[OS] Turn Back (KrisLay)
นายรักฉันมากขนาดนั้นเลยเหรออี้ชิง
ผู้เข้าชมรวม
3,444
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
TURN BACK
“จริงเหรอ...พี่คริสจะขึ้นร้องแร๊พงานสถาปนามหาวิทยาลัยจริงๆ เหรอ!!” อี้ชิงถึงกับหน้าตาตื่นเมื่อเพื่อนสนิทอย่างลู่หานวิ่งมาบอกข่าวที่เชื่อว่าอี้ชิงต้องอยากฟังที่สุดในสามโลก
“ฉันจะโกหกนายทำไมล่ะ ถ้านายไม่เชื่อก็ไปถามพี่เขาสิ” ลู่หานเบ้ปากนิดๆ แต่แล้วก็ลืมความโกรธไปหมดสิ้นเมื่อเห็นท่าทางดีใจเว่อของอี้ชิง
หลังจากที่ได้ฟังถ้อยความของลู่หานแล้ว อี้ชิงก็ได้แต่ยืนนิ่งมองไปที่ไหนสักแห่งไม่มีจุดเพ่งสายตา แล้วดูสิ ยิ้มซะกว้างเชียว นี่นายกำลังเพ้ออยู่ใช่ไหม ลู่หานลอบถอนหายใจแบบยิ้มๆ นึกแล้วเชียวว่าจะต้องเป็นแบบนี้
ก็จะได้มีโอกาสร่วมงานกับรุ่นพี่ที่แอบชอบนี่นา
“อี้ชิง นายจะเอาไง จะไปสมัครเต้นที่ชมรมดนตรีไหม พี่คริสเขาร้องแร๊พกับจื่อเทา ขาดก็แต่แดนซ์เซอร์ เขารับแค่สองคนนะ” ลู่หานสะกิดเรียกสติอี้ชิงให้กลับมาก่อนที่จะเลยเถิดไปไกลจนพลาดใจความสำคัญ
“งั้น...นายไปสมัครกับฉันสิ เราจะได้เต้นด้วยกัน...” ว่าแล้วก็ก้มหน้าหงุดแบบเขินๆ “...มีนายอยู่ด้วยฉันจะได้ไม่เขิน” พูดเสร็จก็โชว์ลักยิ้มซะชุดใหญ่จนลู่หานอดยิ้มตามด้วยไม่ได้ เห็นเพื่อนมีความสุขตัวเองก็มีความสุข
“ไม่ได้หรอก มีคนจองไว้แล้ว...” ว่าแล้วก็ขยับมือไปกอดคออี้ชิงพาเดินตรงไปยังชมรมดนตรีที่อยู่ไม่ไกลจากชมรมเต้นมากนัก
“ใคร ใครกันที่มีสิทธิ์ขนาดนั้น”
“ก็ไคไง นายคิมจงอินเด็กแลกเปลี่ยนจากเกาหลีนั่นไง...” ลู่หานว่าแล้วก็ถอนหายใจ “...นายก็รู้ว่าอธิการเขาอยากจะดันจงอินเด็กเกาหลีนั่นออกหน้าออกตาจะตาย งานมหาวิทยาลัยทั้งที... แถมนายจงอินนั่นก็เต้นเก่งใช่ย่อย ดูแล้วเก่งกว่าฉันอีก” ลู่หานว่าแล้วก็รีบยิ้มออกมาเมื่อเห็นอี้ชิงเริ่มจะมีสีหน้ากังวลใจ
“งั้นเราไปสมัครพร้อมกัน ให้เขาเลือกเองว่าจะเอาใคร ฉันไม่อยากให้นายเสียโอกาสนะ นายเองก็มีสิทธิ์ที่จะออกงานมหาวิทยาลัยนะ” อี้ชิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ลู่หานกลับส่ายหัวอย่างจนใจ
“ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจซ้อม แล้วอีกอย่างอีกตำแหน่งที่ว่างอยู่ฉันก็ยกให้นาย ยกให้นายเพราะพี่คริสไง ไม่อยากได้แล้วเหรอ” คำพูดของลู่หานสร้างสีฝาดบนแก้มนวลของอี้ชิงได้อีกครั้ง
“แต่ว่า...”
“เทอมนี้พี่เขาจะจบแล้วนะ จบงานนี้เขาก็คงไม่ต้องมามหาวิทยาลัยอีก... นายไม่อยากใกล้ชิดพี่เขาสักครั้งเหรออี้ชิง แอบชอบเขามาตั้งสามปี นายจะยอมปล่อยให้โอกาสดีๆ แบบนี้หลุดมือไปเหรอ” ลู่หานพูดจาหว่านล้อมเต็มที่ ต่อให้เขาไม่ได้ออกหน้าออกตา แต่เพื่ออี้ชิงแล้ว เขายอมได้ ไม่เป็นไร
“เอ้า... ถึงแล้ว นายรีบเข้าไปลงชื่อแล้วแสดงให้พวกเขาเห็นซะว่านายน่ะเทพแค่ไหน ฉันจะไปนั่งรอตรงนั้นนะ” เมื่อถึงหน้าชมรมลู่หานก็ดันหลังให้อี้ชิงเข้าไปก่อนจะเดินไปนั่งตรงที่มีเก้าอี้จัดเตรียมไว้ให้
อี้ชิงมองจนลู่หานนั่งลงแล้วจึงเดินตรงไปยังโต๊ะกรรมการที่ตั้งอยู่อีกฝากของห้องชมรมดนตรีที่ดัดแปลงมาจากห้องซ้อมเต้น
ท่าทางของเขาตอนนี้คงดูไม่ได้เลยสินะ แบบว่าร่างกายของเขาดูผอมๆ บางๆ ดูปวกเปียกๆ อี้ชิงลอบมองสำรวจร่างกายของตนเองในผนังกระจกที่อยู่ด้านหลังโต๊ะกรรมการ เขากัดปากตัวเองเบาๆ อย่างลืมตัวเมื่อหันไปสบตากับคิมจงอินเด็กแลกเปลี่ยนที่นั่งพักเหนื่อยอยู่ด้านหลังของกรรมการทั้งสาม
อี้ชิงเหลียวกลับไปมองที่ลู่หานอีกครั้ง ตอนนี้เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะกรรมการแล้ว แต่ดูจากสายตาแต่ละคนเหมือนกับว่าไม่อยากได้เขา ลู่หานรู้ว่าอี้ชิงเริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง เขาก็รีบกำมือแล้วทำท่าไฟท์ติ้งให้อี้ชิงทันที
“ผะ...ผม ผมมาสมัครเต้นครับ” ความไม่มั่นใจในตนเองทำให้อี้ชิงพูดตะกุดตะกัก รุ่นพี่ลี่หงที่นั่งอยู่หลังป้ายที่เขียนว่าประธานชมรมดนตรีเงยหน้าขึ้นมองสำรวจอี้ชิงตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะยกมือป้องปากหันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับรุ่นพี่คนที่มานั่งเป็นกรรมการคนที่สอง
“ว่าไง... เด็กนายนี่” รุ่นพี่เจย์ลินประธานชมรมร้องเพลงที่อี้ชิงเคยเห็นหันไปสะกิด รุ่นพี่คนถัดไปที่อี้ชิงคุ้นหน้าเป็นอย่างดี
รุ่นพี่เจย์โชว์ ประธานชมรมเต้นที่เขาเป็นสมาชิกอยู่
“ฉันว่าปิดรับสมัครไปเลยก็ได้นะ อี้ชิงออกโรงมาขนาดนี้ เผลอๆ อาจจะเก่งกว่าคนบางคนแถวๆ นี้ก็ได้” เจย์พูดประโยคสุดท้ายแบบเน้นๆ อี้ชิงถึงกับทำหน้าไม่ถูก เขารู้ว่าพี่เจย์ไม่ชอบเด็กเส้น แต่เขาก็ไม่อยากกลายเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เกิดปัญหา ถึงเขาจะไม่ได้สนิทกับจงอินนัก แต่เราก็ซ้อมเต้นด้วยกันอยู่บ่อยๆ เขารู้ดีว่าทักษะการเต้นของจงอินน่ะดีแค่ไหน ในขณะที่เขาก็รู้ขีดความสามารถของตัวเองด้วยเหมือนกัน
“ไม่มีใครเก่งไปกว่าใครหรอกครับ อยู่ที่ว่าจะเข้ากันได้หรือเปล่า นี่ล่ะประเด็น” คิมจงอินลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาวางมือบนไหล่ของอี้ชิงขณะที่สายตาจ้องมองไปยังรุ่นพี่เจย์โชว์อย่างท้าทาย
“ไอ้เด็ก....”
“ใจเย็นสิเจย์ มันก็จริงอย่างที่จงอินว่านะ ฉันน่ะเห็นเขาสองคนซ้อมเต้นด้วยกันออกบ่อย ดูเข้าขากันดีออก ก็ถูกอย่างที่นายว่า ฉันว่าเราได้นักแสดงของโชว์นี้แล้ว จบข่าว” เจย์ลินพูดเองเออเองไปซะหมดแล้วก็ลุกขึ้นรวบใบคะแนนของคนที่มาสมัครก่อนหน้าแล้วฉีกทิ้งตรงนั้นเลย ไม่มีใครตกใจหรือคัดค้านอะไร ในเมื่อต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าจงอินกับอี้ชิงนั้นเมื่อได้คู่กันแล้วเยี่ยมยอดแค่ไหน
“งั้นตกลงตามนี้ พรุ่งนี้เลิกเรียนก็มาซ้อมที่นี่นะ เออลี่หง...นายก็อย่าลืมบอกคริสกับจื่อเทาด้วยล่ะ พรุ่งนี้สี่โมง ห้ามสายเด็ดขาด” เจย์ลินที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างประธานชมรมทั้งสองวางแผนงานเสร็จสรรพเรียบร้อยรวดเร็วจนอี้ชิงฟังตามแทบไม่ทัน แต่พอได้ยินชื่อของคนที่เขาชอบนั้น หัวสมองบ๊องๆ ก็รู้สึกจะทำงานดีขึ้นมาทันที
“พรุ่งนี้เจอกันนะอี้ชิง” เมื่อรุ่นพี่ทั้งสามเดินออกจากชมรมไปแล้ว จงอินก็พูดพร้อมส่งยิ้มมาให้อี้ชิงก่อนจะเดินตามหลังพวกรุ่นพี่ไป
“ไงล่ะ นายน่ะเทพของจริง ดูสินี่ขนาดยังไม่ได้เต้นให้พวกพี่เขาดูนะ ฮ่าๆๆๆ ฟ้าช่างเป็นใจให้นายจริงอี้ชิง” ลู่หานวิ่งเข้ามาแสดงความยินดีกับอี้ชิงยกใหญ่พร้อมเอ่ยปากแซวเพื่อนสุดที่รักอย่างสนุกสนาน
“ลู่หาน เดี๋ยวก่อน!!” อี้ชิงดึงกระเป๋าลู่หานเอาไว้แน่น จนคนที่ถูกดึงเกือบจะหงายหลัง ลู่หานหันมามองค้อนอี้ชิงที่เกือบทำเขาล้ม
“ถ้าฉันหัวฟาดพื้นตายไปจะทำไง ใครจะมาดูซ้อมเป็นเพื่อนนาย ห๊ะ!!” ลู่หานขึ้นเสียงจนอี้ชิงก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด “นายนี่น้า เป็นแบบนี้ทีไรใครจะไปโกรธลง แต่ทีหลังห้ามทำอีกนะ ไม่งั้นโกรธจริงๆ ด้วย” ลู่หานว่าแล้วก็เอื้อมมือไปขยี้หัวอี้ชิงเบาๆ
“ฉันถอนตัวได้ไหม ไม่เอาแล้ว ฉันไม่อยากเต้นงานนี้แล้ว” อี้ชิงว่าแล้วก็หันหลังทำท่าจะเดินกลับไปในทางเดิมที่เพิ่งเดินมา จนลู่หานเอื้อมมือไปรั้งกระเป๋าไว้แทบไม่ทัน
“ได้ไง นายลืมไปแล้วเหรอ เรื่องพี่คริสน่ะ นายจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปหรือไง” ลู่หานพยายามเตือนสติอี้ชิง แอบรักเขาชอบเขาอยู่ตั้งนาน พี่เขาจะเรียนจบในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า คิดว่าออกจากมหาวิทยาลัยไปแล้วจะเจอกันได้ง่ายๆ เหรอ
“แต่ฉันเขินนี่ ไม่เอาอ่ะ ไม่เอาแล้ว” อี้ชิงส่ายหัว เขาไม่เอาแล้ว!!
“ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ เกิดอะไรขึ้น” เสียงทุ้มที่เอ่ยถามจากด้านหลังทำเอาอี้ชิงถึงกับตัวแข็ง ไม่ต้องหันกลับไปก็รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร ยิ่งรู้แบบนั้นอี้ชิงยิ่งไม่กล้าหันกลับไป
“ก็อี้ชิงนะสิครับเขา.....” ลู่หานไม่ทันเอ่ยปากก็ถูกอี้ชิงเอามือปิดจนมิด
“ไม่มีอะไรหรอกครับพี่คริส พอใกล้ปิดเทอมทีไรการบ้านเยอะทุกที แบ่งเวลาไม่ค่อยถูก ก็เลยกะว่าจะถอนตัวน่ะครับ ผมว่าจงอินเต้นคนเดียวก็ไหว” อี้ชิงแถยาวยืดอย่างแนบเนียน
“ชีวิตมหาลัยมันก็ยุ่งวุ่นวายอย่างนี้แหละ ถ้านายเหนื่อยจะถอนตัวก็ไม่มีใครว่าหรอก...” คริสเอ่ยกับรุ่นน้องเรียนดีกิจกรรมเด่นอย่างเห็นอกเห็นใจ แต่ประโยคที่เพิ่งจบไปช่างทำร้ายอี้ชิงเสียเหลือเกิน
ถ้าผมถอนตัวจริงๆ พี่จะไม่ห้ามสักนิดเลยเหรอ
“แต่รู้ไว้นะอี้ชิง ว่าถ้านายถอนตัวไปจริงๆ ฉันคงเสียดายน่าดู”
นี่แหละประโยคที่ทำเอาอี้ชิงถึงกับไปไม่เป็น ได้ฟังคำพูดจากคนที่เราแอบรัก ต่อให้เป็นแค่คำพูดธรรมดาๆ ก็ฟินเป็นไหนๆ
“ว่าไงอี้ชิง เราจะร่วมงานกันสักครั้งก่อนที่พี่จะไปได้ไหม เราจะไม่ได้เจอกันแล้วนะ”
นี่มันยั่วกันชัดๆ อี้ชิงนึกในใจ นี่พี่เขากำลังให้ความหวังเราอยู่หรือเปล่า
“นายรู้ไหมว่าคริสน่ะชื่นชมการเต้นของนายมากนะ เจ๋งสุดๆ ไปเลย”
นั่นไง พี่เขาไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย พอได้ฟังคำอธิบายจากปากของรุ่นน้องปีนเกลียวอย่างจื่อเทา อี้ชิงก็ถึงกับคอตก แต่ก็ช่างเถอะไม่ว่าพี่เขาจะคิดอะไร เราก็จะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปเด็ดขาด
เอาก็เอาวะ อี้ชิงสู้โว้ย
อี้ชิงให้กำลังใจตัวเองเสร็จแล้วก็ยิ้มออกมา ลู่หาน คริส จื่อเทาเห็นดังนั้นก็รู้แล้วว่าคำตอบของอี้ชิงคืออะไร
“ขอบใจนะอี้ชิง งั้นเรารีบเข้าไปซ้อมกันเถอะ” ว่าแล้วก็วาดมือโอบคอคนตัวเล็กกว่าอย่างสนิทสนมพาเข้าห้องซ้อมไป
พี่คริสนะพี่คริส รู้ไหมเนี่ยว่าใจมันเต้นแรงจนจะทะลุออกมานอกอกแล้ว แอบชอบมาสามปียังไม่เคยเข้าใกล้ขนาดนี้มาก่อน ที่ผ่านมาก็ได้แต่แอบมองอยู่ห่างๆ มาตลอด แล้วจู่ๆ ต้องมาใกล้ชิดสนิทสนมขนาดนี้
ผมเตรียมใจไม่ทันนะรู้ไหม
เมื่อเพลงจบลง นักแสดงทั้งสี่ก็พากันนั่งพักกับพื้นพร้อมกันทันที นักร้องทั้งสองนั่งพักพร้อมกับแบ่งขวดน้ำดื่มกันไปมา ขณะที่นักเต้นพอนั่งได้สักพักก็ล้มตัวลงนอนแผ่กับพื้น จงอินกับอี้ชิงนอนหอบหายใจเสียงดังจนคริสเหลือบมอง
“เหนื่อยหน่อยนะพวกนาย” คริสเอ่ยแล้วกลิ้งขวดน้ำไปให้อี้ชิงกับจงอินคนละขวด จงอินเอื้อมมือไปหยิบมันมาถือไว้แต่อี้ชิงไม่ เขาได้แต่นอนหลับตานิ่งจนขวดน้ำกลิ้งไปถึงจื่อเทาที่อยู่ถัดไปจากอี้ชิง
“อี้ชิง เป็นอะไรหรือเปล่า” จื่อเทาถามขณะขยับเข้าไปแตะตัวอี้ชิง เมื่อเห็นอี้ชิงหน้านิ่วและเกร็งตัว จื่อเทาจึงถอนมือออกราวกับถูกไฟช็อต
“ปวดหลังใช่ไหม จงอินนายเอายาทาแก้ปวดมาหรือเปล่า” คริสหันไปถามจงอินสีหน้าคาดหวัง เมื่อเห็นฝ่ายนั้นพยักหน้า เขาก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง
เมื่อหลอดยาแก้ปวดถูกส่งถึงมือพี่คริส อี้ชิงก็หันไปมองลู่หานอย่างขอความช่วยเหลือ เขาอยากจะขยับหนีแต่ก็เจ็บเกินกว่าจะขยับไหว แต่จะทำใจนอนนิ่งๆ ให้พี่คริสทายามันก็คงทำไม่ได้ นั่นพี่คริสนะ พี่คริสคนที่เขาแอบชอบนะ แต่คำขอของอี้ชิงกลับถูกลู่หานปัดไสอย่างไม่ไยดี เพื่อนได้โอกาสขนาดนี้ มีหรือจะยื่นมือไปขัดให้เสียโอกาส
“ไม่ต้องเกร็งไปนะ สัญญาว่าจะให้เจ็บสักนิดเลย” ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปลูบหัวร่างเล็กที่นอนเจ็บอยู่กับพื้นอย่างปลอบโยน เชื่อไหมว่าไอ้อาการปวดตามร่างกายเหมือนกับว่าจะหายเป็นปลิดทิ้ง เชื่อไหมว่าเขาลืมความเจ็บไปหมดเมื่อพี่คริสเอื้อมมือมาลูบหัวเขา
อี้ชิงพยักหน้ารับอย่างเชื่อในคำของอีกฝ่าย คริสค่อยๆ เลิกชายเสื้อของอี้ชิงออกจนเห็นสีข้างที่เริ่มเขียวช้ำ ร่างเล็กถึงกับหลับตาแล้วเบือนหน้าไปอีกทางซ่อนความอาย
“น่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ” จื่อเทาว่าแล้วก็ยกมือขึ้นปิดตาทว่าก็ยังมองผ่านซอกนิ้วมาอยู่ดี
“ทำไมต้องหักโหมด้วย นายไม่คิดจะห้ามอี้ชิงกันเลยหรือไงจงอิน ลู่หาน” คริสเอ่ยเสียงดุทว่านิ้วมือที่ป้ายยาอุ่นๆ นั้นกลับนวดสีข้างของอี้ชิงอย่างเบามือ
“ผมห้ามแล้วนะครับ แต่อี้ชิงต่างหากที่ไม่ยอมฟัง” จงอินว่าแล้วก็เอื้อมมือไปตีขาอี้ชิงเบาๆ
“นายจะหักโหมไปทำไมกันอี้ชิง แค่นี้นายก็ทำดีมากๆ อยู่แล้ว” เมื่อได้ตัวคนผิดคริสก็หันมาดุใส่อี้ชิงที่ยังนอนหลับตาปี๋
“ก็...ผมกลัวว่าจะทำให้การแสดงของพี่คริสไม่เพอร์เฟ็คน่ะสิครับ” อี้ชิงเอ่ยทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ถึงมือที่นวดเอวเขาอยู่นั้นจะอ่อนโยน แต่เขาก็ไม่กล้าลืมตาขึ้นมองหน้าคริสอยู่ดี
“นายนี่จริงๆ เลยนะ ถ้าเพื่อให้งานมันออกมาดีแล้วนายต้องมาเจ็บแบบนี้ ฉันว่าฉันเลิกดีกว่า” ได้ยินดังนั้นอี้ชิงก็ถึงกับลุกพรวดขึ้นนั่งทันที จนลืมไปเลยว่าตัวเองเจ็บเอวอยู่ เมื่อความเจ็บปลาบแปลบขึ้นมา อี้ชิงก็ถึงกับร้องครางออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ไม่ได้นะครับ พี่จะเลิกเพราะผมไม่ได้นะ พี่คริสต้องแสดงต่อไปนะครับ...” อี้ชิงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของคนตัวสูงกว่า ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่มีทางเป็นต้นเหตุทำให้พี่คริสต้องเสียงาน “...พรุ่งนี้ก็ถึงวันงานแล้ว ถ้าพี่มายกเลิกกลางครัน มันไม่ดีแน่” อี้ชิงว่าแล้วก็ทำสีหน้าสดใสเพื่อบอกว่าเขาไม่เป็นอะไร เขายังไหว
“งั้นวันนี้เลิกซ้อมแค่นี้แหละ พรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ช่างมัน แต่ให้รู้ไว้นะว่าไม่นายจะทำออกมายังไง มันก็ดีที่สุดในสายตาฉัน จางอี้ชิง”
ประโยคสุดท้ายของพี่คริสทำเอาอี้ชิงถึงกับหูดับวิญญาณหลุด เขาไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคอะไรแบบนี้จากปากของรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา ตลอดทั้งความห่วงใยที่แผ่ซ่านโอบล้อมตัวเขาเอาไว้ ยิ่งทำให้หัวใจมันเต้นตึกตักจนต้องยกมือขึ้นจับหน้าอกตัวเอง
“กลับบ้านไหวไหม เดี๋ยวพี่ไปส่ง” คริสว่าแล้วก็ลุกขึ้นก่อนจะยื่นมือออกมาให้อี้ชิงจับหวังจะช่วยดึงให้เขาลุกขึ้นยืน แต่อี้ชิงกับส่ายหน้า อย่าให้เขาต้องเกร็งไปกว่านี้เลย
“ผมโอเคแล้วครับ ผมกลับกับลู่หานได้ ขอบคุณครับ” อี้ชิงว่าแล้วก็ยันตัวลุกขึ้นเอง เขาค่อยๆ พยุงตัวเองเดินไปเก็บสัมภาระของตนเอง ขณะที่คนอื่นๆ ก็เริ่มแยกย้าย
“งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ คืนนี้ก็พักผ่อนให้เยอะๆ ล่ะ” อี้ชิงเหลียวกลับไปเผื่อว่าคริสจะพูดประโยคนี้กับตน แต่เปล่าเลยฝ่ายนั้นพูดกับทุกคนต่างหาก อย่างเข้าข้างตัวเองนักสิอี้ชิง
ร่างบางยืนมองคริส จื่อเทา แล้วก็จงอิน เดินออกจากห้องซ้อมกลับไปด้วยกัน เมื่อในห้องซ้อมเหลือเพียงเขากับลู่หานสองคน อี้ชิงก็แสดงความเขินอายออกมาทางสีหน้าให้เห็นอย่างชัดเจน
“ลู่หาน ฉันจะตายอยู่แล้วนะ” อี้ชิงรีบเดินเข้าไปจับมือลู่หานเอาไว้เพื่อฉุดรั้งอาการดีใจจนเนื้อเต้นของตัวเองเอาไว้
“ฉันรู้แล้วล่ะ เห็นนายต้องพยายามตีหน้านิ่งแบบนั้น ฉันต้องกลั้นขำแทบแย่” ลู่หานหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อนึกถึงท่าทางของอี้ชิงตอนที่พี่คริสเข้ามาใกล้ จนอี้ชิงหมั่นไส้จนต้องยกมือตีอกเพื่อนสนิทเบาๆ
ก็จะไม่ให้ตีหน้านิ่งได้ยังไงกันเล่า ถึงจะอยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเราชอบเขามากแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกไปตรงๆ แบบนั้นหรอก จะว่าไปเมื่อกี้พี่เขาจะสังเกตเห็นอาการผิดปกติของเราไหมนะ ถ้าจับได้ล่ะแย่เลย แต่คงไม่หรอกมั้ง ขออย่าให้พี่เขาจับความผิดปกติได้เลย
“โอกาสดีขนาดนี้นายยังจะปล่อยให้หลุดมือไปอีกเหรอ ดูๆ ไปแล้วพี่คริสเขาก็เหมือนจะชอบนายนะ สีหน้า แววตา ท่าทาง นี่มาเต็มเลย ทำไมนายไม่ลองแสดงออกสักหน่อยล่ะ ไม่แน่นายอาจจะสมหวังก็ได้นะ” ลู่หานเอ่ยขณะเอื้อมมือไปกอดคออี้ชิง เหตุผลเหล่านั้นทำเอาอี้ชิงแอบดีใจนิดหน่อย แต่เมื่อนึกถึงเหตุผลทั้งหมดทั้งมวล เขาก็ถึงกับคอตก
อี้ชิงประทับใจคริสตั้งแต่แรกเห็น ตอนปีหนึ่งที่เขาต้องตามล่าลายเซ็นต์ของดาวดังในมหาวิทยาลัย คริสก็เป็นหนึ่งในนั้น พี่คริสเป็นนักบาสของทีมมหาวิทยาลัย ถือว่าเป็นดาวเด่นเลยล่ะ เพราะนอกจากฝีมือการเล่นที่ถือได้ว่ายอดเยี่ยมแล้ว หน้าตาก็ดีเยี่ยมยอดไม่แพ้กัน แล้วไหนจะนิสัยปานเทพบุตรนั่นอีกเล่า ทั้งหมดทั้งมวลนี้คงจะไม่สามารถฉกใจอี้ชิงไปได้ถ้าเรื่องราวในตอนนั้นไม่เกิดขึ้น
อี้ชิงที่รอขอลายเซ็นต์รุ่นพี่ปีสองที่ข้างสนามบาส โดนเพื่อนร่วมรุ่นที่มาขอลายเซ็นต์เหมือนกันเบียดจนล้ม ผู้ชายร่างกายออกไปทางบอบบางอย่างเขาถึงกับเข่าถลอกเลือดออกจนน่ากลัว ด้วยส่วนตัวเป็นคนกลัวเลือดอยู่แล้ว เมื่อเห็นเลือดอยู่ตรงหน้าตัวเองก็ถึงกับลมจับ ครั้นจะร้องขอความช่วยเหลือสติก็เริ่มพล่ามัว หากไม่ได้พี่คริสมาช่วยไว้ในวันนั้น ตอนนี้เขาจะเป็นยังไงก็ไม่รู้
ตอนที่มีคนมาช้อนตัวอุ้มขึ้นไป เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าคนคนนั้นเป็นใคร มารู้ตัวอีกทีก็หลังจากที่รู้สึกตัวหลังจากหลับไปได้สักพัก พออาจารย์ประจำห้องพยาบาลบอกว่าใครเป็นคนพามา เท่านั้นแหละหัวใจก็เต็มกระหน่ำยิ่งกว่าครั้งไหนๆ บรรยากาศรอบกายพลันอบอุ่น ความรู้สึกเหมือนมีดอกไม้ผลิบานอยู่ในอก
นี่มันเรียกว่ารักแรกพบหรือเปล่านะ
และตลอดนั้นมาเขาก็แอบชอบพี่คริสมาตลอด เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้เขาไม่กล้าไปเผชิญหน้ากับคริสตรงๆ จึงทำให้อี้ชิงไม่เคยแม้จะเอ่ยคำขอบคุณกับคริส แล้วยังไม่ได้ลายเซ็นซ์ของพี่เขาด้วย
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ความรู้สึกของอี้ชิงก็ยังเหมือนเดิมไม่เสื่อมคลาย แอบรักก็ได้แต่แอบรัก ไม่แสดงท่าทีประเจิดประเจ้อใดๆ ครั้นเวลาเดินผ่านสนามบาสอยากนึกเข้าข้างตัวเองว่าพี่เขามองมาทางเรา แต่ก็มโนไปเองไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อเวลาเดินผ่านไหล่เฉียดไหล่ พี่เขายังไม่แม้แต่จะทักเลย
จำเราได้หรือเปล่ายังไม่รู้
คิดแล้วก็แอบเศร้า แต่ก็อย่างว่านะ คนแอบรักก็คงต้องทำใจ แต่ถึงในใจจะขืนข่มแค่ไหน แค่ได้แอบมองเขาอยู่ไกลๆ ได้เห็นรอยยิ้มสว่างไสวอยู่ห่างๆ แค่นี้ ก็สุขใจแล้ว
“งานแสดงวันนี้เยี่ยมมากเลยนะ” รุ่นพี่สามเกลอเจย์โชว์ เจย์ลิน และลี่หงต่างก็พากันเข้ามาแสดงความยินดีกับคริส เทา จงอิน และอี้ชิงกันพร้อมหน้าหลังการแสดงจบลง
การแสดงปิดงานสถาปนาของมหาวิทยาลัยชื่อดังเป็นที่ฮือฮาตั้งแต่ที่รายชื่อนักแสดงเปิดเผยออกสู่สายตาสาธารณะชน โดยจุดสนใจที่สุดคงหนีไม่พ้นผู้ชายที่ชื่ออู๋ อี้ฝาน นักกีฬาบาสเก็ตบอลดาวรุ่งพ่วงด้วยตำแหน่งรองประธานนักศึกษานิสัยหล่อเทพเหมือนหน้าตา
ยิ่งมาถึงวันแสดง หอประชุมใหญ่ที่นักศึกษาไม่ค่อยอยากจะมากลับแน่นขนัดไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะกลุ่มสาวน้อยสาวใหญ่ที่บางคนถึงขั้นทำป้ายมาเชียร์รุ่นพี่สุดหล่อด้วย
ตลอดทั้งการแสดง คริสแสดงให้เห็นถึงด้านที่ดุดันและแข็งแกร่งตามเนื้อหาและทำนองของเพลง สะกดนิ่งทุกสายตาให้จับจ้องมองไปที่เขา แม้แต่ตัวแสดงบนเวทีที่ร่วมซ้อมด้วยกันมายังอดจะชื่นชมในความเท่ห์ของคริสไม่ได้
เมื่อยืนรับคำชมจากรุ่นพี่และเหล่าคณาจารย์ต่างๆ เสร็จเรียบร้อย อี้ชิงก็ค่อยๆ หลบออกมาหาลู่หานที่ยืนถือช่อดอกไม้รออยู่
“โคตรเท่ห์เลย” เมื่อเห็นเพื่อนสนิทเดินมาถึง ลู่หานก็รีบคว้าตัวมากอดทันที เมื่อโดนอี้ชิงทุบหลังเหตุที่กอดแน่นเกินไป ลู่หานจึงยอมถอนตัวออกมาแล้วยื่นช่อดอกไม้แสดงความยินดีกับอี้ชิง
“ไม่เห็นต้องไปซื้อมาให้เปลืองเงินเลย” ปากก็บ่นหมุบหมิบไปมา แต่ก็ยกดอกไม้ขึ้นมาดมซะเต็มปอด ยิ้มกว้างจนลักยิ้มโผล่ขนาดนั้น ช่อเดียวคงไม่พอมั้ง
“นายอ่ะโคตรเท่ห์เลยอี้ชิง อย่าให้ใครได้เห็นท่านายดมดอกไม้เชียวนะ” ลู่หานแซวจนอี้ชิงมองตาเขียว อีกฝ่ายเงื้อช่อดอกไม้ทำท่าจะตีคนปากดีเสียให้เข็ด แต่ดอกไม้ก็สวยเกินกว่าจะทำแบบนั้น อี้ชิงจึงเอามากอดไว้อย่างรักใคร่
“ไหนพี่คริสอ่ะ นายไม่ไปแสดงความยินดีกับพี่เขาหน่อยเหรอ เอาดอกไม้ฉันไปก็ได้นะ ฉันไม่ถือ”
“มีคนมายินดีกับพี่เขาเยอะจะตาย ไม่มีฉันสักคนคงไม่เป็นไรหรอก” ว่าแล้วก็ก้มลงไปเขี่ยดอกไม้หลบสายตา การกระทำไม่ไปกับคำพูดเลยนะ
“ก็มัวแต่คิดอย่างนี้แหละนะ นายมาถึงขนาดนี้แล้ว พี่เขาจะจบแล้วนะอี้ชิง!!” ลู่หานพยายามดันหลังอี้ชิงให้เดินเข้าไปหาร่างสูงที่กำลังเดินมาทางนี้
ไม่เอา เขาไม่กล้าหรอก แสดงออกมันยังทำง่ายกว่าพูดออกไปนะ ใครมันจะไปกล้าบอกรักซึ่งๆ หน้าล่ะ ถ้าพี่เขาปฏิเสธ ถ้าพี่เขารำคาญขึ้นมา เขาจะทำยังไง
“นายหวังให้เขาตอบรับความรู้สึกนายหรือไงอี้ชิง…” ลู่หานเอ่ยขึ้นทำเอาอี้ชิงชะงัก
ไม่ เขาไม่เคยหวัง ไม่เคยหวังว่าถ้าบอกออกไปพี่คริสต้องยอมรับสถานเดียวเท่านั้น เขาไม่ได้หวังอะไรในตัวพี่คริสเลย เขาหวังอย่างเดียว หวังให้พี่คริสอยู่ให้เขาแอบรักตลอดไป
“เชื่อฉันนะอี้ชิง บอกพี่เขาไปซะ อย่างน้อยก็ให้เขารู้ว่าที่ผ่านมานายหวังดีกับเขามาตลอด ไม่ใช่แค่รุ่นน้องร่วมมหาลัย แต่ก็เป็นอีกคนที่ใส่ใจพี่คริสมากๆ” ลู่หานพยายามพูดให้กำลังใจอี้ชิง จริงๆ แล้วคำพูดของเขามันก็เหมือนให้ความหวังอี้ชิงอยู่กลายๆ นะ แต่ถ้าไม่ได้เห็นสายตาของพี่คริสน่ะ ลู่หานคงไม่คะยั้นคะยอเพื่อนรักอย่างนี้หรอก
ก็สายตาพี่คริสตอนที่มองอี้ชิงน่ะ ธรรมดาซะที่ไหน
หลังจากได้ฟังคำลู่หาน อี้ชิงก็ยังลังเลตัดสินใจไม่ถูก จนในที่สุดร่างสูงก็เดินเข้ามาใกล้ และก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่อี้ชิงสูดหายใจเข้าทำสมาธิ
“พี่คริส…” อี้ชิงรวบรวมความกล้าเอ่ยเรียกร่างสูงในที่สุด คริสหันตามเสียงเรียก เมื่อเห็นว่าเป็นอี้ชิงร่างสูงก็แย้มยิ้มและทำท่าจะเดินเข้ามาหา ทว่ากลับมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน ร่างสูงหยุดรับโทรศัพท์นั้น พูดคุยอะไรบางอย่างกับปลายสายได้ไม่นาน ท่าทีสบายๆ ก็ดูรีบร้อนขึ้นมาทันที หลังจากวางสายหญิงสาวมากมายล้อมเขาเอาไว้เพื่อแสดงความยินดี ทว่าเจ้าตัวก็ปฏิเสธและขอตัวจากไป
อี้ชิงที่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดตรงหน้าถึงกับคอตก ร่างบางเหลียวมองตามหลังพี่คริสที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งหายออกไปจากห้องประชุมใหญ่
จบแล้วสินะ ความรักของผม
“ตามไปสิ..” คำพูดของลู่หานทำเอาอี้ชิงตาโต “…มัวแต่มึนอยู่ได้ ฉันบอกว่าให้ตามพี่เขาไปไง เร็วเข้าสิ” ลู่หานแย่งดอกไม้มาจากมืออี้ชิงแล้วผลักไหล่ร่างบางให้ก้าวเดินออกไป
“อี้ชิง ถ้านายตัดสินใจแล้ว ก็จงทำให้ถึงที่สุด จะได้ไม่มานั่งเสียใจทีหลัง” เป็นอีกครั้งที่คำพูดของลู่หานเข้ามากระแทกใจ อี้ชิงพยักหน้าแล้วจึงรีบตามคริสออกไป
23.15 น.
อี้ชิงก้มลงมองนาฬิกาในโทรศัพท์ตัวเองแล้วก็ถอนหายใจเป็นรอบที่ล้าน จนป่านนี้คนที่เขาตามหาก็ยังไม่มา ไปไหนกันนะ
หลังจากที่เขาวิ่งตามพี่คริสออกมานั้น เขาก็หาพี่คริสไม่เจออีกเลย ตอนนี้อี้ชิงรู้สึกถอดใจอีกครั้ง แต่พอคำของลู่หานดังขึ้นมาในหัว ขาทั้งสองข้างมันก็เดินก้าวออกไปทันที
และสุดท้ายก็มาหยุดลงตรงที่หน้าหอพักที่พี่คริสพักอยู่
ทำไมถึงรู้ ก็คนมันชอบ ไม่รู้สิแปลก นี่ไม่อยากบอกนะว่าเคยเดินมาส่งพี่เขาที่หอด้วย แต่เขาไม่รู้หรอก ฮ่าๆ อี้ชิงนึกในใจแล้วก็ยิ้มเขินอยู่คนเดียว
อากาศคืนนี้ไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป ออกสบายๆ เสียด้วยซ้ำ ฉะนั้นอี้ชิงจึงสามารถยืนรอพี่คริสได้นานถึงตอนนี้ แต่เขายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า มันไม่ดีก็ตรงหิวมากนี่แหละ แต่จะแวบไปหาของกินก็ไม่กล้า กลัวพี่คริสกลับมาแล้วจะคลาดกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงไม่กล้าแล้วล่ะ
อี้ชิงนึกอะไรในใจไปเรื่อยเปื่อย เคลื่อนไหวร่างกายด้วยการเต้นไปมาเบาๆ เล็กๆ น้อยๆ ต่อให้พยายามหานู้นหานี่ทำเพื่อเบี่ยงเบนใจตัวเอง แต่สุดท้ายก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลารอบที่ล้าน
00.25 น.
เห็นตัวเลยบอกเวลาแล้วก็ท้อ ป่านนี้พี่คริสยังไม่กลับมาอีกเหรอเนี่ย ปกติต้องเข้านอนก่อนสี่ทุ่มทุกวันไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ไปไหนนะ
อี้ชิงคิดไปนึกมาอยู่หลายรอบพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก จนเมื่อสายตาหันไปสบกับแสงสีของร้านรวงที่อยู่ไกลออกไป ความคิดใหม่ก็ปรากฏขึ้นมา
หรือว่าจะไปปาร์ตี้
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จบเลยนะ วันนี้คงไม่ได้เจอกันแน่ๆ เฮ้ออ ทำไมคนอย่างเรามันช่างอาภัพซะจริง
อี้ชิงนึกในใจแล้วเงยหน้าขึ้นฟ้าพนมมือขอพร
สวรรค์ไม่โปรดเห็นใจผมเลยเหรอ ผมแอบชอบพี่เขามาตั้งสามปีเชียวนะ บทผมจะบอกพี่เขาไป ท่านจะไม่เมตตาผมเลยเหรอ อี้ชิงนึกแล้วก็ทำปากเบะเหมือนจะร้องไห้ ตลอดเวลาที่แอบชอบรุ่นพี่มาเขาไม่เคยนึกเสียใจอะไรเท่านี้มาก่อน
แต่แล้วไม่รู้ว่าเป็นเพราะสวรรค์เมตตาเขาหรือเปล่า พอละสายตาจากท้องฟ้า ก็ปรากฏเงาดำๆ ตรงหางตา จู่ๆ หัวใจของเขาก็เต้นกระหน่ำขึ้นมา ทั้งที่ยังไม่เห็นชัดว่านั่นคืออะไร แต่อาการทางร่างกายที่แปลกไปขนาดนี้คงไม่ต้องบอกแล้วว่านั่นคืออะไร
อี้ชิงหลับตาพ่นลมออกจากปากหวังทำสมาธิอีกครั้ง จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวออกมาแบบนี้ ใครจะไปตั้งตัวทัน เมื่ออี้ชิงลอบหันไปมองว่านั่นคือเขาจริงๆ ร่างบางจึงเอ่ยเรียกออกไป
“พี่คริส!!” ถึงเสียงนั้นจะไม่ดังมาก แต่ก็ดังพอที่จะทำให้คนที่ได้ยินหันมา อี้ชิงมั่นใจ
ร่างสูงได้ยิน เขาหันมามองอี้ชิงแวบหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนีไปราวกับเห็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ อี้ที่เห็นท่าทางแบบนั้นก็ตกใจ เขาไม่เข้าใจ พี่คริสจำเขาไม่ได้ หรืออะไร ครั้นจะเอ่ยเรียกอีกครั้ง ร่างสูงที่เดินใกล้เข้ามากลับเดินผ่านหน้าไปราวกับว่าไม่เห็นเขา ราวกับว่าเขาเป็นอากาศ
มันเกิดอะไรขึ้น
กว่าอี้ชิงจะได้สติร่างสูงก็เดินไปไกลแล้ว อี้ชิงรีบวิ่งตามไปห่างๆ เรื่องสารภาพรักอะไรนั่นน่ะเขาลืมไปหมดแล้ว ตอนนี้ในหัวมีแค่เพียงคำว่าพี่คริสเกลียดเขาแล้วหรือเปล่า
คริสไม่รักเขาไม่ว่า ขออย่างเดียวอย่าเกลียดกันก็พอ
อี้ชิงวิ่งไปน้ำตาก็เอ่อล้นออกมาจนมองทางพร่ามัวไปหมด เขามั่นใจว่าพี่คริสเห็นเขา แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพี่คริสถึงได้เมินเขาแบบนั้น ยิ่งคิดน้ำตามันก็พาลจะไหล แข้งขาก็อยากจะหมดแรง แต่ไหนๆ เขาก็มาถึงตรงนี้แล้ว เขาจะถอยหลังกลับไปไม่ได้อีก วันนี้จะต้องคุยกันให้รู้เรื่อง
วิ่งตามได้ไม่นาน อี้ชิงก็หยุดพักหายใจ เขาเห็นหลังร่างสูงเดินเข้าไปในบาร์แห่งหนึ่งที่อี้ชิงเพิ่งมองไป อี้ชิงพักหายใจสักพักก็ยืดตัวขึ้น และจัดเพ้าผมให้เรียบร้อยดูดี ด้วยเกรงว่าหากไปหน้าบาร์คนตรวจบัตรจะไม่ให้เข้า
แต่แล้วเขาก็เข้ามาได้ ถึงแม้จะถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ ก็เถอะ
เมื่อเดินก้าวเข้ามาในร้าน เสียงเพลงก็ดังระเบิดเข้าหูทันที คนมากมายโยกย้ายไปมาตามจังหวะเพลงเร้าใจ คนมากมายขนาดนี้แล้วเขาจะไปตามหาพี่คริสเจอได้ยังไง ชุดที่พี่คริสใส่ก็ไม่ทันสังเกตซะด้วย แต่พอจำได้ว่าเป็นเสื้อสีดำ แต่ก็นะเข้ามาในที่เกือบมืดแบบนี้จะให้หาได้ง่ายๆ น่ะ ไม่มีทาง!!
ด้วยเป็นคนที่ซ้อมเต้นอยู่บ่อยๆ เสียงเพลงดังจึงไม่เป็นปัญหากับโสตประสาทของอี้ชิง ทว่าผู้คนที่แอดอัดนั้นเริ่มทำให้อี้ชิงรู้สึกไม่สบายตัว มาถึงตอนนี้เขาก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังใส่ชุดการแสดงเมื่อตอนกลางวันอยู่ เป็นเสื้อแขนขุดสีขาวลากระดูกกับกางเกงแนบเนื้อสีดำ มีพร๊อพเป็นถุงมือหนังกับสร้อยเงินเส้นโต เขาเป็นคนขี้ร้อนเสื้อผ้าแบบนี้จึงออกจะใส่แล้วสบาย แต่ว่าเมื่อมาอยู่ในที่คับแคบผู้คนแอดอัดแบบนี้ ต่อให้ใส่เสื้อผ้าสบายแค่ไหน อี้ชิงก็ไม่รู้สึกสบายตัว
ตอนนี้เขาต้องรีบออกไปจากฝูงชนนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่เขาจะหมดสติ ด้วยร่างกายที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก ไหนจะไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้าอีก เขาจะต้องหาพี่คริสให้เจอก่อน!!
ระหว่างเบียดตัวออกจากฝูงชนที่กำลังเต้นไปมาตามจังหวะเพลง อี้ชิงก็เหลียบไปเห็นร่างที่คุ้นเคย เขามั่นใจว่านั่นคือคนที่เขาตามหา อี้ชิงจึงกัดฟันและพยายามเบียดตัวออกไปให้เร็วที่สุด
แล้วเขาก็พ้นจากคนเหล่านั้นออกมาได้ รู้สึกเหนื่อยๆ มากเหลือเกิน
เมื่อรู้สึกว่าหายใจได้เต็มปอด ร่างกายเริ่มกลับมาเหมือนเดิม อี้ชิงก็รีบเงยหน้ามองคนที่เขาตามหา ทว่าเมื่อได้สบตา ร่างทั้งร่างมันยิ่งกว่าถูกแช่แข็งเสียอีก
พี่คริสที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ คือพี่คริสที่กำลังจ้องมองสบตากับเขาด้วยท่าทีเย็นชา พี่คริสที่น่ารัก พี่คริสที่ยิ้มกว้างให้เขาทุกคน ไม่ใช่พี่คริสในตอนนี้สักนิด ร่างสูงนั่งไขว่ห้างยกซดเหล้าโดยไม่แม้จะละสายตาไปจากเขา สองข้างขนาบด้วยหญิงสาวอวบอั๋นในชุดยั่วน้ำลาย
อี้ชิงไม่รู้ว่าตัวเองกำลังอึ้งเพราะอะไร อึ้งเพราะพี่คริสมองเขาด้วยสายตาเย็นชาหรือก็ไม่ใช่ จะเป็นเพราะพี่คริสมีผู้หญิงมาคลอเคลียร์ด้วยก็ไม่เชิง
รู้แค่ว่าใจมันเต้นกระตุกเมื่อรู้สึกได้ว่าพี่คริสทำเหมือนไม่รู้จักกัน
ครั้นจะก้าวเดินเข้าไปหา เมื่อพี่คริสละสายตาแล้วหัวเราะหึอย่างสมเพช ขามันก็ก้าวไม่ออก นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกอย่างมันดูแปลกไปหมด
ความกล้าที่จะเดินเข้าไปหาหายสิ้นไปทันทีที่พี่คริสหันไปโอบสองสาวข้างกาย ก้มหน้าลงไปเล่นซุกซนกับหน้าอกของพวกเธอ อี้ชิงถึงกับต้องเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้า น้ำตาที่แห้งไปก็เริ่มก่อตัวอย่างไม่นึกอยาก
อี้ชิงหลับตา หลับตาเพื่อสงบสติอารมณ์ แต่ในหัวมันก็มีแต่ประโยคของลู่หานที่พูดกรอกหูเขามา ความกล้าบ้าบออะไรนั่นมันยังจำเป็นอีกเหรอ ในเมื่อพี่คริสปฏิเสธเขาออกจะชัดเจนขนาดนั้น
แต่ความเสียใจมันก็ยังน้อยกว่าความอยากรู้ อี้ชิงอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ที่มหาวิทยาลัย พี่คริสยังยิ้ม ยังคอยให้กำลังใจเขา แต่พอผ่านไปยังไม่พ้นวัน พี่คริสถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้
ความอยากรู้ในอกมันคับแน่นจนเขาไม่ขยับเขยื้อนไปไหน แม้จะต้องเบือนหน้าหนีเหตุการณ์ลามกที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่เขาก็ยืนยันว่าจะไม่ไปไหน
“คริส… นายรู้จักนายนั่นหรือเปล่า” สาวนางหนึ่งเงยหน้าจากช่วงล่างของคริสที่ยังคงอยู่ดีภายใต้เข็มขัดหนาแน่นว่าแล้วก็ชี้ไปยังร่างบางที่ยืนห่างออกไป
“นั่นสิ มันจ้องเธออย่างกับอีแร้ง!! อย่าบอกนะว่าเธอนอกใจพวกเราไปมีเด็กใหม่” หญิงสาวผมยาวอีกนางที่กำลังถูกพี่คริสงับหูเล่นเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์เสีย ร่างสูงที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับน้ำหอมกลิ่นโปรดถึงกับหมดอารมณ์
“ถ้าพวกเธอรำคาญนักก็ไปจัดการซะสิ พวกเธออารมณ์เสีย ฉันก็อารมณ์เสียไปด้วย…” ร่างสูงว่าแล้วก็เอนหลังพิงโซฟาก่อนจะคีบบุหรี่ออกมาจุดไป “…รู้ใช่ไหมว่าเวลาฉันอารมณ์เสียจะเป็นยังไง จะทำอะไรก็รีบทำ” คริสเอ่ยเสียงดุแกมรำคาญ เขายกบุหรี่ขึ้นสูบอย่างรำคาญใจขณะที่สองนางถอนตัวออกไป
หญิงสาวสองคนที่แม้จะไม่ค่อยถูกกันเรื่องคริสกลับเป็นมิตรกันก็เพราะเรื่องคริสอีกเหมือนกัน ไม่ว่ามันหน้าไหนเธอก็ไม่ยอมให้เข้าใกล้คริสโดยเด็ดขาด
“หล่อนเป็นใคร!!” สาวผมสั้นในชุดสีแดงตวาดถามอี้ชิงแล้วจ้องตาถลน อี้ชิงที่เป็นคนขี้ตกใจก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียง
“นั่นสิ เธอเป็นอิหนูอีกคนของคริสเขาหรือไง หึ ดูสารรูปซิ…” สาวผมยาวในชุดแหวกอกสีดำหัวเราะเยาะแล้วก็จับดูเสื้อผ้าอี้ชิงด้วยทีท่าขยะแขยง “…ไร้รศนิยม!!” ว่าแล้วก็ผลักไหล่อี้ชิงเข้าให้อีกที
ร่างบางจ้องมองทั้งสองสาวด้วยดวงตาไม่ยอมคน “ผมเป็นผู้ชาย กรุณาให้เกรียติผมด้วย!!” สิ้นคำนอกจากจะได้ยินเสียงหัวเราะแบบสมเพชจากทั้งสองนางนั้นแล้ว เขาก็ยังไม่รู้สึกเจ็บเท่าได้ยินจากพี่คริสหรอก ถึงตอนนี้พี่เขายังไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเขาด้วยซ้ำ
“ไสหัวกลับไปซะก่อนจะเจอดี” สาวผมสั้นเอ่ยพลางยกแขนกอดอก อี้ชิงโต้ตอบด้วยการยืนนิ่งอยู่กับที่
“เอ๊ะ!! นายนี่! ฟังภาษาคนไม่ออกหรือไงห๊ะ!!” สาวผมยาวเริ่มเสียงดัง แต่อี้ชิงก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม “ได้… ในเมื่อพูดดีๆ ไม่ชอบ ก็คงต้องพูดภาษาเดียวกันสินะถึงจะไป!!”
เพี๊ยะ!!!
และภาษาที่ว่านั้นก็คือภาษากายที่สาวผมสั้นส่งมาให้ ถึงเขาจะเป็นผู้ชายแต่ก็ใช่ว่าจะทนแรงตบของผู้หญิงได้เสมอไป ใบหน้าเรียวหันไปตามแรงมือที่ฟาดลงมา ผิวขาวละเอียดขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัดแม้อยู่ในที่มืด เขาดูหน้าสงสารขึ้นมาในบัดดล ทว่าไม่ใช่กับสองสาว และคริส
เมื่อเห็นอี้ชิงไม่โต้ตอบ ทั้งสองสาวก็พากันรุมทึ้งอี้ชิงไม่เหลือดี เขาจำไม่ได้หรอกว่าใครทำอะไรกับเขาบ้าง รู้แค่ว่ามีมือมาตบหน้าเขาซ้ำอีกสองสามที ทึ้งผมของเขาจนเจ็บหนังหัว จิกข่วนลงบนตัวเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนร่างกายมันเจ็บแสบไปหมด รู้สึกถึงคาวเลือดที่มุมปากเมื่อมือฝ่ามือตบฉาดมาอีกสองสามครั้ง ทั้งหมดนั้นก็ยังไม่เจ็บเท่าสายตาเย็นชาของคริสที่ยังมองมาอยู่ไม่ห่าง
เขาอยากจะร้องไห้ออกมา แต่น้ำตามันก็ไม่ไหล ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงยืนโง่ให้เขาทำร้ายอยู่แบบนี้ ในหัวเขามันว่างเปล่าไปหมด
หัวใจของเขามันไม่ได้อ่อนแอเหมือนร่างกาย หัวใจของเขาหนักแน่นจนต่อให้โดนทำร้ายสักเท่าไหร่ เขาก็จะยืนอยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหน แต่ไม่ใช่ร่างกาย ทันทีที่แหวนเล็กที่อยู่บนนิ้วกระแทกเข้าหน้าเขา ร่างทั้งร่างก็ทรุดลงพื้นทันที เมื่อเห็นว่าแรงตบทำอะไรเขาไม่ได้ ก็เปลี่ยนมาเป็นกำหมัดต่อยเขาสินะ
ทันทีที่ล้มลงสาวผมสั้นก็ขึ้นคร่อมเขาทันที เธอตอบอี้ชิงซ้ายทีขวาทีจนนับครั้งไม่ถ้วน ยังไม่ทันหนำใจ สาวชุดดำก็ผลักนางให้พ้นไปแล้วขึ้นคร่อมอี้ชิงบ้าง แต่เธอกลับต่างออกไปตรงที่เลือกจะทำร้ายเขาด้วยการต่อยแทน แหวนเพชรเม็ดงามกระแทกซ้ำๆ อยู่บนหน้าของเขา
อี้ชิงรู้สึกได้ว่าโหนกแก้มของเขาแตก แต่เขาก็ยังทนได้ ร่างบางอ้าปากเหมือนจะบอกให้ทั้งสองสาวหยุดแล้วมาคุยกันดีๆ แต่ทว่ากลับได้คำตอบที่ไม่ได้เอ่ยถามมาแทน
“ร้องขอให้คนช่วยงั้นเหรอ หึ ฝันไปเถอะหล่อน ที่นี่น่ะมันที่ของพวกฉัน คริสก็เป็นของพวกฉัน ไม่มีใครกล้าหือกับพวกเราหรอก” ว่าแล้วทั้งสองก็ผลัดกันขึ้นคร่อมอี้ชิงไปมาและทำร้ายเขาต่อไป ก็จริงอย่างว่าเขาถูกทำร้ายอยู่นานสองนาน แต่คนแถวนั้นกลับไม่มีใครเข้ามาช่วยสักนิด จะหันมาสนใจยังไม่มีเลย นี่มันโลกไหนกันนะ
แต่ถ้าจะให้เขายอมเจ็บตัวแบบนี้ต่อไปก็คงไม่จบไม่สิ้น ร่างบางเริ่มยกมือปัดไม้ป้ายมือปกป้องตัวเอง และพยายามลุกขึ้นให้ได้ ใช้เวลาปัดป่ายสี่มือที่ยื่นมาจิกมาจับเขาอยู่ไม่นานอี้ชิงก็หลุดจากสองนางนั่นจนได้ในที่สุด
“พวกผู้ดีอย่างคุณสองคนเขาตัดสินปัญหากันด้วยกำลังหรือไงครับ” อี้ชิงเอ่ยขณะพยายามถอยห่างจากทั้งสองสาว ทว่าคำพูดเรียบๆ ของอี้ชิงกลับกลายเป็นไฟจุดใต้ตำตอเพลิงในอกของทั้งสองให้โหมกระหน่ำ
“อย่ามาทำเป็นพูดดีไปเลย หล่อนน่ะมันก็ไม่ต่างอะไรจากพวกเราหรอก ทำตัวสูงส่ง แต่ก็วิ่งตามผู้ชาย… ที่หล่อนทำอยู่เนี่ยมันก็ไม่ต่างจากอีตัวเท่าไหร่หรอก รู้จักไหมอีตัวน่ะ แซนดี้จับมันไว้!!” แผนหลอกล่อด้วยคำพูดของสาวผมยาวหลอกอี้ชิงได้สำเร็จจนเขาไม่ทันระวังตัว สาวผมสั้นที่ชื่อว่าแซนดี้ล็อคแขนเขาไพล่หลังแน่นจนรู้สึกเจ็บ เขายอมรับว่าเขาในตอนนี้สู้แรงแซนดี้ที่อยู่ข้างหลังไม่ได้ รวามทั้งความสูงที่สูงกว่าของเธอด้วย
“หึ ทำอวดดีไปเถอะ หน้าหนาอย่างหล่อนมันต้องเจอนี่...!!!” สาวผมยาวปลดตะขอรองเท้าส้นสูงปลายแหลมออกก่อนจะถอดมันมาไว้ในมือ ส่งยิ้มอย่างผู้ชนะมาให้อี้ชิงอีกครั้งขณะเงื้อปลายแหลมของรองเท้าขึ้นสูง การกระทำเหล่านั้นทำเอาอี้ชิงถึงกับต้องหลับตาเบือนหน้าหนี ไม่ต้องคิดเลยว่าหน้าเขาตอนที่โดนปลายส้นสูงเจาะลงไปจะเป็นยังไง
“หล่อนคิดว่าหล่อนหน้าตาดีนักหรือไง… ฉันจะตอบหล่อนเอง!!”
“พวกเธออยากนอนคุกกันหรือไง” อี้ชิงลืมตาเมื่อเสียงทุ้มดังขึ้นอยู่ไม่ไกล เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าพี่คริสกำข้อมือของสาวผมยาวที่กำลังจะเหวี่ยงส้นสูงลงมาไว้แน่น
“เรื่องนี้ฉันจัดการเอง…” ว่าแล้วก็สะบัดมือออกจากสาวผมยาวอย่างไม่ใยดี ก่อนจะเหลียวมองผ่านไปยังคนที่อยู่ข้างหลังของอี้ชิง
“ปล่อยเขาซะ เรื่องนี้ฉันจัดการเอง..” ร่างสูงกระชากแขนอี้ชิงมาอยู่ข้างกายอย่างไม่สนใจไยดี “…นายนี่มันก็แค่เด็กหิ้วที่ติดใจในรสชาติของฉันก็เท่านั้นเอง พวกเธอจะใส่ใจไปทำไมนักหนา ใช่ไหมจ๊ะ” ว่าแล้วก็ก้มหน้าลงไปงับหูอี้ชิงเบาๆ
“คริส!!!!!!!” สองนางกรี๊ดร้องพลางยื่นมือออกมาราวกับจะดึงอี้ชิงไปฉีกทึ้ง ทว่าคริสก็ดึงตัวอี้ชิงออกห่างมาก่อน
“พวกเธอสองคนไว้วันหลังนะ วันนี้ขอลัดคิวให้เด็กดื้อนี่ก่อน แส่ไม่เข้าเรื่องดีนัก” พูดเสร็จก็ฉุดร่างบางกระชากให้เดินตามหลังตรงไปยังประตูทางออกทันที
อี้ชิงที่ถูกกระชากลากถูอยู่ก็ได้แต่ปล่อยตัวไปตามแรงลาก เขาไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันคืออะไรและจบยังไง สติที่เขามีอยู่ตอนนี้คือจ้องมองไปยังแผ่นหลังของคนข้างหน้า จ้องมองแผ่นหลังของรุ่นพี่คริสที่เขารัก พร้อมกับเกิดคำถามในใจว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเขานี้ใช่พี่คริสคนนั้นจริงๆ เหรอ
ทันทีที่ประตูห้องพักเปิด ร่างสูงก็เหวี่ยงอี้ชิงเข้าไปข้างในอย่างไม่ไยดีก่อนจะปิดประตูลงกลอนแน่นหนา ร่างบางที่ไม่ทันตั้งตัวก็ล้มไปกองกับพื้นตามแรงเหวี่ยง เมื่อล้มลงไปนอนกับพื้นแล้วอี้ชิงก็ไม่แม้แต่จะขยับตัวลุกขึ้น สองมือหนาจับไหล่บางกดพื้นแล้วขยับกายขึ้นนั่งคร่อม อี้ชิงเสมองด้วยสายตาสับสน นี้มันเรื่องบ้าอะไรกัน
“นายตามฉันมาทำไม นายต้องการอะไร!!” ร่างสูงตะคอกใส่หน้าอี้ชิงจนร่างบางสะดุ้งตัวโยน
“พะ…พี่คริส” จู่ๆ ขอบตามันก็ร้อนผ่าว จู่ๆ ก็รู้สึกกลัวผู้ชายคนนี้ขึ้นมา
“หึ ที่ตามฉันเข้าไปในนั้น… นายเข้าไปทำไม ที่ไปยืนมองฉันแบบนั้น… นายอยากเป็นอีตัวอย่างว่าหรือไง!!” แม้อี้ชิงจะกำลังตัวสั่นอยู่ใต้ร่าง คริสก็ไม่สนใจ เขายังคงตะคอกถามอี้ชิงต่อไปอย่างไม่ไยดี
“ตอบฉันมาสิอี้ชิง ตอบฉันมาว่านายตามฉันมาทำมะ…”
“ผมรักพี่”
ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกไป ถึงคำพูดเหล่านั้นจะเข้าสู่โสตประสาทของอีกฝ่ายแล้ว แต่อี้ชิงก็ไม่กล้าลืมตาขึ้นมอง เขารู้สึกได้ถึงอีกฝ่ายที่นิ่งไป นั่นยิ่งทำให้เขาไม่กล้าลืมตาขึ้นไปอีก
แต่ถึงไม่อยากลืมตาก็ต้องลืม เมื่อจู่ๆ ร่างทั้งร่างก็ถูกดึงขึ้นจากพื้นแล้วกระชากลากไปยังส่วนที่เรียกว่าห้องรับแขก ร่างบางถูกเหวี่ยงลงบนโซฟาตัวยาวอย่างแรง ขณะที่ร่างสูงเดินไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวที่อยู่ตรงกันข้ามแล้วจ้องมองมาด้วยสายตาแปลกๆ
“รักฉันเหรอ… งั้นก็พิสูจน์สิ” คริสว่าแล้วก็นั่งเอนหลังกอดอกท่าทางสบาย อี้ชิงที่ขยับตัวนั่งบนโซฟาให้ถูกหลักก็ได้แต่นิ่งเฉยไม่เข้าใจในสิ่งที่คริสต้องการจะสื่อ
“หึ ไม่ต้องอายหรอก อยากทำอะไรก็ทำ อยู่กันแค่สองคน” ว่าแล้วร่างสูงก็ขยับกายถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก เสร็จแล้วเขาก็ยังเอนหลังพิงเบาะเหมือนเดิม อี้ชิงไม่ค่อยทันคน ก็คิดไม่ทันหรอกว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
“รักฉันมาก ก็แสดงให้ฉันเห็นสิอี้ชิง แสดงให้ฉันเห็นว่านายมีดีแค่ไหน แสดงให้ฉันเห็นว่านายต้องการฉันแค่ไหน” คำพูดธรรมดาแต่แฝงไปด้วยคำอธิบายทำให้อี้ชิงถึงบางอ้อ เขาเข้าใจแล้วว่าคริสสื่ออะไร ถึงจะรับรู้แต่ร่างกายมันก็รู้สึกแปลกๆ หากจะต้องทำอะไรแบบนั้น
“อยากได้ความรักของฉันไม่ใช่เหรออี้ชิง จะมัวช้าอยู่ทำไมล่ะ”
“ถ้าผมทำแบบนั้น พี่คริสจะรักผมเหรอครับ” อี้ชิงที่เงียบอยู่นาน ในที่สุดก็เอ่ยปากถามในที่สุด ร่างสูงที่ได้ฟังก็แค่นหัวเราะออกมาเบาๆ
“ถ้าคืนนี้นายทำให้ฉันพอใจ ฉันก็จะรับรักนาย แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะรักนาย อย่าสับสนล่ะ” ได้ฟังดังนั้นอี้ชิงก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
“ลองดูสักตั้งสิอี้ชิง เผื่อบางทีนายอาจจะทำสำเร็จก็ได้ แต่ถ้ายังมัวช้าอยู่ล่ะก็ ฉันไม่รับรองนะ เพราะฉันใจร้อน อาจจะไล่นายกลับบ้านไปเลยก็ได้ถ้านายยังนิ่งอยู่แบบนั้น” ว่าแล้วคริสก็ตีหน้าเบื่อโลกจนอี้ชิงเริ่มรู้สึกกระวีกระวาด
“ถ้าพี่คริสต้องการอย่างนั้น ผมก็จะทำ” ว่าแล้วก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อที่เต็มไปด้วยรอยดึงทึ้งออกทีละเม็ดอย่างเชื่องช้า
ในใจของอี้ชิงกำลังสับสน เขาควรแล้วหรือที่จะทำแบบนี้ เขามาแค่เพื่อจะบอกรักพี่คริสไม่ใช่เหรอ แล้วที่กำลังทำอยู่นี้มันคืออะไร ที่ทำลงไปก็เพื่อให้เขามารักตนเองอย่างนั้นเหรอ ไหนบอกว่าไม่หวังไง
ความคิดของอี้ชิงเริ่มตีกันยุ่งเหยิงไปหมด แต่มือก็ยังไม่หยุดการไล่ปลดกระดุมเสื้อ จนในที่สุดเม็ดสุดท้ายก็หลุดออกจากรังดุม ผิวตั้งแต่ช่วงคอยาวลงมาจนถึงช่วงสะดือโผล่พ้นแนวยาวของเสื้อ
ตามคำพูดที่พี่คริสสื่อ เขาต้องทำให้ร่างกายของเขาเร้าร้อนและแสดงให้เห็นว่าต้องการพี่เขามากแค่ไหน
ถึงอีกใจหนึ่งจะต่อต้าน แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่ยอม ซ้ำกลับยังสามารถบังคับร่างกายให้ทำต่อไปได้อีก มือเล็กค่อยๆ จับคอเสื้อเลิกออกจนเห็นไหล่เพื่อจะขยับแขนถอดออกมา ยิ่งร่างเปลือยโผล่พ้นอาภรณ์เท่าไหร่ หน้าก็ยิ่งก้มหงุดจนคางแทบจะชิดอก ภาพที่เคยชัดเจนอยู่ตรงหน้าก็พร่ามัวไปด้วยม่านน้ำตา
“นายรักฉันมากขนาดนั้นเลยเหรออี้ชิง” ร่างสูงที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่คว้าคอเสื้อที่เปิดไปถึงหัวไหล่แล้วดึงกลับมาเหมือนเดิม อี้ชิงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสับสน เขาเดาไม่ถูกว่าตอนนี้ร่างสูงอยู่ในอารมณ์ไหน และถ้อยคำที่ถามออกมานั้นถามเพื่อจะทำร้ายหรือถามเพื่อคำตอบกันแน่
ร่างสูงถอนหายใจหนักจนอี้ชิงเองก็ได้ยิน เขานั่งลงข้างๆ อี้ชิงก่อนจะหมุนไหล่ทั้งสองข้างให้หันมาเผชิญหน้า สบตาเขาแวบหนึ่งแล้วก็ดึงร่างทั้งร่างเข้าไปกอดแน่นจนร่างกายของทั้งสองไร้ซึ่งช่องว่างแม้เพียงอากาศลอดผ่าน
“เพิ่งจะเข้าใจก็วันนี้เองว่าการที่ได้กอดคนที่เรารักน่ะ… มันเป็นยังไง” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความอบอุ่นเอ่ยดังอยู่ข้างหู คางหนักกดย้ำบนไหล่บางพร้อมกับอ้อมกอดที่กระชับให้แน่นๆ ขึ้นไปอีก
ในที่สุดน้ำตามันก็ไหลลงมา เขาได้แต่สูดน้ำมูกฮึดฮัดอยู่เงียบๆ ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย
“ฉันล่ะเกลียดนายจริงๆ อี้ชิง ทำไมชอบมาทำให้ฉันเสียเรื่องอยู่เรื่อย” คริสว่าแล้วก็ยกมือขึ้นลูบหัวอี้ชิงอย่างปลอบโยน “นายรู้ไหมว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันต้องพยายามเอาใจออกห่างนายแค่ไหน ฉันต้องอดทนมากแค่ไหนที่จะไม่แสดงอะไรออกไปตอนที่เราอยู่ใกล้กัน” ร่างสูงอธิบายยืดยาว แต่อี้ชิงก็ไม่เข้าใจ
“อึดอัดหรือเปล่า… นานๆ จะได้กอดนายสักที ทนหน่อยนะ” น้ำเสียงหยอกล้อทว่ายังคงความอ่อนโยนให้รู้สึกได้ อี้ชิงที่ยังน้ำตาไหลพรากสะอึกสะอื้นอยู่คนเดียวไม่ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร
“ฉันรู้มาตั้งนานแล้วล่ะว่านายน่ะแอบชอบฉันอยู่… ก็ฉันทั้งเก่งทั้งนิสัยดีแบบนั้นใครไม่ชอบก็แปลกแล้ว ฉันไม่ได้จะเข้าข้างตัวเอง แต่ฉันจะบอกอะไรให้ว่านั่นน่ะมันเป็นแค่การแสดง… ที่ฉันทำไปทั้งหมดก็เพื่อต้องการปิดบังตัวตนที่แท้จริงของฉันก็เท่านั้น” คริสว่าแล้วก็ดันตัวอี้ชิงออกแล้วสบตากับเขาอย่างจริงจัง สักพักก็อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่ก็เงียบไป เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของอี้ชิง
“นายมันโง่! หลงตัวปลอมของฉันจนเจ็บต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ โง่ๆๆ!” อี้ชิงที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นก็ยิ่งร้องหนักเข้าไปอีกจนคริสทนไม่ไหวต้องดึงเขาเข้าไปกอดแนบอกอีกครั้ง
“ฉันเป็นดีลเลอร์ค้ายา…” คำสารภาพที่ออกมาจากปากของร่างสูงทำเอาอี้ชิงเบิกตากว้าง เขาผละตัวออกจากอกแกร่งแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาอย่างหาคำตอบ
“และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงต้องทำตัวเป็นคนแสนดีและที่สำคัญ… นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันต้องห่างนาย” คริสว่าแล้วก็ดึงมืออี้ชิงมากุม ก้มลงมองอย่างรักใคร่พลางลูบไปมาอย่างทนุถนอม
“นายคงจะเริ่มชอบฉันหลังจากวันที่ฉันไปส่งนายที่ห้องพยาบาล แต่รู้ไหม… ฉันชอบนายมาก่อนหน้านั้นอีก ถ้านายพอจะนึกถึงวันสอบสัมภาษณ์ได้ ที่นายบังเอิญมาถามทางฉัน” คริสว่าแล้วอี้ชิงก็นึกภาพตาม ตอนนั้นเขามาสอบสัมภาษณ์ที่มหาวิทยาลัยทว่ากลับไปรู้ทางไปหอประชุมใหญ่ พอดีกับที่คริสซ้อมบาสเสร็จเดินผ่านมาพอดี ทั้งสองจึงได้เจอกัน อี้ชิงไม่เคยนึกถึงตอนนั้นเลย เขาจำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อพี่คริสเอ่ยให้นึกถึง ภาพมันก็เด่นชัดจนจำได้แม้กระทั่งว่าตอนนั้นเขารีบมากจนลืมขอบคุณอีกฝ่ายที่ช่วยบอกทางให้เขา
“แต่เพราะฉันเป็นดีลเลอร์ ฉันถึงต้องคอยหักห้ามใจมาโดยตลอด” คริสที่ยิ้มให้อี้ชิงอย่างเอ็นดูจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเศร้า
“ทำไมครับ” อี้ชิงเอ่ยถามเสียงเบา
“งานที่ฉันทำมันอันตรายมาก มีพวกไม่หวังดีคอยจับตาดูอยู่เยอะ บอกตรงๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกมันคงไม่เลือกทำร้ายฉันหรอก พอจะเข้าใจที่ฉันสื่อไหมอี้ชิง” คริสอธิบายแต่ก็อธิบายไม่หมด แต่อี้ชิงก็เข้าใจ เข้าใจดีจนน้ำตามันไหลลงมาอีกครั้ง
ยิ่งนึกมันก็ยิ่งจุก นี่มันความรักแบบไหนกัน ที่เขาร้องไห้อยู่ตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าควรจะสงสารใครดี สงสารตัวเองที่ไม่ระแคะระคายว่าพี่คริสเองก็ชอบเขามาตลอด สงสารพี่คริสที่แม้ความรักของตัวเองก็ยังต้องทนฝืนเก็บเอาไว้ในอก เพราะเขารู้ดีว่ามันทรมานแค่ไหน
“ผมไม่เป็นอะไร ผมดูแลตัวเองได้” อี้ชิงเช็ดน้ำตา
“ไม่… นาย… นายไม่รู้หรอกว่าโลกของเรามันน่ากลัวแค่ไหน นายคืออนาคตของฉันนะอี้ชิง” หลังจากที่ก้มมองมือของอี้ชิงอยู่นาน ในที่สุดร่างสูงก็เงยหน้าสบตากับร่างบาง
“ฉันเลือกทางเดินนี้แล้ว ฉันหันหลังกลับไปไม่ได้แล้ว ฉะนั้น ก็อย่ายื่นมือเข้ามาขวาง นายอย่าทำให้ฉันต้องลำบากเลยอี้ชิง” คำพูดตัดรอนทำเอาขอบตาแห้งร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง สรุปแล้วว่าพี่คริสรักเขาจึงอยากปกป้อง หรือกลัวว่าเขาจะมาทำให้เสียเรื่องกันแน่
แต่แล้วความคิดทั้งหมดก็ต้องหยุดไปเมื่อสายตาของร่างสูงที่ส่งมาสื่อได้ถึงความจริงจังทว่าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนจนอี้ชิงรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ก่อตัวอยู่รอบกายแม้จะนั่งอยู่ห่างกัน
“นายคือชีวิตของฉัน… จางอี้ชิง” ร่างบางก้มหน้าลงทันทีที่ได้ยิน น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงอาบแก้มราวเขื่อนแตก ประโยคนั้นมันก็แค่ประโยคสั้นๆ ธรรมดาๆ แต่ทั้งน้ำเสียงและสายตารวมทั้งความอบอุ่นจริงจังของคริสที่ส่งมา ทำเอาอี้ชิงไม่อาจทนไหว เขารักคริส คริสเองก็รักเขา แต่อี้ชิงไม่คิดว่าตนเองจะสำคัญกับอีกฝ่ายขนาดนี้
“ถ้านายเป็นอะไรไป ฉันคงทนไม่ได้ ฉะนั้นต่อให้ต้องหักห้ามใจเท่าไหร่ ฉันก็ต้องทำ” ยิ่งได้ยินก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างจุกอยู่ในอก
“อย่าเสียใจที่ฉันปฏิเสธนาย เพราะยิ่งฉันอยู่ห่างนายมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอุ่นใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นจากนี้ไป… เราอย่าเจอกันอีกเลยนะ” แม้ม่านน้ำตาจะบดบังการมองเห็น แม้น้ำมูกจะทำให้หายใจลำบาก ทว่าโสตประสาทกลับรับรู้และได้ยินชัดเจนทุกคำพูด
“นี่ก็ดึกมากแล้ว เช็ดน้ำตาซะ จะได้กลับบ้าน” ว่าแล้วร่างสูงก็ดึงมืออี้ชิงลุกขึ้นจากโซฟา พาเดินอ้อมพ้นโซฟาแล้วตรงไปตามทางเดินยาวสู่ประตูห้องพัก
ร่างสูงนำพาอี้ชิงไปไม่รีบร้อน เช่นเดียวกับอี้ชิงที่เดินตามไปอย่างว่าง่าย มือนึงก็พยายามยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา แต่เช็ดเท่าไหร่มันก็ยังไหลออกมาอยู่ดี
เมื่อเดินไปหยุดอยู่ใกล้บานประตู คริสก็หยุดแล้วหันกลับมาหาร่างบางอีกครั้ง “อี้ชิง… ฉันอยู่ได้ก็เพราะนายนะ ฉะนั้นจงเลือกที่จะมีอนาคตที่ดี… เพื่อฉัน” คริสเอ่ยแล้วก็ดึงฝ่ายนั้นเข้ามาใกล้ “ไม่ต้องสงสัยว่าฉันรักนายหรือเปล่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้มันคงกระจ่างชัดมากพอแล้ว ฉะนั้นจงก้าวเดินต่อไปโดยทิ้งฉันเอาไว้ตรงนี้ ปล่อยให้ฉันคอยมองนายอยู่ห่างๆ อย่าได้หันหลังกลับมามองที่ตรงนี้อีก…” ร่างสูงเอื้อมมือไปลูบหัวอี้ชิงที่กำลังสะอื้นเบาๆ “…พ้นประตูนี้ไป ถ้าหากเราบังเอิญได้เจอกันอีก ก็ให้ทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน มองฉันเหมือนอากาศ รู้สึกให้ฉันเป็นสายลม อย่าได้หันกลับมาสนใจ เอาล่ะ! หมดธุระแล้ว ฉันไม่ไปส่งนายนะ” ว่าแล้วก็เปิดประตูพร้อมดันหลังอี้ชิงให้ออกพ้นธรณีไปอย่างว่าง่าย และก่อนที่คริสจะปิดประตูลง อี้ชิงก็หันกลับไปหาเขาอีกครั้ง
“พี่คริส… พี่เองก็ถือว่าเป็นเหมือนอนาคตของผม หากพี่อยากให้ผมมีชีวิตที่ดีเพื่ออยู่เป็นชีวิตของพี่ ถึงแม้พี่จะเลือกทางเดินอันตรายนี้แล้ว ไม่ว่ายังไงพี่ก็ต้องอยู่เป็นอนาคตของผมเหมือนกัน ผม… จะมีชีวิตอยู่เพื่อหวังว่าสักวันนึงจะก้าวไปถึงอนาคตที่ฝันที่อยากได้ และพี่ก็มีชีวิตอยู่เพื่ออนาคตที่ดีของผม หากวันใดที่อนาคตของผมดับสูญ ชีวิตของผมก็คงไม่มีอะไรให้ไขว่คว้าอีก… ลาก่อนครับ” อี้ชิงที่ตอนนี้น้ำตาแห้งแล้วเป็นฝ่ายเอ่ยลาตัดขาด คริสพยักหน้ารับคำลา เขาไม่พูดอะไรได้แต่ถอยหลังไปแล้วปิดประตูลงกลอนสนิทแน่นในที่สุด
อี้ชิงไม่รู้ว่าเขาไปเอาความเด็ดเดี่ยวบอกลาพี่คริสมาจากไหน ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายต้องการพี่คริสอยู่เต็มอก แต่สุดท้ายก็เป็นตัวเองที่เอ่ยคำอำลาออกไป แต่ถามว่านึกเสียใจไหม ตอบได้เลยว่าไม่ ในเมื่อพี่คริสเลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับเรา เขาก็จะยึดมั่นทำตาม จากนี้ไป เขาจะมีชีวิตอยู่เพื่ออนาคต และอนาคตของเขาก็คือชายที่อยู่หลังบานประตูนั้น
ทันทีที่ประตูปิดสนิท เขาทั้งสองก็ถูกแยกให้อยู่กันคนละโลก ร่างสูงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหว ในใจกำลังคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขาไม่เคยคิดเสียใจที่เลือกทางเดินนี้ และไม่เคยเสียใจที่สุดท้ายผลมันจะออกมาแบบนี้ เพราะเขาเป็นคนเลือกเอง เขาเป็นคนเลือกที่จะทำให้มันออกมาเป็นแบบนี้เอง
เขารักอี้ชิงมากเหมือนที่อี้ชิงก็รักเขามาก เขาเสียใจที่ทำให้อี้ชิงต้องร้องไห้ แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องที่ต้องทำใจ เขาต้องยอมรับที่จะเห็นอีกฝ่ายอ่อนแอ ยิ่งเห็นแบบนั้นเขายิ่งต้องหนักแน่น เขาจะปล่อยให้ความรู้สึกอยู่เหนือความสำคัญไม่ได้ เขาจะต้องรักษาชีวิตของอี้ชิงให้ปลอดภัยที่สุด เขาไม่อยากให้คนดีๆ อย่างอี้ชิงต้องมาเกี่ยวข้องกับด้านมืดของเขา
มันอาจจะดูตัดรอนและเป็นการทำร้ายจิตใจฝ่ายนั้นมากๆ แต่เขาก็ต้องทำ แต่ถึงกระนั้นอี้ชิงก็ยอมรับได้ไม่ใช่เหรอ ถึงแม้เราทั้งสองคนจะไม่สมหวัง แต่การที่ต่างฝ่ายต่างมีชีวิตอยู่เพื่อกันและกันนั้น มันก็เหมือนเป็นคำสัญญาอยู่กลายๆ
ถามว่าเจ็บไหม ตอบเลยว่าไม่ เพราะตอนนี้หัวกับร่างกายมันชาหนึบจนไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว แต่จริงๆ แล้ว มันก็ยังมีอีกความรู้สึกเล็กๆ ที่เมื่อนึกถึงแล้วก็ถึงกับน้ำตาคลอ
ความรู้สึกที่ว่า… อยากจะกอดอี้ชิงอีกสักครั้ง
END
ฝากเรื่องนี้เอาไว้อีกสักเรื่องนะฮะ ฮ่าๆๆๆ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติชมให้กำลังใจครับ > <
ผลงานอื่นๆ ของ ^PUNEOPPA^ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ^PUNEOPPA^
"ใช่เลยอ่ะ"
(แจ้งลบ)ตอนแรกว่าจะเมนท์ยาว ๆ แต่เปลี่ยนใจดีกว่า อยากวิจารณ์ 55555 อยากให้มีคนได้อ่านเรื่องนี้เยอะ ๆ ^ ^ จะบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีมากค่ะ เนื้อเรื่องสวยงาม แต่สวยงามในโลกสีเทา... อยู่เพื่อกันและกันแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน... ชอบมากค่ะ ชอบมากจริง ๆ เราชอบตอนจบแบบนี้มาก ๆ เลย ไม่จำเป็นต้องรักกัน อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่ว่า การที่ได้รักกันอยู่ในใจ ไม่ได้อยู่ด้ ... อ่านเพิ่มเติม
ตอนแรกว่าจะเมนท์ยาว ๆ แต่เปลี่ยนใจดีกว่า อยากวิจารณ์ 55555 อยากให้มีคนได้อ่านเรื่องนี้เยอะ ๆ ^ ^ จะบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีมากค่ะ เนื้อเรื่องสวยงาม แต่สวยงามในโลกสีเทา... อยู่เพื่อกันและกันแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน... ชอบมากค่ะ ชอบมากจริง ๆ เราชอบตอนจบแบบนี้มาก ๆ เลย ไม่จำเป็นต้องรักกัน อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่ว่า การที่ได้รักกันอยู่ในใจ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ว่าได้ใช้ชีวิตเพื่อกันและกัน มันมีความหมายมากกว่านะคะ : D จะบอกว่าซึ้งมาก ๆ ชอบจริง ๆ อยากให้กำลังใจไรท์เตอร์นะคะ สู้ ๆ ค่ะ ชอบมากจริง ๆ อ่านน้อยลง
dark chocolate | 28 เม.ย. 56
2
0
"ใช่เลยอ่ะ"
(แจ้งลบ)ตอนแรกว่าจะเมนท์ยาว ๆ แต่เปลี่ยนใจดีกว่า อยากวิจารณ์ 55555 อยากให้มีคนได้อ่านเรื่องนี้เยอะ ๆ ^ ^ จะบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีมากค่ะ เนื้อเรื่องสวยงาม แต่สวยงามในโลกสีเทา... อยู่เพื่อกันและกันแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน... ชอบมากค่ะ ชอบมากจริง ๆ เราชอบตอนจบแบบนี้มาก ๆ เลย ไม่จำเป็นต้องรักกัน อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่ว่า การที่ได้รักกันอยู่ในใจ ไม่ได้อยู่ด้ ... อ่านเพิ่มเติม
ตอนแรกว่าจะเมนท์ยาว ๆ แต่เปลี่ยนใจดีกว่า อยากวิจารณ์ 55555 อยากให้มีคนได้อ่านเรื่องนี้เยอะ ๆ ^ ^ จะบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีมากค่ะ เนื้อเรื่องสวยงาม แต่สวยงามในโลกสีเทา... อยู่เพื่อกันและกันแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน... ชอบมากค่ะ ชอบมากจริง ๆ เราชอบตอนจบแบบนี้มาก ๆ เลย ไม่จำเป็นต้องรักกัน อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่ว่า การที่ได้รักกันอยู่ในใจ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ว่าได้ใช้ชีวิตเพื่อกันและกัน มันมีความหมายมากกว่านะคะ : D จะบอกว่าซึ้งมาก ๆ ชอบจริง ๆ อยากให้กำลังใจไรท์เตอร์นะคะ สู้ ๆ ค่ะ ชอบมากจริง ๆ อ่านน้อยลง
dark chocolate | 28 เม.ย. 56
2
0
ความคิดเห็น