คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : เงื่อนไขข้อที่ 14 : ความอ่อนโยน
เงื่อนไขข้อที่ 14 : ความอ่อนโยน
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองหาเสียงเอ่ยทัก
ก็พบว่าตรงกลางของสถานที่แห่งนี้
เคยจำได้ว่ามีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่
บัดนี้ได้กลายเป็นใครบางคนที่ดูคุ้นหน้ากันดีแทน
แม้จะไม่เคยรู้จักนามของอีกฝ่ายมาก่อน แม้จะไม่เคยได้พูดคุยกันเลยสักครั้ง
ทว่าด้วยใบหน้าที่เหมือนกันราวกับแกะ
น้ำเสียงที่ฟังดูทุ้มต่ำกว่าตัวเขาและภาพความทรงจำที่พึ่งได้พบเห็นเมื่อไม่นานมานี้
อลิซรู้ว่าคนตรงหน้าคือใคร เขาถึงรู้สึกตกใจจนเผลอตัวปล่อยมือลูเซ่
ตุบ...
“แย่แล้ว!”
เลิกสนใจคนตรงหน้าไปสนิทใจแล้วรีบก้มลงมองคนที่ตัวเองพึ่งปล่อยร่วงไปนอนกับพื้นด้วยความแตกตื่น
สองมือที่เริ่มปวดจนชาพลิกร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่ขึ้น
สายตาไล่กวาดมองสำรวจสภาพอาการของอีกฝ่ายก็พบว่ามันไม่ได้แย่ลงหรือว่าดีขึ้นเลย
“อลิซ พาเขามานอนตรงนี้สิ
เดี๋ยวฉันช่วยรักษาเขาเอง”
คนที่ถูกลืมไปชั่วขณะเอ่ยบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมขยับกายออกจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ไปเล็กน้อย
มือผายออกไปทางด้านข้าง ราวกับต้องการบอกกับเขาให้รู้ว่าตำแหน่งที่ควรพาลูเซ่ไปคือที่ไหน
“รักษา... คุณเป็น...
มนุษย์ไม่ใช่เหรอครับ” เลือกถามออกไปด้วยความไม่มั่นใจ
สายตาก็มองสำรวจร่างกายของอีกฝ่ายที่ดูยังไงก็เป็นคนปกติ
“อืม... เรียกว่าเป็นผีดีกว่านะ
แต่ไม่ต้องห่วง พรที่ได้มาตอนยังมีชีวิตน่ะ ยังคงมีอยู่ล่ะ”
ว่าด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริงผิดกับคำพูดที่กล่าวออกมา
อลิซนิ่งคิดไปเล็กน้อยถึงสิ่งที่ได้ยิน ก่อนนึกขึ้นได้ว่าพรที่อีกฝ่ายพูดถึงคืออะไร
เด็กหนุ่มรีบแบกร่างสูงขึ้นหลังและพามานอนอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายโดยไว
“พรนี่หมายถึงผู้ที่มีพลังพิเศษสินะครับ
แต่ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ตายไปแล้วเช่นคุณจะยังมีมันอยู่”
พรที่อีกฝ่ายพูดถึงคือสิ่งที่ใช้เรียกผู้มีพลังพิเศษ
กล่าวกันว่าในรอบหนึ่งร้อยปีจะมีเพียงเจ็ดคนที่ได้รับมัน และคนตรงหน้าที่เป็นผู้กล้ารุ่นแรก
ต่อให้เป็นคนประเภทนั่นจริง ทว่าเจ้าตัวตายไปแล้ว พรเหล่านั้นก็ควรหายไปด้วย
“ก็ไม่รู้สินะ” คำตอบสบายๆ
พร้อมกับยื่นมือไปจับมือลูเซ่เอาไว้ข้างหนึ่ง
อีกข้างหนึ่งก็ยื่นมาจับมืออลิซเอาไว้มั่น เด็กหนุ่มได้แต่มองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยความงวยงง
แต่ทันใดนั้น แสงสว่างสีขาวนวลส่องสว่างออกมาจากมือที่จับพวกเขาเอาไว้อยู่
ความเจ็บปวดที่ได้รับเริ่มบรรเทาลงจนจางหายไปในที่สุด
แล้วพอหันไปมองทางลูเซ่
บาดแผลตามตัวกลับจางหายไปจนแทบไม่เหลือร่องรอยใดที่บ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวเคยบาดเจ็บสาหัสมาก่อน
เห็นแบบนี้เข้าก็รู้สึกโล่งอกไปเล็กน้อยแต่อีกใจก็ยังคงเป็นกังวลอีกอยู่ดี
ในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ลืมตาขึ้นมาเลย
“เสร็จแล้ว!” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความภูมิใจ แต่อลิซก็แทบไม่ได้ให้ความสนใจคนที่ช่วยรักษาพวกเขาให้เลย
สายตายังคงจับจ้องอยู่ลูเซ่
“เดี๋ยวก็ฟื้นน่า
ระหว่างนี้ฉันมีของดีจะให้ล่ะ” ต่อให้ได้ยินแบบนั้นก็ตาม
ความสนใจของอลิซยังคงอยู่ที่ลูเซ่เช่นเก่า ไม่ได้หันไปมองอีกฝ่ายที่ไม่รู้ว่ากำลังเดินไปที่ไหน
เพราะตอนนี้สิ่งที่เขาสนมีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
สองมือยื่นออกไปกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้แน่น
“หิวข้าว...” ขณะนึกเป็นกังวลไปต่างๆ
นานา ว่าทำไมลูเซ่ถึงยังไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที ทั้งที่บาดแผลก็หายไปหมดแล้ว เสียงพึมพำจากคนที่หมดสติอยู่ดังแว่วมาให้ได้ยิน
อลิซเงยขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายก็พบว่าเปลือกตาที่ปิดอยู่ ค่อยๆ
ลืมเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นนัยน์ที่กลายเป็นสีแดงเพลิงดูเป็นประกายงดงาม
มือข้างที่เขาไม่ได้กุมเอาไว้ยกขึ้นก่ายหน้าผาก
“หิวข้าวแล้ว... ไม่สิ
นี่ไม่ใช่เวลามาบ่นหิวข้าว อลิซเจ้าเป็นยังไงบ้าง” บ่นหิวข้าวจบ นึกขึ้นได้ว่ายามนี้มันไม่ใช่เวลา
ปากรีบเอ่ยถามถึงสภาพอาการของอลิซโดยทันที พร้อมกับยันตัวลุกขึ้นนั่งไปด้วย
ทว่ายังไม่ทันได้ลุกขึ้นนั่ง
เด็กหนุ่มกลับกระโจนเข้าใส่ทำให้ทั้งคู่ล้มนอนไปด้วยกัน
“ลูเซ่ฟื้นแล้ว!” สองมือกอดรอบคออีกฝ่ายเอาไว้แน่นจนลูเซ่เริ่มรู้สึกอึดอัด ถึงได้ตบเบาๆ
ที่หลังเป็นการบอกให้ปล่อย แล้วเหมือนอลิซเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าเกือบเผลอฆาตกรรมเพื่อนที่พึ่งหายเจ็บ
เขาถึงได้รีบผละออกห่างมานั่งอยู่ข้างๆ โดยไว
“ดูท่าทางคงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรสินะ
แล้วที่นี่ที่ไหน แล้ว... ทำไมอลิซมีสองคน!”
ยันตัวลุกขึ้นนั่งได้เป็นผลสำเร็จ สายตาเริ่มกวาดมองสภาพของอีกฝ่ายที่ดูจากภายนอกแล้วคงไม่เป็นอะไรเสร็จ
หันไปมองสภาพรอบตัวแทนก็พบว่าเขาอยู่ในสถานที่เหมือนคุ้นตาแต่ก็นึกไม่ออกว่ามันคือที่ไหน
จนสายตาได้มาหยุดลงที่ชายคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ แต่พอได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเข้า
ลูเซ่ถึงกับร้องถามเสียงหลง
“ฉันไม่ใช่อลิซหรอกนะ
ถึงหน้าตาจะเหมือนกันมากก็เถอะ เอาล่ะ ท่านผู้กล้ารุ่นปัจจุบัน รับไป”
ปฏิเสธเสียงใสพร้อมโยนอะไรบางอย่างมาให้อลิซ
หมับ!
คว้าเอาไว้ได้ทันก่อนที่มันจะตกลงพื้น
อลิซถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ก่อนเริ่มยกมันขึ้นมาดูเพื่อสำรวจว่าสิ่งที่อีกฝ่ายโยนมาให้เขาคืออะไร
“อะไรล่ะเนี่ย” ลูเซ่ถามออกมาด้วยความสงสัย
สายตามองลูกแก้วใสขนาดเท่าฝ่ามือ มีทองคำขาวและทองถูกแกะสลักเป็นเถาวัลย์พันอยู่โดยรอบและตามเถาวัลย์เหล่านั้น
มีดอกไม้ขนาดเล็กที่คุ้นเคยกันดีประดับอยู่ด้วย
แม้สีของมันจะกลายเป็นสีตามธรรมชาติ
ไม่ได้เป็นเหมือนกับสร้อยข้อมือของพวกเขาสองคนก็ตาม
“ฉันกับไอ้คุณเพื่อนช่วยกันสร้างขึ้นมาน่ะ
เพราะพอจะเดาได้ว่าสักวันหนึ่ง ผนึกของเฟลอร์ต้องคลายออก” ในขณะที่ลูเซ่กำลังนึกสับสนว่าชื่อที่กล่าวออกมาคือใคร
อลิซที่พอจะรู้อยู่แล้วว่าพูดถึงใคร ก็ว่าถามออกไปถึงความสามารถของสิ่งที่อยู่ในมือทันที
“แล้วมันใช้ทำอะไรครับ”
มองโดยผ่านตาแล้วมันก็เหมือนเป็นแค่สิ่งของธรรมดาที่ดูสวยงามมากชิ้นหนึ่งก็เท่านั้น
นอกเหนือไปจากนี้ อลิซไม่เห็นว่ามันจะดูเป็นอาวุธลับที่ช่วยพวกเขากู้สถานการณ์ได้เลย
“เอาให้มังกรดำกิน
แล้วพลังเวททั้งหมดในตัวมันจะสูญสลายไป
แต่อย่าลืมเอาเลือดของพวกนายสองคนทาไว้ก่อนล่ะ
ส่วนคาถาคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วใช่ไหม ฮ่าๆ”
ลูเซ่พอสรุปได้แล้วว่าสิ่งนี้คืออุปกรณ์เวทที่สร้างโดยผู้กล้ารุ่นแรกและราชาปีศาจรุ่นแรก
กล่าวกันว่ามันมีความสามารถสลายเวทมนตร์ได้ทุกชนิดแต่นั่นก็เป็นแค่ตำนานเท่านั้น
ไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องจริง
“นี่ข้าโดนผีหลอกอยู่ใช่ไหม
ถึงขนาดได้ของในตำนานที่ถูกคิดว่าไม่มีอยู่จริงมาด้วยเนี่ย”
ในขณะที่ลูเซ่ถามออกมาอย่างนี้ อลิซกลับคิดไปอีกเรื่องแทน
“เรื่องที่พวกเราควรสนใจ
ไม่ใช่เรื่องคาถาที่พวกเราไม่รู้เหรอครับ” สิ้นคำถามนี้เท่านั้นแหละ
ลูเซ่พึ่งคิดได้ในทันทีว่าพวกเขายังไม่รู้คาถาที่ใช้คู่กับอุปกรณ์เวท
สายตาตวัดหันไปมองหน้าคนที่มอบของสิ่งนี้ให้หวังเอ่ยถาม ทว่าชายผู้นั้นกลับหายไปเสียแล้ว
“เต็มๆ เลย ผีหลอกแน่นอน”
ฟันธงได้เกินร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่าพวกเขาคงโดนผีหลอกจริง
แต่เรื่องนั่นอลิซรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรใส่ใจ
“ยังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย
ชื่อก็ยังไม่ได้ถามด้วย” มาตอนนี้ลูเซ่เริ่มรู้สึกแล้วว่าพวกเขาสองคน ไม่มีใครคิดสนใจประเด็นที่ควรสนอย่างจริงจังกันสักคน
“เอาเป็นว่าพวกเรากลับไปก่อนก็แล้วกัน
ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าพวกเรอเน่จะเป็นยังไงแล้วบ้าง”
อลิซพยักหน้ารับเป็นการตอบตกลงในทันที เพราะพอลูเซ่พูดออกมาแบบนี้
เขาก็พึ่งคิดได้ว่าก่อนจากมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ พวกเขากำลังต่อสู้อยู่กับมังกรดำ
“ถือลูกแก้วเอาไว้ดีๆ ล่ะ”
มือข้างหนึ่งประคองถือลูกแก้วที่ได้รับมาเอาไว้มั่น ส่วนอีกข้างก็ยื่นออกไปจับมือที่ส่งมาเอาไว้แน่น
เพียงพริบตาเท่านั้นที่เขากระพริบตา ภาพตรงหน้าได้แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
จากสถานที่ในความทรงจำที่เคยสวยงาม บัดนี้กลับไหม้เกรียมไปหมดจนแทบไม่หลงเหลือเค้าเดิม
แต่ดูเหมือนตัวคฤหาสน์จะยังคงปลอดภัยดีทุกประการ
ถึงแม้ว่าสวนโดยรอบจะไหม้ไปหมดแล้วก็เถอะ พอเห็นสภาพแบบนี้เข้า
อลิซรีบมองหาพวกเรอเน่โดยทันที
“เจ้าพวกนั้นคงไม่เป็นอะไรหรอก”
คำพูดฟังดูเหมือนไม่สนใจว่าคนอื่นว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง
มันทำให้อลิซนึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อย ก่อนได้ยินเสียงคุ้นเคยดังทะเลาะกันมาแต่ไกล
พอมองตามไปก็เห็นร่างบางของเด็กสาวที่ลอยตัวอยู่บนอากาศได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ก็บอกแล้วไง
ใช้ภาพมายาไปก็ไม่มีความหมาย!” เด็กสาวตะโกนว่าออกไปจบ
พริบตาที่อลิซเห็นร่างมังกรดำถูกเปลวเพลิงสีแดงสดลุกไหม้และจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ราวกับว่าเวทมนตร์ของเด็กสาวไม่อาจทำอะไรมันได้
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ขำๆ ดีออกครับ”
ในสถานการณ์ระหว่างความเป็นความตายแบบนี้ เรอเน่ที่ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนตะโกนตอบออกไปอย่างสบายอารมณ์
แล้วเหมือนอลิซจะรู้สึกว่าเห็นตามตัวมังกรสีดำมีดอกไม้ขึ้นตามตัวเต็มไปหมดอีกด้วย
“ขำบ้าอะไรกันมี้! ไม่ช่วยก็อย่าสร้างปัญญา ไอ้ตัวไร้ประโยชน์”
ขณะยกมือขึ้นขยี้ตาแล้วมองตรงไปที่มังกรดำอีกครั้ง
อลิซพบว่าตัวมังกรกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว
“ถ้าบอกว่าข้าไร้ประโยชน์
ตัวท่านไม่ไร้ประโยชน์มากกว่าหรือไงครับ ร่างกายตัวเองแท้ๆ
แต่กลับไม่รู้วิธีจัดการ” จังหวะนั่นก็เห็นสายฟ้าจำนวนหนึ่งฝ่าลงมากลางตัวมังกรดำพอดิบพอดี
ทว่าสภาพของมันยังคงยืนเป็นสง่าได้อยู่ แสดงว่าสายฟ้าเหล่านั้นคงไม่อาจทำอันตรายอะไรได้
“ต่อให้เป็นเรื่องของตัวเองก็เถอะ
แต่ใช่ว่าจำเป็นต้องรู้หมดทุกอย่างเสียหน่อยมี้!”
รู้สึกว่ายิ่งปล่อยสองคนนั้นไปมากเท่าไร ก็ยิ่งจะทะเลาะกันมากขึ้นเท่านั้น
แล้วถ้าหากเวลาผ่านไปมากกว่านี้
อลิซเริ่มคิดว่าบางทีสองคนนั้นคงจะหันมาสู้กันเองแทน
“ลูเซ่ครับ”
และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเหล่านั้นขึ้น อลิซคิดว่าทางที่ดีที่สุดควรส่งตัวบุคคลที่สามอย่างลูเซ่เข้าไปช่วย
“เล่นกันท่าทางน่าสนุกใหญ่เลย
ข้าไปร่วมด้วยดีไหม” จากคำถามนี้ อลิซคาดว่าแทนที่เรื่องจะดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น
ไม่แน่ว่าอาจจะเลวร้ายลงจนถึงที่สุดก็เป็นได้ เขาถึงได้เผลอถอนหายใจออกมาแผ่วเบา แล้วยื่นลูกแก้วในมือให้
“ผมจะช่วยเท่าที่ช่วยได้นะครับ”
แล้วกล่าวคำนี้ออกไป
แสดงถึงความตั้งใจที่จะกำราบมังกรดำของตัวเองออกมาแม้จะไม่สามารถทำอะไรให้ได้มากก็ตาม
ลูเซ่เองก็เลิกเล่นแล้วรับลูกแก้วในมืออลิซมาถือเอาไว้ แต่ก่อนจะเดินจากไปและเข้าร่วมวงการต่อสู้
เด็กหนุ่มรีบคว้าร่างอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
“มีอะไรอีก”
เอ่ยถามออกไปด้วยความแปลกใจแต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบเป็นคำพูด
การกระทำกลับมาก่อนเสียแล้ว อลิซคว้ามือข้างหนึ่งของลูเซ่ขึ้นมาแล้วเอามือของตัวเองกรีดเข้ากับกรงเล็บแหลมจนเลือดออก
สร้างความแตกตื่นให้กับอีกฝ่ายเป็นอย่างมากจนเผลอยืนนิ่ง ไม่ได้ชักมือกลับ
“สิ่งที่ผมทำให้ได้ คงมีแค่นี้”
อลิซพูดออกมาเสียงแผ่วพร้อมเอามือข้างที่ถูกกรงเล็บกรีดจนเป็นแผลไปวางไว้บนลูกแก้ว
ทว่ายังไม่ทันที่ฝ่ามือของเขาจะสัมผัสโดนลูกแก้ว มือของเขากลับถูกอะไรบางอย่างช็อตเบาๆ
แต่แรงช็อตนั่นก็ยังมีผลมากพอที่จะทำให้มือเขาเด้งกลับ
“ทำไม...”
ไม่ใช่แค่อลิซที่นึกสงสัยจนหลุดคำพูดนี้ออกมา
ลูเซ่ที่มองอยู่เองก็นึกสงสัยไม่แพ้กัน สายตาสองคู่หันมาสบมองกันด้วยความมึนงง
ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ใจต่อให้นึกอยากถามหาเหตุผลแต่คนที่รู้เรื่องนี้กลับไม่มีเลย
“เจ้านั่นอาจโก...”
“ไม่ได้โกหกหรอกนะ
แต่ถ้าเลือดของราชากับผู้กล้าไม่สัมผัสลงบนลูกแก้วพร้อมกัน มันก็ไร้ความหมาย
แล้วถ้าเอาเลือดไปทาไว้แล้วแต่ไม่โยนเข้าปากมังกรดำทันที มันก็ไม่มีผลอีกเช่นกัน”
เตรียมกล่าวหาคนที่ให้ของชิ้นนี้มายังไม่ทันจบประโยคดีเลยด้วยซ้ำ
ผู้เป็นเจ้าของก็โผล่มาเอ่ยตอบเสียเอง
“โชคดีนะ”
หันขวับกลับไปมองทางด้านหลังอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทันเห็นคนที่คิดว่าหายไปแล้วโผล่มาอธิบายถึงข้อสงสัยของพวกเขาจบ อีกฝ่ายกล่าวลาพวกเขาเสร็จก็รีบจากหายไปในทันที
ทั้งสองถึงกับยืนนิ่งไปพักใหญ่แล้วถึงหันหน้ามามองตากัน
“ตามนั้นสินะ”
“ก็คงต้องตามนั้นครับ”
ในเมื่อผู้สร้างโผล่มาบอกให้ฟังทั้งที
พวกเขาก็คงไม่อาจหาทางปฏิเสธได้อีก
นอกจากให้อลิซขึ้นขี่หลังตัวเองแล้วเริ่มออกบินตรงเข้าไปในเขตต่อสู้ทันที
เมื่อพวกเขากลับมาร่วมวงด้วยอีกครั้ง
ก็พบว่าเซสเซอร์ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศกับเรอเน่ที่ยืนอยู่บนพื้นด้านล่าง
ท่าทางทั้งสองเริ่มเหนื่อยกันแล้วแถมตามตัวเริ่มปรากฏบาดแผลเล็กน้อยขึ้นอีก
ดูจากสภาพทั้งสอง
พอทำให้คาดได้ว่าในอีกไม่ช้าก็เร็ว
ทั้งเซสเซอร์และเรอเน่คงจะร่วมต่อสู้ไม่ไหวอีกต่อไป
ในขณะที่มังกรดำดูท่าทางไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
ในทางกลับกันมันยังคงพยายามบินขึ้นฟ้าหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ถูกสายลมรุนแรงที่เด็กสาวเรียกมาสกัดเอาไว้ได้ทุกครั้งเช่นกัน
“คาถาอะไรนั้นไม่ต้องสนใจหรอก
ตอนนี้ทำสิ่งที่พวกเรารู้ไปก่อนก็พอ”
กระซิบบอกอลิซเสียงแผ่วขณะพยายามบินเข้าไปใกล้ตัวเด็กสาวอย่างรวดเร็ว
สายตาก็คอยมองมังกรดำที่ไม่รู้ว่าจะโจมตีพวกเขามาเมื่อไรไปด้วย
“ครับ” ตะโกนตอบแข่งกับสายลม
มือข้างหนึ่งก็พยายามกอดลูกแก้วในมือเอาไว้แน่น
ส่วนมือข้างที่เจ็บอยู่ก็พยายามเกาะอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ให้ตัวเองตก
เปลือกตาแทบลืมไม่ขึ้นเพราะแรงลมที่ปะทะมา
ทำให้เขามองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเช่นไร แต่สัญชาตญาณกลับยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม
“หลบ!” ตะโกนบอกหลบ
ลูเซ่ที่บินเข้ามามาประชิดตัวเด็กสาวได้แล้วรีบใช้เวทเคลื่อนย้ายโดยฉับพลันอย่างไม่คิดอะไรทั้งสิ้น
รู้สึกตัวอีกทีก็มาปรากฏกายอยู่ข้างเรอเน่กันอย่างพร้อมหน้า
พอเงยหน้าขึ้นมองด้านบนตรงตำแหน่งที่พวกเขาเคยอยู่
ทันเห็นเปลวเพลิงสีนิลสายหนึ่งพอดี
รู้ได้โดยไม่ต้องมีใครเอ่ยบอกว่ามังกรดำคงพ่นไฟออกมาอีกแล้ว
“พวกเจ้าสองคนขอความร่วมมือด้วย
เซสเซอร์ เจ้าช่วยใช้เวทธาตุดินหยุดการเคลื่อนไหวของมัน
เรอเน่เจ้าช่วยงัดปากมันที” เอ่ยขอความร่วมมือคนอื่นแต่ทั้งคำพูดและน้ำเสียงที่เอ่ยใช้
อลิซรู้สึกว่ามันฟังดูเหมือนคำสั่งเสียมากกว่า ทว่าคนทั้งสองกลับยอมรับคำแต่โดยดี
“รับทราบท่านลูเซ่”
กรณีของเรอเน่คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะอีกฝ่ายเป็นพ่อบ้านประจำตัวลูเซ่อยู่แล้ว
แต่พอเห็นเซสเซอร์พยักหน้ารับโดยไม่ปริปากบ่นอะไรออกมาสักคำ อลิซอดนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยแต่ในเวลาแบบนี้
คงไม่ใช่เวลามาถามเรื่องไร้สาระ
“อลิซเตรียมตัวพร้อมนะ”
ตกลงหน้าที่กันเสร็จว่าใครจะทำอะไร
ลูเซ่หันมาถามอลิซที่ยังเกาะหลังเขาอยู่ด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
จนทุกคนที่เตรียมพร้อมไปทำตามหน้าที่ของตัวเองกันแล้ว
ถึงกับหันมามองคนทั้งสองเป็นตาเดียวกัน
”ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องของผมหรอกครับ
ผมจะพยายามช่วยให้จนถึงที่สุด ถึงแม้จะช่วยอะไรไม่ได้มากก็ตาม”
อาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่เผลอแสดงออกถึงความรู้สึกออกไป อลิซถึงได้ตอบสิ่งที่เขานึกกังวลอยู่ภายในใจเสียมากกว่าคำถามที่เอ่ยถามออกไป
“แน่ใจนะ
เจ้าจะหนีไปตอนนี้ก็ยังทันนะ” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าอลิซจะไม่เปลี่ยนใจแน่แล้ว
และพอหันไปมองใบหน้าของอีกฝ่าย
ก็พบว่าบนใบหน้าของเด็กหนุ่มยังคงมีรอยยิ้มบางประดับอยู่เช่นเก่า ดูเหมือนไม่กลัวแต่แววตาที่สะท้อนออกมานั่น
แสดงให้รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกกลัวขนาดไหน แม้ภายนอกจะดูเข้มแข็งก็ตาม
“เป็นเพื่อนกันก็ต้องช่วยในยามยากลำบากสิครับ”
นิ่งชะงักไปกับคำตอบที่ได้รับฟัง
ก่อนรอยยิ้มบางจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้วหันมาเอ่ยบอกกับคนทั้งสองที่เตรียมพร้อมรออยู่ก่อนแล้ว
“ไปกันเถอะ” สิ้นคำ
เซสเซอร์ที่รอสัญญาณบอกเริ่มอยู่นาน เริ่มร่ายคาถาออกมาในทันที
ทว่าครั้งนี้ใช้เวลานานผิดปกติ ในขณะที่ลูเซ่เปลี่ยนตำแหน่งอุ้มอลิซใหม่
จากให้ขี่หลังก็กลายเป็นกอดเอวอีกฝ่ายแทน
ส่วนเรอเน่เพียงจับมืออีกฝ่ายเอาไว้ให้มั่น เขาก็รีบกระโจนตัวขึ้นสู่ท้องฟ้ากว้างในทันที
เมื่อออกบินขึ้นมาอยู่บนฟ้าแล้ว
ร่างของมังกรสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ปรากฏแก่สายตาในทันที
ทว่าร่างกายของมันหลายส่วนเริ่มเปลี่ยนสีกลายเป็นสีเทาไปอย่างรวดเร็ว
ล่วงรู้ได้เลยว่าเซสเซอร์คงกำลังตั้งใจสาปอีกฝ่ายให้กลายเป็นหิน ในช่วงระหว่างที่มังกรดำไม่สามารถขยับตัวได้
ลูเซ่รีบบินเข้าประชิดแล้วปล่อยเรอเน่ลงในตำแหน่งหัวของมัน
ส่วนตัวก็รีบพาอลิซบินถอยออกห่างอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมการในขั้นถัดไป
“พร้อมนะ”
มืออีกข้างกอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้มั่นเพื่อไม่ให้ตก
ส่วนมือข้างที่วางอยู่ก็ใช้เขี้ยวตัวเองกัดที่ฝ่ามือตัวเองจนเลือดเริ่มซึมผ่านเกล็ดออกมาเล็กน้อย
พอตัวเองเตรียมการเสร็จแล้วก็หันมาถามอลิซที่ดูเตรียมพร้อมก่อนเขานานแล้ว
“ครับ”
อลิซยื่นลูกแก้วออกมาตรงหน้าพร้อมกันนั่น ทั้งสองได้ประทับฝ่ามือลงพร้อมเพียงกัน
ทันใดนั้นก็ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ลูกแก้วที่ถูกทำขึ้นอย่างปราณี
ปรากฏข้อความหนึ่งขึ้น
...สิ่งที่ราชาปีศาจมองเห็นในตัวผู้กล้างั้นเหรอ...
อ่านข้อความจบก็หันมามองหน้าคนที่เขาเลือกเป็นผู้กล้าในทันที
ก็พบว่าอลิซหันมามองหน้าเขาอยู่ก่อนแล้วแต่ด้วยสีหน้าแสดงความแตกตื่น
“ลูเซ่ครับ เรอเน่เขาจะทนไม่ไวแล้วนะครับ
ถ้าไม่หาคาถาล่ะก็...”
...มองไม่เห็นงั้นเหรอ...
คำพูดของอลิซแทบกลายเป็นลมผ่านหูเขาไป
ในเมื่อตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของลูเซ่ ตกมาอยู่ที่ข้อความที่ปรากฏขึ้นจนหมดและดูเหมือนเด็กหนุ่มจะมองไม่เห็นมัน
เขาถึงต้องเป็นคนคิดหาคนตอบเพียงลำพัง แต่จะว่าไปแล้วคำถามนี้บางทีอาจมีเพียงเขาที่ตอบได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
...สิ่งที่ข้ามองเห็นในตัวอลิซงั้นเหรอ...
ความหมายของคำถามที่สามารถตีความไปได้อย่างหลากหลาย
ทว่ากับลูเซ่แล้วกลับล่วงรู้คำตอบเหล่านั้นได้อย่างน่าประหลาด
รอยยิ้มบางแย้มขึ้นบนใบหน้า มือก็แย่งเอาลูกแก้วที่อลิซถืออยู่มาไว้ในมือตัวเองก่อนโยนเข้าปากที่เรอเน่ช่วยบังคับทำให้มันอ้าอยู่ก่อนไปโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
“ลูเซ่!” ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่ากำลังตื่นตกใจ
การกระทำนี้ของเขาคงสร้างความตกใจให้อยู่ไม่น้อย แต่ยามนี้เขากลับไม่ได้สนใจ
สายตามองลูกแก้วที่หายเข้าไปในปากกว้างของมังกรดำอย่างเชื่องช้า ริมฝีปากคลี่รอยยิ้มขึ้นอย่างเบาบางแล้วกระซิบถ้อยคำออกไปเสียงแผ่ว
จนแม้แต่คนที่อยู่ใกล้เขาอย่างอลิซก็ยังไม่ได้ยิน
“ความอ่อนโยนยังไงล่ะ”
อ่อนแอ ไร้ซึ่งกำลังใด
ไม่ได้มีพลังพิเศษหรือของวิเศษอะไร ทว่ากลับไม่ยอมแพ้และหนีจากไป อีกทั้งอยู่ด้วยจนถึงที่สุด
นั่นคือความเข้มแข็งตามแบบฉบับของอลิซ มันเป็นความเข้มแข็งที่เรียกว่าความอ่อนโยน
นั่นแหละคือสิ่งที่เขาเห็นมันในตัวผู้กล้าของเขา
เพล้ง!
เพียงพริบตา
ลูกแก้วที่โยนเข้าไปในปากของมังกรดำแตกสลายแล้วปรากฏแสงสว่างสีขาวขึ้นไปทั่ว
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกย้อมไปด้วยสีขาวโพลนจนมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายใต้แสงสว่างนี้ก็ด้วย...
มุมน้ำชา
บทสรุปได้มาถึงแล้วค่ะ มังกรถูกปราบลงแล้ว เหลืออีกเพียงสองตอนเท่านั้น เรื่องนี้ก็จะได้ปิดตัวลงแล้วค่ะ แต่กว่าจะเขียนจนจบเรื่องนี้ก็นานพอตัวเลย กว่าจะมาอัพทีก็เดือนละครั้งบ้าง มีหายไปบ้างเพราะมั่วแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องร้านคำอธิษฐานอยู่ แฮะ แต่ก็มาถึงช่วงสุดท้ายกันแล้วล่ะน่ะ!
ความคิดเห็น