ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Superior Tales} เงื่อนไขการเป็นผู้กล้า (แบบนี้ก็มีด้วย)

    ลำดับตอนที่ #15 : เงื่อนไขข้อที่ 14 : ความอ่อนโยน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 45
      0
      23 เม.ย. 59

    เงื่อนไขข้อที่ 14 : ความอ่อนโยน

     

    เมื่อเงยหน้าขึ้นมองหาเสียงเอ่ยทัก ก็พบว่าตรงกลางของสถานที่แห่งนี้ เคยจำได้ว่ามีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ บัดนี้ได้กลายเป็นใครบางคนที่ดูคุ้นหน้ากันดีแทน แม้จะไม่เคยรู้จักนามของอีกฝ่ายมาก่อน แม้จะไม่เคยได้พูดคุยกันเลยสักครั้ง ทว่าด้วยใบหน้าที่เหมือนกันราวกับแกะ น้ำเสียงที่ฟังดูทุ้มต่ำกว่าตัวเขาและภาพความทรงจำที่พึ่งได้พบเห็นเมื่อไม่นานมานี้ อลิซรู้ว่าคนตรงหน้าคือใคร เขาถึงรู้สึกตกใจจนเผลอตัวปล่อยมือลูเซ่

    ตุบ...

    “แย่แล้ว!” เลิกสนใจคนตรงหน้าไปสนิทใจแล้วรีบก้มลงมองคนที่ตัวเองพึ่งปล่อยร่วงไปนอนกับพื้นด้วยความแตกตื่น สองมือที่เริ่มปวดจนชาพลิกร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่ขึ้น สายตาไล่กวาดมองสำรวจสภาพอาการของอีกฝ่ายก็พบว่ามันไม่ได้แย่ลงหรือว่าดีขึ้นเลย

    “อลิซ พาเขามานอนตรงนี้สิ เดี๋ยวฉันช่วยรักษาเขาเอง” คนที่ถูกลืมไปชั่วขณะเอ่ยบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมขยับกายออกจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ไปเล็กน้อย มือผายออกไปทางด้านข้าง ราวกับต้องการบอกกับเขาให้รู้ว่าตำแหน่งที่ควรพาลูเซ่ไปคือที่ไหน

    “รักษา... คุณเป็น... มนุษย์ไม่ใช่เหรอครับ” เลือกถามออกไปด้วยความไม่มั่นใจ สายตาก็มองสำรวจร่างกายของอีกฝ่ายที่ดูยังไงก็เป็นคนปกติ

    “อืม... เรียกว่าเป็นผีดีกว่านะ แต่ไม่ต้องห่วง พรที่ได้มาตอนยังมีชีวิตน่ะ ยังคงมีอยู่ล่ะ” ว่าด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริงผิดกับคำพูดที่กล่าวออกมา อลิซนิ่งคิดไปเล็กน้อยถึงสิ่งที่ได้ยิน ก่อนนึกขึ้นได้ว่าพรที่อีกฝ่ายพูดถึงคืออะไร เด็กหนุ่มรีบแบกร่างสูงขึ้นหลังและพามานอนอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายโดยไว

    “พรนี่หมายถึงผู้ที่มีพลังพิเศษสินะครับ แต่ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ตายไปแล้วเช่นคุณจะยังมีมันอยู่” พรที่อีกฝ่ายพูดถึงคือสิ่งที่ใช้เรียกผู้มีพลังพิเศษ กล่าวกันว่าในรอบหนึ่งร้อยปีจะมีเพียงเจ็ดคนที่ได้รับมัน และคนตรงหน้าที่เป็นผู้กล้ารุ่นแรก ต่อให้เป็นคนประเภทนั่นจริง ทว่าเจ้าตัวตายไปแล้ว พรเหล่านั้นก็ควรหายไปด้วย

    “ก็ไม่รู้สินะ” คำตอบสบายๆ พร้อมกับยื่นมือไปจับมือลูเซ่เอาไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็ยื่นมาจับมืออลิซเอาไว้มั่น เด็กหนุ่มได้แต่มองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยความงวยงง แต่ทันใดนั้น แสงสว่างสีขาวนวลส่องสว่างออกมาจากมือที่จับพวกเขาเอาไว้อยู่

    ความเจ็บปวดที่ได้รับเริ่มบรรเทาลงจนจางหายไปในที่สุด แล้วพอหันไปมองทางลูเซ่ บาดแผลตามตัวกลับจางหายไปจนแทบไม่เหลือร่องรอยใดที่บ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวเคยบาดเจ็บสาหัสมาก่อน เห็นแบบนี้เข้าก็รู้สึกโล่งอกไปเล็กน้อยแต่อีกใจก็ยังคงเป็นกังวลอีกอยู่ดี ในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ลืมตาขึ้นมาเลย

    “เสร็จแล้ว!” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความภูมิใจ แต่อลิซก็แทบไม่ได้ให้ความสนใจคนที่ช่วยรักษาพวกเขาให้เลย สายตายังคงจับจ้องอยู่ลูเซ่

    “เดี๋ยวก็ฟื้นน่า ระหว่างนี้ฉันมีของดีจะให้ล่ะ” ต่อให้ได้ยินแบบนั้นก็ตาม ความสนใจของอลิซยังคงอยู่ที่ลูเซ่เช่นเก่า ไม่ได้หันไปมองอีกฝ่ายที่ไม่รู้ว่ากำลังเดินไปที่ไหน เพราะตอนนี้สิ่งที่เขาสนมีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น สองมือยื่นออกไปกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้แน่น

    “หิวข้าว...” ขณะนึกเป็นกังวลไปต่างๆ นานา ว่าทำไมลูเซ่ถึงยังไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที ทั้งที่บาดแผลก็หายไปหมดแล้ว เสียงพึมพำจากคนที่หมดสติอยู่ดังแว่วมาให้ได้ยิน อลิซเงยขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายก็พบว่าเปลือกตาที่ปิดอยู่ ค่อยๆ ลืมเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นนัยน์ที่กลายเป็นสีแดงเพลิงดูเป็นประกายงดงาม มือข้างที่เขาไม่ได้กุมเอาไว้ยกขึ้นก่ายหน้าผาก

    “หิวข้าวแล้ว... ไม่สิ นี่ไม่ใช่เวลามาบ่นหิวข้าว อลิซเจ้าเป็นยังไงบ้าง” บ่นหิวข้าวจบ นึกขึ้นได้ว่ายามนี้มันไม่ใช่เวลา ปากรีบเอ่ยถามถึงสภาพอาการของอลิซโดยทันที พร้อมกับยันตัวลุกขึ้นนั่งไปด้วย ทว่ายังไม่ทันได้ลุกขึ้นนั่ง เด็กหนุ่มกลับกระโจนเข้าใส่ทำให้ทั้งคู่ล้มนอนไปด้วยกัน

    “ลูเซ่ฟื้นแล้ว!” สองมือกอดรอบคออีกฝ่ายเอาไว้แน่นจนลูเซ่เริ่มรู้สึกอึดอัด ถึงได้ตบเบาๆ ที่หลังเป็นการบอกให้ปล่อย แล้วเหมือนอลิซเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าเกือบเผลอฆาตกรรมเพื่อนที่พึ่งหายเจ็บ เขาถึงได้รีบผละออกห่างมานั่งอยู่ข้างๆ โดยไว

    “ดูท่าทางคงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรสินะ แล้วที่นี่ที่ไหน แล้ว... ทำไมอลิซมีสองคน!” ยันตัวลุกขึ้นนั่งได้เป็นผลสำเร็จ สายตาเริ่มกวาดมองสภาพของอีกฝ่ายที่ดูจากภายนอกแล้วคงไม่เป็นอะไรเสร็จ หันไปมองสภาพรอบตัวแทนก็พบว่าเขาอยู่ในสถานที่เหมือนคุ้นตาแต่ก็นึกไม่ออกว่ามันคือที่ไหน จนสายตาได้มาหยุดลงที่ชายคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ แต่พอได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเข้า ลูเซ่ถึงกับร้องถามเสียงหลง

    “ฉันไม่ใช่อลิซหรอกนะ ถึงหน้าตาจะเหมือนกันมากก็เถอะ เอาล่ะ ท่านผู้กล้ารุ่นปัจจุบัน รับไป” ปฏิเสธเสียงใสพร้อมโยนอะไรบางอย่างมาให้อลิซ

    หมับ!

    คว้าเอาไว้ได้ทันก่อนที่มันจะตกลงพื้น อลิซถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนเริ่มยกมันขึ้นมาดูเพื่อสำรวจว่าสิ่งที่อีกฝ่ายโยนมาให้เขาคืออะไร

    “อะไรล่ะเนี่ย” ลูเซ่ถามออกมาด้วยความสงสัย สายตามองลูกแก้วใสขนาดเท่าฝ่ามือ มีทองคำขาวและทองถูกแกะสลักเป็นเถาวัลย์พันอยู่โดยรอบและตามเถาวัลย์เหล่านั้น มีดอกไม้ขนาดเล็กที่คุ้นเคยกันดีประดับอยู่ด้วย แม้สีของมันจะกลายเป็นสีตามธรรมชาติ ไม่ได้เป็นเหมือนกับสร้อยข้อมือของพวกเขาสองคนก็ตาม

    “ฉันกับไอ้คุณเพื่อนช่วยกันสร้างขึ้นมาน่ะ เพราะพอจะเดาได้ว่าสักวันหนึ่ง ผนึกของเฟลอร์ต้องคลายออก” ในขณะที่ลูเซ่กำลังนึกสับสนว่าชื่อที่กล่าวออกมาคือใคร อลิซที่พอจะรู้อยู่แล้วว่าพูดถึงใคร ก็ว่าถามออกไปถึงความสามารถของสิ่งที่อยู่ในมือทันที

    “แล้วมันใช้ทำอะไรครับ” มองโดยผ่านตาแล้วมันก็เหมือนเป็นแค่สิ่งของธรรมดาที่ดูสวยงามมากชิ้นหนึ่งก็เท่านั้น นอกเหนือไปจากนี้ อลิซไม่เห็นว่ามันจะดูเป็นอาวุธลับที่ช่วยพวกเขากู้สถานการณ์ได้เลย

    “เอาให้มังกรดำกิน แล้วพลังเวททั้งหมดในตัวมันจะสูญสลายไป แต่อย่าลืมเอาเลือดของพวกนายสองคนทาไว้ก่อนล่ะ ส่วนคาถาคงจะรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วใช่ไหม ฮ่าๆ” ลูเซ่พอสรุปได้แล้วว่าสิ่งนี้คืออุปกรณ์เวทที่สร้างโดยผู้กล้ารุ่นแรกและราชาปีศาจรุ่นแรก กล่าวกันว่ามันมีความสามารถสลายเวทมนตร์ได้ทุกชนิดแต่นั่นก็เป็นแค่ตำนานเท่านั้น ไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องจริง

    “นี่ข้าโดนผีหลอกอยู่ใช่ไหม ถึงขนาดได้ของในตำนานที่ถูกคิดว่าไม่มีอยู่จริงมาด้วยเนี่ย” ในขณะที่ลูเซ่ถามออกมาอย่างนี้ อลิซกลับคิดไปอีกเรื่องแทน

    “เรื่องที่พวกเราควรสนใจ ไม่ใช่เรื่องคาถาที่พวกเราไม่รู้เหรอครับ” สิ้นคำถามนี้เท่านั้นแหละ ลูเซ่พึ่งคิดได้ในทันทีว่าพวกเขายังไม่รู้คาถาที่ใช้คู่กับอุปกรณ์เวท สายตาตวัดหันไปมองหน้าคนที่มอบของสิ่งนี้ให้หวังเอ่ยถาม ทว่าชายผู้นั้นกลับหายไปเสียแล้ว

    “เต็มๆ เลย ผีหลอกแน่นอน” ฟันธงได้เกินร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่าพวกเขาคงโดนผีหลอกจริง แต่เรื่องนั่นอลิซรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรใส่ใจ

    “ยังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย ชื่อก็ยังไม่ได้ถามด้วย” มาตอนนี้ลูเซ่เริ่มรู้สึกแล้วว่าพวกเขาสองคน ไม่มีใครคิดสนใจประเด็นที่ควรสนอย่างจริงจังกันสักคน

    “เอาเป็นว่าพวกเรากลับไปก่อนก็แล้วกัน ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าพวกเรอเน่จะเป็นยังไงแล้วบ้าง” อลิซพยักหน้ารับเป็นการตอบตกลงในทันที เพราะพอลูเซ่พูดออกมาแบบนี้ เขาก็พึ่งคิดได้ว่าก่อนจากมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ พวกเขากำลังต่อสู้อยู่กับมังกรดำ

    “ถือลูกแก้วเอาไว้ดีๆ ล่ะ” มือข้างหนึ่งประคองถือลูกแก้วที่ได้รับมาเอาไว้มั่น ส่วนอีกข้างก็ยื่นออกไปจับมือที่ส่งมาเอาไว้แน่น เพียงพริบตาเท่านั้นที่เขากระพริบตา ภาพตรงหน้าได้แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากสถานที่ในความทรงจำที่เคยสวยงาม บัดนี้กลับไหม้เกรียมไปหมดจนแทบไม่หลงเหลือเค้าเดิม แต่ดูเหมือนตัวคฤหาสน์จะยังคงปลอดภัยดีทุกประการ ถึงแม้ว่าสวนโดยรอบจะไหม้ไปหมดแล้วก็เถอะ พอเห็นสภาพแบบนี้เข้า อลิซรีบมองหาพวกเรอเน่โดยทันที

    “เจ้าพวกนั้นคงไม่เป็นอะไรหรอก” คำพูดฟังดูเหมือนไม่สนใจว่าคนอื่นว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง มันทำให้อลิซนึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อย ก่อนได้ยินเสียงคุ้นเคยดังทะเลาะกันมาแต่ไกล พอมองตามไปก็เห็นร่างบางของเด็กสาวที่ลอยตัวอยู่บนอากาศได้อย่างน่าอัศจรรย์

    “ก็บอกแล้วไง ใช้ภาพมายาไปก็ไม่มีความหมาย!” เด็กสาวตะโกนว่าออกไปจบ พริบตาที่อลิซเห็นร่างมังกรดำถูกเปลวเพลิงสีแดงสดลุกไหม้และจางหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเวทมนตร์ของเด็กสาวไม่อาจทำอะไรมันได้

    “ไม่เห็นเป็นไรเลย ขำๆ ดีออกครับ” ในสถานการณ์ระหว่างความเป็นความตายแบบนี้ เรอเน่ที่ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนตะโกนตอบออกไปอย่างสบายอารมณ์ แล้วเหมือนอลิซจะรู้สึกว่าเห็นตามตัวมังกรสีดำมีดอกไม้ขึ้นตามตัวเต็มไปหมดอีกด้วย

    “ขำบ้าอะไรกันมี้! ไม่ช่วยก็อย่าสร้างปัญญา ไอ้ตัวไร้ประโยชน์” ขณะยกมือขึ้นขยี้ตาแล้วมองตรงไปที่มังกรดำอีกครั้ง อลิซพบว่าตัวมังกรกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว

    “ถ้าบอกว่าข้าไร้ประโยชน์ ตัวท่านไม่ไร้ประโยชน์มากกว่าหรือไงครับ ร่างกายตัวเองแท้ๆ แต่กลับไม่รู้วิธีจัดการ” จังหวะนั่นก็เห็นสายฟ้าจำนวนหนึ่งฝ่าลงมากลางตัวมังกรดำพอดิบพอดี ทว่าสภาพของมันยังคงยืนเป็นสง่าได้อยู่ แสดงว่าสายฟ้าเหล่านั้นคงไม่อาจทำอันตรายอะไรได้

    “ต่อให้เป็นเรื่องของตัวเองก็เถอะ แต่ใช่ว่าจำเป็นต้องรู้หมดทุกอย่างเสียหน่อยมี้!” รู้สึกว่ายิ่งปล่อยสองคนนั้นไปมากเท่าไร ก็ยิ่งจะทะเลาะกันมากขึ้นเท่านั้น แล้วถ้าหากเวลาผ่านไปมากกว่านี้ อลิซเริ่มคิดว่าบางทีสองคนนั้นคงจะหันมาสู้กันเองแทน

    “ลูเซ่ครับ” และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเหล่านั้นขึ้น อลิซคิดว่าทางที่ดีที่สุดควรส่งตัวบุคคลที่สามอย่างลูเซ่เข้าไปช่วย

    “เล่นกันท่าทางน่าสนุกใหญ่เลย ข้าไปร่วมด้วยดีไหม” จากคำถามนี้ อลิซคาดว่าแทนที่เรื่องจะดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะเลวร้ายลงจนถึงที่สุดก็เป็นได้ เขาถึงได้เผลอถอนหายใจออกมาแผ่วเบา แล้วยื่นลูกแก้วในมือให้

    “ผมจะช่วยเท่าที่ช่วยได้นะครับ” แล้วกล่าวคำนี้ออกไป แสดงถึงความตั้งใจที่จะกำราบมังกรดำของตัวเองออกมาแม้จะไม่สามารถทำอะไรให้ได้มากก็ตาม ลูเซ่เองก็เลิกเล่นแล้วรับลูกแก้วในมืออลิซมาถือเอาไว้ แต่ก่อนจะเดินจากไปและเข้าร่วมวงการต่อสู้ เด็กหนุ่มรีบคว้าร่างอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน

    “มีอะไรอีก” เอ่ยถามออกไปด้วยความแปลกใจแต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบเป็นคำพูด การกระทำกลับมาก่อนเสียแล้ว อลิซคว้ามือข้างหนึ่งของลูเซ่ขึ้นมาแล้วเอามือของตัวเองกรีดเข้ากับกรงเล็บแหลมจนเลือดออก สร้างความแตกตื่นให้กับอีกฝ่ายเป็นอย่างมากจนเผลอยืนนิ่ง ไม่ได้ชักมือกลับ

    “สิ่งที่ผมทำให้ได้ คงมีแค่นี้” อลิซพูดออกมาเสียงแผ่วพร้อมเอามือข้างที่ถูกกรงเล็บกรีดจนเป็นแผลไปวางไว้บนลูกแก้ว ทว่ายังไม่ทันที่ฝ่ามือของเขาจะสัมผัสโดนลูกแก้ว มือของเขากลับถูกอะไรบางอย่างช็อตเบาๆ แต่แรงช็อตนั่นก็ยังมีผลมากพอที่จะทำให้มือเขาเด้งกลับ

    “ทำไม...” ไม่ใช่แค่อลิซที่นึกสงสัยจนหลุดคำพูดนี้ออกมา ลูเซ่ที่มองอยู่เองก็นึกสงสัยไม่แพ้กัน สายตาสองคู่หันมาสบมองกันด้วยความมึนงง ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ใจต่อให้นึกอยากถามหาเหตุผลแต่คนที่รู้เรื่องนี้กลับไม่มีเลย

    “เจ้านั่นอาจโก...”

    “ไม่ได้โกหกหรอกนะ แต่ถ้าเลือดของราชากับผู้กล้าไม่สัมผัสลงบนลูกแก้วพร้อมกัน มันก็ไร้ความหมาย แล้วถ้าเอาเลือดไปทาไว้แล้วแต่ไม่โยนเข้าปากมังกรดำทันที มันก็ไม่มีผลอีกเช่นกัน” เตรียมกล่าวหาคนที่ให้ของชิ้นนี้มายังไม่ทันจบประโยคดีเลยด้วยซ้ำ ผู้เป็นเจ้าของก็โผล่มาเอ่ยตอบเสียเอง

    “โชคดีนะ” หันขวับกลับไปมองทางด้านหลังอย่างพร้อมเพรียงกัน ทันเห็นคนที่คิดว่าหายไปแล้วโผล่มาอธิบายถึงข้อสงสัยของพวกเขาจบ อีกฝ่ายกล่าวลาพวกเขาเสร็จก็รีบจากหายไปในทันที ทั้งสองถึงกับยืนนิ่งไปพักใหญ่แล้วถึงหันหน้ามามองตากัน

    “ตามนั้นสินะ”

    “ก็คงต้องตามนั้นครับ”

    ในเมื่อผู้สร้างโผล่มาบอกให้ฟังทั้งที พวกเขาก็คงไม่อาจหาทางปฏิเสธได้อีก นอกจากให้อลิซขึ้นขี่หลังตัวเองแล้วเริ่มออกบินตรงเข้าไปในเขตต่อสู้ทันที เมื่อพวกเขากลับมาร่วมวงด้วยอีกครั้ง ก็พบว่าเซสเซอร์ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศกับเรอเน่ที่ยืนอยู่บนพื้นด้านล่าง ท่าทางทั้งสองเริ่มเหนื่อยกันแล้วแถมตามตัวเริ่มปรากฏบาดแผลเล็กน้อยขึ้นอีก

    ดูจากสภาพทั้งสอง พอทำให้คาดได้ว่าในอีกไม่ช้าก็เร็ว ทั้งเซสเซอร์และเรอเน่คงจะร่วมต่อสู้ไม่ไหวอีกต่อไป ในขณะที่มังกรดำดูท่าทางไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันมันยังคงพยายามบินขึ้นฟ้าหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ถูกสายลมรุนแรงที่เด็กสาวเรียกมาสกัดเอาไว้ได้ทุกครั้งเช่นกัน

    “คาถาอะไรนั้นไม่ต้องสนใจหรอก ตอนนี้ทำสิ่งที่พวกเรารู้ไปก่อนก็พอ” กระซิบบอกอลิซเสียงแผ่วขณะพยายามบินเข้าไปใกล้ตัวเด็กสาวอย่างรวดเร็ว สายตาก็คอยมองมังกรดำที่ไม่รู้ว่าจะโจมตีพวกเขามาเมื่อไรไปด้วย

    “ครับ” ตะโกนตอบแข่งกับสายลม มือข้างหนึ่งก็พยายามกอดลูกแก้วในมือเอาไว้แน่น ส่วนมือข้างที่เจ็บอยู่ก็พยายามเกาะอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ให้ตัวเองตก เปลือกตาแทบลืมไม่ขึ้นเพราะแรงลมที่ปะทะมา ทำให้เขามองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นเช่นไร แต่สัญชาตญาณกลับยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม

    “หลบ!” ตะโกนบอกหลบ ลูเซ่ที่บินเข้ามามาประชิดตัวเด็กสาวได้แล้วรีบใช้เวทเคลื่อนย้ายโดยฉับพลันอย่างไม่คิดอะไรทั้งสิ้น รู้สึกตัวอีกทีก็มาปรากฏกายอยู่ข้างเรอเน่กันอย่างพร้อมหน้า พอเงยหน้าขึ้นมองด้านบนตรงตำแหน่งที่พวกเขาเคยอยู่ ทันเห็นเปลวเพลิงสีนิลสายหนึ่งพอดี รู้ได้โดยไม่ต้องมีใครเอ่ยบอกว่ามังกรดำคงพ่นไฟออกมาอีกแล้ว

    “พวกเจ้าสองคนขอความร่วมมือด้วย เซสเซอร์ เจ้าช่วยใช้เวทธาตุดินหยุดการเคลื่อนไหวของมัน เรอเน่เจ้าช่วยงัดปากมันที” เอ่ยขอความร่วมมือคนอื่นแต่ทั้งคำพูดและน้ำเสียงที่เอ่ยใช้ อลิซรู้สึกว่ามันฟังดูเหมือนคำสั่งเสียมากกว่า ทว่าคนทั้งสองกลับยอมรับคำแต่โดยดี

    “รับทราบท่านลูเซ่” กรณีของเรอเน่คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะอีกฝ่ายเป็นพ่อบ้านประจำตัวลูเซ่อยู่แล้ว แต่พอเห็นเซสเซอร์พยักหน้ารับโดยไม่ปริปากบ่นอะไรออกมาสักคำ อลิซอดนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยแต่ในเวลาแบบนี้ คงไม่ใช่เวลามาถามเรื่องไร้สาระ

    “อลิซเตรียมตัวพร้อมนะ” ตกลงหน้าที่กันเสร็จว่าใครจะทำอะไร ลูเซ่หันมาถามอลิซที่ยังเกาะหลังเขาอยู่ด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด จนทุกคนที่เตรียมพร้อมไปทำตามหน้าที่ของตัวเองกันแล้ว ถึงกับหันมามองคนทั้งสองเป็นตาเดียวกัน

    ”ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องของผมหรอกครับ ผมจะพยายามช่วยให้จนถึงที่สุด ถึงแม้จะช่วยอะไรไม่ได้มากก็ตาม” อาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่เผลอแสดงออกถึงความรู้สึกออกไป อลิซถึงได้ตอบสิ่งที่เขานึกกังวลอยู่ภายในใจเสียมากกว่าคำถามที่เอ่ยถามออกไป

    “แน่ใจนะ เจ้าจะหนีไปตอนนี้ก็ยังทันนะ” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าอลิซจะไม่เปลี่ยนใจแน่แล้ว และพอหันไปมองใบหน้าของอีกฝ่าย ก็พบว่าบนใบหน้าของเด็กหนุ่มยังคงมีรอยยิ้มบางประดับอยู่เช่นเก่า ดูเหมือนไม่กลัวแต่แววตาที่สะท้อนออกมานั่น แสดงให้รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกกลัวขนาดไหน แม้ภายนอกจะดูเข้มแข็งก็ตาม

    “เป็นเพื่อนกันก็ต้องช่วยในยามยากลำบากสิครับ” นิ่งชะงักไปกับคำตอบที่ได้รับฟัง ก่อนรอยยิ้มบางจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้วหันมาเอ่ยบอกกับคนทั้งสองที่เตรียมพร้อมรออยู่ก่อนแล้ว

    “ไปกันเถอะ” สิ้นคำ เซสเซอร์ที่รอสัญญาณบอกเริ่มอยู่นาน เริ่มร่ายคาถาออกมาในทันที ทว่าครั้งนี้ใช้เวลานานผิดปกติ ในขณะที่ลูเซ่เปลี่ยนตำแหน่งอุ้มอลิซใหม่ จากให้ขี่หลังก็กลายเป็นกอดเอวอีกฝ่ายแทน ส่วนเรอเน่เพียงจับมืออีกฝ่ายเอาไว้ให้มั่น เขาก็รีบกระโจนตัวขึ้นสู่ท้องฟ้ากว้างในทันที

    เมื่อออกบินขึ้นมาอยู่บนฟ้าแล้ว ร่างของมังกรสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ปรากฏแก่สายตาในทันที ทว่าร่างกายของมันหลายส่วนเริ่มเปลี่ยนสีกลายเป็นสีเทาไปอย่างรวดเร็ว ล่วงรู้ได้เลยว่าเซสเซอร์คงกำลังตั้งใจสาปอีกฝ่ายให้กลายเป็นหิน ในช่วงระหว่างที่มังกรดำไม่สามารถขยับตัวได้ ลูเซ่รีบบินเข้าประชิดแล้วปล่อยเรอเน่ลงในตำแหน่งหัวของมัน ส่วนตัวก็รีบพาอลิซบินถอยออกห่างอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมการในขั้นถัดไป

    “พร้อมนะ” มืออีกข้างกอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้มั่นเพื่อไม่ให้ตก ส่วนมือข้างที่วางอยู่ก็ใช้เขี้ยวตัวเองกัดที่ฝ่ามือตัวเองจนเลือดเริ่มซึมผ่านเกล็ดออกมาเล็กน้อย พอตัวเองเตรียมการเสร็จแล้วก็หันมาถามอลิซที่ดูเตรียมพร้อมก่อนเขานานแล้ว

    “ครับ” อลิซยื่นลูกแก้วออกมาตรงหน้าพร้อมกันนั่น ทั้งสองได้ประทับฝ่ามือลงพร้อมเพียงกัน ทันใดนั้นก็ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ลูกแก้วที่ถูกทำขึ้นอย่างปราณี ปรากฏข้อความหนึ่งขึ้น

     ...สิ่งที่ราชาปีศาจมองเห็นในตัวผู้กล้างั้นเหรอ...

    อ่านข้อความจบก็หันมามองหน้าคนที่เขาเลือกเป็นผู้กล้าในทันที ก็พบว่าอลิซหันมามองหน้าเขาอยู่ก่อนแล้วแต่ด้วยสีหน้าแสดงความแตกตื่น

    “ลูเซ่ครับ เรอเน่เขาจะทนไม่ไวแล้วนะครับ ถ้าไม่หาคาถาล่ะก็...”

    ...มองไม่เห็นงั้นเหรอ...

    คำพูดของอลิซแทบกลายเป็นลมผ่านหูเขาไป ในเมื่อตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของลูเซ่ ตกมาอยู่ที่ข้อความที่ปรากฏขึ้นจนหมดและดูเหมือนเด็กหนุ่มจะมองไม่เห็นมัน เขาถึงต้องเป็นคนคิดหาคนตอบเพียงลำพัง แต่จะว่าไปแล้วคำถามนี้บางทีอาจมีเพียงเขาที่ตอบได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

    ...สิ่งที่ข้ามองเห็นในตัวอลิซงั้นเหรอ...

    ความหมายของคำถามที่สามารถตีความไปได้อย่างหลากหลาย ทว่ากับลูเซ่แล้วกลับล่วงรู้คำตอบเหล่านั้นได้อย่างน่าประหลาด รอยยิ้มบางแย้มขึ้นบนใบหน้า มือก็แย่งเอาลูกแก้วที่อลิซถืออยู่มาไว้ในมือตัวเองก่อนโยนเข้าปากที่เรอเน่ช่วยบังคับทำให้มันอ้าอยู่ก่อนไปโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น

    “ลูเซ่!” ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่ากำลังตื่นตกใจ การกระทำนี้ของเขาคงสร้างความตกใจให้อยู่ไม่น้อย แต่ยามนี้เขากลับไม่ได้สนใจ สายตามองลูกแก้วที่หายเข้าไปในปากกว้างของมังกรดำอย่างเชื่องช้า ริมฝีปากคลี่รอยยิ้มขึ้นอย่างเบาบางแล้วกระซิบถ้อยคำออกไปเสียงแผ่ว จนแม้แต่คนที่อยู่ใกล้เขาอย่างอลิซก็ยังไม่ได้ยิน

    “ความอ่อนโยนยังไงล่ะ”

    อ่อนแอ ไร้ซึ่งกำลังใด ไม่ได้มีพลังพิเศษหรือของวิเศษอะไร ทว่ากลับไม่ยอมแพ้และหนีจากไป อีกทั้งอยู่ด้วยจนถึงที่สุด นั่นคือความเข้มแข็งตามแบบฉบับของอลิซ มันเป็นความเข้มแข็งที่เรียกว่าความอ่อนโยน นั่นแหละคือสิ่งที่เขาเห็นมันในตัวผู้กล้าของเขา

    เพล้ง!

    เพียงพริบตา ลูกแก้วที่โยนเข้าไปในปากของมังกรดำแตกสลายแล้วปรากฏแสงสว่างสีขาวขึ้นไปทั่ว ทุกสิ่งทุกอย่างถูกย้อมไปด้วยสีขาวโพลนจนมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายใต้แสงสว่างนี้ก็ด้วย...



    มุมน้ำชา

    บทสรุปได้มาถึงแล้วค่ะ มังกรถูกปราบลงแล้ว เหลืออีกเพียงสองตอนเท่านั้น เรื่องนี้ก็จะได้ปิดตัวลงแล้วค่ะ แต่กว่าจะเขียนจนจบเรื่องนี้ก็นานพอตัวเลย กว่าจะมาอัพทีก็เดือนละครั้งบ้าง มีหายไปบ้างเพราะมั่วแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องร้านคำอธิษฐานอยู่ แฮะ แต่ก็มาถึงช่วงสุดท้ายกันแล้วล่ะน่ะ!


    THE ORA



     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×