คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [SF] A Childhood Memories : A promise [YuMark]
A Childhood Memories
Part1: A Promise [yumark]
Nostalgia* แรกเริ่มคำศัพท์นี้วงการแพทย์มีไว้ใช้อธิบายอาการของผู้ป่วยที่มีความรู้สึกคิดถึงบ้าน (homesick) หรือความรู้สึกกลัวที่จะไม่ได้กลับไปยังบ้านเกิดอีก แต่ก็มีการใช้นำไปใช้ในอีกหลายความหมายและหลายวงการ แต่โดยรวมแล้วมันคือความรู้สึกโหยหาเรื่องราวอดีต โดยปกติมักเป็นสถานที่หรือเหตุการณ์ในอดีตที่มีความหมายหรือทำให้มีความสุข* ใช้ในความหมายเดียวกับเวลาที่เราชอบนั่งนึกถึงเหตุการณ์เก่าๆในสมัยอดีตแล้วก็หัวเราะไปกับมัน เหตุการณ์ที่ในตอนนั้นไม่รู้ว่าอะไรทำให้ตัดสินใจอย่างนั้น
มาร์ค ต้วนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ชอบนั่งนึกถึงเรื่องราวเก่าๆของตัวเอง เพื่อนๆมักจะล้อว่าเขามีงานอดิเรกเหมือนผู้สูงอายุ ชอบเดินทางไปในที่เก่าๆพร้อมกับนึกถึงความทรงจำที่เคยเกิดขึ้น
ความจริงสถานที่ที่มาร์คชอบไปก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านพักที่อาศัยอยู่สักเท่าไหร่ มันเป็นสวนสาธารณะขนาดกลางที่ผู้คนส่วนใหญ่ชอบมานั่งพักผ่อนหย่อนใจในวันที่อากาศดี มาร์คชอบไปเดินเล่นแถวนั้น เพราะมันเป็นที่ที่เก็บความทรงจำเก่าๆของเขาไว้มากที่สุด
คิมยูคยอม เป็นเจ้าของพื้นที่ในความทรงจำวัยเด็กที่เยอะที่สุดของมาร์ค เขาจำได้ดีตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายที่เจอกัน เด็กเกาหลีคนเดียวในชั้นเรียนศิลปะการป้องกันตัว ชั้นเรียนที่เต็มไปด้วยเด็กอเมริกัน มีเพียงมาร์คต้วนและคิมยูคยอมเท่านั้นที่เป็นคนเอเชีย
จึงไม่แปลกเลยที่เจ้าเด็กใหม่นั่นจะเกาะติดเขาแจเป็นลูกลิง หลังเลิกชั้นเรียน มาร์คจำเป็นต้องพายูคยอมที่คุณแม่มาฝากฝังไว้ไปเล่นด้วยระหว่างรอคุณแม่เลิกงาน
เริ่มจากช่วงเย็นในวันเสาร์ จนเมื่อเริ่มสนิทกันมากขึ้น คิมยูคยอมที่เพิ่งย้ายเข้าโรงเรียนประถมที่เดียวกันกับมาร์คก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขอเดินกลับบ้านด้วย มิหนำซ้ำยังขอนั่งเล่นที่บ้านรอคุณแม่มารับอีกต่างหาก ตอนแรกมาร์คที่ไม่ได้โตกว่ายูคยอมสักเท่าไหร่ พวกเขาอายุห่างกันแค่สี่ปี ก็เริ่มมีความรู้สึกรำคาญที่ถูกเด็กบื้อๆหนึ่งคนเดินตามต้อยๆไม่ปล่อยให้ห่างตา เคยวางแผนจะไม่ให้ยูคยอมมาที่บ้าน แต่ทว่าโจอี้ต้วน น้องชายของมาร์ค กลับคัดค้านเพราะถ้ายูคยอมไม่มาเจ้าตัวก็จะไม่มีเพื่อนเล่น
สุดท้ายแล้ว คิมยูคยอมก็แทบจะกลายเป็นหนึ่งในลูกชายบ้านต้วน ทั้งพ่อทั้งแม่ของมาร์คเอ็นดูเจ้าหนูนี่ไม่น้อยเพราะนิสัยช่างอ้อนของเจ้าตัว
รวมไปถึงมาร์คเองด้วย ในที่สุดมาร์คก็ต้องยอมรับว่าการมียูคยอมมาเดินล้อมหน้าล้อมหลังก็เป็นอะไรที่เพลินๆดีเหมือนกัน โดยที่โจอี้ให้นิยามความรู้สึกนั้นของมาร์คว่า –เพราะหมอนั่นเหมือนลูกสมุนของพี่น่ะสิ-
เป็นเวลาอยู่ประมาณสามปีที่เด็กชายบ้านคิมเข้ามามีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของบ้านต้วน คิมยูคยอมที่ไม่คิดจะไปสนิทกับเพื่อนคนไหนของตัวเองเอาแต่มาเกาะติดมาร์คก็จำเป็นต้องย้ายออกไป
“ไปไหนล่ะ?”
เป็นคำแรกที่มาร์คพูดหลังจากที่ยูคยอมเข้ามาบอกในตอนเย็นของวันพุธกลางสัปดาห์ว่าเทอมหน้าจะย้ายกลับไปเรียนที่เกาหลีแล้ว
“แล้วจะกลับมาอีกไหม?”
มาร์ค ต้วน ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะได้เอ่ยคำถามประเภทนี้ออกไป ความจริงคือไม่เคยคิดแม้สักครั้งว่า จะมีวันที่ยูคยอมจะไม่มาวนเวียนอยู่ใกล้ๆตัวอีกต่อไป
“กลับสิ กลับมาแน่ๆ ผมสัญญา ผมอยากอยู่กับมาร์คนะ อยากอยู่กับมาร์คตลอดไปเลย”
เจ้าเด็กนั่นพยักหน้าจนหัวสั่นหัวคลอน จับมือมาร์คไปเขย่าเหมือนกับจะให้เชื่อว่าอย่างไรก็จะกลับมาแน่ๆ มาร์คหัวเราะ ตอนนั้นเชื่อคำสัญญาของยูคยอม แล้วก็พยักหน้ารับไปอย่างไม่ได้คิดอะไร
และหลังจากนั้น ในตอนเย็นหลังเลิกเรียนของวันแรกที่มาร์คเลื่อนชั้นขึ้นเป็นเกรดสิบ บ้านต้วนก็ไม่ได้ต้อนรับแขกที่ชื่อคิมยูคยอมอีกเลย
มีเพียงอีเมล์จากเด็กชายที่ส่งมาแทบจะทุกวัน อีเมล์ที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นไป ชีวิตประจำวัน โรงเรียนและเพื่อนใหม่ของคิมยูคยอม ที่สุดท้ายแล้ว ความถี่ของอีเมล์ที่ยูคยอมส่งมา ก็ค่อยๆลดน้อยลง จากทุกวัน กลายเป็นทุกสัปดาห์ กลายเป็นทุกเดือน จนในที่สุด ก็ราวกับว่าการส่งอีเมล์มาหามาร์คต้วนนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คิมยูคยอมต้องทำอีกต่อไป
-You’ve got 1 new message-
เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นเรียกมาร์คให้ลุกออกมาจากเรื่องราวในอดีตของตัวเองกับยูคยอม ชายหนุ่มถอนหายใจพรู เอนหลังพิงม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนสาธารณะพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ
From: Yugyeom Kim>
To: Mark Tuan>
See you on Friday!!!
Love,
Always,
มาร์คแทบจะต้องยกมือขึ้นขยี้ตาเมื่ออ่านข้อความจบ ถ้าจำไม่ผิด อีเมล์ล่าสุดที่ได้รับจากยูคยอมคือเมื่อประมาณสามถึงสี่เดือนที่แล้ว แต่อยู่ดีๆ เด็กนั่นก็ส่งอีเมล์มาบอกว่าเราจะเจอกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
ไม่ได้เจอกันเกือบสิบปี ถึงแม้จะเห็นว่ายูคยอมนั้นโตขึ้นมากผ่านทางภาพถ่าย แต่มาร์คก็อดตื่นเต้นไม่ได้เมื่อคิดว่าจะได้พบกันจริงๆ
.
.
.
มาร์คต้วน ในสภาพชายหนุ่มวัยยี่สิบห้ากำลังรีบเก็บของออกจากออฟฟิศหลังเลิกงาน เย็นวันศุกร์ในสัปดาห์นี้แตกต่างจากทุกสัปดาห์ เขาส่งอีเมล์ตอบกลับไปถามรายละเอียดอื่นๆ เผื่อว่าเขาจะสามารถไปรับยูคยอมที่สนามบินได้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากอีเมล์ฉบับนั้น มาร์คจึงตัดสินใจว่าจะรีบกลับไปรอยูคยอมที่บ้านแทน
ชายหนุ่มตรงดิ่งกลับบ้านด้วยหัวใจที่พองโตกว่าปกติ แอบคิดว่ายูคยอมอาจจะมารอแล้วตั้งแต่มาร์คยังไม่เลิกงานก็ได้ แต่เมื่อกลับมาแล้วพบว่าบ้านยังคงเงียบเหมือนตอนก่อนออกไป สีหน้าดีใจก็ซีดลง แต่ถึงอย่างนั้น มาร์คก็ยังรออย่างมีความหวัง เขาเข้าไปเก็บของแล้วอาบน้ำ ก่อนจะออกมาทำดินเนอร์ของตัวเองและไม่ลืมที่จะทำเผื่อยูคยอมไว้ด้วย
“Surprise!!!”
แล้วยูคยอมก็มา เป็นช่วงที่มาร์คกำลังง่วนอยู่กับการทำทีโบนสเต๊กจานโปรดทำให้ไม่รับรู้ถึงการมาเยือนของแขก จนกระทั่งยูคยอมเดินเข้ามา สวมกอดจากทางด้านหลังแล้วตะโกนเสียงดังลั่น
“I miss you like crazy!!”
มาร์คหัวเราะ ขยับตัวแล้วหันหน้าไปหายูคยอมที่ยังไม่ได้วางเป้สะพายหลังลงจากบ่าด้วยซ้ำ
“เบาๆก็ได้ ตกใจหมด ยังไงก็น่าจะโทรมาก่อนนะ จะได้เตรียมตัวถูก” เขาว่า มองยูคยอมที่วางของแล้วย้ายตัวเองไปนั่งรอที่โต๊ะทานอาหารอย่างรู้หน้าที่แล้วก็ได้แต่ส่ายหัวให้กับคิมยูคยอมที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยไม่ว่าจะกี่ปี ลูกหมาตัวใหญ่ที่รู้หน้าที่ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น
“ผมอยากเซอร์ไพรส์มาร์ค ที่มาครั้งนี้มีอะไรจะเซอร์ไพรส์มาร์คเต็มไปหมดเลย”
ยูคยอมพูดแล้วยิ้ม รับจานสเต็กที่มาร์คยื่นให้พร้อมกับรินน้ำเมื่อมาร์คเอาเหยือกและแก้วมาวางด้านข้าง
“เซอร์ไพรส์แบบไหนกัน คงไม่ใช่จะมาบอกว่านายกำลังจะแต่งงานหรอกใช่ไหม?”
มาร์คแกล้งหยอก โดยที่ไม่ได้คิดอะไร แต่ทว่าหน้าตาตื่นเต้นตกใจของยูคยอมกลับทำให้มือที่จับมีดและส้อมอยู่นั้นสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“มาร์ครู้ได้ไงน่ะ?!” ยูคยอมทำตาโตด้วยความประหลาดใจ ผิดกับมาร์คที่นิ่งไปด้วยไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
“แม่แอบบอกมาร์คก่อนหรอ? ผมอุตส่าห์ตั้งใจไว้ว่าจะมาบอกด้วยตัวเอง…” เจ้าเด็กนั่นทำปากยู่ด้วยความขัดใจ ก่อนจะพูดต่อโดยที่ไม่ได้สังเกตว่ามาร์ควางส้อมกับมีดไปแล้วทั้งที่ยังไม่ได้แตะไปเลยสักคำ
“อันที่จริงก็ไม่ได้จะแต่งงานหรอก แค่หมั้นไว้ก่อน เรียนจบแล้วค่อยแต่งน่ะ” สีหน้าของยูคยอมดูมีความสุขยามพูดถึงเรื่องที่ตั้งใจจะเก็บมาเซอร์ไพรส์ มาร์คค่อยๆยิ้มออกมาเบาบาง มองยูคยอมสลับกับก้มมองฝ่ามือของตัวเองที่วางอยู่บนหน้าตัก แล้วภาพในอดีตที่แจ่มชัดนั้นก็ปรากฏขึ้นมา
“กลับสิ กลับมาแน่ๆ ผมสัญญา ผมอยากอยู่กับมาร์คนะ อยากอยู่กับมาร์คตลอดไปเลย”
มาร์คส่ายหัวเบาๆให้กับตัวเอง ทั้งที่ทุกครั้งที่นึกถึงมัน เขาเองก็รู้ว่าสิ่งที่พูดหรือทำไปในตอนเด็กมันใช่ว่าจะเป็นจริงได้ตามนั้น ทุกอย่างมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ และความจริงก็คือ มันก็เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา
เรื่องพวกนั้นมันมีไว้ให้นึกถึงและยิ้มได้ในวันที่เหนื่อยล้ามากกว่าจะมีไว้ให้ยึดติด
“ยินดีด้วยนะ”
มาร์คจึงเลือกที่จะแสดงความยินดีกับยูคยอมแทนการทวงถามถึงคำสัญญาในอดีต ที่อาจจะมีแค่ตัวเขาเองที่ยังคงนึกถึงอยู่ฝ่ายเดียว
“มาร์คยิ้มทำไม?”
“ก็ยิ้มดีใจที่ลูกหมาติดพี่อย่างนายจะได้แต่งงานไปพ้นๆฉันสักที ไม่พออะไรใจรึไง” รอยยิ้มกว้างเต็มสองแก้มของเขาหลอกให้คนฟังเชื่อคำพูดเข้าเต็มเปา เด็กตัวโตทำหน้าบึ้งตึงจนเขาหัวเราะ ต้องง้อด้วยการตัดเนื้อในจานตัวเองส่งเข้าปากให้ถึงจะยอมคลายริมฝีปากคว่ำ หากสายตายังติดจะค้อนอย่างน่าขัน
ดวงหน้ายังปรากฏยิ้มจาง.. ยูคยอมจะไม่มีวันรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของรอยยิ้มของมาร์ค แน่ล่ะ เขาไม่คิดจะบอก มาร์คจะปล่อยให้มันเป็นเพียงแค่เรื่องราวอันแสนสุขในอดีต เอาไว้ให้กลับไปนึกถึงในวันเหงาๆก็คงจะพอแล้ว
เขานึกถึงโควตหนึ่งในหนังสือที่เคยอ่าน
บางที นี่อาจเป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งของความทรงจำ คือผู้ที่ยังไม่ลืม-เป็นผู้ครอบครอง2
END.
1Wikipedia Nostalgia
2jirabell “เราไม่ได้อยู่คนเดียว..อยู่คนเดียว"
uwith_b : เรื่องนี้แบ่งเป็นสองพาร์ทค่ะ คือพาร์ทแรกเป็นเรื่องของ ยูคมาร์คและพาร์ทสองเป็นเรื่องของบีแจ ทั้งสองเรื่องไม่เกี่ยวข้องกัน เลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ๕๕๕๕ เอาเป็นว่ารอติดตามบีแจ แล้วก็รักยูคมาร์คกันด้วยนะคะ จุ๊บบบบ
ความคิดเห็น