ตอนที่ 69 : เหมันต์ที่ 17 : หมดไปอีกช่วง
สายลมอ่อนพัดกระทบหน้าต่างบานขาวส่งผ้าม่านสีครีมพลิ้วไหวไปตามกระแส แสงแดดยามอรุณสอดแทรกลอดผ่านตามจังหวะ บนเตียงขาวนวลมีร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนหลับตาพริ้มฝันดี ใบหน้าเรียบเนียนขาวผ่องแฝงความกลัดกลุ้มผสมความอ่อนล้าบางอย่างไว้หลายส่วน
ชายหนุ่มบิดขี้เกียจด้วยความงัวเงียหนีแสงแดด เพราะความเคยชินเขาจึงพลิกตัวไปด้านขวาใช้มือซ้ายกอดหมอนข้าง แต่กลับคว้าได้บางอย่างให้ความรู้สึกที่นุ่มนิ่มสู้มือ คิ้วทั้งสองข้างชนเข้าหากันด้วยความแปลกใจ ลำดับเหตุการณ์ครั้งล่าสุดร้อยเรียงให้หวนคืน เท่าที่จำได้เขากลับมายังห้องของตัวเองและล็อกไว้ไม่ให้สแตนเข้ามาและปลดกลอนหน้าต่างตอนใกล้รุ่งสาง
กลิ่นหอมสดชื่นราวกับดอกไม้โชยเข้าจมูกของเขา จนทำให้ต้องพยายามเปิดหนังตาอันหนักอึ้งขึ้นด้วยความสะลึมสะลือ
“ตื่นแล้วเหรอคะ นายท่าน” ภาพพร่ามัวของหญิงสาวเริ่มชัดเจนขึ้นตามโฟกัส หญิงสาวใช้มือเท้าหัวกับหมอนจ้องมองด้วยสายตาและรอยยิ้มหยาดเยิ้ม ชายหนุ่มพบว่าเธอสวมอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่ไว้เพียงตัวเดียว
“ขอโทษที มากิเองหรอกเหรอ” จินเนียนชักมือกลับด้วยความรวดเร็ว เขายิ้มให้เธอพลางบิดตัวด้วยใบหน้าซีดเผือด จำได้ว่าตัวเองล็อกห้องด้วยพลังเวทของตนไว้เป็นอย่างดี อาจเป็นไปได้ว่าเธออยู่ภายในห้องก่อนที่เขาจะเข้ามา เพราะด้วยอาการเพิ่งตื่นทำให้สมองทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
“เป็นอะไรเหรอคะ นายท่าน” มากิคลานเข้าหาด้วยชุดล่อแหลม ดวงตาหยาดเยิ้มราวน้ำผึ้งพระจันทร์
ชายหนุ่มขยับตัวขึ้นในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่ง ไม่รู้ทำไม รอยยิ้มของมากิช่างให้ความรู้สึกหนาวเย็นเหมือนยืนอยู่บนก้อนน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ แต่ว่า สัมผัสนุ่มนิ่มชวนเสน่หายังคงหลงเหลืออยู่ภายในมือข้างซ้ายของเขา “อรุณสวัสดิ์ ช่วงนี้ทำงานเหนื่อยแย่เลยเนอะ ยังไงผมขอตัวก่อนแล้วกัน”
มากิคว้าแขนของจินไว้ด้วยท่าทางเขินอาย “ถ้านายท่านชอบ จะจับอีกก็ได้นะคะ มันให้ความรู้สึก...” เธอพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่งแต่แฝงประกายเร่าร้อนผ่านดวงตา
อาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมันเป็นยังไง เขาสัมผัสมันได้ชัดเจนแล้วตอนนี้ ตัวเขารู้ดีว่าตัวเองนอนดิ้นแค่ไหน หากเมื่อคืน หากเมื่อคืนเกิดอะไรที่เขาควบคุมไม่ได้อีกทั้งไม่รู้สึกตัวละ
ยิ่งหากความบริสุทธิ์ของเขาจะมาต้องเสียมันไปตอนหลับอีก โดยที่เขาไม่ได้รู้สึกตัว มันทำให้เขารู้สึกว่าจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด ซึ่งเขาก็ได้แต่ภาวนาในใจไม่ให้มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น จินส่ายหัวไล่ความคิดออก
“จะกอดเหมือนเมื่อคืนด้วยก็ได้นะคะ” มากิชม้อยตาขึ้นพลางอ้าแขนรอรับอ้อมกอด อาการทางร่างกายของเธอเปิดเผยด้วยการยินยอมถึงที่สุด
“กอดด้วย!” จินพูดเสียงหลง อาการตื่นเต็มตาเกิดขึ้นบันดล
มากิขยับตัวเข้าใกล้จินจนร่างทั้งสองแนบชิดกัน คอเสื้อที่สวมไม่เรียบร้อยเผยให้เห็นภูเขาสีขาวชวนน่ามอง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหักห้ามใจ “ถ้าหากนายท่านต้องการมากกว่านั้น…ฉันก็ยอมค่ะ”
จินงอหน้าหนีออกห่างจากมากิ เขาทำตัวไม่ถูกจนต้องใช้สองมือจับไหล่ของเธอไว้ “มะ ไม่ต้อง มากิ ไม่เป็นไร”
มากิไล่นิ้วกรีดผ่านกล้ามเนื้อหน้าอกของจินจนถึงกล้ามท้อง เธอสัมผัสถึงความอัดแน่นของมวลพลัง“เป็นไปไม่ได้ ที่นายท่านเข้ามาโดยที่ไม่รู้ว่าฉันนอนอยู่ในห้องนี้มาก่อน ยกเว้นเพียงแต่...ต้องการทำเรื่องแบบนั้น พวกเราเริ่มตรงกันก่อนดี” เธอกัดฟันพูดพลางลูบไล้มัน
ชายหนุ่มดีดตัวออกจากเตียงแล้วยืนมองมากิด้วยอาการกระวนกระวาย “ไม่ได้มีเจตนาอะไรทั้งนั้น เมื่อคืนผมคงเหนื่อย”
มากิเผลอจังหวะจินพูดเข้าประชิดตัวจากด้านหลัง สองมือขาวซีดกอดชายหนุ่มไว้ไม่ให้หนี “นายท่าน...อยู่ใกล้กันขนาดนี้แล้ว แถมยังได้กลิ่นของนายท่านอีก ฉะ ฉันห้ามใจไม่ไหวแล้ว” เสียงกระสันของหญิงสาวสร้างสภาวะอันกดดัน
“มะ ไม่ดีมั้งมากิ มันยังเช้าอยู่เลย”
มากิเขย่งเท้ายืนหน้าเข้าใกล้ใบหู “ขอสักหน่อยนะคะ แค่ 10 นาทีก็ได้” น้ำเสียงข้างหูทำเอาจินสยิวไปทั่วทั้งตัวราวกับมีสายฟ้าแล่นผ่านไปมา
ก่อนดวงตาของจินจะเปิดกว้างขึ้น พร้อมกับเขี้ยวอันงอกยาวทั้งสองซี่ของมากิกัดจมเข้าที่คอ เธอดูดเลือดด้วยความกระหายเป็นอย่างมาก
เขาถอนหายใจแล้วยิ้มให้กับความคิดมากมายที่อยู่ในหัว
มากิใช้พลังต่อสู้ไปเยอะสินะ แถมยังใช้ทักษะเลือดไปมากด้วย อนุโลมไปสักวันแล้วกัน ชายหนุ่มคิดเช่นนั้นก็ปล่อยให้เธอทำตามใจต้องการโดยไม่ลืมลูบหัวอย่างเบามือ
.
.
.
“อรุณสวัสดิ์ขอรับ” เสียงกล่าวทักทายของสแตนดังขึ้นต้อนรับชายหนุ่มยามเขาเดินลงจากชั้นสอง กลิ่นหอมของขนมปังผสมกับไออุ่นของกาแฟ สร้างความผ่อนคลายอาการเหนื่อยล้าที่พบมาหลายวันได้อย่างลงตัว
ชายหนุ่มยิ้มตอบและเดินไปนั่งหน้าร้านหลังจากสั่งเครื่องดื่มแก่สแตนเป็นที่เรียบร้อย ความวุ่นวายยามเช้ายังปรากฏให้เห็นจนเผลอยิ้ม เขามองเหล่านักเรียนที่กำลังเดินพากันไปติวหนังสือหรือทำกิจกรรมยามว่างกันเนืองแน่น วันเวลาผ่านไปไวราวสายน้ำไหล เขากลัดกลุ้มถึงความรู้สึกอันแปลกประหลาดที่เพิ่มมากขึ้นทุกทีจากภายใน
“คิดอะไรอยู่ ขอรับ” แต่ยังคิดไม่ตก กาแฟร้อนกลับถูกวางลงตรงหน้า เสิร์ฟด้วยขนมปังหอมกรุ่นและแยมผลไม้ควบคุมชวนน่าทาน
“แค่คิดไปเรื่อยเปื่อย” จินตอบโดยไม่ได้หันไปมอง ท่าทีของเขานิ่งเมินเฉยต่อชั่วโมงเร่งรีบของการไปโรงเรียน แม้เข็มนาฬิกาจะเคลื่อนตัวเข้าใกล้เวลาเข้าเรียนแล้วก็ตาม
จินเลือกเดินไปโรงเรียนเองแทนการนั่งรถของแก๊งไป เพราะไม่ต้องการเป็นจุดสนใจหลีกเลี่ยงการเพ่งเล็งของเหล่าครูบาอาจารย์ เนื่องด้วยโรงเรียนไม่อนุญาตให้เหล่านักเรียนขับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์มาโรงเรียนเอง จะอนุโลมเพียงแค่จักรยานกับมีผู้ปกครองมาส่งเท่านั้น
สแตนสามารถจับสัมผัสได้ถึงความละมุมที่ปล่อยออกมาบางเบา ภายใต้ความนิ่งสงบของชายตรงหน้า“เห็นนายท่านมีความสุขแบบนี้ เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าขอรับ”
“สงสัยคงนอนเต็มอิ่ม หื้ม!” คำตอบคล้ายไม่สนใจกลับต้องเลิกคิ้วขึ้น เมื่อพบกับสายตาของคนสนิท
“หวังว่า...นายท่านยังจำได้นะขอรับ กฎเหล็กของแวมไพร์”
“ข้อห้ามไม่ให้แวมไพร์สิงสู่กับมนุษย์งั้นเหรอ ไม่ต้องห่วงผมถูกดูดเลือดจนหมดหรอก คำสาปประจำตระกูลของสแตนทำอะไรผมไม่ได้อยู่แล้ว เพราะอะไรคงรู้อยู่มั้ง วางใจเถอะ”
แม้จะมีบางข้อยกเว้นละนะ สิ่งนี้จินไม่ได้บอกสแตนไป เขากลัวว่าจะทำให้ชายผู้นี้เป็นกังวล เราถึงเธอคนนั้นด้วย
“แอนตี้บอดิ้สินะขอรับ แต่มันจะทรงพลังขนาดนั้นเชียวหรือ เพราะเท่าที่เห็น…”
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก” ชายหนุ่มรู้ดีว่าสแตนกำลังจะพูดถึงอาการเจ็บปวดของความทรงจำ อันนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาก็จนปัญญา
“หากนายท่านเป็นอะไรไป ผมก็คงไม่มีหน้ากลับไปเจอเธอหรอก” ดวงตาสีเลือดอันเรียบเฉยของสแตนสั่นไหวด้วยอาการหวั่นไหวภายใน
จินมองท่าทีของคนตรงหน้าพลางถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมตัวไปโรงเรียนตามหน้าที่ของตน “ไปจัดการร้านเถอะ เดี๋ยวลูกค้าคงเข้าร้านแล้ว ฝากดูแลมากิด้วย เผื่อเธอคลุ้มคลั่งขึ้นมา เมื่อกี้ผมเพิ่งให้เธอดูดเลือดไป”
“ได้ขอรับ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ ขอให้สอบได้เต็มทุกวิชานะขอรับ นายท่าน”
“ขอบคุณสำหรับอาหารกับเครื่องดื่มนะ ไว้จะรีบกลับมา”
ชายหนุ่มเดินออกจากร้านสวนทางกับลูกค้ากลุ่มแรกที่เดินเข้ามา จินหันไปมองการต้อนรับของสแตนด้วยรอยยิ้มฝืนใจบางอย่าง เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วเผลอคิดถึงเธอคนนั้นขึ้นจับใจ แม้สัญญารัดตัวจะทำให้พวกเขาไม่อาจอยู่ด้วยกัน แต่สายใยแห่งความห่วงใยยังคงทำงานไม่เสื่อมคลาย
แล้วสักวันเราคงได้พบกันอีก งั้นสินะ จินสะบัดหัวแล้วเดินตามกลุ่มนักเรียนตรงหน้าไปเงียบเชียบ
“เฮ้อ…ไม่น่าเผลอหลับไปเลย เสียดายชะมัด!” มากิบิดตัวดิ้นไปมาบนเตียงเมื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งไม่พบจินแล้ว เธอไม่ได้รู้เลยว่าจินวางยาสลบผ่านเวทมนตร์ใส่เธอ ส่วนหนึ่งเพื่อรักษาอาการคลุ้มคลั่ง อีกส่วนหนึ่งตัวเขากลัวเลือดจะหมดตัวก่อนไปสอบในวันนี้
“กลิ่นของนายท่าน” เธอซบใบหน้าเข้ากับหมอนที่จินเคยนอนเมื่อคืนเจอเคลิ้มลอยไปไกล
.
.
.
ตามทางเดินวันนี้ค่อนข้างเงียบครึ้มดูตึงเครียดกว่าทุกวัน เส้นใต้ของความอันตรายถูกขีดไว้ในใจ หนังสือหลากตำราประดับอยู่บนมือของหลายคน สายตาตวัดอ่านไม่ไหวติง ปากขยิบพลางคล้ายท่องเนื้อหาไปด้วย จินมองภาพตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง รสชาติความแปลกใหม่ของความกดดันนอกจากการฆ่าฟันถูกริมรสโดยไม่รู้ตัว
เพราะความเงียบทำให้จินรับรู้ถึงใครบางคนที่วิ่งเข้ามาใกล้ ซึ่งมันค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ของคนผู้นั้นไปเสียแล้ว “ว่าไงสหายรัก!” ด้านหลังมีชายหนุ่มมาดเงียบเดินล้วงกระเป๋ากางเกงตามมาด้วย
คำกล่าวทักทายถูกหยิบยื่นให้ดั่งเช่นทุกวัน จินถูกเทนตะขยี้ผมด้วยความหมั่นไส้ปนอารมณ์กวน แต่ตัวเทนตะเองกลับไม่รู้ตัวว่าผมสีทองของตนสร้างอาการคันไม้คันมือแก่จินแค่ไหน
“อารมณ์ดีแบบนี้ คงทบทวนแนวข้อสอบมาแล้วสินะ”
พอได้ยินจินกล่าวเช่นนั้น รอยยิ้มของเทนตะกับนิ่งค้างคล้ายรูปปั้นก่อนจะหุบลงด้วยใบหน้ามืดมน แตกต่างจากมาโคโตะที่พยักหน้าให้จินเป็นคำตอบเรียบง่าย
“ช่วยไม่ได้นะ ถ้าเกิดซ้ำชั้นขึ้นมาคนเดียวคงเหงาแย่”
เทนตะเงยหน้าขึ้นปรับรอยยิ้มให้ดูสดใส แต่อาการสั่นยังคงทำให้ไหล่สะเทือน “ยังไม่ทันได้สอบก็แช่งกันแหละ ถึงฉันไม่ได้ตอบ แต่ไม่ได้แปลว่าฉันไม่ได้อ่านมาก่อนนี่หว่า เทนตะเสียอย่างกลัวอะไร”
“หมายความว่าอ่านมาแล้ว”
“อ่านสิแต่ไม่จบ แค่เผลอหลับไปเท่านั้นเอง” แน่นอนอยู่แล้วความจินใช้ตรรกะความคิดทั่วไปใช้อธิบายภายในหัวของเทนตะไม่ได้
ชายหนุ่มส่ายหัวแล้วเดินนำไป “อีกสักปีสองปีจะเป็นไรไปเนอะ”
“ถ้าฉันซ้ำชั้น นายต้องอยู่ด้วยกัน!” เทนตะล็อกคอจินแน่นแล้วพูดเสียงดังข้างหู
“เรื่องอะไร อยู่คนเดียวไปเถอะ”
“นายรู้จักเทนตะน้อยไปเสียแล้วจิน ฉันยังมีไม่ตายอยู่ หึหึ”
จินไม่เข้าใจคำพูดของเทนตะหรอก ถึงจะสามารถใช้สกิลอ่านใจได้บ้างก็เถอะ แต่เพราะต้องการใช้ชีวิตประจำวันแบบคนธรรมดาสามัญทั่วไป เขาเลยเลือกปิดผนึกพลังอันตรายไว้ อาจกลัวควบคุมไม่ได้หากเกิดปัจจัยแปรปรวนเป็นส่วนหนึ่ง
แล้วเวลาแห่งการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เลวร้ายในช่วงวัยก็มาถึง ทุกคนภายในห้องต่างทำข้อสอบกันโดยเงียบ สมาธิถูกรีดเร้นจนถึงขีดสุด ความเป็นไปได้ ความทรงจำ การประมวลผลถูกสมองวิเคราะห์ภายในเวลาอันเรียบเร็ว ขีดเขียนคำตอบที่ได้ลงบนกระดาษตรงหน้า บางรายใช้ประสบการณ์ บางรายใช้ความเชื่อส่วนตัว และบางรายกำลังนิทราอยู่
ตึก! ตึก! เสียงฝีเท้าของอาจารย์คุมห้องสอบเดินไปมา อาจด้วยความเงียบทำให้เสียงมันดังเข้าไปยังโสตประสาทของทุกคนราวกับเป็นเสียงสะท้อน
แกร๊ก! แกร๊ก! การขยับเขียนปากกาลงบนกระดาษเพียงเล็กน้อยก็ส่งเสียงดังออกมาเช่นกัน ทำเอาเหล่านักเรียนต่างทำหน้าเคร่งเครียดและเกิดการเกรงใจขึ้นมา ซึ่งจะขยับจะใช้อะไรทีก็ต้องทำด้วยความเงียบเป็นที่สุด
เวลาแม้ผ่านไปเพียงไม่กี่สิบนาทีกลับนานราวกับผ่านไปเป็นชั่วโมง
ตัดมาทางด้านจินนั้นทำเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้า แตกต่างจากเทนตะกับมาโคโตะที่ทำหน้าตกใจและเหงื่อซึมไหลออกจากทุกส่วนของร่างกายราวกับเจอข้อสอบโหดหินเข้าให้แล้ว
ตึก! ตึก! จังหวะการเดินของครูยังคงดังต่อเนื่อง ซึ่งเหมือนกำลังคุมตัวนักโทษเพื่อไต่สวนคดีความมากกว่าคุมนักเรียนสอบเสียอีก
ผู้กล้าคนหนึ่งยืนขึ้นพร้อมยกมือร้องประท้วงความเป็นธรรมให้ทุกคน “ครูครับ! รบกวนช่วยนั่งกับที่ได้ไหมครับ พวกผมจะประสาทเสียแล้ว!”
การพยักหน้าและสายตาแห่งการเห็นด้วยถูกส่งกระแทกเข้าใส่อาจารย์ผู้นั้น
“ดะ ได้สิ ครูขอโทษ” ครูทำหน้าตกใจแล้วเดินกลับไปนั่งที่ตรงหน้าชั้นเรียนทันด่วน แล้วนั้นทำให้หลายคนถอนหายใจคล้ายลดอาการกังวลลงไปบ้างแล้ว
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เหล่าเด็กนักเรียนที่ทำข้อสอบเสร็จก็นั่งอยู่กับที่เป็นการผ่อนคลาย พวกเขาเลือกไม่ส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนๆ ที่กำลังทำข้อสอบอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือจิน ที่กำลังมองไปนอกหน้าต่าง ตามมาด้วยเรย์กะที่มองไปด้านหน้าราวกับหุ่นยนต์
แก๊ง! แก๊ง! เสียงระฆังดังขึ้นเป็นอันสิ้นสุดการทำข้อสอบ
“หมดเวลาทำข้อสอบแล้ว! ทุกคนวางดินสอ ปากกา หัวหน้าห้องเดินไปเก็บกระดาษคำตอบตามเลขที่นั่งด้วย” หัวหน้าห้องลุกขึ้นเดินไปตามโต๊ะตามลำดับทันทีที่สิ้นประโยคข้างต้น
สรรพเสียงต่างดังขึ้นอย่างหลากหลายอารมณ์ หนึ่งในนั้นก็คือใบหน้าที่ซีดเผือดของเทนตะที่ค่อยๆ หันมามองจินด้วยสายตาที่น่ากลัว
แวบแรกจินนึกขำอาการซีดเผือดทางใบหน้าของเพื่อน แต่เขาพยายามกลั้นมันไว้ก่อน “ทำหน้ายังกับเห็นผีงั้นแหละ ปีนี้ไม่ได้ปีหน้าเอาใหม่เนอะ”
“ยังมีหน้ามาอารมณ์ดีอีกไอ้เพื่อนเวร!” เทนตะพุ่งเข้าขย้ำจินแต่กลับคว้าน้ำเหลว
“เย็นนี้ไปบ้านเรย์กะกัน ฉลองวันเกิดพร้อมกับสอบเสร็จด้วย” ชายหนุ่มพูดไปพลางหลบการจู่โจมของเพื่อนไปพลาง
“อันนั้นมันของแน่นอนอยู่แล้ว แต่แกต้องตายไอ้ข้อสอบเวร!”
“ฉันไม่ใช่ข้อสอบโว้ย!”
สุดท้ายการสอบอันทรหดก็จบลงพร้อมกับเสียงหัวเราะและการพูดคุยเขาเหล่านักเรียน หัวข้อแห่งการพูดคุยคงหนีไม่พ้นการนัดเจอกันต่อจากนี้ ที่ซึ่งอาจจะเป็นครั้งที่จะไม่ได้เจอกันอีกนาน หรือไม่ได้เจอกันอีกเลยสำหรับใครบางคน
หลายคนสะกดอารมณ์ไว้ภายใต้รอยยิ้มอันฝืนทน เวลาแห่งความสนุกหมดไปอีกช่วงแล้ว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ฮาไปดิ
จินมันอารมณ์ดีเพราะได้จับหน้าอกหรอครับ เห็นเเต่ออกห้องนี้อารมณ์ดีๆเหลือเกิน