ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #89 : ระบบภายในที่เน่าเฟะ [รีไรท์]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 16.86K
      536
      23 พ.ย. 60





    เมื่อกำแพงที่สร้างไว้พังทลายลง กาเล็ทก็ไม่ปฎิบัติกับซิลเวียอย่างเก้อเขินอีก "ซิลเวีย ข้าต้องบอกกล่าวตามตรงว่าข้ามีความคิดที่จะแยกตัวออกเป็นอิสระจากโรฮาน"
    ซิลเวียซึ่งกำลังปาดเช็ดคราบน้ำตาอยูเมื่อได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าที่แสดงออกถึงความกังวลใจออกมา

    "อย่าได้เข้าใจข้าผิดไป ที่บอกว่าจะแยกตัวหาใช่การคิดกบฎดั่งเช่นตระกูลเจอริโก้กระทำ ด้วยความเห็นของข้ากับบิดาของเจ้าในการบริหารบ้านเมืองนั้นมีความแตกต่างกัน ในความเห็นของข้า ข้ามองว่าบิดาของเจ้าใจอ่อนเกินไปไม่เด็ดขาดพอ อีกทั้งยังโลเลไม่มั่นคงกับแนวทางของตนเอง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคตโรฮานคงไม่พ้นต้องเกิดบุคคลอย่างเช่นเจอร์ราดเจอริโก้ขึ้นมาอีกไม่หยุดหย่อน ข้าไม่สามารถฝากอนาคตของผู้คนในตระกูลบุสโซ่ไว้กับโรฮานได้" กาเล็ทเอ่ย

    ได้ฟังคำกล่าวของชายในดวงใจซิลเวียก็หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่บิดาของตนเองเคยคิดจะยกตนให้แก่กาเล็ทแล้วครั้งหนึ่งทว่าเมื่อเห็นว่ากาเล็ทเมื่อเรื่องกับตระกูลเจอริโก้บิดาของตนเองก็ถึงกับล้มเลิกความคิดนี้ไปแต่แล้วเมื่อเห็นพลังที่แท้จริงของกาเล็ทก็กลับคำของตนเองอีกครั้ง คำกล่าวของกาเล็ทก็หาใช่ไร้เหตุผลเสียทีเดียว บิดาของตนเองกลับเป็นเช่นนั้นจริงๆ ยังมีเรื่องที่ปล่อยให้ขุนนางที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเช่นบิดาของกาเล็ทต้องตายเปล่าอีก

    "โรฮานในตอนนี้เน่าเฟะจากภายใน ขุนนางต่างๆกลับไม่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดี แม้แต่ในเมืองหลวงเองก็สามารถพบเหตุการณ์ที่คนของทางการรีดไถเงินทองจากชาวบ้านร้านถิ่นอยู่เป็นนิจ หากว่าในเมืองหลวงยังมีเรื่องพวกนี้ให้เห็นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเมืองอื่นๆที่อยู่ไกลหูไกลตา ข้ารู้สึกชิงชัวโจรในเครื่องแบบพวกนี้นักแต่ด้วยบทบาทหน้าที่ของข้านั้นมีอยู่อย่างจำกัดไม่สามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ทุกเรื่องราว ข้าจึงมีความคิดที่จะแยกตัวออกมาสร้างเขตปกครองของตนเองให้ดีที่สุด อย่างน้อยภายใต้เขตปกครองนี้จะได้เป็นที่พักพิงให้แก่ชาวบ้านที่ไร้หนทางได้" กาเล็ทเอ่ยอธิบายเหตุผลของตนเองให้แก่ซิลเวียฟัง

    "กาเล็ท เรื่องนี้ข้าสามารถทูลขออำนาจแก่ท่านพ่อให้แก่เจ้าได้ เจ้าสามารถจัดการได้ทุกเรื่องราวที่เจ้าต้องการ" ซิลเวียเอ่ยในน้ำเสียงแสดงออกถึงความร้อนใจไม่น้อย นางเองก็รู้สึกชิงชังความอยุติธรรมเช่นเดียวกัน
    "อย่างที่ข้าบอกไปแล้ว ความเห็นของข้านั้นบางทีก็ไม่ตรงกับความคิดของบิดาเจ้า หากว่าข้าฝืนดึงดันทำตามที่ตนเองต้องการมิใช่จะกลายเป็นข้าก้าวล่วงต่อบิดาของเจ้าไป หากเป็นเช่นนั้นอาจมีคำครหาต่างๆเกิดขึ้น ตัวข้าย่อมไม่นำพาต่อคำครหาพวกนั้นทว่าท่านแม่ของข้าไม่ ข้าไม่ต้องการที่จะทำให้ท่านแม่ไม่สบายใจ เรื่องราวภายในของโรฮานข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอีกหากไม่จำเป็น แต่ขอให้เจ้าว่าใจเถอะจะอย่างไรข้าก็ยอมรับเจ้าในฐานะคู่ชีวิตคนหนึ่งแล้ว หากเกิดเรื่องใดขึ้นข้าสัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้เกิดอันตรายกับบิดาของเจ้าแน่นอน" กาเล็ทเอ่ย

    ได้ฟังถ้อยคำช่วงท้ายของกาเล็ทซิลเวียก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อย

    "เอาเถอะข้าว่าเรากลับเข้าไปหาท่านแม่เถอะ ออกมานานเกินไปท่านแม่คงเป็นห่วงจะแย่แล้ว" กาเล็ทเอ่ยกล่าวขณะที่จัดแจงปัดเศษฝุ่นเศษดินออกจากเสื้อผ้าของซิลเวีย

    เมื่อความกังวลใจที่เคยเก็บไว้จางหายไป ความเขินอายก็เข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนตนเองยังเฝ้าคิดกังวลใจไปต่างๆนาๆว่าจะเข้าหน้าเขาเช่นไรดี เมื่อนึกย้อนกลับไปยังเหตุการณ์เมื่อครู่ซิลเวียเองยังรู้สึกทึ่งในตัวเองอยู่ไม่น้อย ไม่ทราบว่าเมื่อครู่ตนเองไปกินหัวใจเสือหรือดีหมีมาหรืออย่างไร จึงได้มีความกล้าที่จะเอ่ยวาจาพรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในจิตใจออกไปเช่นนั้น นางเหลือบมองกาเล็ทที่กำลังก้มลงจัดแจงเสื้อผ้าให้แก่นางแวบหนึ่งในจิตใจก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมา พวงแก้มที่ยังคงมีคราบของน้ำตาหลงเหลืออยู่ก็กลับกลายเป็นแดงระเรื่อไป

    "ไปเถอะ" กาเล็ทเอ่ยขึ้นอีกคราพร้อมทั้งยื่นมือข้างหนึ่งของตนเองออกไป

    "อืม" ซิลเวียก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาแต่ก็ยังยื่นมือของตนเองไปคว้าจับมือของกาเล็ทไว้

    "พักอยู่ที่นี่สักหลายวันเถอะจะได้อยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ อีกอย่างข้าจะได้ใช้เวลาว่างช่วยเจ้าปรับพื้นฐาน ระดับพลังของเจ้านั้นนับว่าต่างจากแชลเทียอยู่พอสมควร" กาเล็ทเอ่ยขณะจูงมือซิลเวียกลับเข้าไปปราสาทบุสโซ่
    ได้ฟังคำกล่าวของกาเล็ท ซิลเวียก็เงยหน้าขึ้นมามองกาเล็ทคราหนึ่งจากนั้นจึงผงกหัว

    "พาหนูซิลเวียไปเดินดูรอบปราสาทแล้วหรอกาเล็ท" นีน่าเอ่ยทักผู้เป็นบุตรชายขึ้นเมื่อเห็นว่ากาเล็ทนำพาซิลเวียมายังส่วนของห้องครัว
    "ยังไม่ทั่วเท่าที่ควรท่านแม่ เนื่องจากตอนนี้ก็มืดค่ำแล้วข้าจึงคิดว่าไว้ช่วงเช้าค่อยนำพานางเดินเที่ยวชมอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่งจะดีกว่า" กาเล็ทเอ่ยแสดงความเห็นของตนเองไป

    "หืม ซิลเวียเจ้าร้องไห้?" แชลเทียที่ละมือจากการปรุงอาหารและเข้ามาสำรวจตรวจดูเพื่อนสาวกลับสังเกตุได้ว่าที่ดวงตาของเพื่อนสาวมีร่องรอบของคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่ นางกล่าวขึ้นพร้อมหันมองไปที่กาเล็ทผู้ที่น่าจะเป็นสาเหตุ
    กาเล็ทสะดุ้งโหยงขึ้นพร้อมทั้งยกมือขึ้นปัดป่ายเป็นพลันวัน "ม..ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดนะ"

    "กาเล็ท บุรุษที่ดีไม่ควรข่มเหงรังแก่สตรีนะลูก" แม้แต่นีน่าเองก็ยังเอ่ยขึ้น

    กาเล็ทเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีก็หันหน้าไปทางซิลเวียเป็นเชิงร้องขอให้ช่วยอธิบายว่าทุกสิ่งไม่ได้เป็นไปอย่างที่มารดาและแชลเทียคิด ทว่าเมื่อกาเล็ทหันหน้าไปซิลเวียกลับก้มหน้าลงไม่กล้าสบสายตา ที่นางแสดงออกเช่นนี้หาใช่ต้องการให้กาเล็ทถูกเข้าใจผิดแต่จะให้นางอธิบายบอกกล่าวว่าเกิดเรื่องน่าอายเช่นนั้นขึ้นได้หรือ?

    เมื่อต้องเผชิญกับสายตาคาดคั้นเอาผิดของแชลเทียกาเล็ทก็ยิ่งลนลานกว่าเดิม "ข ข้าไม่ได้รังแกนาง นางร้องไห้เอง"
    "นางจะร้องไห้เองได้หรือ หากว่าเจ้าไม่ได้ทำอะไร" แชลเทียเอ่ยตอบทันควัน
    กาเล็ทพลันยื่นมือออกไปหมายจะจับมือของแชลเทียไว้ทว่านางกลับถอยห่าง "ไม่ต้องมาจับเลย" แชลเทียเอ่ยค้อนใส่
    เห็นเช่นนั้นกาเล็ทก็ไม่ทราบว่าจะทำเช่นไรต่อไปดี ขณะที่กาเล็ทกำลังรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังก็มีมือน้อยๆข้างหนึ่งมาคว้าจับมือของตนเองไว้ มือนี้เป็นของมิร่านั่นเอง "ปะป๋าไม่ได้ทำหรอกนะ ถ้าปะป๋าบอกว่าไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำนะ" เสียงเล็กเอ่ยกล่าวอธิบายเสมือนว่าต้องการปกป้องกาเล็ทที่กำลังถูกต่อว่าตำหนิอยู่

    "ก....กาเล็ทไม่ได้ทำให้ข้าร้องไห้ ท่านป้า แชลเทีย อย่าได้ต่อว่ากาเล็ทเลย" ซิลเวียที่ก้มหน้าลงด้วยความกระดากอายสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถปล่อยให้กาเล็ทถูกเข้าใจผิดอยู่ได้อีกต่อไป
    ได้ฟังเพื่อนสาวเอ่ยเช่นนั้นแชลเทียก็หันมองมายังกาเล็ทด้วยสายตาที่ยังคงคลืบแคลงสงสัยอยู่
    กาเล็ทซึ่งเห็นว่าซิลเวียยอมเอ่ยปากพูดเพื่อช่วยเหลือตนแล้วก็รีบขอตัวจากมา "ท่านแม่หากสงสัยเรื่องใดก็ลองเอ่ยถามนางเถอะ ข....ข้าขอตัวก่อน" กาเล็ทกล่าวพร้อมทั้งก้มลงอุ้มมิร่าน้อยในร่างเด็กหญิงขึ้นและจากไป

    "จะมีก็แต่มิร่าน้อยนี่แหละที่เชื่อปะป๋าใช่ไหม" กาเล็ทเอ่ยพร้อมทั้งหอมแก้มขาวผ่องของมิร่าฟอดหนึ่ง
    "ใช่แล้ว" เสียงเล็กตอบกลับมา

    เช้าวันต่อมากาเล็ทกำลังนั่งตรวจเอกสารอยู่ยังโต๊ะทำงานของตนเอง บนโต๊ะมีเอกสารแผ่นกระดาษมากมายดูไปน่าปวดหัวยิ่งนัก "เช่นนี้มิใช่กลับกลายเป็นการผูกขาดไป กลับเป็นคนเพียงไม่กี่คนกลายเป็นผู้กำหนดราคาสินค้าของผู้คนส่วนใหญ่" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพร้อมทั้งส่ายหัวอย่างเอือมระอา เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใดก็มักจะมีกลุ่มคนเช่นนี้อยู่เสมอ รายงานที่กาเล็ทอ่านอยู่เป็นข้อมูลโครงสร้างการซื้อขายสินค้าการเกษตรภายในเมืองหลวงของโรฮาน กาเล็ทพบว่าชาวบ้านร้านถิ่นซึ่งเป็นผู้ผลิตกลับไม่สามารถขายสินค้าของตนเองได้ตามใจนึก สินค้าการเกษตรส่วนใหญ่ชาวบ้านต้องขายให้กับพ่อค้าคนกลางหากผู้ใดฝ่าฝืนแอบขายเองแล้วถูกจับได้ก็จะถูกยึดสินค้าพร้อมทั้งต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนมาก ซึ่งราคาในการรับซื้อก็เป็นพ่อค้าคนกลางนั้นกำหนดขึ้น เมื่อรับซื้อสินค้าจากชาวบ้านมาแล้วก็เป็นกลุ่มพ่อค้าคนกลางอีกเช่นเคยที่เป็นผู้กำหนดราคาในการขาย ไม่แต่เพียงนั้นยังมีสินค้าต่างๆที่จะนำเข้าสู่เมืองหลวงก็ต้องผ่านการประเมินราคาและเก็บภาษีจากทางการ ซึ่งผู้ทำหน้าที่ประเมินราคาของสินค้าและเรียกเก็บภาษีก็เป็นเครือข่ายในกลุ่มเดียวกันทั้งสิ้น

    จากรายงานต่างๆที่กาเล็ทอ่านและศึกษาอย่างละเอียดย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วที่ชาวบ้านร้านถิ่นในโรฮานจะมีความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีนัก เหตุเพราะถูกกลุ่มพ่อค้าตักตวงเอาผลประโยชน์ไปจนหมดสิ้น เรื่องนี้ยิ่งปล่อยไว้นานวันสถาณการณ์ก็จะยิ่งย่ำแย่ลง นี่นับแต่เพียงเขตเมืองหลวงเท่านั้น ยังไม่นับเมืองใหญ่อีกหลายเมืองในโรฮานที่ชาวบ้านอาจถูกระบบพวกนี้เอารัดเอาเปรียบ "เรื่องนี้เราคงเดียวคงไม่สามารถกระทำการใดได้มากนักคงต้องลองปรึกษาหารือกับท่านอาจารย์ดู" กาเล็ทคาดคิดวางแผน ด้วยกำลังของตนเองตอนนี้ย่อมสามารถบังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างหักโหม ทว่าก็อาจจะเกิดกระแสตีกลับต่อต้านจากผู้เสียผลประโยชน์ได้ อีกทั้งหากกล่าวตามตรงแล้วตนเองถือว่าเป็นมาร์ควิสที่อยู่ว่างไม่ได้มีหน้าที่การงานอะไรเป็นประจำ ตนเองย่อมไม่มีอำนาจหน้าที่ในการก้าวก่ายเรื่องพวกนี้ หากจะสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวคงต้องให้เทลเล่อซึ่งเป็นผู้พิทักษ์เสนอหน้าแทนจะดูมีน้ำหนักกว่า

    แปะ ขณะที่กาเล็ทกำลังเพ่งมองดูเอกสารให้มืออย่างจดจ่อก็มีหางสีดำข้างหนึ่งแกว่งไกวไปมาอยู่บนโต๊ะทำงานของตนเอง กาเล็ทจึงละความสนใจจากเอกสารรายงานตรงหน้ามายังร่างเล็กที่นอนแกว่งไกวสบัดหางไปมายังโต๊ะทำงานของตนเองเพื่อเรียกร้องความสนใจ เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาร่างเล็กก็หยุดชงักความเคลื่อนไหวของตนเองในทันใด จะกล่าวไปแล้วมิร่านั้นนอนรอคอยกาเล็ทอยู่ที่ด้านข้างมาเป็นเวลากว่าสองชั่วโมงแล้ว แรกเริ่มเดิมทีนางก็นอนรอผู้เป็นบิดาอย่างสงบเสงี่ยมทว่าเมื่อเวลาผ่านไปกาเล็ทก็ยังคงเอาแต่จดจ่ออยู่กับการอ่านเอกสารตรงหน้าและไม่มีทีท่าว่าจะจบลงแม้แต่น้อย มิร่าน้อยจึงเริ่มที่จะกระทำการบางอย่างเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้เป็นบิดาที่ไม่ได้สนใจตนเองมาเป็นเวลากว่าสองชั่วโมงแล้ว

    สายตาของมิร่าผสานเข้ากับกาเล็ทที่หันมองมาทำให้ร่างของนางนั้นแข็งทื่อหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ที่เป็นเช่นนี้เพราะในใจลึกๆ นางเองก็รู้สึกหวาดเกรงว่าจะถูกผู้เป็นบิดาตำหนิต่อว่าเนื่องจากตนเองไปรบกวนการทำงานของผู้เป็นบิดา ทว่าความกังวลใจของนางก็ถูกคลี่คลายออกอย่างรวดเร็ว "หืมเรียกร้องความสนใจหรือเจ้ามังกรน้อย" กาเล็ทกล่าวพร้อมทั้งก้มหน้าลงกอดปล้ำกับมิร่าอย่างอารมณ์ดี ท่าทีซึ่งดูตรึงเครียดเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น
    กาเล็ทนำขนมขบเคี้ยวออกมาจากแหวนมิติเพื่อป้อนให้แก่มิร่า มิร่าอากปากงับกินขนมที่กาเล็ทยื่นป้อนให้อย่างมีความสุข นี่เป็นช่วงเวลาที่นางรอคอย
    "ปะป๋าต้องทำงานเยอะๆจะได้มีเงินทองมาซื้อขนมให้หนูกินเยอะๆไงไม่ดีหรอ" กาเล็ทเอ่ยพร้อมทั้งลูบหัวมิร่าคราหนึ่ง "ขอปะป๋าทำงานอีกหน่อยนะ" กล่าวจบกาเล็ทก็หันไปร่างเอกสารคร่าวๆถึงโครงสร้างการปกครองในโลกปัจจุบันของตนเองขึ้น อย่างน้อยหากว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเน่าเฟะของโรฮานได้ทั้งหมดก็ยังมีเขตบุญโซ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่นี้ที่ตนเองจะสามารถเป็นผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่างได้
    ร่างเอกสารอยู่ครู่ใหญ่กาเล็ทก็ยืดกายลุกขึ้น "เคร่งเครียดจนเกินไปก็หาใช่เรื่องดีไม่" กาเล็ทกล่าวพร้อมนำสิ่งของหลายอย่างออกมาจากแหวนมิติ หากผู้คนจากโลกก่อนของกาเล็ทมาเห็นส่วนประกอบต่างๆที่กาเล็ทนำออกมานี้ต้องเข้าใจทันทีว่ามันคือสิ่งใด
    "ปะป๋านี่คืออาราย" เสียงใสถูกส่งมาทางกระแสจิต มิร่าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเมื่อเห็นถึงสิ่งที่กาเล็ทนำออกมาจากแหวนมิติ
    "เครื่องดนตรี" กาเล็ทเอ่ยอธิบายพร้อมทั้งลงมือจัดแต่งใช้พลังดัดแปลงส่วนต่างๆให้เข้ารูปเข้ารอย

    เครื่องดรตรีที่กาเล็ทกล่าวถึงนี้คือกีตาร์ จะกล่าวไปแล้วในขณะที่หลอมสร้างอาวุธจากแร่มิทธิลกาเล็ทก็ได้เกิดความคิดที่จะสร้างเครื่องดนตรีชนิดนี้ขึ้นจากความทรงจำของตนเอง ทว่าเมื่อลงมือสร้างอย่างจริงจังกาเล็ทกลับพบว่าการจะสร้างกีตาร์หาใช่ง่ายดายดั่งที่คิดไม่ ที่ว่ายากหาใช่การสร้างให้มันมีรูปร่างเหมือนในความทรงจำ หากจะนับเอาแต่เพียงรูปร่างย่อมไม่ใช่เรื่องยากสำหรับกาเล็ทซึ่งเชี่ยวชาญในการควบคุมพลังจิตวิญญาณถึงขีดสุดที่จะสร้างกีตาร์ขึ้นมาอันหนึ่ง กาเล็ทพบว่าเมื่อสร้างกีตาร์ขึ้นมาจนสำเร็จแล้วเสียงของมันกลับไม่ได้เป็นไปดั่งใจที่ตนเองต้องการ จุดที่ยากในการสร้างกีตาร์สำหรับกาเล็ทตอนนี้หาใช่ทำให้มันมีรูปร่างเหมือนในความทรงจำของตนเองหากแต่เป็นการที่จะทำให้เสียงของมันออกมาเป็นตามที่ตนเองตั้งใจไว้ กาเล็ทพบว่าทุกส่วนของกีตาร์ล้วนสงผลต่อเสียงที่จะออกมาทั้งสิ้น ทั้งสั่วหัว ส่วนคอ ส่วนลำตัวทั้งหมดต้องสร้างอย่างประณีตและเอาใจใส่ทุกรายละเอียด ยังมีสายที่ใช้ดีดซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญ ไม่แต่เพียงสายกีตาร์ยังมีส่วนประกอบยิบย่อยอีกมากมายซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลถึงเสียงที่จะออกมาของกีตาร์ทั้งสิ้น สำหรับกับกาเล็ทในตอนนี้การสร้างกีตาร์ออกมาตัวหนึ่งยังนับว่ายากเย็นกว่าการสร้างดาบวิเศษอีก

    "เครื่องดนตรีคืออะไร" มิร่าเอ่ยถามต่อ
    กาเล็ทได้ฟังก็ยิ้มออกมาพร้อมทั้งเอ่ยตอบบุตรสาวตัวน้อย "เครื่องดนตรีจะทำให้มิร่าสนุก เมื่อสร้างเสร็จแล้วปะป๋าจะเล่นให้มิร่าฟังนะ"
    "ฮี่ ฮี่ มิร่าจะรอนะ" มิร่ายังคงส่งเสียงออกมาผ่านพันธสัญญาระหว่างตนเองและกาเล็ท

    หลังจากเรื่องหนักอึ้งต่างๆที่คอยกดดันตนเองอยู่ตลอดมานับตั้งแต่มาถึงดินแดนยูยานแห่งนี้ค่อยๆผ่อนคลายลง กาเล็ทก็เริ่มที่จะมีเวลาว่างสำหรับงานอดิเรกเช่นนี้มากขึ้น ความผิดพลาดจากชีวิตก่อนของกาเล็ทสอนให้ตนเองได้รู้ว่าชีวิตของคนผู้หนึ่งไม่สามารถที่จะสนใจแต่เพียงเรื่องงานอย่างเดียว หาไม่แล้วคนผู้นั้นจะต้องรู้สึกสำนึกเสียใจเมื่อสายเกินอย่างที่ตนเคยเป็น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×