คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Good morning, Vampire :: Chapter IX
Good Morning, Vampire.
Super Junior Fan Fiction (Yaoi)
Cast : Kyuhyun x Donghae x Siwon
Author : xixiao’
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
CHAPTER IX
“ขอบคุณมากครับ ผมจะพยายามอย่างดีที่สุด”
มือเรียวรวบลงข้างตัวก่อนจะโค้งศีรษะน้อยๆให้กับชายวันกลางคนตรงหน้า ตาสีนิลมีประกายแวววับขึ้นมาเช่นเดียวกับเมื่อหลายชั่วโมงก่อนที่ทางบริษัทเรียกตัวเข้าพบเป็นการด่วนเพื่อพูดคุยเรื่องงานก่อสร้างห้างสรรพสินค้าซึ่งถูกระงับไปเพราะเหตุฆาตกรรมปริศนาเมื่อเดือนก่อน
อีทงเฮถูกเรียกตัวกลับมาทำงานพร้อมๆกับที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยกเลิกการประกาศเขตหวงห้ามและอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างต่อได้ ยังคงมีผู้เสียชีวิตจากเหตุฆาตกรรมกระจายไปทั่วทุกมุมเมืองจนเป็นที่อกสั่นขวัญแขวน แต่ถึงอย่างนั้นในบริเวณก่อสร้างที่เขารับผิดชอบก็ไม่ได้มีการพบศพของใครอีก
ความเคร่งเครียดคลายตัวลงเมื่อได้กลับมาทำงานในสายอาชีพ เป็นเรื่องดีที่ทงเฮจะได้กำจัดความฟุ้งซ่านและตื่นกลัวออกไปจนหมด พิมพ์เขียวในกล่องสีดำสนิทถูกคลี่กลางออกดูพร้อมกับทบทวนแผนงานร่วมกับสถาปนิกและวิศวกรคนอื่นที่ร่วมรับผิดชอบ หัวหน้าคนงานบางส่วนแย้มยิ้มให้กับนายช่างของเขาอย่างยินดี เพียงเวลาเกือบเดือนที่งานไม่สามารถเดินต่อได้กลับสร้างความเสียหายในหลายๆด้าน การเร่งทำงานให้เสร็จภายในกำหนดจึงเป็นเรื่องสำคัญแม้ว่าทางผู้ว่าจ้างจะเสนอระยะเวลายืดหยุ่นมาก็ตาม
“ทางบ้านของฮันดาจองเป็นยังไงบ้าง?” เอ่ยถามไถ่ในขณะที่เดินเลียบตัวตึกไปกับหัวหน้าคนงานในความรับผิดชอบ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ชายสูงวัยกว่ายิ้มบาง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงบอกเล่าราบเรียบ
“ก็โศกเศร้ากันไปตามเรื่องล่ะครับ แต่ดีขึ้นกันมากแล้ว เงินชดเชยที่ได้ก็มากอยู่”
ทงเฮครางรับในลำคอเบาๆราวไม่ติดใจอะไร ฮันดาจองเป็นผู้เสียชีวิตรายแรกที่สร้างความตื่นตระหนกในโซลจนกลายเป็นคดีต่อเนื่องอันน่าหวาดผวาในทุกวันนี้ ลึกๆแล้วชายหนุ่มก็ยังกลัว... กลัวว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นอีก คนเคราะห์ร้ายคนนั้นอาจเป็นเขาก็ได้
นอกเหนือจากความระแวงก็คงเป็นความรู้สึกผิด... เขาเองก็มีส่วนในการบิดเบือนรูปคดีครั้งหนึ่งในการตายของกูฮารา แม้ว่าบางทีมันอาจจะเกี่ยวเนื่องกับคดีอื่นๆก็ตาม หากแต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า กลับทำให้เขาหยุดความคิดทั้งหมดเอาไว้เมื่อความแปลกใจเข้ามาแทนที่ “คุณ...?”
“สวัสดีครับ ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะจำกันได้รึเปล่า”
เจ้าของเรือนผมยาวประบ่าสีดำสนิทและจมูกโด่งคมสันบนดวงหน้ารูปไข่ แก้มนั้นปริออกเมื่อชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางส่งมาให้ ทงเฮยิ้มตอบกลับไปอย่างสุภาพก่อนจะแยกตัวจากหัวหน้าคนงานที่ขอตัวกลับบ้านและเดินมารับแขกที่ไม่ได้คาดหมาย “สวัสดีครับคุณคิม มีธุระอะไรที่นี่หรือ?”
เขาหัวเราะเบาๆพลางกระชับหนังสือและเอกสารในมือ เหมือนจะเป็นท่าทีที่ทงเฮคุ้นตาไปเสียแล้วแม้จะได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวที่ลานจอดรถใต้คอนโดมิเนียมของเขาเอง
“วันนั้นบังเอิญเจอกันแบบไม่คาดคิดไปหน่อยผมเลยไม่ได้ว่าธุระไปเพราะกลัวจะเป็นการเสียมารยาท” คิมคิบอมใช้น้ำเสียงน่าฟังในการจะดึงคู่สนทนาเข้าประเด็นความต้องการของตัวเองได้อย่างตรงตัว “ผมกำลังเก็บข้อมูลในการเขียนหนังสือเรื่องต่อไป จึงมาหาผู้รู้น่ะครับ”
แม้ว่าจะยืนพูดคุยกันท่ามกลางฝุ่นควันและเสียงก่อสร้างที่ยังคงทำงานอยู่ แต่ทงเฮกลับนึกชื่นชมคนตรงหน้านักที่พูดจาชวนผ่อนคลายได้สมกับเป็นนักเขียน บางทีจะให้นั่งจิบชาตามตึกราที่มีแต่อิฐปูนนี้ก็ใช่ที่ เขาจึงไม่ได้ออกปากชวนอีกคนไปหาที่นั่งคุยให้เป็นวรรคเป็นเวร “ผู้รู้? อา... ที่นี่เป็นเขตใช้แรงงาน ผมไม่เห็นใครที่ดูจะช่วยคุณได้นะครับ”
ถึงตรงนี้ชายหนุ่มผิวน้ำผึ้งหัวเราะร่วน วิศวกรยังหนุ่มแน่นอย่างอีทงเฮเองก็ใช่ย่อย เล่นลิ้นต่อปากต่อคำได้ไม่แพ้นักเขียนอย่างเขา “ผมมาหาคุณหรอกครับอีทงเฮ”
“คุณจะเขียนหนังสือบริคกี้ชิปปี้หรือ?” ยักยิ้มจนเกือบจะเรียกได้ว่าล้อเลียน เป็นนิสัยลึกๆที่แก้ไม่หายของคนที่ใช้ชีวิตในแวดวงของผู้ชายเรียนวิศวกรรมมาทั้งชีวิต (Brickie / Chippy เป็นศัพท์แสลงของชาวนิวซีแลนด์ โดย Brickie นั้นกล่าวถึงช่างปูน และ Chippy ใช้เรียกช่างไม้หรือช่างก่อสร้าง)
“ไม่ใช่หรอกครับ ผมจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับ... ผีดูดเลือดน่ะ”
สิ้นเสียงทุ้มนุ่มราวกับเสียงการก่อสร้างโดยรอบจะเงียบหายไปในโสตประสาทของคนได้ฟัง ทงเฮจ้องตอบอีกคนนิ่งด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดาได้ว่าอยู่ในอารมณ์ใด ปากนั้นขยับขึ้นลงเพียงนิดก่อนจะเม้มเป็นเส้นตรงเหมือนตัดใจที่จะไม่พูดมันออกไป อีทงเฮกำลังใช้ความคิด คิบอมดูออกว่าเช่นนั้น “ขอโทษนะครับ... ผมไม่แน่ใจว่าผมจะสามารถช่วยอะไรคุณได้”
เป็นอย่างที่คิด ราวกับได้เตรียมบทพูดมาก่อนหน้าคิมคิบอมจึงไม่ได้มีท่าทีประหม่าหรือตกใจกับคำตอบรับของอีกคน ตาสีน้ำตาลเข้มนั้นเป็นประกายราวกับสีของไม้มะฮฮกกานี “คิดซะว่าผมไม่ใช่ตำรวจ นั่นอาจทำให้คุณสบายใจขึ้น”
เป็นอีกประโยคที่ดึงให้สายตาจับจ้องอีกฝ่ายอย่างผิดวิสัย สมองและใจของทงเฮกำลังคิดตรงกันว่าคนตรงหน้าเขานั้นไม่ธรรมดา คิมคิบอมรู้อะไรบางอย่าง... และเขากำลังสื่อมันออกมา
“คุณรู้เห็นในการตายของกูฮาราใช่ไหมครับ?” ราวกับไม่สนใจดวงตาสั่นระริกของอีกคน นักเขียนหนุ่มตัดสินใจยิงคำถามประโยคแรกออกไปโดยไม่อ้อมค้อมใดๆ ราวกับคิมคิบอมกำลังยิ้ม... ยิ้มด้วยความลำพองใจเมื่อท่าทีของร่างเล็กมันตอกย้ำถึงการพ่ายแพ้ในความจริงว่าอีทงเฮได้สร้างรูปคดีที่บิดเบือนอย่างในข่าว
“คุณต้องการอะไรกันแน่?” เขาเริ่มคิดว่าคิบอมอาจไม่ได้มาดีดังสีหน้านุ่มนวลราวรูปปั้นนั้น ทุกนัยคำพูดนั้นแฝงความต้องการที่มีเลศนัยมาเสมอหากอีทงเฮจะสังเกตมันสักนิด “คุณทำเหมือนกับว่าคุณรู้อะไร”
“คุณเองไม่ใช่หรือที่รู้อะไรที่ไม่ควรรู้...”
หัวใจนั้นชาวาบ คำพูดเมื่อครู่ของคิบอมนั้นช่างขัดกับรอยยิ้มเสียเหลือเกิน มันช่างเยียบเย็น... แม้ว่าสิ่งที่เห็นจะอบอุ่นละมุนไม่ต่างจากทุกคำพูดก็ตามที
นานเหลือเกิน... ที่ความเงียบเดินผ่านอย่างเชื่องช้า
“ขอโทษนะครับที่พูดเสียมารยาท บางทีผมควรจะให้เวลาคุณตริตรองสักหน่อย” หนุ่มร่างสูงหัวเราะในลำคอ ช่างดูใสซื่อเฉกเช่นคนทั่วไป หากแต่ทงเฮไม่คิดอย่างนั้น “คุณมีนามบัตรของผมแล้ว ในนั้นมีเบอร์โทรศัพท์อยู่... ผมคงยินดีถ้าเราจะได้คุยกันอีกครั้ง”
“คิมคิบอม... คุณเป็นแค่นักเขียนแน่หรือ?”
“แน่นอนครับ คงเป็นอื่นไปไม่ได้แล้ว”
ตาสีมะฮอกกานีหลุบหายไปในม่านตาเมื่อโหนกแก้มยกสูงจากการวาดยิ้ม คิบอมโค้งหัวให้คนตรงหน้าเป็นการขอบคุณก่อนจะเดินออกไปทางถนนใหญ่ ทงเฮยังคงมองตามจนกระทั่งอีกฝ่ายขึ้นแท็กซี่ไป บางทีทงเฮคงหลุดอะไรโง่ๆออกไปเขาถึงได้กำลังรู้สึกพ่ายแพ้อย่างหมดท่า นามบัตรในกระเป๋าเงินถูกหยิบขึ้นมองทั้งที่ไม่เคยคิดจะใส่ใจ เขากำลังอยากสนทนากับคิมคิบอมอีกครั้งตามที่อีกฝ่ายเชิญชวน
บางทีคิมคิบอมคงไม่ได้มาตามหาผู้รู้อย่างที่ว่า... แต่กลับมาแสดงตนว่าเป็นผู้รู้เสียมากกว่า
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
ปริศนามีมากมายบนโลกใบนี้...
อีทงเฮคงเป็นคนโง่ที่ไม่เพียงแค่แก้มันไม่ได้ หากมีแต่จะยิ่งทุรังสร้างมันให้สูงท่วมหัวหัวเอง
ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่ม คนงานส่วนใหญ่กลับไปตั้งแต่ตอนที่ฟ้าเริ่มมืด เหลือเพียงสถาปนิกและวิศวกรบางส่วนที่ยังคงตรงเช็คงานกับพิมพ์เขียวและคอมพิวเตอร์คู่ใจ แต่ไม่เกินสามทุ่มทุกคนก็เริ่มทยอยลากลับไปจนหมด เหลือก็แต่เขา... ที่ยังนั่งคิดอะไรนอกเหนือจากเรื่องงาน
เดี๋ยวนี้ไม่มีใครกล้าอยู่ดึกนัก เพราะคนในโซลต่างรู้ดีว่าตัวเองทีสิทธิ์ตกเป็นเหยื่อได้ทุกเมื่อกับคดีที่ยังจับมือใครดมไม่ได้ ยิ่งที่นี่ด้วยแล้ว... สถานที่ที่เป็นตำนานว่าเกิดศพรายแรกขึ้น ราวกับจะขู่คนในเมืองให้ขวัญหายและเลิกคิดจะเดินเท้าในแหล่งที่ไม่ใช่ย่านชุมชน
หากแต่ความกลัวในใจของอีทงเฮมีแต่จะยิ่งน้อยลงหลังจากที่มันได้ระเบิดสู่จุดสูงสุด ความหวาดระแวงซึ่งกอบกุมหัวใจดวงเท่ากำปั้นมันกัดกร่อนจนกลายเป็นความอยากรู้อยากเห็น ท้าทาย และชักจูงให้วิ่งตามหาความจริง ประเป๋าสะพายขนาดกลางถูกหยิบขึ้นสะพายข้าง มือข้างขวาของเขาถือไฟฉาย ในขณะที่มือซ้ายล้วงกำบางสิ่งในกระเป๋าไว้แน่น
ไม้กางเขน...
เขากำลังตราหน้าตัวเองว่าบ้าบิ่น เรียวขาก้าวพาร่างของเขาออกจากใต้ตึกมายืนสงบนิ่งอยู่ตรงบันไดตรงหน้าซึ่งทอดตัวสู่ความมืดที่อยู่สูงขึ้นไป สถานที่แรกที่เขาได้พบเจอเงาประหลาด และอีกหนึ่งความหวังที่เขาหัวเราะเยาะตัวเองอยู่ในใจ ว่าอาจจะได้พบคยูฮยอนอีกครั้ง... อีกครั้งเหมือนกับตอนนั้น
อีทงเฮไม่เคยเชื่อในสิ่งงมงายและเร้นลับ... แต่ครั้งนี้เป็นตัวเขาเองที่จะก้าวไปหามัน
เขาอาจจะได้ก้าวไปใกล้ความตายสมใจขึ้นหากเสียงโทรศัพท์มือถือไม่ดังขึ้นดึงสติสัมปชัญญะให้กลับมาเสียก่อน ไม้กางเขนชุ่มเหงื่อชื้นถูกปล่อยเป็นอิสระพร้อมๆกับชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ที่สร้างความตื่นเต้นให้บังเกิดได้ไม่แพ้ความมืดบนตัวตึก
( ผมตกลงนะครับ... เร็วที่สุดก็คงเป็นตอนนี้ ผมจะรออยู่ที่ร้านกาแฟริมน้ำสวนยออิโด )
-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-
หลังจากแยกกับคิมคิบอมได้ไม่ถึงชั่วโมงอีทงเฮก็ตัดสินใจต่อสายไปตามนามบัตรที่อีกฝ่ายให้ไว้ ตอนนั้นคิบอมหัวเราะผ่านปลายสายมาราวกับรู้ล่วงหน้า และตอนนี้ผ่านมาอีกเพียงสามชั่วโมง... ทงเฮก็กำลังจะไปพบนักเขียนหนุ่มตาสีมะฮฮกกานีคนนั้นอีกครั้ง
แสงสีริมแม่น้ำฮันในตอนกลางคืนนั้นสวยอย่างที่ขึ้นชื่อ แต่สำหรับคนโซลโดยกำเนิดอย่างเขาแล้วใช่ว่าจะเป็นสิ่งแปลกตานัก เพราะช่วงนี้มีฝนตกเป็นระยะ แม่น้ำฮันจึงไม่ได้ครึกครื้นอย่างเคย รถยนต์คันเก่งถูกขับให้ช้าลงก่อนจะจอดเทียบบริเวณสวนยออิโด ร้านกาแฟที่คิบอมนัดไว้อยู่เลยไปอีกหน่อย สาดส่องสายตามองไปโดยรอบ แม้จะมีผู้คนอยู่บ้างแต่ก็ถือว่าบางตา
ร่างเล็กก้าวเข้าไปในร้านกาแฟขนาดย่อม เขายังคงอยู่ในชุดเมื่อตอนกลางวันคือเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเข้มและกางเกงสแล็คสีสุภาพ คิมคิบอมนั่งอยู่มุมในสุดของร้าน บนโต๊ะมีแก้วกาแฟดำที่ถูกสั่งมา หากแต่ไม่มีแม้แต่รอยจิบ
“ขอโทษที่ให้รอ” ทงเฮนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าที่ไม่เรียกว่าสงบนิ่ง ดวงตาของเขายังคงไหววูบต่างจากคนมาถึงก่อนที่เพียงส่งยิ้มบางๆให้อย่างเป็นเอกลักษณ์
“ขอบคุณนะครับที่ให้ความสนใจกับนักเขียนอย่างผม” ยังคงเล่นคำได้อย่างมีชั้นเชิงจนวิศวกรอย่างเขาเดาทางไม่ถูก เหมือนจะเป็นคนที่เขาถึงได้ง่าย หากแต่ไม่เลย... คิมคิบอมได้แฝงความน่าหวาดหวั่นไปแล้วในสายตา
“คุณมีอะไรอยากจะคุยกับผม?” สิ้นคำร่างสูงก็หัวเราะในลำคออีกครั้ง เป็นคนยิ้มง่ายและวางตัวเก่ง หากแต่ในทุกรอยยิ้มนั้นกลับไม่มีความจริงใจอยู่เลย เขาคิดเช่นนั้น
“ใช้คำว่า... เรามีเรื่องให้คุยกันดีกว่านะครับ” ตาสีมะฮอกกานีนั้นจ้องเขาราวกับพินิจ อีทงเฮไม่ได้คิดเลยไปถึงเรื่องมรรยาท เขามองตอบ แต่ก็ต้องเป็นฝ่ายหลบตาไปก่อนอย่างไร้เหตุผล
“คุณพูดถึงเรื่องการตายของกูฮารา... พูดเหมือนกับคุณเชื่อว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้อง” ตาสีดำเพ่งมองกลับไปอีกครั้ง คิบอมยกยิ้มรับ ก่อนถ้อยคำราบเรียบจะถูกปล่อยเข้าเสียดแทงหัวใจของคนฟังอย่างไม่ปรานี
“คุณไม่คิดบ้างหรือ... ว่ากูฮาราจะตายเพราะคุณ”
น้ำลายอึกใหญ่เฝื่อนคอ มือที่ประสานกันอยู่บนโต๊ะบีบแน่นอย่างลืมตัว และมันอยู่ในสายตาของคนนั่งฝั่งตรงข้ามทั้งหมด ในหัวของเขามีเพียงถ้อยคำสบถด่าจากมารดาของคนรักเก่าที่ลอยเข้ามาจนคับโสตประสาท “ผมรู้...”
“..............”
“...รู้ว่าเธอตายเพราะผม”
“คุณรับรู้มันจริงๆน่ะเหรออีทงเฮ” เสียงทุ้มนุ่มกำลังสร้างกำแพงสูงล้อมรอบ มันทั้งก้องและอึดอัด... รอบตัวของทงเฮกำลังเป็นสีเทา และคิมคิบอมคือคนเดียวที่นั่งอยู่ร่วมห้องเดียวกับเขาในตอนนี้ “ใจคุณมันได้ยอมรับความผิดนั้นโดยดุษณีแล้วหรือ?”
ห้วงภวังค์ที่ถูกก่อขึ้นโดยไม่รู้ตัวกำลังควบคุมอีทงเฮไว้อีกครั้งอย่างร้ายกาจ
“เธอเองก็เหมือนคนทั่วๆไป มีโอกาสเจอเรื่องร้ายนั้นได้ทุกเมื่อ ปีศาจนอกรั้วมันกำลังอยู่รอบตัวเรา...”
“ไม่... ถ้าเพียงแต่ผมไม่ทิ้งเธอไว้....” ทำไมถึงปล่อยให้ผู้ชายแปลกหน้าเข้ามามีอิทธิพลทงเฮก็ไม่สามารถรู้ได้ เขากำลังไหลไปตามสิ่งที่คิบอมกำลังชักจูง กำลังเป็นไปตามที่อีกฝ่ายอยากจะให้เป็น ความอึดอัดในอกที่รอวันระเบิดมันกำลังสุมตัวกันเป็นจอมปลวกสูง ความผิดที่ทั้งทุกคนและตัวเขาเองกำลังตอกย้ำมันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยที่ไม่รู้เลย... ว่าตื้นลึกหนาบางในสิ่งที่คิมคิบอมพูดนั้นมันมีมากน้อยเพียงไร
“เธอถึงคราวเคราะห์แค่เพราะว่าคุณทิ้งเธอไว้เพียงลำพังเท่านั้นเหรอทงเฮ... หากมันมีเหตุผลมากกว่านั้นล่ะ”
มือของเขากำลังซึมชื้นไปด้วยเหงื่อ ใจเต้นระรัวจนบอกไม่ได้ว่ามันเกิดจากสิ่งใด เขาอาจจะกำลังได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้ แต่ถึงอย่างนั้นทำไมถึงกลัว... กลัวว่าจอมปลวกในใจนั้นจะตระหง่านเป็นเขาลูกสูงหากว่าได้ฟังสิ่งที่คิบอมพูดออกมา “คุณ... คุณรู้อะไร...?”
“คุณบอกผมก่อนสิ... ว่ามีใครเข้ามาชีวิตคุณบ้าง ใครที่คุณคิดว่าเขาสังหารกูฮารา” วกกลับไปอีกเรื่องได้อย่างน่าตกใจ คิบอมไม่ได้พูดมันออกมาในทีเดียว หากแต่เขากำลังหลอกล่อ... หลอกล่อให้เหยื่อที่มีสภาพจิตใจไม่คงที่อย่างอีทงเฮต้องตกหลุมลึกของกับดักที่แยบยล
ร่างสูงไม่ได้รอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อเท่าไรนัก กลับกันที่เขาหยัดตัวลุกขึ้นยืนและเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ด้วยทีท่าสงบนิ่ง เป็นดังที่คิด อีทงเฮถลาลุกตามไปเพราะความจริงที่ทิ้งใยไว้
“คุณจะไปไหน?” ก้าวเท้าตามอีกคนไปในความมืดอย่างลืมตัว สวนสาธารณะยออิโดยามวิกาลในหน้าฝนนั้นเงียบสงัด ยิ่งดึกก็ยิ่งมืดหม่น จากคนที่บางตาในทีแรกตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิต ราวกับเป็นหลังมือของสถานที่ยอดนิยมในยามกลางวัน
คิมคิบอมยังคงเดินตรงเข้าไปในความมืดเรื่อยๆโดยไม่แม้แต่จะหันมาตอบคำถาม ท้ายสุดแล้วเขาก็หยุดยืนกลางแมกไม้ กวาดสายตามองไปโดยรอบเหมือนว่ากำลังมองหาบางสิ่ง เมื่อไม่เจออะไรดวงตานั้นก็พลันกลับมาสงบนิ่ง และจ้องมองเพียงคนที่เดินตามมาจนหยุดอยู่ไม่ห่าง
“อย่างที่ผมเคยบอกคุณว่าผมกำลังจะเขียนเรื่องผีดูดเลือด...”
“..............”
“ผมจะตอบคำถามที่คุณอยากรู้ก่อน... เรื่องการตายของกูฮารา”
เสียงหัวใจของทงเฮโครมครามไม่เป็นจังหวะ เขากำลังเข้าใกล้ความจริงยิ่งขึ้นไปอีก... ความจริงที่อาจอยู่เหนือการรับรู้ของมนุษย์ ความจริงที่กำลังจะออกมาจากปากผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพียงนักเขียนคนหนึ่งอย่างคิมคิบอม
“ถ้าไม่มีคุณ... เธอก็จะไม่ตาย” กรีดแทงใจแต่ก็เป็นเรื่องจริง แต่ทงเฮรู้... ว่าความตั้งใจของคิบอมไม่ใช่การตอกย้ำความผิดของเขาในทีเดียว มันกำลังจะบอกอะไรมากกว่านั้น “เพราะเธอ... มีกลิ่นของคุณ”
“คุณกำลังพูดเรื่องอะไร?”
กลิ่นงั้นหรือ... นี่คิบอมคิดจะเล่นตลกร้ายอะไรกับเขารึไง?
“คนที่ควรตายในคืนนั้นคือคุณต่างหากอีทงเฮ เขาฆ่ากูฮาราเพราะความต้องการที่มีในตัวคุณ... ซึ่งเขาเองก็คงยังไม่รู้ตัวในจุดนั้น” คล้ายว่าความมืดกำลังปกคลุมลงมามากขึ้น ทงเฮเริ่มจะเห็นหน้าอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจนเพราะเงาไม้ที่พลิ้วไหวตามแรงลม “คนที่ควรจะตายน่ะ... มันเป็นคุณมาตั้งนานแล้ว...”
“ออกห่างจากเขา”
เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดึงให้อีทงเฮเหลียวกลับหลังไปมองยังทางที่เขาเดินมา ร่างผอมสูงของคนที่เขาคิดถึงมาตลอดกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ดวงหน้าขาวซีดขึงขังและฉายแววโกรธเกรี้ยวจนไม่เหมือนคนเดิมที่เคยรู้จัก
“ออกห่างจากเขา... ทงเฮ”
โจวคยูฮยอนย่างเท้าเข้ามาจนหยุดอยู่ห่างออกไปสามเมตร ชายหนุ่มไม่ได้เข้ามาใกล้กว่านั้น ดวงตาสีอำพันมองเลยเจ้าของชื่อที่เอื้อนเอ่ยไปด้านหลัง...
ทงเฮค่อยๆเสใบหน้ากลับมองผู้ชายที่เขาเดินตามมาในทีแรก ตอนนี้เอง... ที่เขาเพิ่งจะสังเกตว่านัยน์ตาของคิบอมนั้นมีสีอำพันหาใช่มะฮอกกานีในยามที่ต้องแสง... เขี้ยวในปากที่เขามองข้ามไปในทีแรกกลับเด่นชัดขึ้นเมื่อตกอยู่ในสีดำของห้วงรัตติกาลที่วังเวง ความคุ้นเคยแล่นวาบเข้ามาจนรู้สึกจุกไปทั้งอก
ผู้ชายที่เขาได้สบตาด้วยเมื่อสัปดาห์ก่อน... ทั้งบนยอดตึกและที่งานศพ... คือคิมคิบอมนั่นเอง
“คิดไว้แล้วว่านายต้องยอมออกมา... คยูฮยอน”
TBC
อัพไวมั๊ยล่าาาา ._ .
เพราะตื่นมาตอนเกือบ ๆตีสอง ฟีลเรื่องนี้มามาก ต่อไปเลยอีกตอน -OO-
บทบาทของคิบอมดำเนินไปไวมาก 5555555. (ไวจนไม่ได้ลุ้น ?)
จริงๆ ก็อยากจะยืดกว่านี้นะคะ... แต่เราหมดมู้ดมาก ไม่รู้จะสรรหาอะไรมายัดคั่นช่วงดี ._ .
พระเอกของเราก็กลับมาแล้ว ! มาแบบหล่อ ๆที่ไม่ใช่ความฝัน (หัวเราะลั่น)
ตอนนี้คิดว่า ทุกคนคงจะเก็ทเรื่องของ 'กลิ่น' และ 'ความคุ้นเคย' ที่เราได้แฝงไว้ในพาร์ทของฮาราแล้วใช่มั๊ยคะ ?
ปมหลาย ๆอย่างจะค่อย ๆคลายออกมาเรื่อย ๆ คงไม่มีปมมากไปกว่านี้แล้วล่ะค่ะ ปวดหัว 55555.
ความคิดเห็น