ศศินาพัชร์ มนตราแห่งรัก
พระจันทร์หรือจะเคียงคู่พระอาทิตย์?เหมือนโชคชะตา เล่นตลกเมื่ออยู่ๆ เพียงจันทร์สาววัย 25 ในยุค 2015 ต้องย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายพันปีในร่างเด็กหญิงวัย 12 นามว่า จันทรา
ผู้เข้าชมรวม
4,596
ผู้เข้าชมเดือนนี้
14
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทที่ 8 หมื่นอักษรพันราตรี
มองตะวันลาลับยามอัสดง
ยอดอนงค์หวนไห้คะนึงหา...
ใต้เงาจันทร์รอบุรุษนักรบกล้า
พันราตรีเปลี่ยวคว้างร้างสุริยา...
เวลาล่วงลมพัดไหวจันทร์ขาวนวล
แม้นพบพักตร์ชวนหวนให้ใฝ่ฝันหา...
หมื่นอักษรส่งไปไกลขอบฟ้า
หากวาสนากลับได้พบเพียงจากลา...
“เจ้านางหลวงเพคะ”
มาลาเอ่ยเรียกขึ้น เมื่อมองเห็นจากเจ้านางน้อยจันทราของเธอ
ยืนเหม่อมองดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า หมู่วิหคกำลังผกผินบินกลับรัง
ส่งเสียงเจื้อยแจ้วหากทำนองฟังแลเศร้าพิกล หรือเพียงเพราะวันนี้เป็นการจากลา
ทุกสิ่งใยดูหดหู่ แม้แต่ร่างเล็กผู้เป็นนายน้อยของเธอ มาลายังจำแววตาเรียวเล็กที่เบิกกว้างเมื่อครั้งได้ยินว่าพระสวามีจะนำทัพออกรบไปตีเมืองฝั่งทางเหนือที่เริ่มกระด้างกระเดื่อง
ก่อนแววพระเนตรตระหนกจะเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย
หากเป็นแววนิ่งเฉยที่กำลังปิดซ่อนความเศร้าโศก น้อยใจปะปนกันไป
หากเหนืออื่นใดมาลาก็ยังสังเกตเห็นแววพระเนตรห่วงใยเมื่อยามที่ผู้เป็นนายน้อยของเธอพลั้งเผลอ
โถ...ด้วยชันษาอันน้อยนิด ใกล้ชิดบุรุษรึก็มีเพียงผู้เป็นพระสวามีเพียงในนาม
นับได้ว่าภายในวังสุริยะ ของนครสุริยะเจ้าหลวงสุริยะฉายเป็นชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่หญิงสาวคุ้นเคย
ก็คงมีบ้างที่จะเป็นห่วงเป็นใย ตลอดจนเศร้าโศกที่อีกฝ่ายต้องจากไปไกล
รวมถึงอาการน้อยเนื้อต่ำใจที่ผู้เป็นพระสวามีนั้นจากไปโดยที่ไม่คิดจะบอกลา
เจ้านางน้อยของเธอรู้ว่าอีกฝ่ายจะไปรบก็ต่อเมื่อวันที่เจ้าหลวงจะออกเดินทางก็ต้องน้อยใจเป็นธรรมดา
ไหนจะเวลาในการรบนั้นก็ไม่แน่นอน อาจจะเป็นหนึ่งเดือน สามเดือน หนึ่งปี
หรือหลายปีก็ยังไม่แน่
“เจ้านางหลวงเพคะ”
มาลาเรียกขึ้นอีกครั้ง
“กลับกันเถอะ”
คราวนี้เป็นร่างเล็กที่เอ่ยบอก
หันหลังให้กับกำแพงวังที่เธอทอดสายตามองขบวนทัพที่เคลื่อนหายไปนานหลายชั่วโมง...เขาใจร้ายมาก
ผู้ชายคนนั้นช่างใจร้ายกับเธอมาก ทั้งที่เขาต้องไปออกรบไม่รู้เวลากลับแน่ชัด
แต่เขาก็ไม่คิดจะบอกกล่าวเธอผู้เป็นเจ้านางหลวง แม้แต่คำบอกลาก็ไม่มี
เขาคงไม่เห็นความสำคัญ ความจำเป็นที่จะต้องบอกเด็กหญิงผู้ไร้เดียงสา
ไม่รู้ความคนนี้สินะ ใช่สิเธอมันก็แค่เด็กหญิง ที่อยู่ในตำแหน่งเจ้านางหลวงไร้ซึ่งอำนาจ
การที่เขาไปรบเธอยังรู้จากปากนางกำนัล
หากถึงกระนั้นเธอก็ยังกระเสียกกระสนวิ่งมาที่กำแพงประตูวังเพื่อส่งเขา
แม้จะเห็นเพียงท้ายขบวนที่อยู่ไกลลิบ...เพียงจันทร์เธอช่างไม่มีเกียรติยิ่งนัก
เธออยู่ในร่างเจ้านางน้อยผู้สูงศักดิ์ ใยจะต้องทำตัวเหมือนหญิงที่ต้องพึ่งพิงชาย
อยู่ไม่ได้หากไม่มีชายผู้นั้น เธอคือใคร! เธอคือเพียงจันทร์หญิงสาวจากยุคสองพัน
เธออยู่ได้แม้ไม่มีเขา....ได้เธออยู่ได้ ในเมื่อทุกคนต้องการให้เธออยู่อย่างเจียมตัวไร้ตัวตน
ไร้อำนาจ เธอก็จะทำเช่นนั้น...
“ถวายพระพรพระพันปีหลวง”
ร่างเล็กเอ่ยด้วยท่าทางอิดโรย โดยมีมาลาช่วยพยุงร่างเล็ก
กระนั้นเธอก็ยังเหนื่อยหอบ ไอออกมาหลายครั้ง
“เจ้านางหลวงยังไม่หายดีอีกรึ”
หญิงชราเอ่ย หลังจากดื่มน้ำที่พระสนมพิกุลส่งให้ ถึงแม้พิกุลจะกลายเป็นพระสนมหากก็ยังดูแลใกล้ชิดพระพันปีหลวงเฉกเช่นเดิม
นี่ต่างหากหญิงสาวที่พระพันปีหลวงหมายมั่นจะให้ดำรงตำแหน่งเจ้านางหลวง
ไหนจะพระสนมบัวแก้วบุตรสาวเสนาบดีอิณาราช สองขั้วซึ่งคานอำนาจอยู่
จะมาเปรียบอะไรกับเด็กหญิงต่างบ้านต่างเมืองที่อยู่ในตำแหน่งหากไร้อำนาจ ขาดคนคอยสนับสนุน
“ขอประทานอภัยเพคะ”
ร่างเล็กบอกด้วยความเหนื่อยล้า บนใบหน้าและร่างกายเริ่มปรากฏผื่นแดงให้เห็น
“ขอประทานอภัยพระพันปีหลวง
หากแต่โรคของเจ้านางหลวงนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
เดิมทีพระนางก็มีพระวรกายที่อ่อนแอและมีโรคประจำตัว วิธีรักษาที่ดีที่สุดนั้นก็คือการพักผ่อน
ไม่ควรต้องแสงแดด พะยะค่ะ” หมอหลวงกล่าว
พระพันปีหลวงที่มีสีหน้าครุ่นคิดมองร่างเล็กอย่างนึกเป็นห่วง
“กราบทูลพระพันปีหลวง
หากหม่อมฉันจะขออนุญาตย้ายไปอยู่ที่ตำหนักท้ายวังที่เงียบสงบ
ที่นั้นมีต้นไม้อันร่มรื่นซึ่งสามารถช่วยบังแสงแดดได้แม้ในตอนกลางวันเพคะ”
เพียงจันทร์ในร่างเล็กบอก พูดจบก็ไอหอบขึ้นมา
“หากนั่นเป็นความต้องการของเจ้าเราก็ไม่ขัด
ให้นางกำนัลไปช่วยดูแลความสะอาด ปรนนิบัติรับใช้” พระพันปีหลวงกล่าว
“ขอบพระทัยในพระมหากรุณาเพคะ
หากแต่หม่อมฉันต้องการย้ายไปอยู่เพียงลำพังกับเจ้านางแก้วฟ้าผู้เป็นพระเชษฐาภคินี
มาลาและนางกำนัลจากแคว้นเวียงภูจันทร์ไม่กี่คนเพคะ” ร่างเล็กบอก
“อืม...ในเมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้นเราก็ไม่ขัด
ก็ดีเหมือนกันพวกเจ้ามาจากแคว้นเดียวกันย่อมรู้ใจกันเป็นอย่างดี” พระพันปีหลวงบอก
“ขอบพระทัยเพคะ
เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลาเพคะ”
“ทรงอนุญาตแบบนั้นจะดีหรือเพคะ”
แม่เฒ่าอุษมาถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ เมื่อเห็นเจ้านางหลวงจากไปไกลพอสมควร
“ในเมื่อเป็นความต้องการของนาง
เราจะขัดได้อย่างไร อีกทั้งนางก็ยังป่วย” หญิงชราผู้ทรงอำนาจเอ่ยเสียงเรียบ
พระสนมพิกุลเองก็มีสีหน้าสงบราวกับไม่ใคร่จะออกความคิดเห็นว่ากระไร
ทำหน้าที่บีบนวดหญิงชราอย่างรู้งาน มีเพียงแม่เฒ่าอุษมาที่มีสีหน้าไม่สบายใจ
“เอาเถอะ
ส่งคนไปจับตาดูตำหนักท้ายวังไว้ก็แล้วกัน”
พระพันปีหลวงบอกเพื่อให้แม่เฒ่าอุษมาคลายความกังวล
“เจ้าว่าอะไรนะ!” เสียงแหลมเล็กถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
เมื่อมะเฟืองนางกำนัลคนสนิทเอ่ยบอก ร่างอรชรที่นั่งอวดเรือนร่าง
“ทูลพระสนมบัวแก้ว
เจ้านางหลวงทรงย้ายไปอยู่ตำหนักท้ายวังแล้วเพคะ มีเพียงนางกำนัลไม่กี่คนและพระเชษฐาภคินีตามไปดูแลเพคะ”
มะเฟืองบอก
“จริงหรือนี่”
ร่างอรชรถามขึ้นอย่าไม่ใคร่แน่ใจ
“เพคะ
ยังล่ำลือกันอีกว่าเจ้านางหลวงทรงไม่สบายหนักมาก
ผืนแดงขึ้นตามพระพักตร์และพระวรกายกลายเป็นหญิงอัปลักษณ์” นิ่มเล่าต่ออย่างออกรสออกชาด
ใบหน้างามของร่างอรชรก็แสยะยิ้มตามด้วยความพอใจ...ยัยเด็กอัปลักษณ์นั้นก็เป็นได้แค่เจ้านางหลวงเพียงแต่ในนาม
ไร้ซึ่งอำนาจวาสนา ขาดผู้คอยค้ำชู อยู่รึไม่อยู่ก็ไม่ได้มีความหมายอันใด
หากแต่คนที่เธอต้องวิตกคือ นังพิกุลต่างหาก นึกขึ้นทีไรใบหน้างามก็พาลบูดบึ้ง
อยากจะกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บใจ พระพันปีหลวงร้ายนักนะ เข้าใจตัดแข้งตัดขาเธอ
เธอจะต้องรีบมีโอรสให้ได้...คอยดู...คอยดู
ให้เจ้าหลวงกลับมาจากรบเมื่อไหร่ก่อนเถอะ เธอจะต้องมีลูก
มีลูกชายซึ่งจะกลายเป็นรัชทายาท คอยดู...
“เจ้านางหลวงเพคะ”
มาลาเรียกขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ เมื่อภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือตำหนักท้ายวังอันทรุดโทรม
ขาดการดูแลมานาน ทั้งต้นไม้ วัชพืชขึ้นรกคล้ายตำหนักร้างผู้คนอาศัย
นี่มันไม่ใช่ที่พักผ่อน ของคนป่วยหากมันคือตำหนักที่เอาไว้กักขัง
ลงโทษผู้มีความผิดต่างหาก แล้วใยเจ้านางหลวงของเธอจึงต้องการมาประทับที่นี่
“เก็บกวาด
เช็ดถูหน่อยก็อยู่ได้แล้ว” ร่างเล็กบอก พลางหันหน้าไปมองพี่สาวอย่างขอความเห็น
“พวกเจ้าเริ่มเก็บกวาดเถอะ”
เจ้านางแก้วฟ้าสั่งนางกำนัลที่ติดตามมาจากแคว้นภูเวียงจันทร์
มาลาเองก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากเริ่มลงมือเก็บกวาดทำความสะอาด
ส่วนเจ้านางแก้วฟ้าก็ช่วยพยุงร่างน้องสาวไปนั่งพักรอที่สวนในตำหนัก...สายตาเรียวสำรวจรอบ
ๆ ตำหนักพร้อมรอยยิ้มพอใจ ตำหนักที่เธอเคยมาสำรวจแล้วต้องใจ
ตำหนักที่กว้างขวางใหญ่โตกว่าคอนโดที่เธออาศัยไม่รู้ตั้งกี่เท่า แค่นี้ก็ดีแล้ว
แถมที่นี่ยังมีลำธารสายเล็กไหลผ่าน สามารถใช้ดื่มกิน หากวันหน้าเธอคิดที่ปลูกผัก
เลี้ยงสัตว์ ตั้งรกรากย่อมสามารถทำได้ ไม่ใช่สิ! ก็เธอตั้งใจจะตั้งถิ่นฐานอยู่นี่อยู่แล้วนี่
ในเมื่อที่นี่ห่างไกลจากความวุ่นวาย เธอจะมีชีวิตอันแสนราบเรียบ
ไม่ต้องเรียนโน่นนี่ ไม่ต้องวางตัวเป็นนางพญาให้ผู้คนยำเกรง ไม่ต้องปั้นหน้า สวมหน้ากากหาผู้ใด
นี่ต่างหากชีวิตที่เธอต้องการเพียงจันทร์
เวลาทั้งหมดที่เธอมีเธอจะใช้มันหาวิธีกลับโลกปัจจุบันของเธอ
โลกที่เธอจากมา...เธอต้องขอบคุณนายนั่นสิที่ทำให้เธอมีชีวิตที่เป็นอิสระแบบนี้
ต่อให้นายนั่นจะไปรบเป็นปี สองปี สิบปีก็ตามใจ ดีเสียอีกต่อไปจะไม่ต้องมีใครมาบังคับ
มายุ่งกับเธออีก
“น้องหญิงจะแกล้งป่วยแบบนี้อีกนานเท่าใดกัน”
เจ้านางแก้วฟ้าถามขึ้น มองผื่นแดงตามตัวน้องสาว ที่เมื่อแรกเห็นเธอเองก็ตกอกตกใจ
คิดไม่ถึงว่าน้องสาววัยสิบสองของเธอคนนี้จะร้ายกาจ
แม้กระทั่งรู้จักแกล้งป่วยเยี่ยงนี้
“จนกว่าจะไม่ใครใส่ใจ
สนใจ จนทุกคนลืมไปแล้วว่ายังมีเจ้านางหลวงจันทราอยู่ที่ตำหนักท้ายวัง
หรือไม่ก็จนกว่าทุกคนจะไม่สนใจว่าน้องจะอยู่หรือตายไปจากนครสุริยะ”
เพียงจันทร์ในร่างเล็กบอก ยังไม่ลืมแกล้งไอ หอบตามเคย
ต้องขอบคุณร่างเล็กนี่ที่ทำให้เธอรู้ว่าแพ้ขนแมว เพียงจันทร์จึงจัดการจัดฉากแกล้งป่วยโดยให้สินบนเล็ก
ๆ น้อย ๆ แก่หมอหลวง...อืม จะบอกว่าเล็กน้อยก็คงไม่ถูก
ในเมื่อสินบนนั่นทำให้หมอชรากล้าหลอกลวงเบื้องสูง
“ทำไมพี่หญิงมองหน้าน้องเยี่ยงนั้นเพคะ”
เพียงจันทร์ถามขึ้น เมื่อเห็นใบหน้างามพี่สาวจ้องมองเธอ
“น้องหญิง
เจ้าคงไม่คิดอะไรแปลก ๆ อีกนะ” เจ้านางแก้วฟ้าถามขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อเห็นแววตาวิบวับ
เป็นประกายของน้องสาว
“พี่หญิงไม่คิดออกไปเที่ยวนอกเมืองบ้างรึ”
นั่นไง! ร่างบางคิดผิดซะที่ไหน
“น้องหญิง!”
เจ้านางแก้วฟ้าเรียกขึ้นด้วยความตกใจกับความคิดผู้เป็นน้องสาว
จะแอบไปนอกวังได้อย่างไรกัน หากถูกจับได้ล่ะ แค่เรื่องแกล้งป่วย
เธอก็กลัวจะถูกจับได้อยู่แล้ว
“เอาน่า...ใช่ว่าน้องจะออกไปวันนี้
พรุ่งนี้เสียหน่อย” ร่างเล็กบอกให้อีกฝ่ายคลายกังวล หากดูเหมือนมันจะไม่ได้ผล
ก็นะ...ใครจะเห็นดีเห็นงามกับการกระทำที่เสี่ยงต่ออันตรายแบบนี้ โดยเฉพาะพี่สาวหัวโบราณของเธอ
ใช่ว่าเพียงจันทร์จะไม่กลัว หากแต่บางครั้งเธอก็อยากใช้ชีวิตอย่างอิสระ จากกรงทองแห่งนี้บ้าง
ก็เท่านั้นเอง…
อิสรภาพนั้นช่างเย้ายวน
ชวนให้หลงใหล แม้อิสรภาพที่เธอได้มานั้นจะมีเพียงน้อยนิด ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านเพียงจันทร์ในร่างเล็กต้องอยู่อย่างคลางแคลง
ระวังตัวทุกฝีก้าว เพื่อให้แผนที่เธอสร้างตบตาทุกคนไม่ถูกเปิดเผย
อาศัยผ้าคลุมปิดบังใบหน้าตลอดเวลา แม้กระทั่งการหลอกเด็กวัยแปดขวบก็ต้องทำ ด้วยการเสด็จมาอย่างเป็นทางการของเจ้านายน้อยฑีฆาและเจ้านางพิกุลผู้เป็นมารดา
สายสัมพันธ์ระหว่างเธอและเด็กน้อยดูจะเปลี่ยนไป แม้เด็กชายยังปฏิบัติต่อเธอ
เฉกเช่นที่เคยปฏิบัติต่อหน้าผู้อื่น หากเพียงจันทร์ก็รับรู้ได้ว่า
การแสดงนอบน้อมนั้นดูผิดวิสัยของเด็กชาย มันมีมากเกินปกติ เช่นเดียวกับพิกุล
ที่ครั้งนึงเคยนอบน้อมต่อเธอมากเพียงใด หากวันนี้กลับดูมากผิดปกติ ทั้งที่ตอนนี้เธอคือมารดาของเด็กชายผู้เป็นว่าที่รัชทายาท...
เหตุผลที่พระพันปีหลวงส่งพิกุลมา
แสดงให้เห็นว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับพิกุลมากแค่ไหน
แน่นอนพระองค์หวังว่าพิกุลในวันข้างหน้าอาจจะต้องมาแทนที่เธอ ในตำแหน่งเจ้านางหลวง
พระพันปีหลวงต้องการเตือนเธอเช่นนั้น
“ถวายบังคมลา
เพคะ”
“ถวายบังคมลา
พะยะค่ะ”
สายตาเรียวจดจ้องมองแผ่นหลังของทั้งสองที่ค่อย
ๆ เลือนหายไป ไม่มีแล้วสินะ เด็กชายตัวน้อยแลหญิงสาวผู้นั้น
กาลเวลาทำให้คนเปลี่ยนไปฉันท์ใด สายน้ำก็ไม่มีวันไหลกลับฉันท์นั้น... การที่ฑีฆา
มีท่าทางแบบนั้น นั่นไม่ได้แสดงว่าเด็กชายได้เติบใหญ่หรอกแล้วรึ
หากแต่เธอก็ยังเสียดายความไร้เดียงสาในวัยเด็ก เหมือนพืชที่ถูกบังคับให้โต
เหมือนผลไม้ที่ถูกบ่มให้สุก
แม้จะยังไม่ถึงเวลา...อะไรทำให้เด็กชายแปรเปลี่ยนไปเช่นนั้น
“เจ้านางหลวงทรงคิดสิ่งใด”
มาลาถามขึ้น เมื่อยังเห็นร่างบางมองไปทางประตู แม้เจ้านายทั้งสองพระองค์จะจากไปนานแล้วก็ตาม
“เรากำลังคิดว่าสิ่งใดกันที่ทำให้คนเราเปลี่ยนไป
จนเราไม่แน่ใจว่าเราเปลี่ยนไปหรือไม่...มาลา”
เพียงจันทร์ในร่างเล็กเอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่แน่ใจ
เธอเปลี่ยน...เธอเปลี่ยนไปรึเปล่า
“ทุกคนต้องมีการเปลี่ยนแปลงทั้งนั้นเพคะ
จากเด็กกลายเป็นสาว จากสาวกลายเป็นแก่ชรา...เจ้านางน้อยของมาลาเองก็แปรเปลี่ยนเป็นเจ้านางหลวง
พระพักตร์ก็แปรเปลี่ยนไป นับวันจะยิ่งสิริโฉมงดงาม” มาลาบอก...นั่นสินะ ทุกคนย่อมแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาขึ้นอยู่กับมูลเหตุปัจจัยรอบตัว
เปลี่ยน...แต่เธอไม่อยากแปรเปลี่ยนตนเองเพราะมูลเหตุปัจจัยเหล่านั้น
เธอจะต้องทำอย่างไรเพื่อรักษาความเป็นตัวตนของตัวเอง เพียงจันทร์! เธอคือเพียงจันทร์!
“หากแต่เจ้านางหลวงจะไม่ทรงอักษร
เพื่อส่งสาส์นไปหาเจ้าหลวงตามพระราชบัญชาหรอกหรือเพคะ” มาลาเอ่ยถามขึ้น
ใบหน้าอัปลักษณ์ที่เดิมมีท่าทางครุ่นคิดอยู่นั้น พระขนงทั้งสองก็ขมวดเข้าหากัน
พระทนต์ค่อย ๆ ขยับตาม ก่อนที่พระปรางค์ทั้งสองข้างที่เริ่มยกสูงตาม...อีตาบ้า
จากไปรบทั้งไกลยังมีหน้าส่งคำสั่งมาให้เธอจดหมายหาเขาทุกคืนวันเพ็ญอีก
ไปตั้งไกลแล้วเขายังจะมาริบรอนอิสรภาพอันน้อยนิดของเธออีก เชอะ! ตอนไปยังไม่คิดจะบอกกล่าวหรือล่ำลาเธอสักคำ
แล้วทำไมเธอจะต้องเชื่อฟังคอยเขียนจดหมายหาผู้ชายเฮงชวย จอมเผด็จการแบบนั้นด้วย
“เจ้านางเพคะ”
มาลาเอ่ยขึ้นอย่างห้ามปรามด้วยรู้ดีว่าตอนนี้เจ้านายของเธอคิดเช่นไรอยู่
ดูจากสีหน้ามาลาก็พออ่านออกก็หน้าตาออกจะแดงซะขนาดนั้น ... เฮ้อ...แต่เธอห้ามปรามไปก็เท่านั้น
ร่างเล็กตรงหน้าเคยเชื่อเธอซะที่ไหน
ขนาดวางแผนแกล้งป่วยเพื่อย้ายมาตำหนักท้ายวังยังทำได้
นับประสาอะไรกับการขัดคำสั่งเจ้าหลวง...
เกลียด ! เธอเกียดผู้ชายที่ชื่อสุริยะฉายเป็นที่สุด
ทั้งที่เธออ้างว่าป่วยไม่สามารถส่งพระราชเลขาหรือข้อความใดไปหาเขาได้
เขาก็ยังออกคำสั่ง บังคับ ขู่เข็ญให้เธอเขียน
ก็เธอจะไม่เขียนได้อย่างไรในเมื่อเขาสั่งว่า
หากเธอไม่เขียนจะสั่งประหารคนในตำหนักท้ายวังวันล่ะคน เกลียด! เธอเกลียดผู้ชายอันธพาล โหดร้ายป่าเถื่อนที่สุด
“ถวายบังคม
เจ้านางหลวง” เมฆาเอ่ยพร้อมถวายคำนับตามพระราชพิธี
ขณะที่ร่างเล็กขยับผ้าปิดบังใบหน้าให้มิดชิด
แม้ว่าการพบกันของเธอและเมฆาจะมีความมืดมิดช่วยอำพรางบ้างก็ตาม
“ลุกขึ้นเถิด”
เพียงจันทร์ร่างเล็กแกล้งเอ่ยเสียงเบา พลางยื่นพระหัตถ์บางที่มีผืนแดงขึ้น
ส่งกล่องจดหมายให้ถูกฝ่าย
“ขออภัยเจ้านางหลวง
เจ้าหลวงทรงกำชับหม่อมฉันมาว่า ครั้งก่อนพระราชเลขาหายไปหนึ่งฉบับพะยะค่ะ
หากก็ทรงอภัยให้ด้วยเห็นว่าเป็นความผิดครั้งแรก
หากต่อไปเจ้านางหลวงจะต้องเขียนพระราชเลขาทุกวันให้ครบพะยะค่ะ”
องครักษ์หนุ่มบอกตามหน้าที่ แม้จะรับรู้ถึงอาการไม่พอใจของอีกฝ่ายก็ตาม...อีตาบ้า! เธอจำได้ว่าส่งไปครบ
เธอนับแล้วนับอีก เขาต้องแกล้งเธอแน่ ๆ
“ขออภัยเจ้านางหลวง
เจ้าหลวงยังทรงกำชับอีกว่า หากข้อความบนพระราชเลขายังมีเพียงวันละหนึ่งคำ
เช่นนั้นพระองค์จะสั่งโบยคนในตำหนักท้ายวังวันล่ะคน พะยะค่ะ” กรี๊ด! เธออยากจะกรี๊ดออกมาดัง
ๆ ทำไมเขาจะต้องบังคับโน่น นี่ นั่น เธออยู่เรื่อย
ก็เขียนให้แล้วไงเขาจะเอาอะไรอีก
“น้องหญิง”
เจ้านางแก้วฟ้าเอ่ยขึ้น อย่างห้ามปรามเมื่อเห็นท่าทางของน้องสาวต่างมารดา
“เจ้านางหลวงเพคะ”
มาลาเอ่ยขึ้นบ้าง พร้อมโบ้ยสายตาให้ร่างเล็กมองตาม
ไปที่เจ้านางแก้วฟ้าและองครักษ์หนุ่ม ที่ส่งสายตาหวานเยิ้มพลางขวยเขินให้แก่กัน
เชอะ! เธอเห็นแก่คนทั้งคู่หรอก
นาน ๆ ทีจะมีโอกาสได้เจอกัน เช่นนั้นเธอก็ไม่อยากขัดขวาง...ร่างเล็กจึงเดินตามมาลาไปอีกฟากของป่า
ปล่อยให้หนุ่มสาวอยู่กันตามลำพัง ถ้าหากคนที่มารับจดหมายไม่ใช่ท่านเมฆามีหรือเพียงจันทร์ในร่างเล็กจะยอมเขียนอักษรเหล่านั้นส่งให้อีกฝ่าย...อย่าสำคัญตัวผิด
คิดว่าเธอกลัวเขาหรือคิดถึงเขา ไม่มีทาง ที่เธอทำทุกวันนี้ก็เพียงเพื่อหาโอกาสให้พี่สาวและองครักษ์หนุ่มมีโอกาสเจอกันหรอก
อีกอย่างถึงเธอจะส่งข้อความเป็นหมื่น เป็นพันไปหาเขา
เขาก็หาได้ใส่ใจตอบกลับสักครั้งไม่ นอกจากการฝากข้อความมา...เห็น ๆ
อยู่ว่าเขาต้องการแกล้งเธอ ไม่งั้นก็ทดสอบเธอว่าป่วยจริงหรือไม่ ร้ายนักนะ
อย่าให้ถึงทีเธอบ้างก็แล้วกัน
“เจ้านางหลวงเพคะ”
มาลาเรียกขึ้นอย่างอ่อนใจ หากร่างเล็กตรงหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองข้อความบนกระดาษ
...จะอะไรเสียอีก ครั้งก่อนเจ้านางหลวงของเธอก็นำกระดาษมาเรียงกันตามจำนวนวัน
ก่อนจะเขียนข้อความในช่วงก่อนวันเพ็ญ เพียงคำว่า ‘ถวายบังคมเพคะ’ ส่งไป ครั้นถูกอีกฝ่ายให้เพิ่มข้อความเจ้านางหลวงของเธอก็ยังคงเขียนคำว่า ‘ถวายบังคมเพคะ’ เหมือนเดิม
หากคราวนี้เปลี่ยนมาเขียนบนกระดาษทีละแผ่นพร้อมวาดภาพจันทร์เสี้ยวเท่านั้นเอง...
สายลมพัดใบไม้ไหวละลิ่ว
พร้อมนำกลิ่นดินหลังฝนพัดผ่าน สองมือบางค่อย ๆ กลางออก
จมูกเป็นสันเชิดขึ้นบ่งบอกถึงความดื้อรั้นค่อยสูดดมกลิ่น ริมฝีบางเป็นกระจับสีชมพูระเรื่อค่อย
ๆ แย้มยิ้ม ก่อนเผยเห็นฟันขาวเรียงตัวกันอย่างสวยงาม หากยังเพิ่มความมีเสน่ห์ด้วยเขี้ยวเล็กทั้งสอง
ดวงตาเดิมที่ปิดค่อยเปิดเปลือกตา ให้เห็นตากลมดำขลับในดวงตาเรียว
โดยมีขนตาแพยาวรับกับคิ้วดกดำ
“เรา.....มา.....มา.....แล้ว....แล้ว....แล้ว”
เสียงหวายตะโกนขึ้นกึกก้องพร้อมมือบางที่ป้องปาก เสียงสะท้อนกลับมาจากเขาอีกฝาก
“เจ้า...”
หญิงวัยสามสิบต้น ๆ เอ่ยขึ้นก่อนจะรีบปิดปาก เมื่อเห็นใบหน้างามผุดผาดหันมา
ใช้สายตาดำบนดวงตาเรียวที่เธอมองว่า งดงามมีเสน่ห์จ้องมองเธอด้วยความไม่พอใจ
“คุณหนูเล็กอย่าตะโกนแบบนั้นสิคะมันไม่เหมาะ”
เธอบอก หากผู้เป็นนายสาวกลับทำหน้าแย้มยิ้ม หาได้สนใจคำพูดของเธอไม่
“คุณหนูใหญ่ค่ะ
ดูคุณหนูเล็กเถอะ” เมื่อผู้เป็นคุณหนูเล็กหาได้สนใจคำพูดของเธอไม่
เธอจึงหันไปขอความเห็นจากหญิงสาวร่างงามผู้ยืนเคียงข้าง
หากคุณหนูเล็กของเธองดงามดั่งดวงจันทรา หากหญิงสาวที่ยืนเคียงข้างเธอก็เปรียบดั่งดวงดาราที่ส่องแสงระยิบระยับบนท้องฟ้า
“เจ้าก็อย่าใส่ใจน้องเล็กให้มากเลย
เราออกเดินทางกันเถอะ” ผู้เป็นคุณหนูใหญ่บอกด้วยรอยยิ้ม
แม้จะเห็นใบหน้าพี่เลี้ยงของเธอและน้องมีสีหน้าลำบากใจกับการเดินทางครั้งนี้ก็ตาม...แต่ใช่ว่าเธอและน้องจะเดินทางครั้งแรกเสียเมื่อไหร่
“ไปกันเถอะ”
คุณหนูเล็กเอ่ยพร้อมรอยยิ้มก่อนก้าวเดิน ผู้เป็นบ่าวจึงได้แต่ถอนหายใจเดินดู
ดูเอาเถิด...ทั้งพี่ทั้งน้อง สุดท้ายก็ไม่มีใครห้ามใคร มีอย่างที่ไหนใคร ๆ
จะไม่ดูออกมาเธอทั้งสามเป็นหญิงที่เอาชุดชายชาตรีมาใส่ ก็ดูรูปร่างอ้อนแอ้น อรชร
ใบหน้าก็งามโดดเด่นขนาดนั้น ทำไมคุณหนูเล็กของเธอจึงไม่รู้ตัวบ้างหรือว่าคนที่พบเห็นต่างจ้องมองราวกับถูกมนตร์สะกดถึงเพียงนั้น
แล้วระหว่างเดินทางจะไม่มีอันตรายได้เช่นไร เธอควรสวดภาวนา
อ้อนวอนเทพเจ้าหรือใครดี ให้คุ้มครองปกป้องคุณหนูทั้งสองของเธอ...สิ่งศักดิ์ทั้งหลายได้โปรดคุ้มครองคุณหนูทั้งสองของเธอด้วยเถิด
นับวันคุณหนูเธอก็ยิ่งเติบใหญ่เป็นสาวสะพรั่ง
พอ ๆ กับความเอาแต่ใจที่เติบโตมาตามวัย
เธอเข้าใจอยู่หรอกว่าคุณหนูทั้งสองขาดอิสรภาพ
เพราะการเลี้ยงดูครอบครัวที่เผ้าทะนุถนอมดูแลมา เหตุใดคุณหนูทั้งสองไม่คิดบ้างว่า
หากเกิดอะไรขึ้นกับคนทั้งคู่ ชีวิตน้อย ๆ ของเธอจะพอชดใช้หรือ มิหนำซ้ำหากถูกจับได้ว่าเธอและคุณหนูหนีออกมาเที่ยวเล่า....
ลำพังคุณหนูใหญ่เธอยังพอบอกกล่าวให้เชื่อได้บ้าง แต่คุณหนูเล็กนี่สิ
รั้นหาเหตุผลมากล่าวอ้างสารพัดเพื่อให้ได้ออกมาเที่ยวเล่น
ทั้งที่หลายปีที่ผ่านมาก็ออกมาเที่ยวเล่นบ่อยครั้ง
“คุณหนู
เราอยู่เที่ยวเล่นในเมืองไม่ดีหรือ” บ่าวสาวรุ่นใหญ่ เอ่ยขึ้น หากคุณหนูทั้งสองกลับไม่ใส่ใจ
ก้าวเดินต่อไป
“ในเมืองมีผ้าสวยแปลกตามาจากแคว้นทางเหนือ
ไหนจะอาหารเลิศรสให้เลือก ผู้คนก็ออกจะพลุกพล่าน” บ่าวสาวรุ่นใหญ่เอ่ยต่อ
คราวนี้เป็นคุณหนูใหญ่ของเธอที่เริ่มเอียงหูฟังอย่างคล้อยตาม
“บ่าวจำได้ว่า
ที่นอกกำแพงเมืองยังมีอาวุธแปลก ๆ มีมีดสั้นชั้นยอดอีกด้วย”
บ่าวสาวรุ่นใหญ่เอ่ยต่อ พลางแอบยิ้มอย่างพอใจ เมื่อคุณหนูใหญ่ของเธอแสดงสีหน้าสนใจ
เธอรู้ดีว่าตอนนี้คุณหนูใหญ่ของเธอกำลังสนใจอาวุธ
ของมีคมเป็นพิเศษด้วยความที่ต้องการอาวุธเหล่านั้นส่งมอบให้ชายอันเป็นที่รัก ครั้งก่อนก็ดูสนอกสนใจมีดสั้น
พลางแลดูสีหน้าคุณหนูเล็กขมวดคิ้วมองหน้าเธออย่างไม่พอใจ
“น้องหญิงเราไปที่ตลาดซื้อขายอาวุธนอกกำแพงเมืองกันเถิด”
นั่นไง! พี่สาวของเธอก็ตกหลุมพรางจนได้
ทั้งที่ทีแรกเต็มใจจะเดินทางท่องเที่ยวไปในป่าฝั่งกะโน้น
“ไปเถอะน้องหญิง”
คุณหนูใหญ่ว่า เขย่าแขนขอร้องผู้เป็นน้องสาว น้องสาวจึงจำยอมพยักหน้ารับ
แม้จะไม่ค่อยเต็มใจ
“คุณหนูใหญ่
คุณหนูเล็กทางนี้เพคะ” เสียงพี่เลี้ยงสาวรุ่นใหญ่เรียกด้วยรอยยิ้ม
เดินนำไปอีกทิศทาง พอ ๆ กับร่างบางของผู้เป็นพี่เดินนำออกไปอีกคน
เรียกอาการส่ายหน้าจากร่างระหงส์ที่เดินตามไปเงียบ ๆ เหอะ! จะไปเที่ยวเล่นดูผ้า
ชิมอาหาร และซื้ออาวุธ ลืมป่าเขียวแลน้ำตกของเธอไปสิ้นให้มันได้แบบนี้สิ ให้มันได้แบบนี้สิ...แล้วดูสายตาของผู้คนที่เพียรมองที่เธอกับพี่สาวเถอะ
ราวกับพวกเธอเป็นสัตว์ประหลาด ไม่ก็สิ่งของหายากที่พึ่งพบเห็นเสียกระนั้น
การที่พวกเธอมีผิวพันธ์ ตลอดจนใบหน้าที่ดูแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป
ทั้งที่เธอและพี่พยายามแต่งกายเลียนแบบชายเพื่อปกปิดร่างกายแล้วก็ตาม
หรือเธอจะคิดมากจนเกินไป
ผู้คนเหล่านั้นอาจจะมองเพราะเธอทำท่าทางหวาดระแวงก็ได้กระมัง
ขณะที่ร่างระหงส์กำลังสนใจสายตาของผู้คนโดยรอบที่เริ่มพลุกพล่าน เมื่อเริ่มเข้าสู่เขตการค้าออกกำแพงเมือง
หันมาอีกทีร่างของพี่สาวและพี่เลี้ยงก็หายไปท่ามกลางผู้คน
แม้เธอจะพยายามสอดส่ายสายตาหาก็ไม่เจอ เสียงผู้คนดังอื้ออึง หยุดการก้าวเดิน
เงี่ยหูฟังเสียงบางอย่าง ก่อนจะเริ่มชุลมุนวิ่ง ‘น้ำป่า
น้ำป่ามา’ ร่างระหงส์ได้ยินเสียงตะโกนกึกก้องไปมาของผู้คน
ก่อนเสียงนั้นจะเริ่มเบาลง ด้วยเสียงของการไหลของน้ำคลื่นใหญ่ดังกลบ
สายตาเรียวเบิกกว้างเมื่อเห็นเจ้าของเสียง ของเหลวสีแดงโคลนไหลบ่ามา
สองขาเรียวยังไม่ทันได้ก้าวเดินก็ถูกคลื่นซัดพาไป ร่างระหงส์ชูคอ ตะเกียดตะกายตามกระแสน้ำเกาะขอนไม้ใหญ่
แม้เธอจะสามารถว่ายน้ำได้ หากน้ำป่าไหลหลากเช่นนี้เธอกลับไม่เคยเจอ
จำยอมปล่อยตนเองลอยไปตามน้ำ
สอดส่ายสายตาหาที่ยึดเกาะใหม่ที่จะทำให้ร่างไม่ต้องลอยไปตามน้ำ
พลางสายตาเรียวก็มองเห็นกิ่งของต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า ก่อนกระโดดสุดตัวเข้ายึดเกาะอย่างทะลักทะเล
...เวลาผ่านไปสายน้ำก็เริ่มเหือดหาย ทิ้งไว้เพียงซากทางยาว ต้นไม้เล็กที่โค่นล้ม
แลสิ่งของที่ถูกพัดผ่าน
ร่างระหงส์นั่งลงด้วยความเหนื่อยอ่อน...พี่สาวกับพี่เลี้ยงของเธอเล่าจะเป็นอย่างไรบ้าง
ปลอดภัยดีหรือไม่ เธอได้แต่หวังว่าคนทั้งคู่จะปลอดภัย
เดินเข้าไปในเมืองก่อนที่น้ำป่าจะไหลบ่ามา ...ร่างทั้งร่างของเธอยังคงเปียกปอน
ตามลำแขนมีร่องรอยเกี่ยวจากตนไม้ กิ่งไม้ให้เห็น
พร้อมเสื้อผ้าที่ขาดลิ่วเป็นบางจุด มือบางสำรวจร่างกายของตนไปมา...ที่นี่ที่ไหนกัน
แล้วเธอจะกลับเข้าเมืองได้อย่างไร สวรรค์ใยท่านจะต้องกลั่นแกล้งเธอเช่นนี้
เพียงจันทร์เธอช่างโชคร้าย
แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีเธอยังไม่สามารถหาทางกลับไปโลกของเธอ
แม้ตอนนี้จะรู้สึกคุ้นเคยกับร่างกายในวัยสิบแปดแล้วก็ตาม หรือเธอจะไม่สามารถกลับไปได้แล้ว
เพราะนับวันเธอเริ่มรู้สึกว่าร่างที่เธออาศัยอยู่คือร่างของเธอเอง แม้แต่รูปร่างหน้าตาก็เริ่มมีเค้าเหมือนเธอในวัยสิบแปดราวกับฝาแฝดก็ไม่ปาน
หรือโลกที่เธอจากมาเป็นแค่ความฝัน...ที่เธอฝันไป...ร่างระหงค่อย ๆ ยืดกายยืน
ก้าวเดินด้วยความเหนื่อยอ่อน แม้จะไม่รู้ทิศทางก็ยังพยายามเดินเลาะริมป่าใหญ่
ป่านนี้พี่สาวเธอและมาลาจะเป็นอย่างไรบ้าง
หากปลอดภัยก็คงกำลังวุ่นวายใจออกตามหาเธอเป็นแน่ ร่างระหงก้าวเดินอยู่สักพัก
ก็ล้มตัวนอนใต้ร่มไม้ด้วยความเหนื่อยอ่อนด้วยแรงทั้งหมดที่มี
เธอไม่สามารถก้าวเดินได้อีกต่อไป
เธอควรพัก...นี่คงเป็นเรื่องเดียวกระมังที่เพียงจันทร์ยังไม่คุ้นเคย
ใยเธอในร่างนี้ถึงได้ดูบอบบาง และอ่อนแอ
คิ้วบางย่นเข้าหากันทันที
เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นบนริมฝีปาก เม็ดแล้วเม็ดไหลบ้างไหลผ่านลงปากเธอ
บ้างกระเซ็นถูกใบหน้า ขนตายาวเป็นแพเริ่มขยับ ก่อนเปลือกตาบางจะเปิดขึ้น
แสงสีขาวระคายตาจนเปลือกตาบางต้องขยับไปมาเพื่อให้คุ้นชิน ร่างหนาของบุรุษเพศค่อย
ๆ ปรากฏชัด ร่างนั้นเดินสูงตระหง่านจ้องมองมาที่เธอ ในมือถือกระบอกไม้ไผ่
ซึ่งเพียงจันทร์มั่นใจว่าในนั้นบรรจุน้ำที่ถูกส่งผ่านลงบนริมฝีปากเธอ
เขาคือชายผู้ช่วยชีวิตของเธอสินะ เพียงจันทร์คิดในใจพลางสังเกตร่างหนาที่ดูคล้ำแดด
ใบหน้าคมเข้มดุดัน อาจเป็นเพราะหนวดเคราที่ขึ้นรกครึ้มบนใบหน้าของเขากระมัง
หากแต่ดวงตานั่นทำไมเธอถึงได้รู้สึกคุ้นเคยพิกล หากบางครั้งก็ดูไม่คุ้นเคย แถมเขายังโพกผ้าราวกับเป็นโจรป่าก็ไม่ปานร่างบางพยามยามลุกนั่ง
ใช้หลังพิงต้นไม้ขณะที่อีกฝ่ายยื่นกระบอกไม้ไผ่มาที่เธอ มือบางรีบรับมาดื่มก่อนส่งคืน
หากไม่ลืมสังเกตการแต่งกายของอีกฝ่าย บนหัวบุรุษตรงหน้าเธอโพกหัวด้วยผ้าฝ้ายขาว
ไหล่หนึ่งสะพายธนู ...เขาคงเป็นพรานป่าอย่างแน่นอน
“ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ”
ร่างระหงเอ่ย เมื่อลุกขึ้นยืน หากเหมือนชายตรงหน้าจะไม่พอใจแค่คำขอบคุณ
“ข้าต้องการเข้าในเมือง
ท่านพอช่วยเหลือข้าได้หรือไม่” เธอเอ่ยต่อ
แม้จะเห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้ารำคาญเธอเต็มประดา
“ข้ายินดีจ่ายให้เท่าที่ท่านต้องการ”
เธอต้องการกลับเข้าเมือง จึงเสนอค่าตอบแทนให้อีกฝ่าย
ด้วยรู้ดีว่าตนไม่สามารถกลับไปได้ด้วยตนเอง
เธอจำเป็นต้องอาศัยพรานป่าผู้เชี่ยวชาญทาง
“เจ้าคิดว่าของมีค่าเงินตราสามารถใช้ทำทุกอย่างได้เสียกระมัง”
ใบหน้างามเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ เมื่อได้ยินถ้อยคำดูแคลน
พร้อมสายตาที่จ้องมองมาอย่างดูถูก ... ไม่ใช่ทุกคนต้องการเงินหรือของมีค่าหรอกรึ
จริงหรือที่เงินไม่จำเป็นสำหรับคนที่นี่ ในเมื่อโลกที่เธอจากมาเงินตราย่อมสำคัญ
ถือเป็นปัจจัยที่ห้าที่ขาดไม่ได้
ถ้าชายตรงหน้าเธอไม่ได้ต้องการเงินหรือสิ่งของมีค่า แล้วเขาต้องการสิ่งใด
“ท่านต้องการสิ่งใด
ข้าจะหามาให้ท่าน ข้าสามารถทำได้จริง ๆ” ร่างระหงบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
กลัวอีกฝ่ายไม่เชื่อถือ ครั้นจะบอกความจริงไปว่าตนเป็นใครก็ใช่ที่ เธอต้องการกลับเข้าเมืองโดยเร็วที่สุด
ด้วยห่วงความปลอดภัยของพี่สาวและพี่เลี้ยงคนสนิทอย่างมาลา
หากทั้งคู่ปลอดภัยก็ถือเป็นเรื่องดี แต่หากเกิดเรื่องที่ตำหนักท้ายวังเล่า
เกิดถูกจับได้ว่าพวกเธอไม่ได้อยู่ในตำหนัก หนีออกมาเที่ยวเล่นไม่พ้นคงต้องโทษ
และที่ร้ายอาจส่งผลต่อแคว้นภูเวียงจันทร์
“ทุกอย่าง...เลยรึ”
ร่างหนาเอ่ยเค้นเสียง ขบฟันกรามแน่น แววตาดุดันจ้องมองมาที่เพียงจันทร์
เพราะเหตุใดเขาจะต้องแสดงอาการโกรธเกรี้ยวเช่นนั้นกับเธอ เธอพูดสิ่งใดผิด
“ได้! หากเจ้ารับปากว่าสามารถมอบทุกอย่างให้แก่ข้า”
บุรุษตรงหน้าที่เคยแสดงสีหน้าโกรธเคืองเปลี่ยนเป็นยิ้ม แววตาเป็นประกาย
ราวกลับไม่เคยแสดงสีหน้าไม่พึงใจมาก่อน
“ท่านต้องการสิ่งใด”
เพียงจันทร์ถามขึ้นอย่างไม่เชื่อใจ เมื่อเห็นแววตาระยิบระยับดังกล่าว
“ก็ในเมื่อเจ้าสามารถให้ทุกอย่างที่ข้าต้องการได้
เช่นนั้นแล้วจะถามไปใย รอข้าส่งเจ้ากลับเข้าเมืองได้เสียก่อนเถิด ข้าจะบอกเจ้า”
ร่างหนาบอกเสร็จก็ก้าวเดินนำ แม้เพียงจันทร์จะเริ่มลังเล ไม่แน่ใจในตัวพรานป่า
หากสุดท้ายก็จำยอมเดินตามไปด้วยไร้หนทางที่จะกลับเมืองได้ด้วยตนเอง...เอาวะเพียงจันทร์
ตามไปก่อนเถอะ ยังไงเธอก็กลับเองไม่ได้ ไว้ถึงเมืองค่อยว่ากัน
“เจ้าจะจ้องข้าอีกนานหรือไม่”
เสียงเข้มเอ่ยขึ้น พร้อมจ้องตาเขม็งอย่างรู้ทัน
ก่อนจะถอนหายใจพร้อมส่ายศีรษะอย่างหงุดหงิด ขุ่นเคืองอารมณ์ เมื่อเห็นท่าทาง
ตลอดจนสายตาเรียวจ้องมองไปมาอย่างไม่ไว้ใจ ในเมื่อนางตัดสินใจให้เขานำทาง
ใยต้องแสดงอาการ แสดงท่าทางระแวงแบบนั้น
“ข้าเปล่ามอง”
ร่างระหงปฏิเสธ ใบหน้าขึ้นสีเรื่อนิด ๆ เมื่อถูกจับได้ แถมยังเอ่ยโกหกคำโตออกมาอีก
จะไม่ให้เพียงจันทร์แสดงท่าทางหวาดระแวงได้อย่างไร ในเมื่อเธอต้องค้างอ้างแรมในป่า
กับบุรุษเพศที่มีหนวดเคราราวโจรป่าอีกหลายคืน ทั้งที่เธอคิดว่าใช้เวลากลับเข้าเมืองไม่ถึงครึ่งวัน
พรานป่าตรงหน้าพาเธออ้อมป่าอีกด้าน นี่ไม่ได้ส่อพิรุธเจตนาไม่ดีหรอกรึ
“เจ้าไว้ใจเถิด
ข้าไม่คิดจะขืนใจเจ้าหรอก ข้าเองมีเมีย มีลูกแล้ว...อีกอย่างรูปร่างผอมบาง
หน้าซีดเซียวอย่างเจ้าหาต้องใจข้าไม่” พรานป่าบอกด้วยสายตาดูแคลนใบหน้างามยิ่งขึ้นสีเรื่อ
เมื่อเห็นดวงตาคมจ้องสำรวจเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
กลับมาหยุดที่บริเวณหน้าอกเธอ...อีตาพรานป่าบ้า ตาพรานเฒ่าโรคจิต เหอะ! อย่าได้คิดตัณหากลับมาทำอะไรเธอก็แล้วกัน
เธอสู้ขาดใจแน่
“รีบ
ๆ กินแล้วเข้านอนเถิด พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางอีกไกล” พรานป่าบอกพลางโยนกล้วยส่งให้หญิงสาว...กินแล้วนอน
พูดง่ายเธอจะนอนได้อย่างไร
แค่ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายอาศัยจงอยหินหลบฝนที่ตกลงมาช่วงเย็นก็ลำบากมากพอแล้ว
นี่เธอต้องมาหวาดระแวงกลัวชายหนวดครึ้ม ครึ้มอกครึ้มใจลุกขึ้นมาทำอะไรอีก สวรรค์! ทำไมท่านถึงได้กลั่นแกล้งเธอแบบนี้ถึงตัวเธอจะมอมแมมสกปรก
แต่งเป็นชาย แต่ใช่ว่าใครต่อใครจะดูไม่ออกว่าเป็นหญิง
“เจ้ารีบเข้าเมืองไม่ใช่รึ
รีบเดินได้แล้ว” พรานป่าบอก พลางยกมุมปากสูง เมื่อเห็นร่างบางเริ่มเดินช้าลง ๆ
ใช้มือปาดเหงื่อด้วยความเหนื่อยอ่อน
“พักสักคราวไม่ได้หรือท่าน”
เพียงจันทร์เอ่ย...ก็เธอเหนื่อยนี่นา เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน ด้วยความหวาดระแวงพอพลิกตัวกลับมาฝั่งพรานป่าเจ้าเล่ห์เมื่อไหร่
เธอก็จะเห็นดวงตาคมจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา
ครั้นเธอจะพลิกตัวหนีไปอีกฝั่งก็กลัวว่าจะถูกจู่โจมทำร้ายโดยไม่รู้ตัว
สุดท้ายเธอก็นอนประจันหน้ากุมมีดสั้นป้องกันตัวไว้ตลอดเวลา ทำให้ขอบตาช้ำดำกลายเป็นแม่หมี
เพราะกว่าจะรอให้อีกฝ่ายหลับสนิทก็ใกล้สว่าง เธอถึงค่อยข่มตานอนได้ แล้วต้องมาเดินตากแดดตากลมอีก
“เป็นเจ้าไม่ใช่รึที่รีบกลับเข้าเมือง”
พรานป่าบอกอย่างโยนความผิดให้ร่างบางที่ยืนหอบอยู่ใต้ร่มไม้...ใช่เธอรีบ
ถ้าตาลุงพรานป่านี่จะพาเธอเข้าเมืองใยจะต้องเดินอ้อมป่าแบบนี้
ยิ่งอ้อมก็ยิ่งเหมือนเข้าไปในป่าลึก
ครั้นเธอจะหาหนทางกลับเองก็ยิ่งยากลำบากเข้าไปอีก เธอชักไม่แน่ใจว่าพรานป่าตรงหน้าจะหวังดีพาเธอกลับเข้าเมืองจริง
ๆ รึเปล่า
“ทะ
ท่าน...ท่านจะทำอะไร” ร่างระหงเอ่ยขึ้นถามตะกุกตะกัก เมื่ออีกฝ่ายเดินมาใกล้
ใช้ดวงตาคมจ้องมองเธอตาไม่กระพริบ
สุดท้ายร่างระหงก็เดินถอยหลังหลายก้าวสะดุดรากไม้ล้มลง
ใบหน้างามซีดเผือดมีรับรู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังเกิดขึ้น
เสียงหัวใจสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวมือบางพยายามควานหามีดสั้นที่เหน็บไว้บนเอวแต่ก็ไม่พบ
เหงื่อกาฬเริ่มไหล เมื่อไร้ซึ่งอาวุธป้องกันตัว
“เจ้ากำลังหาสิ่งนี้”
พรานป่าเจ้าเล่ห์ถามพลางใช้มืออีกข้างโชว์มีดสั้น ... มีดสั้น...นั่นมีดสั้นของเธอ
แล้วทำไมไปอยู่ในมือตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ได้ เพียงจันทร์ถึงกับกลืนน้ำลายเหนียว ๆ
ลงคอแม้จะดูลำบาก
“ท่านต้องการสิ่งใด”
ร่างระหงเอ่ยถาม แม้ในใจจะรู้สึกหวาดกลัวกลับอาการแสดงสีหน้าท่าทางอย่างใจกล้า
แม้มันจะดูขัด ๆ กับสภาพภายใบหน้าที่ขาวซีดมีเหงื่อไหลซึม
“สาวน้อย...เจ้าคิดว่าบุรุษเช่นข้าต้องการสิ่งใดเล่า”
บุรุษตรงหน้าเอ่ยพร้อมลงนั่งยอง ๆ ส่งสายตาเหี้ยมเกรียมจ้องมองอีกฝ่าย
“ไหนว่าท่านไม่สนใจ
หญิงรูปร่างผอมบาง หน้าซีดเซียวอย่างข้า...ท่านเองก็มีเมียมีลูกแล้ว”
ร่างระหงรีบบอก พยายามใช้มือค้ำพื้นถอยหนี ใช้หางตามองหาอาวุธป้องกันตัว
หากดูเหมือนสวรรค์กำลังกลั่นแกล้งเธอ ไม้สักท่อนก็ไม่มี
พื้นดินก็มีเพียงหญ้าไม่มีแม้แต่หินลูกรัง
“ท่าน...ท่านอย่าทำอะไรข้าเลย
ข้าออกเรือนแล้ว” เหมือนคำพูดจากริมฝีปากบางจะได้ผล
เพราะสายตาเหี้ยมเกรียมเปลี่ยนมามองเธออย่างฉงนสงสัย
“ข้าออกเรือนแล้วจริง
ๆ แล้วข้าก็มีลูกเหมือนกับท่าน”
เพียงจันทร์บอกความจริง....ใช่เธอไม่ได้โกหกสักหน่อยเธอคือหญิงที่มีสามีแล้ว
มีลูกแล้ว แม้เธอจะยังเป็นหญิงบริสุทธิ์ก็ตาม
“ท่านเชื่อข้าเถิด
ข้าถูกบังคับให้ออกเรือนตั้งแต่อายุสิบสาม แม้ข้าจะไม่ต้องการแต่ด้วยฐานะยากจน บ้านข้า
ผู้เป็นสามีข้าเองก็หาได้มีข้าคนเดียวไม่ ท่านโปรดเห็นใจในโชคชะตาข้าเถิด”
ร่างระหงบอกต่ออย่างอ้อนวอน ยิ่งเห็นท่าทางพรานป่าเปลี่ยนไป ไม่ได้แสดงอาการเหี้ยมเกรียมให้เห็น
“สามีข้ารึก็แก่คราวพ่อ
ที่บ้านสามีข้ารึก็ถูกกลั่นแกล้ง” ร่างระหงบอก พลางแกล้งบีบน้ำตาให้อีกฝ่ายเห็นใจ
“แก่คราวพ่อเลยรึ”
พรานป่าถามขึ้น ขบกรามแน่นคล้ายแค้นใจแทนอีกฝ่าย ขณะที่ร่างบางพยักหน้ารับเบา ๆ
อย่างน่าสงสาร
“หากนั่นก็เป็นเรื่องของเจ้า
หาเกี่ยวกับข้าไม่” พรานป่าบอกพร้อมยกมุมปากสูง ใช้มือค้ำพื้นหญ้าโน้มหน้าเข้าไปหาอีกฝ่าย
เพียงจันทร์ได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเองเต้นถี่ด้วยความกลัว
มือบางจับปิ่นปักผมแน่น ชั่ววินาทีที่เธอตัดสินใจจะดึงปิ่นปักผมแทงอีกฝ่าย
มือหนากลับยกนิ้วชี้ติดริมฝีปากให้เธอเงียบ พลางใช้สายตาบอกร่างระหงใต้อาณัติมองตามไปที่พุ่มไม้
มีดสั้นถูกข้อมือหนาตวัดส่งไปปักคอชายนิรนามพร้อมเสียงกรีดร้อง เพียงจันทร์ได้แต่อ้าปากค้างกับภาพที่เห็น
ดีที่มือหนาปิดปากเธอได้ทัน พร้อมฉุดร่างเธอและเขาไปหลบอีกฝั่งของต้นไม้
“ฟังข้าดี
ๆ ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม เจ้าจงวิ่งสุดแรงที่มี” พรานป่าบอก
“หนึ่ง
สอง” หากพรานป่านับได้เพียงแค่สองเพียงจันทร์ก็รีบลุกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต โดยมีนายพรานใช้ธนูเป็นอาวุธยิงต่อสู้ป้องกันหลังให้ก่อนรีบวิ่งตามไป
“ท่านยิ้มด้วยสิ่งใด”
ร่างระหงที่เหนื่อยหอบทักขึ้น แม้จะนั่งพักอยู่นาน หลังจากหลบกลุ่มลอบโจมตี โชคดีมันมาแค่สองคน
หนึ่งในนั้นเสียชีวิตจากมีดสั้น และอีกหนึ่งก็ถูกธนูยิงได้รับบาดเจ็บที่แขน
“ข้านึกขันที่เจ้าก็กลัวตาย”
พรานป่าบอก
“ยังกะท่านไม่กลัวตาย”
ร่างระหงบอกพลางส่งค้อนให้ หากเพียงได้ยินเสียงกิ่งไม้ตกเธอก็กระโดดเข้าไปกอดอีกฝ่ายอัตโนมัติ
สร้างเสียงหัวเราะให้พรานป่า ขณะที่ใบหน้างามขึ้นสีระเรื่อด้วยความอายรีบขยับหนี
เธอยังได้ยินเสียงหัวใจเต้นระรัวเร็วด้วยความตื่นกลัวเมื่อครู่
“ถึงข้าจะมีลูกมีเมีย
แต่หากถูกสตรีกอดก็ต้องหวั่นไหวบ้างเจ้าว่าหรือไม่”
พรานป่าเอ่ยด้วยความเสียงเยาะเย้า ยิ่งเรียกสีระเรื่อบนใบหน้างาม
ขณะที่เพียงจันทร์รีบสะบัดหน้าหนีอีกฝ่ายทันทีที่ฟังจบ...อีตาพรานป่าบ้า
อีตาเฒ่าลามก เธอไม่ได้ตั้งใจจะกอดเขาสักหน่อย เชอะ!...รอเธอกลับเข้าเมืองได้ก่อนเถอะ
ผลงานอื่นๆ ของ จรีวรรณ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ จรีวรรณ
ความคิดเห็น