ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Please!!! ถ้าไม่รัก ก็ปล่อยผมไปเถอะครับ (YAOI)

    ลำดับตอนที่ #4 : Please !!! 03 - ตอนที่ 3 ทำไม (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.07K
      12
      9 ม.ค. 57

    B B

     


    ตอนที่ 3 ทำไม??

     

     

     

                นี้มันนานเท่าไหร่ละน่ะ ที่ผมไม่ได้ตื่นขึ้นมาในบ้านหลังใหญ่ที่หนาวเหน็บของผม แต่กลับเป็นห้องที่ม่นหมองแห่งนี้ ผมตอนนี้ถ้าถามว่าเป็นไงบ้างก็คงต้องตอบตามตรงว่าหลังจากที่ผมมาที่นี้ครั้งแรก ผมมีสภาพยังไง ตอนนี้มันก็ยังเป็นอย่างนั้นแหละครับ.

     

                “นี้กูเกิดมาทำเหี้ยไรว่ะ???” ผมสบถกับตัวเองเบาๆ ผมรู้สึกเหมือนของตัวเองไม่มีคุณค่าเลย ทุกๆวันนี้ไม่ว่าพี่ตะวันจะเป็นอะไร หรือโมโหอะไรกลับมา พี่มันก็จะมาลงที่ผมทุกครั้ง ไม่ตบตี ก็กดจนผมหมดแรงสลบไป.  ผมพยามลากสังขารอันอิดโรยไปที่ห้องน้ำเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากตัว นี้กูยังเป็นคนอยู่หรึอเปล่า แมร่งไม่ต่างอะไรกับตุ๊กแกเลย หึได้แต่หัวเราะเยาะตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ. ผมว่าผมเริ่มจะชินกับภาพตัวเองแบบนี้แล้วล่ะ เห็นทุกวันจนมันติดตาล่ะ.

     

     

                ผมเดินออกมาจากห้องหลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ และแน่นอนว่าผมใส่เสื้อผ้าของพี่ตะวัน, ก็แหงล่ะ จะให้ผมเอาเสื้อผ้าของตัวเองมาจากไหน เพราะตั้งแต่ที่ก้าวขาเข้ามาในคอนโดนี้ตั้งแต่วันนั้น ผมยังไม่ได้ออกไปไหนเลย. ผมเดินมาหยุดที่โตะอาหารที่มีข้าว กับผัดผัก และก็ไข่เจียววางไว้พร้อมกับกระดาษโน๊ตสีเหลืองในนั้นมีตัวหนังสือเขียนสั้นๆไว้ว่า แดกๆเข้าไปก่อนที่จะหิวตาย ชึ่งมันเป็นแบบนี้เกือบทุกวัน ตอนนี้ผมเริ่มจะสับสนกับการกระทำของพี่ตะวันแล้วสิ ไม่รู้ที่ผมเห็นอยู่นี้ ตรงไหนกันแน่คือตัวตนของพี่มัน บางทีก็ดีกับผมอย่างเช่นของที่วางอยู่บนโต๊ะนี้ และบางทีก็ร้ายจนผมแทบขาดใจตายอย่างรอยที่อยู่บนตัวผม.

     

     

                ผมกินไปได้สองสามคำ หลังจากนั้นก็ไม่สามาจกินได้อีก มันเหนื่อยจนผมไม่มีแม้แรงที่จะเคี้ยวอาหาร ผมเข้าใจสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ดีมากกว่าใครเลยทีเดียว เพราะมันเคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้วครั้งหนึ่ง ในวันที่ผมสูญเสียคนที่เป็นทุกอย่างของผมไปอย่างไม่มีวันกลับมา ตอนนั้นผมไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไป มองไปตรงไหนก็เจอแต่ความว่างเปล่า ไม่รู้จะสู้ต่อไปทำไม, ชึ่งตอนนี้เองผมก็กำลังเป็นเหมือนกับวันนั้น วันที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม.

     

               

                แก๊กก

     

               

                ก่อนที่สติที่เหลืออยู่จะหมดไป ผมได้ยินเสียงประตูเปิดออกพร้อมกับเสียงก้าวเท้าของใครบางคน ชึ่งมันก็คงเป็นของพี่ตะวัน พี่มันคงออกไปข้างนอกมาเหมือนเคย, ผมลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะเดินไปดูว่าใช่พี่มันจริงๆหรึอเปล่า แต่ไม่ทันที่จะก้าวเท้าออกไป ผมก็เกิดอาการหน้ามืด ห้องทั้งห้องเริ่มหมุน ดวงตาทั้งคู่พร่ามัว ผมคุกเข่าลงกับพื้นเนื่องจากขาทั้งสองข้างไม่เหลือเรี่ยวแรงยืนต่อไปได้แล้ว ก่อนที่ความมืดจะครอบงำดวงตา ผมมองเห็นร่างของใครบางคนกำลังวิ่งเข้ามาหาผม และหลังจากนั้นผมก็ไม่สามาจรับรู้อะไรได้อีก.

     

     

    ************

     

                ตะวันที่พึ่งกลับมาจากข้างนอก กำลังจะเดินไปยังห้องเล็กที่มีใครบางคนที่ตนทำล้ายอยู่ทุกวัน ไม่รู้ว่าป่านนี้แล้วจะตื่นหรึอยังถึงกับต้องชะงัก เมื่อเห็นคนๆนั้นอยู่ๆก็ล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น ใบหน้าซีดเชียวไร้ชึ่งความรู้สึก แขนทั้งสองข้างทิ้งลงอย่างหมดแรง ดวงตาทั้งคู่ส่งตรงมาที่เขา แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าไม่ได้มองมา เพราะดวงตาคู่นั้นมันช่างว่างเปล่า แล้วร่างเล็กตรงหน้าก็ล้มลงนอนกับพื้น.

     

                ตะวันอุ้มร่างที่ไร้สติของค๊อปเตอรมานอนที่โชฟา บอกตามตรงว่าตอนแรกที่เห็นเขาตกใจมาก ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นอะไรหนูรักพี่น่ะ พี่ตะวัน... หนูขอโทษ    ในขณะนั้นเองเสียงของคนบางคนดังก้องออกมาจากใจของตะวัน จากที่เริ่มรู้สึกสงสาร กลับกลายมาเป็นความแค้นที่ไม่อาจประเมินผลได้.

     

                “มึงไม่มีวันได้ไปไหน มึงต้องอยู่ที่นี้ อยู่ลิ้มรสความเจ็บปวดที่มึงทำกับคนๆนั้น... มึงต้องตายทั้งเป็นตะวันกัดฟันพูดอย่างโกรธแค้น ก่อนจะหันหลังเดินเขาห้องนอนไป อย่างไม่สนใจไยดีร่างเล็กที่ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้างตอนนี้.

     

    **********

     

     

     

     

                ผมทอดสายตามองข้างทางไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมาย ไม่รู้ว่าพี่ตะวันกำลังจะพาไปไหนกันแน่ อยู่ๆก็เข้ามาลากผมลงจากเตียง บังคับให้อาบน้ำแต่งตัว แล้วหลังจากนั้นผมก็มานั่งเงียบอยู่อย่างที่เห็น, ตอนนี้คำถามนับพันกำลังดังกึกก้องอยู่ในหัวผม คนที่ขับรถอยู่นี้เป็นใครกันแน่? ทำแบบนี้กับผมทำไม? ผมเคยไปทำอะไรให้อย่างนั้นหรอ ผมถึงต้องชดใช่? ที่จริงแล้วเขาต้องการอะไรกันแน่?.... และอีกคำถามที่ผมอยากได้คำตอบมากที่สุดก็คือ ที่ผ่านมานี้ชีวิตผมยังจบไม่พอหรึอไง?.

     

                “นี้มัน.....ผมหันไปทำหน้างงใส่พี่ตะวันทันที เพราะทางที่พี่มันขับมาตอนนี้ มันคุ้นมาก เพราะมันเป็นทางกลับมาที่บ้านผมเอง.

     

                “อึมพี่ตะวันตอบมาสั้นๆโดยที่ไม่หันมามองผมเลยแม้แต่น้อย.

     

                “นี้พี่จะปล่อยผมไปแล้วหรอ?” นี้มันจริงใช่ไหม วันที่ผมรอคอย ที่จริงผมดีใจมาก แต่มันรู้ทำไหม เหมือนลึกๆในใจผมไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น ทำไมกัน ความรู้สึกหน่วงๆนี้มันคืออะไรกัน.

     

                “หึ... ปล่อยงั้นหรอ, นี้มึงกำลังฝันกลางวันอยู่งั้นหรอคำพูดเย็นชา พร้อมสายตาที่มองเยียดๆของพี่ตะวันเหมือนปลุกผมให้ตื่นจากความฝัน.

     

                มึงนี้ก็โง่เนอะ ผมได้แต่ด่าตัวเองในใจ พี่ตะวันก็บอกแล้วว่าผมต้องเจ็บ ต้องชดใช้ เขาคงไม่ปล่อยผมง่ายๆ

     

                “งั้น...ผมอยากรู้เหตุผลที่พี่มันพาผมมาที่นี้ ต้องการจะทำอะไรกันแน่...

     

                “กูจะให้มึงมาเก็บของ พรุ่งนี้ต้องไปเรียน อีกอย่างกูต้องการการชดใช้จากมึง ไม่ใช่ครอบครัว, กูไม่อยากให้พวกเขาเป็นห่วงที่มึงไม่กลับบ้านคำพูดของพี่ตะวัน เหมือนคมมีดกรีดลงกลางใจผมเต็มๆ แต่ละคำที่ได้ยินทำผมแทบกระอักเลือดออกมาดื้อๆ.

     

                “ถ้ามีก็คงดีผมบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ.

     

                “มึงพูดอะไร?”

     

                “เปล่า.. ไม่มีอะไรครับผมได้แต่ตอบพี่ตะวันไปเบาๆแล้วหันหน้าออกมองข้างทาง นี้มาถึงหน้าบ้านผมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วนี้รถก็จอดอยู่ด้วยนิ.

     

                “พี่นั่งรอผมอยู่ตรงนี้น่ะครับ.. เก็บของเสร็จผมจะรีบลงมาทันที, อ่อ ผมต้องเอารถเข้าไปเก็บด้วย?” ผมพูดรัวทันทีที่รู้ว่ามาถึงแล้ว ผมไม่อยากให้ใครเข้าไปในที่ส่วนตัวของผม.

     

                “ไม่ กูจะเข้าไป, มึงลงไปเปิดประตูพี่มันตะคอกสั่ง.

     

                “สิบนาที ผมขอเวลาแค่สิบนาที ผมจะลงมา สัญญาผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะลงจากรถรีบวิ่งไปเปิดประตูตรงคนเดินเข้าไปแล้วล๋อกไว้ทันที.

     

               

                ตะวันได้แต่นั่งงงกับเหตุการตรงหน้า มันเกิดขึ้นเร็วจนเขาเองตั้งตัวไม่ทัน บอกตามตรงว่าแว๊บแรกที่เห็นเขาไม่มีความรู้สึกเลยว่านี้คือบ้านที่ยังมีคนอาศัยอยู่, มันดูว่างเปล่า ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต แถมรถยี่ห้อเดียวกันต่างสีของคนที่เขาพาไป ก็ยังจอดไว้อยู่ที่เดีมอยู่เลย ไม่แม้แต่จะขยับไปไหน ไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเลยตอนที่มันไม่กลับบ้าน, ตะวันหยุดความสงสัยนั้นไว้แค่นั้น เพราะตอนนี้รถคันสีขาวได้เข้าไปจอดที่ลานจอดรถเป็นที่เรียบร้อย และร่างเล็กของคอ๊ปเตอร์ก็กำลังวิ่งออกมาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่.

     

                “ครอบครัวอย่างนี้สิน่ะ ลูกถึงได้ใจแตกตะวันกะตุกยิ้ม พูดกับตัวเองเบาๆ เพราะตอนนี้ร่างเล็กกำลังเดินออกมาจากประตู แล้วกำลังวิ่งมาที่รถเขา.

     

     

     

               

                “จะไปไหน???” เท้าที่กำลังจะก้าวเข้าห้องเล็กต้องหยุดชะงัก เพราะเสียงเรียกนิ่งๆของพี่ตะวัน.

     

                “เข้าห้องครับผมพยายามพูดให้ดูมีมารยาทที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะยังไงผมก็เป็นผู้อาศัย..

     

                “กูบอกแล้วหรอว่าจะให้มึงอยู่ห้องนั้นท่าทางนิ่งๆ กับน้ำเสียงหนักแหน้นนั้นทำให้ผมอึดอัดจริงๆ ตกลงพี่ตะวันต้องการอะไรจากผมกันแน่ บอกให้ไปเอาของมา พอตอนนี้กลับทำเหมือนจะไล่ผมไป.

     

                “ครับผมตอบสั้นๆ พร้อมวางของที่ถือไว้ลงที่พื้น เดินไปนั่งที่โชฟา ผมเหนื่อยมากตอนนี้ ไม่นึกเลยว่าการเข้าใจ และตามอารมณ์ใครให้ทันนี้มันจะยากขนาดนี้.

     

                “โน้นห้องมึง...พี่ตะวันพูดพลางชี้ไปที่ห้องเก็บของ ห้องที่ผมโดนขังวันนั้น ห้องเล็กนี้กูต้องใช้ มึงก็เก็บกวาดเอาเองแล้วกัน ส่วนจะเก็บกวาดยังไงก็เรื่องของมึงพูดจบพี่มันก็เดินเข้าห้องนอนไปทันที.

     

                ห้องที่ผมต้องอยู่มันก็ไม่ได้รกอะไรมาก เพราะของส่วนใหญ่ถูกเก็บเข้าในหล่องอย่างเป็นระเบียบ ห้องนี้ใหญ่พอๆกับห้องนอนพี่ตะวันเลย ผมเดินมาที่เตียง รอยเลือดที่ติดอยู่ที่ผ้าปูที่นอนตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตานไปแล้ว รอยเลือดนี้ผมรู้ดีว่ามันมาจากไหน เพราะมันออกมาจากตัวผมเอง... บอกตรงๆว่าผมเหนื่อยมาก ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากคิดอะไร ผมทิ้งตัวลงที่นอนที่เต็มไปด้วยฝุ่น ที่จริงผมเป็นโรคภูมิแพ้ฝุ่นน่ะ แต่ช่างแมร่งเถอะ ผมเคยนอนมาแล้วนิ ครั้งนั้นไม่เห็นผมจะเป็นอะไรเลย ครั้งนี้คงไม่ตายหรอก.

     

                ผมลืมตาขึ้นมาดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกคันตามเนื้อตามตัวมาก ไม่รู้ทำไมกัน??, พอเดินออกมาจากห้อง พบว่าพี่ตะวันยังไม่ออกมาจากห้องเลย ไม่รู้อะไรดนใจ ทำให้ผมเดินเข้าไปแง้มประตูห้องพี่ตะวันดู ผู้ชายร่างใหญ่กำลังนอนเปือยท่อนบนหันหลังให้ผม พี่ตะวันตอนนอนหลับอย่างนี้แล้วดูอบอุ่นมากเลย ไม่รู้ทำไมผมถึงได้คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ทั้งๆที่ทุกๆอย่างที่เขาทำกับผม มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย.

     

                “เฮ้อผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องครัว เพราะที่ผ่านมาผมต้องใช่ชีวิตตัวคนเดียวมาตลอด เรื่องเข้าครัวเลยพอทำเป็นบ้าง ที่ผมจะทำวันนี้เป็นเข้าผัดกลุ้ง กับไข่เจียว เพราะอาการคันตามเนื้อตามตัวผมเลยไม่อยากทำอะไรที่มันยุ่งยากนัก, จังหวะที่เอื้อมมือขึ้นไปหากะทะ ผมเหลือบมองแขนตัวเอง ตกใจเลยครับ ทั่วทั้งแขนเต็มไปด้วยผื่นแดง ไม่ใช่เฉพาะที่แขนเท่านั้น มีผื่นขึ้นตามตัว และ ขาผมด้วย. ผมรีบทำอาหารให้มันเสร็จๆ จัดมาไว้ที่โต๊ะ พร้องโพสต์อิทเขียนไว้ว่า ขอโทษที่กินไม่รอ หวังว่ารถชาติจะถูกปากน่ะครับ คอ๊ปเตอร์, ไม่รู้จะลงชื่อทำไม เพราะยังไงพี่ตะวันก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นของใคร แต่มันเป็นความเคยชินไปแล้ว ทุกครั้งที่เขียนโพสต์อิทให้ใครผมจะชอบลงชื่อเสมอ ตั้งแต่วันที่สูญเสียทุกอย่างแม้กระทั้งเป้าหมายของชีวิต นี้เป็นครั้งแรกที่ผมเขียนอะไรให้คนอื่นไม่ใช่เขียนไว้ดูเองเหมือนที่ผ่านๆมา.

               

                ปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้คงไม่ไหว ผมรีบจัดการทำความสะอาดห้องทันที ของในห้องนี้มีไม่มากนักเลยไม่ค่อยเสียเวลาเท่าไหร่ กล่องใบใหญ่จนถึงเล็กผมจัดเรียงไว้ที่มุมห้อง หลังจากนั้นเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนก็เสร็จ ตลอดเวลาที่ทำความสะอาดผมเกือบวูบไปทุกครั้งที่ใช้แรงมากไป. ไม่เจียมสังขารผมพูดเบาๆพร้อมแสยะยิ้มให้ตัวเองต่อหน้ากระจก ดูสภาพแทบจะดูไม่ออกเลยว่าภาพที่ผมเห็นตรงหน้านี้เป็นคน.

     

                “เชี้ยผมสบถกับตัวเองในระหว่างที่จัดของจากกระเป๋าเข้าตู้เสื้อผ้า ผมไม่ได้เอายาแก้แพ้มาด้วย, “เฮ้อ ช่างแมร่ง, มึงไม่อยากได้หรอกไอ้ยาพันธ์นั้น ความตาย เป็นสิ่งมึงต้องการมาตั้งนานไม่ใช่หรอ?” ผมพูดทิ้งท้ายให้ตัวเอง ก่อนจะเดินออกจากห้องเอาขยะไปทิ้ง ดีน่ะที่ที่ทิ้งขยะไม่ไกลจากห้องเท่าไหร่ ไม่งั้นผมได้นอนนอกห้องแน่ๆ เพราะดูเหมือนว่าร่างกายผมเริ่มจะไม่ไหวแล้วสิ.

     

                “ขี้เซาแหะผมเดินมาหยุดที่โต๊ะอาหารที่ยังอยู่ครบเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าพี่มันนอนหรือตายกันแน่ คนอะไรขี้เซาซะมัด, ผมสดุ้งทันทีเมื่อเห็นเงาตัวเองจากโต๊ะ ถึงมันไม่ค่อยชัด แต่ก็พอที่จะทำให้ผมรู้ว่าผมกำลังยิ้ม, ทำไมกันน่ะ ทำไมผมต้องยิ้มเวลาที่นึกถึงพี่ตะวันด้วย..

     

     

                แก๋กกกกกกก.

     

     

                ผมรีบวิ่งจากตรงที่ยืนอยู่เข้ามาที่ห้องทันทีที่ได้ยินเสียงประตูห้องพี่ตะวันดัง ผมให้พี่มันเห็นผมในสภาพนี้ไม่ได้เด็ดขาด ที่ผ่านมาพี่มันก็เห็นความอ่อนแอของผมมามากพอแล้ว แต่ด้วยร่างกายที่กำลังอ่อนแอ เลยทำให้สภาพจิตใจอ่อนตามไปด้วย ผมล้มตัวลงบนที่นอน ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำใสๆมันไหลออกมาจากตาตั้งแต่เมื่อไหร่ “ขออ่อนแอเป็นครั้งสุดท้ายน่ะ ต่อจากนี้ไปสัญญาว่าจะเข้มแข็งให้ได้อย่างที่ผ่านมา....” ผมพูดปลอบใจตัวเอง อย่างที่เคยทำมา ถึงไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้ยินคำปลอบโยนเลย.

     

     

     

                มหาลัย...

     

                ผมนั่งทิ้งสายตาไปเลื่อยๆที่ม้านั่งหน้าตึก คงเป็นเพราะมันยังเช้าเกินไปล่ะมั้งมันเลยค่อนข้างเงียบและอาจจะถึงขั้นร้างเลยก็ว่าได้ ผมจับโทรศัพท์ขึ้นมาดูนาฬิกา มิน่าล่ะทำไมมันดูร้างๆ ก็พึ่งจะหกโมงครึ่งเองจะให้มีคนเดินวนไปเวียนมาเหมือนในงานเทศกาลคงเป็นไปไม่ได้ คงไม่มีคนปรกติที่ไหนมามหาลัยกันตั้งแต่เช้าเหมือนผมหรอกเนอะ..

     

                “ดูสิ ใครกันน่ะกำลังนั่งถ่ายเอ็มวีอยู่ตรงนั้น” ผมหันขวับไปมองตามเสียง เพียงสายตาปาดไปเห็นใบหน้าคมของใครบางคน ผมถอนหายใจยาวเลย ไอ้ณัฐมันก็ไม่ปรกติสิน่ะ.

     

                “....” ผมเลือกที่จะเงียบไม่ตอบ

     

                “ไม่เจอกันแค่อาทิดย์เดียว มึงโทรมไปมากเลยน่ะ เป็นอะไรหรึอเปล่า” ไอ้ณัฐทิ้งตัวนั่งข้างๆผม มืออีกข้างก็เอื้อมขึ้นมาแตะที่หน้าผากผม น้ำเสียงจริงจังกับสายตาเป็นห่วงเป็นยัยที่มันมองมา ดูเหมือนเป็นคนละคนกับที่ผมเจอเมื่ออาทิดย์ก่อนเลย.

     

                “กูเหนื่อยว่ะ” ไม่รู้อะไรทำให้ผมทำอย่างนั้น อาจเป็นเพราะแววตาจริงจัง และดูอบอุ่นที่ไอ้ณัฐมองมาที่ผมล่ะมั้ง.

     

                “ระบายได้น่ะ” ไอ้ณัฐเลื่อนมือจากหน้าผากลงไปกุมมือผม พร้องแรงบีบเบาๆ คงเพื่อที่จะย้ำกับผมว่าผมวางใจมันได้ล่ะมั้ง

     

                “....” ผมนั่งเงียบ ปล่อยมือให้ไอ้ณัฐกุมอยู่อย่างนั้นไม่สะบัดออก อย่างที่เคยทำกับทุกคน.

     

                “กูจะไม่บอกให้มึงเชื่อกูหรอกน่ะ แต่กูขอให้มึงรู้แค่ว่า วันที่กูทิ้งมึงไปจะมีแค่วันเดียว... คือ วันที่กูตาย” ไอ้ณัฐหยุดชั่วขณะ ก่อนจะพูดคำสุดท้ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม.

     

                “....” ผมก็ยังนั่งเงียบอยู่เหมือนเดิม ไม่ใช่เพราะรําคาญ แต่พอจะพูดอะไรออกไปมันเหมือนมีก้อนอะไรติดอยู่ที่คอ ทำให้เสียงที่มีหายไปหมด.

     

                “กูรบกวนมึงเกินไปแล้วสิน่ะ, กูไปนั่งที่อื่นก็ไปน่ะ แหๆๆ” พูดจบไอ้ณัฐลุกพวดออกจากที่นั่งทันที ทุกอย่างที่มันพูดในวันนี้ ไม่มีทีท่าว่าแค่มากวนผมเฉยๆ มันดูจริงจังมาก.

     

                หมับ.

     

    ผมเอื้อมมือไปจับมือไอ้ณัฐไว้ ไม่รู้ว่าทำไม แต่กับมีความรู้สึกว่าอยากให้คนๆนี้อยู่ข้างๆ ผมรู้ว่าทำอย่างนี้มันดูเห็นแก่ตัว แต่ผมก็ไม่อยากให้มันเดินออกจากตรงนี้ไป.

     

                “.....” ไอ้ณัฐยืนมองผมอึ้งๆ แต่ไม่พูดอะไร.

     

                “ให้เวลากูหน่อยน่ะ” ผมพูดออกไปแค่นั้น แล้วเหงยหน้าขึ้นสบตาไอ้ณัฐ ตอนนี้มันยิ้มอยู่ ดูมีความสุขมาก. กูอยากเป็นแบบมึงว่ะ กูอยากมีรอยยิ้มแบบนี้อยู่บนหน้า รอยยิ้มดูมีความสุข เป็นความสุขจริงๆ ไม่ใช่เสแสร้ง.

     

                ไอ้ณัฐไม่ตอบ ได้แต่กลับมานั่งที่เดิมข้างๆผม กุมมือผมอยู่อย่างนั้น, แต่ทำไมกันน่ะ ทั้งๆที่ผมนั่งอยู่ข้างๆไอ้ณัฐ กุมมือไอ้ณัฐอยู่ แต่ในหัวผมกลับมีภาพของคนอีกคนผุดขึ้นมา ทำไมถึงมีความรู้สึกว่าอยากให้คนๆนั้นเป็นคนทำอย่างนี้กับผมแทนที่จะเป็นไอ้ณัฐน่ะ.

     

     

     

     

    øøøøøøøøøøøøøøøøøøøøøøøøøøø

     

     

                ตอนนี้อารมณ์ค่อนข้าง เศร้าไปหน่อยน่ะ, แต่ก็น่ะ ก็พล็อตเรื่องที่วางไว้มันเป็นดราม่านี้น่ะ มันก็ต้องเศร้ากันหน่อย.

     

                เป็นยังไงก็ขอความเห็นจากทุกคนด้วยน่ะ สนุกไม่สนุกตรงไหนเราจะได้แก้อย่างถูกจุด... สุดท้ายนี้ก็ไม่มีอะไรมาก นอกซะจาก ขอบคุณมากกกกกกกกกกกๆครับ.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×