์เทพยื่นมือสัมผัสมือที่เย็นเฉียบของแวมไพร์
                  "ข้ากลัวว่าเราจะจากกันไปพูดได้ว่าข้ากลัวว่าข้าจะต้องเสียท่านไป ตลอดกาล ข้ากลัวการมาถึงของวันนั้น" 
                  "เราจะไม่จากท่านไปเป็นเด็ดขาด"
                  "ถ้าคนที่จากไปคือข้าล่ะ?" 
                  "ท่านจะทำเช่นนั้นหรือ?"
                  "ไม่ ถ้าข้าจากไปแล้วเหลือแต่ท่านอยู่คนเดียวได้อย่างไร ท่านก็ไม่สามารถกลับสู่สวรรค์ได้อีกแล้ว" 
                  "ถ้าอย่างนั้น เราสองคนจับมือกันไว้ตลอดนะ อย่าปล่อยเป็นอันขาดนะ"
                  องค์เทพจุมพิตมือของแวมไพร์อย่างแผ่วเบา และซบหน้าลงบนอุ้งมือของแวมไพร์ 
                  วันหนึ่ง มีเด็กน้อยคนหนึ่งได้หลงทางในป่าและเข้ามาถึงปราสาทของแวมไพร์
      องค์เทพพาเด็กน้อยกลับไปสู่ในเมืองหลังจากนั้นก็มีข่าวลือออกไปว่าองค์เทพอาศัยอยู่ในเมืองบรรดานักบวชและชาวบ้านก็เดินทางไปหาองค์เทพบ้างก็ขอให้องค์เทพช่วยรักษาโรคเจ็บป่วยให้องค์เทพก็ช่วยตรวจดูรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ชาวบ้านในยามกลางวันไม่คิดที่จะสนใจบรรดานักบวชทั้งหลาย
                  นักบวชคนหนึ่งที่เคยโดนองค์เทพปฏิเสธแอบหลบเข้าไปในปราสาทในยามที่องค์เทพกำลังรักษาโรคอยู่เขาพบแวมไพร์อาศัยอยู่ในปราสาทหลังจากนั้นข่าวลือก็กระจายไปทั่วบางคนว่าเทพองค์นี้อาศัยอยู่กับปีศาจก็คงจะไม่ใช่เทพที่ดีแน่นอน
      บางคนก็ว่าองค์เทพอยู่กับปีศาจเพื่อที่จะล้างบาปให้ปีศาจตนนั้น 
                  พวกข้าราชการในเมืองได้แอบตัดสินใจเอาไว้เพราะว่าผู้คนต่างแดนที่นับถือองค์เทพได้เข้าเมืองมาเป็นจำนวนมากทำให้พวกเขากินกำไรไปได้ไม่น้อย แวมไพร์เป็นจุดด่างขององค์เทพ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดพวกเขาก็จะกำจัดแวมไพร์ทิ้งไปให้ได้
      พวกเขาได้ส่งนักบวชคนหนึ่งไปเฝ้ารออยู่ใกล้ๆปราสาทและใช้อุบายหลอกให้องค์เทพออกมา
                  "แย่แล้วท่านเทพ!! ท่านรัฐมนตรีป่วยหนักมากขอเชิญท่านไปตรวจดูท่านรัฐมนตรีให้หน่อย" 
                  องค์เทพได้ยินแล้วก็มีความรู้สึกที่แปลกประหลาดขึ้นมาอยู่ในใจแต่เขาก็ตามชายคนนั้นออกไปจากปราสาทหลังจากนั้นนักบวชทั้งหลายบุกเข้าไปในปราสาทพร้อมกับไม้กางเขนและไม้แหลมอยู่ในมือ  พวกเขาล้อมแวมไพร์เอาไว้และสวดมนตร์ท่องคาถาต่างๆเพื่อที่จะปลุกแวมไพร์ให้ตื่นขึ้นมา 
                  เกิดอะไรขึ้นกันแน่? แวมไพร์คงยังอ่อนเพลียมากแต่เมื่อเขาเห็นสถานการณ์ที่อยู่ต่อหน้าเขาก็ต้องฝืนแรงหลบหนีภัยเขากัดคอฆ่านักบวชไปหลายคน เพื่อที่จะหาทางออกจากวงล้อม 
                  องค์เทพล่ะ? โดนคนเหล่านี้จับไปแล้วหรือ? เขาอยู่ไหน? มีอันตรายหรือไม่?
      แวมไพร์หลบหนีผู้ไล่ล่าทั้งหลาย เขารู้จักสถานที่นี้ดีกว่าใครๆไม่นานเขาก็ไปหลบอยู่ภายใต้ผ้าม่านผืนหนาในมุมมืดแห่งหนึ่ง
                  "เจ้าปีศาจล่ะ?"
                  "หนีไปได้เร็วจริงเชียว" 
                  เสียงฝีเท้าของบรรดานักบวชวิ่งผ่านตัวเขาไป ...มนุษย์ที่น่าชัง!!ถ้าไม่ใช่ว่านี่เป็นเวลากลางวันข้าจะทำให้พวกเจ้าแต่ละคนตายอย่างอนาถ...แวมไพร์พอได้มีดูดเลือดคนไปหน่อยก็รู้สึกมีพลังฟื้นขึ้นมาบ้างเขาคิดวางแผนว่าเมื่อตะวันตกดินไปแล้วเขาจะพาองค์เทพหนีไปอย่างไรทันใดนั้นแวมไพร์ก็สังเกตเห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้สู่ตัวเขา...ถ้าข้าได้ดูดเลือดเด็กคนนี้แล้วพลังของข้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นอีก...เขามองดูเด็กน้อยอย่างเงียบๆเด็กน้อยค่อยๆเข้ามาใกล้ตัวเขา และแล้ว
      เขาก็อุดปากเด็กน้อยไว้และลากตัวเขาเข้าไปในที่มืด "อืม~อืม~อืม~"
      เมื่อมองหน้าเด็กอย่างชัดๆแวมไพร์ก็จำได้ว่าเขาคือเด็กที่องค์เทพเคยช่วยเหลือจากการหลงทางถ้าฆ่าเขาแล้วองค์เทพคงจะเศร้าใจแน่นอน... คิดถึงนี่แล้วแวมไพร์ก็ปล่อยมือและพูดเบาๆว่า
                   "เจ้าไปเถอะ ข้าไม่ฆ่าเจ้า" 
                   เด็กน้อยเบิกตาโพลงไม่เชื่อว่าตัวเขาจะโชคดีเพียงนี้ เขาล้มลุกคลุกคลานหนีไป
                   แต่สักพักเด็กน้อยดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หันกลับมามองแวมไพร์อย่างเคียดแค้น 
                   "เจ้าคือปีศาจที่ทำให้องค์เทพแปดเปื้อนไปด้วยความสกปรกกำจัดเจ้าทิ้งคือของขวัญที่ดีที่สุดที่ข้ามอบให้แก่องค์เทพ!!"
                   เด็กน้อยดึงผ้าม่านออกอย่างสุดแรงแวมไพร์ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ต้องโดนแสงแดดสอดส่องเขาทั้งตัว...
                   องค์เทพรู้สึกปวดหน้าอกขึ้นมาโดยกะทันหันเหมือนกับว่าโดนกระชากอะไรไปสักอย่างเขาปวดมากจนล้มฟุบลงกับพื้นชายผู้นำทางถามองค์เทพอย่างตกใจ "ท่านเทพ ท่านเทพเป็นอย่างไรหรือ?"
                  องค์เทพรู้ว่ามีบางสิ่งที่ร้ายแรงเกิดขึ้น เขารีบย้อนกลับกางปีกบินกลับไปสู่ปราสาท  ไม่ว่าชายผู้นั้นจะร้องเรียกอย่างไร เขาก็ไม่สนใจภายในปราสาทคล้ายกับว่ามีงานเลี้ยงฉลองอะไรสักอย่าง 
                  เด็กน้อยคนหนึ่งโดนผู้คนโยนขึ้นโยนลงด้วยความปีติ พวกเขาหัวเราะเฮฮาพูดชมถึงความกล้าหาญของเด็กน้อย 
                  "ควรจะทำตราประทับให้เด็กน้อยผู้นี้นะ"
                  "เป็นเกียรติของพวกเราอย่างยิ่ง เจ้าปกป้องคนทั้งเมืองจากหายนะ" 
                  "ดูสิ!!ท่านเทพมาแล้ว!!" มีคนเห็นองค์เทพยืนมองพวกเขาอยู่ไม่ไกล
                  บรรดาผู้คนพากันเดินเข้าใกล้องค์เทพ บอกกับองค์เทพด้วยความยินดี  
                  "เด็กคนนี้ได้กำจัดปีศาจทิ้งไปแล้ว"
                  "ท่านเทพโปรดอวยพรให้เขาด้วย"  
                  "นี่คือพลังที่ยิ่งใหญ่ทำให้เรากำจัดปีศาจได้ เป็นเวลาที่น่าระทึกใจพวกเราควรจะสลักหินบันทึกเก็บเอาไว้"
                  องค์เทพผลักผู้คนออกเขาวิ่งไปสู่กลางสนามที่ที่มีด้ายแดงล้อมบางสิ่งอยู่
      ภายในวงล้อมนั้นมีเพียงแต่กองเถ้าธุลี เสียงระเบิดดังขึ้นในสมองเขา...
                  "ข้าป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถพบแสงอาทิตย์ได้ ขอให้ท่านเทพช่วยรักษาข้าได้ไหม?" 
                  "...อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เทียบกับที่นี่แล้วสวรรค์คงเป็นดินแดนที่อบอุ่นและสว่างมากสินะ..."
                  พระเจ้าผู้เป็นใหญ่แวมไพร์เขาอยากพบเห็นแสงตะวันมากยิ่งนัก แต่ดูสิว่าแสงตะวันให้อะไรกับเขา? 
                  องค์เทพร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น บรรดาชาวบ้านได้แต่มองหน้ากันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี?
                  "เราไม่ต้องการจะไปไหนอีกแล้วนอกจากอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป" 
                  องค์เทพแลมองรอบๆอย่างสลดใจแล้วก็ดึงปีกอันขาวบริสุทธิ์ที่กลางหลังเขาออกอย่างแรงเลือดของเขาทะลักไหลออกไม่ไม่หยุดไหลรินลงบนเถ้าธุลีกองนั้น
      องค์เทพล้มนอนลงบนกองธุลี และไม่ลืมตาขึ้นมาอีกเลย
                  ลมคงจะรับรู้ถึงความรู้สึกขององค์เทพ พัดพาธุลีสีแดงปลิวไปตามสายลม
      คงจะเป็นเพราะโดนลมพัดเถ้าเข้าตาก็เป็นได้ผู้คนที่ล้อมรอบเดินจากไปพร้อมน้ำตา...
      ถ้ามีกัลปาวสานจริงๆ... 
                  ขอให้ฉันได้รักเธอ... ทุกๆวัน...ตลอดไป... 
                  ถ้ากัลปาวสานไม่มีจริง...
                  ขอให้เวลาหยุดลงตรงนี้... วินาทีนี้ที่ฉันได้รักเธอ...




                 เป็นไงบ้าง  ขอความเห็นด้วยจ้าาา ^O^
                 เราชอบเรื่องนี้มากเลย  เกือบร้องไห้แน่ะ  T^T 

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×