สวัสดีครับ กระผม Typhon ครับ (คนเดียวกับ Python) คือสมัครช้าไปหน่อยชื่อเลยโดนซิวไปเรียบร้อย
คือนิยายสั้น(สุด ๆ)เรื่องนี้เคยลงในเว็บบอร์ดมาแล้วสองแห่ง ใครอ่านแล้วคุ้น ๆก็อ่ะนะ
สุดท้ายนี้ก็...
ขอให้สนุกครับผม
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Tale of the StormWalker
ทุ่งหญ้าขจีกว้างไพศาลดุจดั่งเงาของฟากฟ้า ต้นไม้พุ่มเล็กเตี้ยงอกงามตัดกับเส้นขอบฟ้าใสไกลลิบ ทิวต้นหญ้าสวรรค์กีรานันเป็นสัญลักษณ์โดดเด่น ประกาศนามของแผ่นดินนี้แก่ผู้มาเยือนชัดเจน “กีร่า” ดินแดนแห่งความสุขและสงบ หรือเรียกอีกนามหนึ่งว่าดินแดนแห่งสวรรค์..
จากป่าทึบไร้แสง หนึ่งนักพเนจรเดินทางตัดทุ่งหญ้า เข้าเขตกีร่าด้วยภารกิจที่ได้รับมอบหมาย แต่ในเวลานี้ สิ่งใดก็ไม่สำคัญเท่ากับการตักตวงความสุขสบายใจในเขตคามซึ่งปราศจากสงครามอีกแล้ว
ชายหนุ่มถอดแจ็กเก็ตดำพาดไว้ที่ไหล่ หลังรอนแรมเนิ่นนาน เสื้อยืดที่สวมภายในทั้งสกปรกและเหม็น สาบ จากสีเทาอ่อนดูสะอาด บัดนี้เป็นสีดำไปแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือคงเทาได้อีกไม่นานถ้ายังอ้อยอิ่งภายในป่าดิบชื้นเบื้องหลัง หากแต่เขายังฉีกยิ้มกว้าง ไม่สนใจความเลอะเทอะเปรอะเปื้อน เมื่อสายลมบริสุทธิ์เคลื่อนไหวแช่มช้าเบาสบาย ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนได้รับสัมผัสจากเพื่อนสนิท เขายืนนิ่งสูดอากาศเนิ่นนาน ใช่แล้ว.. สายลมคือเพื่อนที่สนิทที่สุดของเขาเชียวล่ะ และสายลมที่นี่ก็คือเพื่อนใหม่ที่เขาต้องทำความรู้จักอีกมาก...
‘แล้วเจอกันใหม่เพื่อน’ชายหนุ่มบอกลา มันตอบด้วยเสียงหวิวเบา ๆ แล้วจึงพริ้วสัมผัสเย็นสบายสุดท้ายจากไป เท้าก้าวต่อไปด้วยใจชุ่มชื้น รอยยิ้มระบายเต็มหน้า บรรดานกแปลกตาสีขาวเหมือนปุยเมฆฝูงใหญ่บินนำหน้าดั่งนำทาง เป้าหมายคือเมืองหลักตรงหน้า ฮาวาลา
เสียงเคาะประตูดังสามครั้งหนักแน่น
“ใคร ?” รีเวอร์ เชน ชายแก่ร่างผอมแห้งยิงคำถามนำ ตัวเองยังขี้เกียจลุกจากเก้าอี้ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นยังติดจมูกไม่คลาย
“ออกมาดูเองเถอะ” เป็นคำตอบที่น่าหงุดหงิด รีเวอร์วางถ้วยกาแฟดังโครม หยดของเหลวสีน้ำตาลนวลเนียนกระจายลงโต๊ะ ลุกบิดขี้เกียจแล้วเดินไปเปิดประตู
“ใครล่ะเนี่ย” ทำตาขวางใส่ผู้มาเยือนพลางวาดตาสังเกตุ ดูมันยังหนุ่ม ใบหน้าเกลี้ยงเกลาเหมือนสตรี หากแต่ใส่แจ็กเก็ตหนังทะมัดทะแมง และ... ที่ขามัน.. สวมด้วยเกราะเหล็กสีขาวสะท้อนแสง ตั้งแต่ปลายเท้าจรดหัวเข่า ปิดมิดชิด เจ้าบ้านสะดุ้ง เกราะขา..
“วินด์ เดอะ สตรอม วอร์คเกอร์..”ชายร่างแห้งกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “ผู้เหยียบย่ำพายุหรือ?”
ชายหนุ่มพยักหน้าอมยิ้ม เส้นผมสีเทาอ่อนสะบัดหวือ นัยน์ตาสีเดียวกันฉายชัดความอ่อนโยน ไม่มีเค้าของผู้จัดเจนความตายดังที่ใคร ๆ ลือเล่า
“เจ้าดูหนุ่มเกินกว่าจะ...” รีเวอร์หลุดปากด้วยความคลางใจ ผู้มาเยือนเอื้อมมือหยิบห่อผ้าเล็กขึ้นแสดง ชายแก่ตาโต “เข้ามาก่อนสิ”
บ้านไม้น่าอยู่ ทั้งเย็นทั้งสบาย เครื่องเรือนเป็นระเบียบเรียบร้อย นี่ล่ะบ้านในเมืองสวรรค์
“ข้าเตรียมค่าจ้างไว้หนึ่งในสาม เจ้ารับมาแล้วหนึ่ง รับจากข้าอีกเป็นสอง ที่เหลือกลับไปรับที่เครย์มอร์ เข้าใจแล้วใช่ไหม”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“เอาล่ะ ขอดูของหน่อยสิ”
ชายแก่พูดเสียงเรียบ แต่เกลื่อนความตื่นเต้นในน้ำเสียงไม่มิด ใบหน้าเฉยผิดปกติ...ผิดจนดูออกว่าเสแสร้ง ชายหนุ่มยื่นห่อผ้าขนาดเล็กเท่าฝ่ามือให้ ตามสัมผัสภายในคงเป็นกล่องไม้ รีเวอร์คว้าจนแทบกระชาก ผู้ส่งของทำทีไม่ใส่ใจ การสอดรู้ในสินค้าของผู้จ้างไม่ใช่วิสัยเขา แต่โกหกตัวเองไม่ได้ว่าอยากรู้ ยังดีที่ข่มใจไหวไม่ประเจิดประเจ้อจ้องมองออกนอกหน้า ชายแก่ดูสินค้าแวบเดียวแล้วรีบเก็บ แสยะยิ้มเหี้ยม แต่วินด์ไม่ทันสังเกตุ
“เจ้าจะอยู่พักหรือจะรีบไป ข้าว่าเจ้าคงรีบ ที่เครย์มอร์รอจ่ายเงินเจ้าอยู่ ไม่ใช่น้อยเสียด้วยสิ” รีเวอร์พูด ปั้นยิ้มอ่อนโยน ชายหนุ่มถอนหายใจเล็ก ๆ แต่รอยยิ้มยังไม่คลาย
‘ไล่กันเลยเรอะ ตาแก่’ วินด์คิด
“ข้าคงเดินเล่นซักพักแล้วค่อยไป เมืองนี้น่าอยู่ ไม่น้อย น่ายินดีที่ยังมีบรรยากาศเช่นนี้ในยุคสงคราม” คิดจะชวนคุยตามอัธยาศัย หากแต่เจ้าแก่ตรงหน้าเอาแต่ยิ้ม ไม่ได้ยิ้มให้เขาหรอก ยิ้มให้ของที่อยู่ในมือเหี่ยว ๆนั่นต่างหาก
“ลาล่ะ” วินด์โค้งเล็กน้อย เขารู้มารยาท แต่ตาแก่ไม่ มันไม่สนใจ เขาเลยหันหลังจากไปโดยไม่เหลียว
อยากอยู่ที่นี่ตลอดไปจริง ๆ ให้ตายสิ !! อากาศบริสุทธิ์ผุดผ่อง ชาวเมืองทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ เหมือนเสียงกระดิ่งลมสักพันใบสั่นพร้อมกัน สายลมพัดตลอดวัน เมืองในฝัน ติดเพียงเรื่องงานที่ทำอยู่ คิดได้เท่านี้ฝันก็พังทลาย
เขาตัดสินใจพักอยู่ที่นี่สักวัน.. สองวัน.. หรืออาจจะสาม ใจหนึ่งสั่งให้กลับ แต่อีกใจเป็นฝ่ายมีชัย สรุปว่าสามวัน
รัตติกาลเป็นช่วงเวลาอันน่าฉงน บางคราวยาวนานดุจความมืดมิดถูกตรึงไว้ด้วยบางสิ่ง แต่บางคราวกลับสั้นเพียงพริบตา คืนนี้วินด์หลับสนิท ไม่ฝันเลย เป็นครั้งแรกในรอบปี
เช้าตรู่กร้ำกราย อากาศเย็นชื้น ลมเช้าเย็นสบาย ชายหนุ่มเดินกลางทุ่งหญ้า น้ำค้างทำเอาเกราะที่ขาเย็นเฉียบ เขาไม่เคยถอดมัน ไม่แม้แต่จะคิด เป็นอดีตที่ชวนระลึก แต่ไม่วายหวนไห้ สะบัดหน้าสลัดความคิดที่เริ่มฟุ้งซ่าน ชาวบ้านเริ่มกิจวัตร บางคนเข้ามาทักทายเหมือนสหาย หากแต่เขาไม่รังเกียจ กลับยินดี สายลมหอบใหม่เคลื่อนแช่มช้า กลิ่นดอกไม้ป่าและกลิ่นหญ้าหอมฉุย ยิ่งหญ้าสวรรค์กีรานันยิ่งหอมหวนชวนเคลิ้ม สายลมพัดมาอีกแล้ว ครานี้มาพร้อมกับ.................... !!
วินด์หลับตา เปิดทุกโสตประสาทตื่นตัว สัมผัสดวงจิตที่ตรงเข้ามา สอง.. ห้า.. สิบ... สิบห้า... ยี่สิบสอง.. เพิ่มขึ้นอีก.. สามสิบ.. เยอะ!! เขาพลางตัวหลังต้นไม้ใหญ่ ส่งสัญญาณมือให้ชาวเมืองหลายคนหลบ พวกเขาฉงน ตามด้วยแตกตื่น ชายฉกรรจ์จำนวนมากเดินดุ่ม ๆ ไม่กลัวเกรง วินด์มองแล้วจิตนาการถึงกอลิลล่าฝูงใหญ่ จินตนาการถึงพื้นดินซึ่งสั่นสะเทือนตามย่างก้าวของพวกมัน แต่เวลาจินตนาการหมดลงแล้ว...
ชายร่างยักษ์ส่วนใหญ่แต่งตัวเหมือนคนจร มีบางคนที่สวมเกราะหนังอ่อนของทหาร แต่เดาว่าจำนวนขนาดนี้คงไม่ใช่พวกจรจัด พวกมันเดินตรงไปยังบ้านซึ่งคุ้นตา บ้านของรีเวอร์!! แม้เขาไม่ชอบตาแก่นั่น แต่สัญชาติญาณบางอย่างผลักดันให้ลุกขึ้นทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยเหลือ แต่แล้วก็ชะงัก ประตูบ้านเปิดออกช้า ๆ ตาแก่ผอมแห้งนั่นเดินดุ่มออกมา หน้านิ่ง หลังจากนั้นจึงพูดคุยกับคนร่างใหญ่สุด พวกที่เหลือซึ่งดูเหมือนลิ่วล้อทอดสายตาสังเกตุไปทั่ว วินด์หลบมิดชิด
พวกมันต่อแถวเข้าบ้าน จากนั้นกลับออกมาด้วยอาวุธครบมือ!!
“ โจร!! ตามเรามาหรือ... ไม่มีทาง... พวกเดียวกันกับตาแก่นั่นสินะ ฮื่ม!!.” เขาฟึดฟัด โทสะพล่าน เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในแดนสวรรค์ รีเวอร์เดินออกมาสุดท้าย ในมือคือของที่ได้รับเมื่อวันวาน ถุงผ้าและกล่องไม้ถูกทิ้งลงพื้นไม่ไยดี เหลือเพียงวัตถุบางอย่าง หินสีดำสนิท แต่ส่องประกายน่าขนลุก วินด์ตะลึง หัวหมุนติ้ว ท้องไส้ปั่นป่วน นั่นมัน.. ความวิบัติแท้ ๆ....
สองปีก่อนหน้า วอร์เท็คดูมเคยปรากฎต่อหน้าเขาครั้งหนึ่ง หินสีดำส่องแสงพร้อมความหายนะ เหงื่อกาฬเขาแตกพลั่ก แล้วสติก็หวน เสียงหญิงกรีดร้องดังลั่น วินด์เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังก้ม เมื่อเงยขึ้น ดาบก็ฟันแล้ว เลือดแดงกระเซ็นลงพื้นหญ้าแดนสวรรค์ บัดนี้สวรรค์ล่ม พวกมันเฮกระหึ่ม เสียงกรีดร้องเมื่อครู่เป็นครั้งสุดท้ายของหญิงที่นอนนิ่งบนพื้น
เสียงโหวกเหวกดังไม่ได้ศัพท์ เสียงร้องซ้อนทับ เด็ก ๆ วิ่งร้องไห้จ้า พวกมันหัวเราะ ดาบฟาดฟัน รีเวอร์ชายแก่ผอมแห้งบัดนี้เดินนำหน้า วอร์เท็คดูมในมือระอุด้วยควันดำ ฉับพลันที่มันยื่นหินไปเบื้องหน้า หมอกสีดำก่อตัวทรงกลม วิ่งเร็วจี๋ปลิดชีวิตชาวบ้านคาที่ วินด์ถีบตัวเร็วเหมือนพายุ สายลมหนุนหลัง อึดใจเดียวถึงโจรร่างใหญ่เป้าหมายแรก เขายกเท้าขึ้นถีบ เสียงโครมสนั่น แล้วร่างของศัตรูก็ลอยละลิ่วฟาดขอบบ่อน้ำ ไม่สิ้นสติคงสิ้นใจ โจรที่เหลือชะงัก เปิดโอกาสให้จู่โจม เหมือนสายลมหอบวูบหนึ่ง แล้วพวกมันอีกสองคนก็ร่วง สีหน้ายังฉงนเมื่อความคิดดับวูบ เสียงประตู้ไม้พังโครมด้านซ้าย เสียงวืดของอาวุธดังด้านหลัง เขาเหวี่ยงเท้ากลับหลัง กระแทกเข้าขมับเจ้าตัวลอบกัดดังโพละ สิ้นใจ เหลืออีกหนึ่งฟันดาบเข้าแสกหน้า หากแต่เขาเบี่ยงตัวหลบว่องไว ใช้สันมือฟันหลังคอจนมันทรุด ก่อนกระแทกเข่าเสยปลายคาง
เสียงร้องยังดังระงม เขาทะยานร่างผ่านศพชาวบ้าน ในใจนึกโทษตัวเองแทบคลั่ง ยื่นอาวุธให้คนชั่ว ยื่นความวิบัติแก่แดนสวรรค์ สถานที่สุดท้ายซึ่งยังสงบ บัดนี้ล่มเพราะเขา เพราะรายได้มันงาม บัดซบแท้ ๆ เพื่อเงิน. เขามองศพเด็กข้างทาง เพื่อเงิน!!
วินด์ง้างเท้าเหวี่ยงเข้าใส่ใบหน้าศัตรู คอมันหมุนดังลั่นแล้วร่วง โจรเหลือประปราย ชาวบ้านเหลือน้อยกว่า เหงื่อโทรมกาย แต่หยาดน้ำตาฉ่ำยิ่งกว่า เขากลืนน้ำลายยากเย็น เห็นรีเวอร์ฆ่าชาวบ้านกลุ่มสุดท้ายเบื้องหน้า เหลือเด็กหนึ่งคน เขาวิงวอนสายลม ถีบพื้นจนดินกระจาย เร็วสุดขีด พริบตาเดียวหยุดยืนเบื้องหลังเจ้าแก่เล่ห์ร้าย โจรข้างกายมันสองคนกวัดไกวดาบ
“ทำไม...” วินด์ถามสั้น ๆ แต่ความหมายกว้าง ลึก และเชี่ยวเหมือนคลื่นคลั่ง รีเวอร์หันหลัง ลดมือลงควันมืดคลายตัวออกรอบด้าน เด็กร้องไห้เหมือนคนบ้า กอดร่างไร้วิญญาณบุพการี
“ยังอยู่อีกหรือ.. อุตส่าห์บอกให้รีบกลับแท้ ๆ ถือซะว่าโชคร้ายแล้วกัน สตอร์ม วอร์คเกอร์” เสียงแหบมันน่ารังเกียจ แทบอยากฉีกปากมันออก “รายต่อไปคือแก”
“ท่าทางแกยังไม่รู้ ว่าพวกลิ่วล้อร่างใหญ่ทางด้านโน้นน่ะ ราบเรียบเพราะฝ่าเท้าข้า” ชายหนุ่มพูดข่ม สายตาเขม็งส่อนัยไปทางเด็กน้อยให้หนี แต่ไม่มีประโยชน์ รีเวอร์ยิ้มเหี้ยมรู้ทัน มันหันขวับ ยกวอร์เท็กดูม เล็งไปยังเด็ก แล้วยิง
“อย่า!!!”
เด็กน้อยทรุดลง เคียงศพพ่อแม่ ไร้บาดแผล แต่สิ้นใจ สายลมพัดกราดเกรี้ยว แม้แต่คนอัมหิตยังสยองวาบ ความคลั่งทะลุขีดจำกัด เท้าตวัดเตะเร็วจนมองไม่ทัน เสียงดังแหลมแสบแก้วหู แล้วศรีษะของสองโจรก็ขาดกระเด็น บัดนี้คนเหี้ยมได้เห็นมัจจุราชแท้จริง ผู้ซึ่งนัยน์ตาแดงก่ำ หยาดน้ำตาพรั่งพรู เส้นผมปลิวไสว สายลมแรงขึ้นเรื่อย แรงจนเหมือนพายุ ทุ่งหญ้าและต้นไม้เบียดเสียดส่งเสียงร้อง
รีเวอร์เพิ่งรู้ว่าตนกำลังสั่น ก็สมควรอยู่ ข้างหน้านี่มันบ้าแท้ ๆ แค่คนส่งของทำไมถึง...
คนส่งของขยับ ทุกก้าวสายลมคำรามดังครืน ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนมันสะดุ้ง ควันดำถูกยิงระรัว แต่แล้วก็สูญปล่าวเมื่อถูกลมแรงพัดเลือนหาย ไม่มีประโยชน์...
“เพราะอะไร...” วินด์ถามเสียงแผ่ว หากแต่ดังลั่นในใจผู้ถูกถาม ตัวมันสั่นงันงก เหมือนลูกนกเพิ่งเกิด น่าสมเพช
“ระ เรามาจุดชนวนสงคราม ข้าตอบแล้ว ไว้ชีวิตข้าด้วย!” รีเวอร์ร้องลั่น แข่งกับเสียงลมอื้ออึง “ ที่นี่อยู่ในเขตของ ราฮีน ข้ารับคำสั่งพวก มาเดนโซเรน ให้มาทำลายล้าง สงครามจะได้เกิด!!”
วินด์นิ่ง แต่สายลมยังบ้า
“ได้โปรด ไว้ชีวิตข้า!!” ยังอุตส่าห์ไม่ลืมร้องขอชีวิต มันก้มกราบ ทิ้งศักดิ์ศรีเกลี้ยง หากแต่เมื่อเงยขึ้นปลายเท้าก็วิ่งเข้าหา เปรี้ยง คอมันฉีกออก เลือดสดกระเซ็นพรมพื้นหญ้าต่างน้ำค้าง แล้วสายลมก็สงบ ชายหนุ่มกอดศพเด็กร่ำไห้...
หลุมศพมากมายเรียงรายเป็นระเบียบ กางเขนถูกสร้างขึ้นหยาบ ๆ ด้วยไม้สองชิ้น ชาวบ้านตายหมด สวรรค์แปรเปลี่ยนเป็นนรก เพียงอาคันตุกะหนึ่งคน แลกกับชีวิตทั้งเมือง ความโศกกัดกินใจเขาจนช้ำ ระบมทั่วทั้งร่าง น้ำตายังไหลไม่หยุดหย่อน ผู้เหยียบย่ำพายุงั้นหรือ.. ผู้เหยียบย่ำชีวิตผู้บริสุทธิ์สิไม่ว่า สงคราม... เพียงเพราะสงคราม!! ชายหนุ่มกล่าวโทษมัน พยายามหลีกหนีการทำร้ายตัวเอง แต่ยังไงก็ไม่พ้น...
ชายผู้เหยียบย่ำพายุ บัดนี้แบกความโศกเต็มบ่า เส้นทางตรงหน้ามืดหม่น ใจจำทนด้วยแผลลึก อีกนานเท่าไรจึงได้เยียวยา... จะมีวันไหน... หรืออีกนานเพียงไร...
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น