ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {Superior Tales} เงื่อนไขการเป็นผู้กล้า (แบบนี้ก็มีด้วย)

    ลำดับตอนที่ #16 : เงื่อนไขข้อที่ 15 : ความฝัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 44
      0
      21 พ.ค. 59


    เงื่อนไขข้อที่ 15 : ความฝัน


    ...ที่นี่...ที่ไหน...

    ยามเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง รอบกายกลับมีแต่สีดำปกคลุมอยู่ทั่วไปหมด ตัวเขาที่เป็นสีขาวจึงดูโดดเด่นกว่าสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาในพริบตา ทว่าความสนใจของชายหนุ่มไม่ได้อยู่ในเรื่องเหล่านั้นเลย สิ่งที่เขาสนใจคงเป็นเหตุผลที่เขามาอยู่ที่นี่เสียมากกว่า

    “จำได้ว่าข้าอยู่ในสภาวะหลับใหล” ความทรงจำล่าสุดคือตัวเขาที่ตัดสินใจหลับใหลเพื่อรักษาผนึกให้คงอยู่ต่อไป ทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพนิทราจนไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยแม้แต่น้อยมาโดยตลอด ยิ่งกับเรื่องมารู้สึกตัวจนมาเดินเล่นอยู่ในความมืดแบบนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

    “หรือว่าผนึกคลายแล้ว” ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกตัวขึ้นมา ก็คงจะเป็นข้อนี้นั่นแหละ ทันทีที่คิดได้ ชายหนุ่มเริ่มเกิดอาการแตกตื่นขึ้นมาในทันที

    “ตอนนี้ลูเซ่เป็นยังไงบ้าง” คำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบ ต่อให้ใจรู้ดีแต่ก็ยังคิดถามออกไป สายตาเริ่มกวาดมองไปทั่ว หวังหาทางออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ทว่าหูกลับแว่วได้ยินเสียงของใครบางคนแสนคุ้นเคยเข้าเสียก่อน ชายหนุ่มถึงได้เลิกกวาดสายตามองหาอย่างไล่จุดหมาย แล้วมองย้อนกลับไปทางด้านหลัง

    “ลูคัส...”

    เสียงหวานที่จำได้ไม่มีวันลืมกับภาพของหญิงสาวที่อยู่ในห้วงความคิดเสมอมาปรากฏอยู่ตรงหน้า มองดูแล้วราวกับภาพวาดที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างไรอย่างนั้น เพราะเหตุการณ์ที่เห็นอยู่ในตอนนี้คือภาพความทรงจำในอดีตของเขานั่นเอง

    เธอที่ก้มลงมองเด็กน้อยที่หลับใหลไปแล้วด้วยความเป็นกังวล เอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง สภาพร่างกายทรุดโทรมลงไปมากเพราะโรคร้ายที่เป็นอยู่จนแทบลุกจากเตียงนอนไม่ขึ้น ทว่าในค่ำคืนนั่นเธอกลับฝืนตัวเองมาที่ห้องนอนของลูเซ่  

    “ผนึกจะถูกทำลาย ฉันคงไม่อาจอยู่ช่วยอะไรคุณได้ ตัวคุณเองก็คงไม่สามารถช่วยเหลือลูกอะไรได้มากเช่นกัน ตามเรื่องเล่าขานที่สืบทอดกันมาในตระกูล ทางเดียวที่ช่วยเหลือเขาได้ จำเป็นต้องหาผู้กล้าให้พบ นี่ถือเป็นคำขอสุดท้าย คุณช่วยตามหาผู้กล้าให้เด็กคนนี้ที” ราวกับเป็นคำทำนายแต่ในขณะเดียวกันมันก็คือคำขอร้องสุดท้ายอีกด้วย เพราะหลังจากนั้นเพียงสองวัน ภรรยาแสนรักของเขาก็ได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

    หลังการตายของภรรยา เขาถึงได้เดินทางมายังโลกมนุษย์เพื่อตั้งใจออกตามหาตัวผู้กล้ามาโดยตลอด เบาะแสในการตามหาก็อาศัยเพียงคำใบ้จากเซร่า

    “คู่รักที่จะช่วยเหลือคุณในยามยากโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน”

    ด้วยคำใบ้นี้ เขาออกค้นหาไปเสียทั่วแต่กลับไม่พบเลย จนเวลาไม่รู้เลยผ่านมาเนิ่นนานเท่าไร เขาเริ่มหมดกำลังใจแต่แล้วในขณะที่เขาได้รับบาดเจ็บมาด้วยความบังเอิญ เขากลับพบคู่รักคู่หนึ่งมาช่วยรักษาบาดแผลและช่วยเหลือทุกอย่างโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ในตอนนั้นเองเขาถึงได้รู้ตัวแล้วว่าได้พบสิ่งที่ตามหาแล้ว

    ทว่าในตอนนั้นเขารู้ตัวดีว่าผนึกอ่อนแรงลงไปมาก หากไม่ทำอะไรสักอย่าง ผนึกคงคลายในเร็ววัน ถึงได้ตัดสินใจเดินทางไปหาเพื่อนสนิทอย่างแอสเทอร์เพื่อขอคำแนะนำ

    “เตรียมการเอาไว้ขนาดนี้ ลูเซ่คงไม่เป็นอะไร” หลังนึกย้อนไปถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ตัวเองเคยทำมา ลูคัสถึงกับรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย ความกังวลใจเมื่อครู่เริ่มเบาบางลงแต่ก็ยังคงมีอยู่ดี ถึงอย่างนั้นสภาพจิตใจเขาก็ดีกว่าตอนแรกมากนัก ทำให้สามารถเรียกเอาความเยือกเย็นของตัวเองคืนกลับมาได้บ้างแล้ว

    “แล้วจะออกไปจากที่นี่ยังไงล่ะ” สิ่งที่ต้องคิดหาคำตอบเป็นการด่วน ต่อให้ตัวเองเตรียมการเพื่อลูกชายตัวเองไว้หลายอย่างแล้วก็ตาม ใจมันก็ยังอดนึกเป็นกังวลไม่ได้อยู่ดี สายตาก็เริ่มกวาดมองสำรวจสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง

    “ก็แค่ตื่นยังไงล่ะค่ะ” เสียงหวานดังบอกมาจากทางเบื้องหลัง ลูคัสหันไปมองด้วยความตกใจอยู่ไม่น้อยกับเสียงที่ได้ยิน แล้วยิ่งต้องตกใจมากขึ้นไปอีก เมื่อได้เห็นว่าใครกันที่มาปรากฏร่างอยู่ต่อหน้าเขา

    “เซร่า...”

    “ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากที่ผ่านมานะคะ” ใบหน้างดงามประดับรอยยิ้มอ่อนหวานขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ลูคัสจนตอนนี้ยืนอยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าวแล้วเท่านั้น แต่ดูเหมือนฝ่ายชายจะยังอึ้งค้างไม่หาย ถึงได้ไม่มีปฏิกิริยาใดตอบรับกลับมาเลย

    “เดี๋ยวลูเซ่จะหัวเสียจนทำลายข้าวของเอาได้นะคะ ถ้าคุณยังไม่รีบตื่นอีกน่ะ” ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูดุขึ้นมาเล็กน้อยแต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้ม ความน่ากลัวของมันจึงแทบไม่มีหลงเหลืออยู่เลย และสิ่งที่เซร่าพูดออกมาทั้งหมดเอง เขาก็แทบที่จะไม่ได้ฟังมัน นอกจากความดีใจที่ได้พบหน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง

    “ข้าคิดถึงเจ้า” น้ำเสียงนั่นช่างฟังดูโศกเศร้ายิ่งนัก เต็มไปด้วยความคิดถึงและโหยหา เซร่าถึงกับยิ้มบางด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนเดินเข้าไปใกล้และกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่น

    “ฉันเองก็คิดถึงคุณค่ะ แต่ตอนนี้คุณยังมาฝั่งนี้ไม่ได้นะคะ” อ้อมกอดแสนอบอุ่น ความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่มีชีวิตอยู่ไม่มีผิด ลูคัสแทบไม่อยากจากอ้อมกอดนี้ไปไหนแต่ก็รู้ดีว่าตัวเองคงทำเช่นนั้นไม่ได้

    “ข้ารู้...” ตอบรับเสียงแผ่วอย่างยอมรับพร้อมขยับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก ใบหน้าซุกลงกับเส้นผมสีแดงเป็นประกายงดงามของอีกฝ่ายด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ

    “กลับไปได้แล้วนะคะ” ผละออกห่างจากกัน สายตาสองคู่สบมองกันด้วยความคิดถึง มือที่กุมเอาไว้อยู่เริ่มคลายออกอย่างเชื่องช้า ราวกับต้องการยืดช่วงเวลานี้ออกไปให้นานที่สุด

    “แล้วฉันจะรอค่ะ” รอยยิ้มอ่อนหวานจะยังคงตราตรึงอยู่ภายในหัวใจเขาไม่มีวันลืม ลูคัสแย้มรอยยิ้มขึ้นอย่างเศร้าสร้อยพร้อมหลับตาลง ริมฝีปากกระซิบถ้อยคำบอกออกไปแผ่วเบา

    “แล้วในสักวันหนึ่ง ข้าจะตามเจ้าไปอย่างแน่นอน”

     

    เมื่อสติคืนกลับมาอีกครั้ง เสียงแรกที่ได้ยินหลังจากรู้สึกตัว คือเสียงเอะอะโวยวายของคนที่คุ้นหูดีและไม่คุ้นหู ดังอยู่ใกล้ๆ เหมือนอยู่แค่ข้างเตียง ลูคัสตัดสินใจพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากแต่พอลืมตาขึ้นแล้ว เขาต้องหลับตาลงไปใหม่แล้วกระพริบตาอยู่แบบนั้นสักพัก เพื่อปรับความคุ้นชินของสายตา

    พอเริ่มชินกับแสงสว่างภายในห้อง ภาพที่เห็นก็เล่นทำเอาเขานึกอ้าปากค้างไปด้วยความตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะภาพที่เห็นคือสภาพหนังสือที่น่าจะเก็บอยู่ในชั้นเป็นอย่างดีกำลังลอยข้ามเตียงเขาไปมา แน่นอนว่าผู้หยิบมาปาเล่นก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นลูกชายของเขาเอง

    เห็นท่าทางยังแข็งแรงดีแบบนี้ อีกทั้งบาดแผลตามตัวแทบไม่มีปรากฏให้เห็น มันทำให้เขารู้สึกว่าไอ้ที่นึกห่วงอยู่ก่อนหน้านี้มันเสียเปล่าพิลึก แล้วพอหันไปมองคนที่เป็นเป้าหมายแล้ว สภาพของเรอเน่ดูน่าเป็นห่วงมากกว่าอีก ตามตัวมีหลายจุดที่ใช้ผ้าพันแผลพันปิดไว้ บางส่วนก็ปล่อยเปิดเพราะมันเป็นแค่แผลถลอกเล็กน้อย ส่วนอีกคนที่ไม่รู้จักแต่มีชะตาเดียวกับพ่อบ้านประจำตัวลูกชายเขา มีสภาพแทบไม่ได้ต่างกันมากนัก

    “มาร้องมี้ๆ อยู่ได้ น่ารำคาญ!” ต่อให้บาดเจ็บกันอยู่ แต่บาดแผลมันคงเล็กน้อยเกินไป ถึงได้ไม่มีผลอะไรต่อคนทั้งสามเลย ในทางกลับกันยังมีแรงเหลือมาทะเลาะกันได้อีกต่างหาก

    “เรื่องของข้ามี้!” ดูท่าทางแล้วคงจะไม่มีใครสนใจตัวเขาที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่เลยสักคน หลังคิดแบบนั้นไปได้ไม่กี่นาที เสียงของคนที่เขาไม่รู้จักก็ดังขึ้น หยุดทุกการกระทำที่เกิดขึ้นภายในห้องได้เป็นอย่างดี

    “คุณพ่อของลูเซ่ฟื้นแล้ว!” จากเป็นธาตุอากาศอยู่นานก็กลายเป็นจุดสนใจภายในพริบตา หลังเด็กหนุ่มหน้าหวานพูดขึ้น เพียงเท่านี้ทุกสายตาที่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาก่อนหน้านี้ ก็เริ่มหันมาให้ความสนใจเขากันแล้ว

    “กว่าจะฟื้นได้นะท่านพ่อ” คำทักทายแรกจากลูกชาย หลังตัวเองหลับมาไม่รู้กี่ปี ลูคัสถึงกับคิ้วกระตุกไปด้วยความหงุดหงิดแล้วก่อนที่เขาจะได้ว่าโต้ตอบอะไรกลับไป เรอเน่ที่ยังคงไม่ลืมฐานะตัวเองรีบกล่าวดักขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

    “ท่านคงจะหิว เดี๋ยวข้าไปบอกท่านแม่ให้ทำอาหารมาให้นะครับ” ว่าจบก็รีบเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว โดยมีเด็กสาวเดินตามติดออกไปด้วยอีกคน ราวกับต้องการหลบหน้า ไม่อยากพบเจอ แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง เขาก็ไม่คิดเก็บมาใส่ใจ สายตาหันมามองเด็กหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาในห้องด้วยความสนใจ

    “นั่นผู้กล้าของเจ้าสินะ” เป็นมนุษย์เพียงหนึ่งในทีนี้ ทำให้เดาได้ไม่ยาก ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดถามออกไปเพื่อความมั่นใจ สายตาก็คอยมองตามเด็กหนุ่มที่เดินไปหยุดยืนอยู่ข้างลูกชายเขา

    “ผมอลิซ เนียร์ยินดีที่ได้รู้จักครับ” พอรู้ตัวว่าเป็นที่สนใจอยู่ อลิซแย้มรอยยิ้มขึ้นอย่างงดงามพร้อมเอ่ยแนะนำตัวออกไปอย่างสุภาพ ลูคัสพยักหน้ารับเป็นการรับรู้ก่อนหันมามองหน้าลูกชายที่ไม่ได้เอ่ยตอบคำถามอะไรเขาสักคำ แล้วจึงหันกลับมามองเด็กหนุ่มอีกครั้งเพื่อพูดคุยต่อ

    “ลูกชายข้าคงสร้างความลำบากให้แก่เจ้าไว้มากเลยสินะ ก็เล่นนิสัยเป็นคนขี้ใจร้อน ชอบใช้กำลัง ขี้หงุดหงิดง่าย” รับรู้ได้ถึงสายตาแสดงความไม่พอใจจากลูกชายได้ในทันที ดูเหมือนไม่พอใจที่เขาพูดจาเสียๆ หายๆ ต่อหน้าคนอื่น ทว่าพอได้ยินในสิ่งที่อลิซพูด ท่าทางอารมณ์ของลูเซ่จะดีขึ้นมาจนน่าตกใจ

    “ไม่หรอกครับ เป็นผมเองต่างหากที่สร้างความเดือดร้อนให้ ต้องขอบคุณลูเซ่ที่คอยช่วยเหลือผมมาโดยตลอด” ดูจากท่าทางของอลิซแล้ว คงจะพูดออกมาจากใจจริงไม่ได้เสแสร้ง แถมใบหน้าแสดงความรู้สึกผิดออกมาอีกต่างหาก

    “เรื่องทักทายเอาไว้ที่หลัง ท่านพ่อข้ามีเรื่องข้อร้อง” จบการทำความรู้จักกันเพียงเท่านี้ เมื่อลูกชายคนสำคัญเขาต้องการเปลี่ยนเรื่อง ลูคัสเพียงนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกไป นอกจากรอให้ลูเซ่เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขอถึงสิ่งที่ต้องการออกมาก่อน แล้วดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาคิดยังไงถึงได้พูดออกมาเลย

    “ข้าอยากไปผจญภัยกับอลิซ อนุญาตข้าได้ไหม” น้ำเสียงแสดงความจริงจัง หมายบอกให้รู้ว่าเรื่องที่เอ่ยขอออกไป เจ้าตัวจริงจังกับมันมากขนาดไหน ลูคัสนิ่งคิดไปเล็กน้อยว่าควรให้ดีหรือไม่ แต่พอสายตาหันไปเห็นใบหน้าแลดูเป็นกังวลของอลิซเข้าแล้ว

    “ก็เอาสิ” ยอมอนุญาตออกไปอย่างง่ายดาย เพราะคิดว่าหลังจากนี้ โอกาสที่จะได้เจอกันคงยากขึ้น ให้ไปเที่ยวเล่นด้วยกันสักพักก่อนจากกันคงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย แล้วเหมือนลูกชายเขาจะไม่เชื่อว่าเขายอมอนุญาตให้ไปจริง ถึงได้เอ่ยถามย้ำอย่างไม่แน่ใจ

    “ท่านพ่อแน่ใจแล้วนะครับ” ถามย้ำราวกับไม่แน่ใจถึงสิ่งที่เขาได้เอ่ยบอกออกไปว่ามันเป็นความจริง ลูคัสถึงกับเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความสงสัย แต่ก็ยอมเอ่ยยืนยันถึงสิ่งที่ตัวเองได้กล่าวออกไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง อย่างพยายามไม่คิดมากอะไร

    “แน่ใจสิ” ยืนยันออกไปขนาดนี้ก็สมควรเชื่อได้แล้ว ว่าเขายอมอนุญาตให้ไปแล้วอย่างแน่นอน แต่ดูเหมือนลูเซ่จะยังต้องการความมั่นใจอยู่อีก ถึงได้เอ่ยอ้างไปถึงตำแหน่งที่ปัจจุบันมันก็แค่ในนาม

    “ราชาพูดแล้วไม่คืนคำนะครับ” มาถึงตรงนี้จากพยายามไม่คิดมากอะไรก็เริ่มขึ้นขึ้นมาบ้างแล้ว ว่าลูเซ่มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า สายตาเริ่มมองใบหน้าของลูกชายตัวเองที่ยังคงดูจริงจังเช่นเก่า ก่อนเลื่อนมามองหน้าอลิซแทน ก็พบว่าแทนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นโล่งใจเพราะเขาได้เอ่ยคำอนุญาตออกไปตั้งแต่ต้น กลับกลายเป็นสีหน้าที่แลดูหนักใจก็ไม่ใช่ รู้สึกผิดก็ไม่เชิง

    ...ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น...

    “ไม่คืนคำแน่นอน” ปากบอกออกไปแบบนั้น แต่ด้วยสีหน้าของอลิซ มันก็ทำให้เขาเกิดคำถามขึ้นในใจทันที ทว่ายังไม่ทันต้องนึกหาคำตอบให้ปวดหัวเล่นไปมากกว่านี้ คำตอบถึงสิ่งที่เขาสงสัยอยู่ก็ได้หลุดออกจากปากของลูกชายตัวเอง

    “งั้น... เรื่องซ่อมบ้านก็ฝากท่านพ่อด้วยนะครับ” ฟังแล้วถึงกับนิ่งเงียบไปสักพัก ปากก็หลุดถามออกไปคล้ายไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ลูเซ่พูด

    “หมายความว่าไง” ต้องการคำอธิบายเป็นการด่วน แต่สายตาไม่ได้มองไปที่ลูเซ่ เขาเลือกหันไปมองที่อลิซแทน ราวกับล่วงรู้ได้ว่าคนที่จะตอบคำถามเขาได้คือเด็กหนุ่มผู้นี้แทนที่จะเป็นลูกชายของเขา  

    “เอ่อคือ... เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ”

    เรื่องราวการต่อสู้ระหว่างมังกรดำถูกเล่าออกมาให้รับฟัง ทำให้เขารู้ว่าพื้นด้านล่างของเกาะลอยฟ้าทั้งหมด รวมไปถึงสวนหลายส่วนเสียหายในชนิดที่ว่าย้ายบ้านยังง่ายกว่าซ่อม แต่พอได้ยินว่าร่างของมังกรดำสลายหายไปหลังจากอุปกรณ์เวทที่ได้มาจากผู้กล้ารุ่นแรกทำงาน เรื่องนี้ถือเป็นข่าวดีเพียงหนึ่งจากข่าวร้ายทั้งหมด

    หลังรับฟังเรื่องราวทั้งหมดมาจากอลิซ มาตอนนี้เขาเข้าใจได้แล้วว่าทำไมลูเซ่ถึงได้ถามย้ำอะไรเขาหลายรอบแบบนั้น แต่กว่าจะมารู้ตัวมันก็หลังจากที่เขาโดนลูกชายหลอกตอบให้ตกลงไปเสียแล้ว

    “...” ลูคัสถึงกับนิ่งแข็งเป็นหินไปพักใหญ่ ปากปิดเงียบราวกับลืมเสียงพูดของตัวเองไปชั่วขณะ เมื่อค้นพบแล้วว่าปัญหาที่เขาต้องรับมือหลังลืมตาตื่นขึ้นมามันเยอะกว่าที่คาดไว้นัก ภายในใจก็ได้แต่กรีดร้องกับตัวเองด้วยความรู้สึกอยากหนีออกไปจากความจริงนี้เสียเหลือเกิน

    ...ให้ข้าอยู่ในสภาพนิทราต่อเถอะ!... 




    มุมน้ำชา

    ในตอนหน้าก็เป็นบทส่งท้ายแล้วค่ะ ในที่สุดเรื่องราวของหนุ่มน้อยอลิซ ผู้กล้าที่เหมือนจะไม่ใช่ผู้กล้าสักเท่าไรก็จะได้จบลงเสียทีเนอะ ขอบคุณคนที่ติดตามอ่านผลงานเรานะคะ


    THE ORA



     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×