ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Please!!! ถ้าไม่รัก ก็ปล่อยผมไปเถอะครับ (YAOI)

    ลำดับตอนที่ #3 : Please !!! 02 - ตอนที่ 2 หนึ่งอาทิตย์นรก (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.84K
      3
      18 ธ.ค. 56

    BB



    ตอนที่ 2 หนึ่งอาทิตย์นรก

     

     

     

                ผมลืมตาขึ้นอย่างหงุดหงิดเพราะแสงแดดส่องที่ตา ภาพแรกที่ผมเห็นคือเพดานห้องที่ไม่คุ้นตา เพียงเท่านั้นก็ทำให้ผมได้รู้ว่าภาพต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันไม่ใช่ฝันร้าย แต่มันคือความจริง, ผมมองไปรอบๆห้อง แต่ก็ไม่พบคนที่ทำร้ายผมเลย เนื้อตัวผมตอนนี้อยู่เหนือการควบคุมของสมอง ผมไม่สามารถขยับแขนขาได้ดั่งใจ แม้จะแค่ปลายนิ้วมันก็ทำให้ผมปวดร้าวไปทั่วทั้งตัว โดยฉะเพราะสะโพกและใบหน้า ที่ตอนนี้มันพร้อมจะแตกออกจากกันทุกครั้งที่ขยับ...

     

     

    ในตอนนี้ ความคิดหลากหลายเกิดขึ้นในสมอง ไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ เขามีความแค้นอะไรกับผมกันแน่ ทำไมผมถึงต้องโดนอะไรแบบนี้ด้วย, ผมยังจำได้แม่นยำเลยถึงน้ำเสียง ท่าทาง และแววตาของพี่ตะวันในตอนนั้น มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน แววตาโกธรแค้นถึงขีดสุด น้ำเสียงดุดันดั่งเสียงคำรามของสัตว์ป่าที่เลือดเย็นและหิวโหย... ถึงจะไม่รู้ว่ามันรื่องอะไร แต่ที่แน่ๆผมไม่ควรอยู่ที่นี้ต่อไป ผมควรจะกลับออกไปจากที่นี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่ยังมีโอกาศ.

     

     

     

    “โอ๊ยยยยยย” ผมร้องออกมาอย่างทุกทรมารตอนที่จะลุกขึ้น ผมขบฟันไว้แน่น ไม่อยากให้เสียงหลุดออกไปข้างนอกห้อง ไม่อยากให้ใครมาเห็นผมในสภาพแบบนี้.

     

     

     

    ผมพยุงตัวอย่างทุลักทุเลไปที่ห้องน้ำแล้วกัดแขนตัวเองไว้ เพื่อที่จะข่มเสียงร้องตัวเองไว้, ใช้เวลานานกว่าผมจะเข้ามาข้างในห้องน้ำได้ พอเหลือบมองตัวเองในกระจก ผมแทบจะจำไม่ได้เลยว่าคนที่กระจกกำลังสะท้อนเงาอยู่นั้นคือตัวผม ใบหน้าบวมแดง มุมปากทั้งสองข้างแตกยับเยินแถมยังมีรอยเลือดแห้งอยู่ด้วย ตามตัวเต็มไปด้วยรอยคิสมาร์กนับตั้งแต่ชอกคอไปจนถึงหน้าท้อง ตามแขนขาบวมช้ำไปหมด บางจุดแดงเขียวเป็นรอยนิ้วมือ คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นมือใคร... ผมยืนมองร่างเปือยเปล่าของตัวเองอยู่หน้ากระจกนาน ก่อนที่จะหันลงไปนอนที่อ่าง ผมอยากแช่ให้น้ำมันชำละล้างสิ่งสกปรกออกไปให้หมด อยากแช่ให้น้ำนำเอาความอัปยศของผมให้ไหลออกไปด้วย แต่ก็ยังไม่วาย ลุกไปมองดูตัวเองในกระจกอีกรอบ...

     

     

     

    “หึๆๆ” ผมได้แต่หัวเราะสมเพชตัวเอง ก่อนจะก้าวขาออกจากห้องน้ำ.

     

     

     

    ผมเดินกลับมาที่เตียงอย่างลำบาก ก้มลงไปหยิบกางเกงนักศึกษาที่ใส่มาเมื่อวานมาใส่อย่างเดิม ดีที่มันยังคงสภาพอยู่เหมือนเดิม ส่วนเสื้อผมตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากขยะไปแล้ว ไม่สามารถแยกได้แล้วว่าตรงไหนแขนตรงไหนตัว... พอใส่กางเกงได้ ผมหยิบผ้าเช็ดตัวมาคุมร่างกายท่อนบนเอาไว้แล้วเดินทุลักทุเลออกไปข้างนอก แล้วก็พบว่าข้างนอกห้องว่างเปล่า ไม่มีใคร ผมเดินไปที่ประตูพยายามไม่ให้ตัวเองล้มลงไปนอนกับพื้น, ผมก้าวออกมาข้างนอกอย่างไม่ไม่หวั่นเกรงกับสายตาคนรอบข้าง แต่ดีที่ข้างนอกเงียบสงบ ไม่มีใครผ่านมาแม้แต่คนเดียว ผมมองไปรอบๆเห็นประตูห้องแค่ไม่กี่ห้องในชั้น นี้คงเป็นชั้นพิเศษพอดู เพราะนอกจากมันจะอยู่ชั้นเกือบสุดท้ายแล้ว ห้องยังกว้างใหญ่ และมีให้ไม่มาก คงจะมีห้า หกห้องต่อชั้นก็ว่าได้, ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าลิฟท์แต่ก็ต้องชะงักคร้างกลางอากาศอยู่อย่างนั้นเมื่อประตูลิฟท์เปิดออก

     

     

    หมับ...

     

     

    “มึงจะไปไหน” พี่ตะวันก้าวออกจากลิฟท์มากระชากแขนผมแรง ผมได้แต่กัดฟันแน่นเพื่อข่มความเจ็บปวดไว้ เขายังคงมีแววตาเหมือนเมื่อวานไม่มีผิด แววตาที่เต็มไปด้วยความโกธรแค้น และผมยังมองเห็นอะไรอีกอย่างจากดวงตาคู่นั้น มันคือความเกลียจที่มีต่อผม และแววตาของผมที่ตอนนี้จ้องมองพี่มันก็คงไม่ต่างอะไรกันนักหรอก.

     

     

                “กูถามไม่ได้ยินหรือไง??”

     

     

                ตุ๊บ...

     

     

                “โอ๊ยยยยย” ผมร้องอย่างเจ็บปวด เมื่อพี่ตะวันลากผมกลับเข้ามาที่ห้องแล้วเหวี่ยงผมลงไปกับพื้น.

     

                “กูถามว่ามึงจะไปไหน???” พี่ตะวันตะคอกใส่ทำเอาผมสดุ้งเลย.

     

                “....” ผมเลือกที่จะนั่งก้มหน้ามองเข่าตัวเองแทนที่จะตอบ ผมไม่รู้ว่าพี่มันต้องการอะไรจากผมกันแน่.

     

     

                หมับบ..

     

     

                “กูถาม??” เขาก้มลงมากระชากผมให้ขึ้นยืน ร่างกายผมตอนนี้เหนี่อยล้าเต็มทน มันทั้งเจ็บทั้งปวดไปหมดทุกส่วน.

     

                “กลับ” ผมตอบสั้นๆ โดยที่ไม่เงยหน้าไปมองพี่มันเลย.

     

                “มึงรีบกลับไปไหน... จะกลับไปหาผัวมึงหรือไง??”  สิ้นเสียงตะคอกพี่ตะวันเหวี่ยงผมลงที่พื้นอีกครั้ง แต่...

     

                เพร้งงงงง

     

                ผมล้มไปโดนที่โต๊ะกระจกแตกกระจาย และจังหวะที่ตัวผมล้มลงกับพื้น ผมล้มลงไปจุดที่กระจกแตกพอดี ทำให้เศษกระจกบาดตามแขนและตัวนิดหน่อย แผลไม่ลึกมาก แต่ก็ไม่น้อยเหมือนกัน ผมดันตัวเองให้ลุกขึ้น ถึงแม้สุดแสนจะยากลำบากเต็มที พอดันตัวขึ้นได้ผมเงยหน้าขึ้นสู้หน้ากับพี่ตะวันตรงๆ อย่างไม่เกลงกลัว...

     

                “พี่ต้องการอะไรกันแน่??” ผมถามเสียงแข็งออกไป. ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ทั้งๆที่ไม่รู้จักกันแท้ๆ แต่กับลากผมมาที่นี้ แถมยังทำเรื่องแบบนั้นกับผมอีก พี่ตะวันต้องการอะไรจากผมกันแน่.

     

                “กูต้องการอะไรน่ะหรอ”

     

                “ใช่ พี่ทำแบบนี้กับผมทำไม”

     

                “สนองความต้องการให้มึงไง ไม่ดีหรอ ชอบไม่ใช่หรือไง หึๆ” พี่มันแสยะยิ้มเหยียดๆใส่ผม.

     

                “หึ สนองความต้องการของใครกันแน่” ในเมื่อพี่มันต้องการเล่นลิ้นกับผม ผมก็จะเล่นเป็นเพื่อนพี่มันก็ได้ ต่อให้โดนอะไร มันก็คงไม่สามารถทำให้ผมเจ็บตัวไปกว่านี้ได้แล้วล่ะ.

     

                เฟี๊ยยยยย..

     

                “กล้าดียังไงมาต่อปากต่อคำกับกู... ห๊ะ” ฝามือหนักๆของคนตรงหน้าถูกเหวี่ยงมาที่หน้าของผมเต็มอย่างแรง ครั้งนี้ผมพยายามทรงตัวเพื่อไม่ให้ตัวเองล้ม.

     

                “แล้วพี่ต้องการอะไรจากผมล่ะ” ผมเช็ดเลือดที่มุมปากออก ก่อนจะเดินไปผลักไหล่พี่ตะวัน แต่ด้วยแรงของผมในตอนนี้ ไม่สามารถทำให้พี่มันล้มได้ แม้แต่จะให้พี่มันขยับยังทำไม่ได้... ผมหมดแรงทรุดลงคุกเข่าลงตรงหน้าพี่มันอย่างหน้าสมเพช... แม้แต่ผมเอง ผมยังยอมรับตัวเองไม่ได้เลย.

     

                “การชดใช้” ถึงจะไม่ตะคอกใส่ แต่ก็ยังคงเย็นชาอยู่.

     

                “ชดใช้....ชดใช้อะไร” น้ำเสียงผมตอนนี้แผ่วเบามาก ราวกับจะถูกกลืนกินลงไปในลำคอ ผมเหนื่อยเต็มที่แล้ว ดวงตาพร่ามัว ลมหายใจเริ่มขาดหาย..

     

                “ชีวิต”

     

    ....................................................

    (ต่อครับ)

     

                “ชีวิต” พี่ตะวันพูดสั้นๆด้วยใบหน้าเรียบ.

     

                “ชีวิตแบบไหน เป็นหรือตาย” คราวนี้ผมถามกลับด้วยใบหน้าเย็นชาบ้าง ผมตอนนี้ยังไงก็ไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่าสิ่งที่เสียไปวานอยู่แล้วนิ...

     

                “มึงก็น่าจะรู้ว่ากูหมายถึง ชีวิต แบบไหน” พี่ตะวันเน้นคำว่า ชีวิต ชึ่งถ้าผมเดาไม่ผิด พี่มันคงหมายถึงชีวิตอย่างหลังที่ผมพูด พี่มันก็บอกตั้งแต่ต้นแล้วนิ ว่าชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต...

     

                “หึ ผมว่าอย่างนั้นก็ง่ายดี เพราะยังไงมันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการมานานอยู่แล้ว” ผมเงยขึ้นไปมองหน้าพี่ตะวันพร้อมกับรอยยิ้ม ชึ้งมันไม่ใช่รอยยิ้มเหยียดๆ ไม่ใช่รอยยิ้มเสแสร้ง เพราะมันคือรอยยิ้มที่ผมครั้นออกมาจากใจ ผมรู้สึกขอบคุณพี่มันน่ะที่มอบในสิ่งที่ผมต้องการให้...

     

     

                ผมใช่มือสองข้างดันร่างตัวเองให้ลุกขึ้น เลือดที่ไหลค่อยๆเหือดแห้งไป และอาจเพราะเสียเลือดไปมาก ตอนที่ลุกขึ้นเลยทำให้ผมหน้ามืด เกือบจะล้ม ดีที่ผมเดินเข้าไปจับขอบโชฟาไว้ทันก่อนที่จะล้มลงไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษกระจกนั้นอีกครั้ง, ผมพยุงตัวเองให้เดินมาที่ประตูระเบียง...

     

     

                คลืดดดดดดดดดด..

     

     

                ผมเลื่อนบานประตูออก แล้วก้าวเท้าออกมาข้างนอกละเบียง ไม่รู้เลยว่า เวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าจำไม่ผิด ตอนที่ผมจะกลับบ้านมันยังเที่ยงอยู่เลยนิ แต่ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าตอนนี้ ดวงอาทิดย์ได้เปลี่ยนสีจากสีทองมาเป็นสีแดงแล้ว  แสงทีส่องก็เริ่มเลือนหาย ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีคลาม... ผมหันหลังให้กับความงามของท้องฟ้ายามที่แสงสุดท้ายกำลังจะหายไป แล้วหันไปมองหน้าคนตรงหน้าที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ที่ประตูตั้งแต่เมื่อไหร่.

     

                “มึงจะทำอะไร?” น้ำเสียงและสีหน้าของที่ตะวันดูตกใจ ตอนที่เห็นผมจับราวระเบียง, ผมไม่เข้าใจว่าทำไม ทำไมพี่ตะวันต้องแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมาด้วย เพราะสิ่งที่ผมจะทำอยู่นี้มันคือความต้องการของเราทั้งคู่ ผลที่ออกมามันก็ได้ด้วยกันทั้งคู่ ผมก็ได้เป็นอิสระและถูกปลดปล่อยจากชีวิตอันโสมมนี้ ส่วนพี่มันก็ได้ในสิ่งที่อยากได้ถึงไม่รู้เหตุผลก็เถอะ แต่ผมพร้อมที่จะให้.

     

                “หึ ก็ชดใช้ไง” ผมยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนที่จะออกแรงยกตัวเองขึ้น หลับตาแล้วปล่อยตัวเองตามแรงโน้มถ่วงเพื่อที่จะทิ้งร่างกายลงสู่พื้นดินด้านล่าง, ผมไม่นึกเสียใจอะไรเลยที่ตัดสินใจทำแบบนี้.

     

               

                ในระหว่างที่ผมกำลังจะร่วงลงจากระเบียง ร่างของผมก็ถูกกระชากด้วยแรงของอะไรสักอย่าง ทำให้ผมล้มกลับเข้ามาด้านใน แล้วคนที่ดึงผมเข้ามา ก็ดึงผมเข้าไปกอดอย่างไร้สติ อ้อมแขนใหญ่กอดรัดร่างผมเอาไว้แน่นจนผมรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว, ผมรู้สึกได้ว่าร่างกายคนที่มอบอ้อมกอดให้ผมตอนนี้สั่นเคลือนิดๆ นั้นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นและรู้สึกได้ ก่อนที่ข้างทั้งสองข้างจะหมดแรง และหมดสติไป.

     

     

     

               

     

                ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนที่ได้ยินเสียงคุยกันของผู้ชายกับผู้หญิงอยู่นอกห้อง ผมหันไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้บนผนังถึงได้รู้ว่า ตอนนี้มันเกือบจะตีสองแล้ว ผมมองไปรอบๆห้องจึงได้รู้ว่าตัวเองนอนอยู่ห้องที่ไม่ใช่ห้องเดิมที่ถูกกระทำเมื่อวาน ห้องนี้มันดูเหมือนไม่ใช่ห้องที่มีไว้ให้คนอยู่เท่าไหร่ รอบๆห้องเต็มไปด้วยก๋องกระดาษเล็กใหญ่เต็มไปหมด และเตียงที่ผมนอนอยู่ก็มีฝุ่นเต็มไปทั่ว ดูๆแล้ว มันเหมือนห้องเก็บของมากกว่า. ผมเดินไปที่ประตูท่ามกลางความมืดมิดของห้อง และตอนที่จะเปิดประตูออกไปผมถึงได้รู้ว่าตอนนี้ตัวเองถูกขังเอาไว้ในห้องนี้.

     

     

                “มีอะไรอยู่ในห้องนี้เหลอค่ะพี่ตะวัน” เสียงผู้หญิงดังขึ้นในบริเวณหน้าห้องที่ผมอยู่ คงเพราะตอนผมเดินกลับมาที่เตียงผมไปสดุดเข้ากลับก่องกระดาษที่พื้นทำให้เกิดเสียงก็ได้.

     

                “ไม่มีอะไรหรอก ห้องเก็บของน่ะ คงจะเป็นพวกหนูน่ะ” น้ำเสียงที่พี่ตะวันตอบกลับผู้หญิงคนนั้นมันช่างอ่อนโยนมาก เหมือนไม่ใช่คนๆเดียวกับคนที่ทำกับผมเลย.

     

                “อ้ายยยย หนูเหรอค่ะ ครีมกลัวจังเลย”

     

                “ไม่ต้องกลัวน่ะ ยังไงมันก็ออกมาทำอะไรเธอไม่ได้หรอก”

     

                หลังจากนั้นก็มีเสียงเหมือนคนกำลังเล้าโลมกันอยู่ข้างนอก และไม่นานเสียงก็ค่อยๆหายไป.

     

     

     

     

                ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวผมกำลังอยู่ที่ไหน มันบรรยายไม่ถูกเหมือนกัน, ที่ๆผมอยู่มันเป็นเหมือนสถานที่ร้าง บรรยากาศรอบๆตัวเหยือกเย็น ความมืดปกคลุมรอบๆตัวผมเอาไว้ ตลอดเวลาก็จะมีสายลมพัดผ่านมาไม่ขาด และทุกคั้งที่สายลมนั้นสำผัสถูกผิวหนัง ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดนับร้อยกรีดไปทั่วร่างกาย ถึงไม่มีเลือดแต่มันก็เจ็บ เจ็บจนผมไม่รู้ว่าตัวเองจะทนได้อีกนานแค่ไหน . ผมเหนื่อย ผมเจ็บ ผมสิ้นหวัง และในระหว่างที่แสงแห่งความหวังของผมจะดับลง ผมมองเห็นประตูเหล็กบานใหญ่ ที่เปิดอยู่ตรงหน้าผม ข้างในประตูนั้น ผมมองเห็นแสงแห่งชีวิต ผมเห็นความสุข ผมก้าวเท้าเดินไปยังประตูบานนั้น แต่ทุกครั้งที่ผมเดินเข้าไปใกล้ประตูก็ถ่อยออกห่างผม ยิ่งผมวิ่งเข้าใส่ประตูยิ่งเลือนหายไป... แล้วอยู่ๆตัวผมก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ไม่นานก็ล่นกลับลงมา แต่ที่ๆผมยืนอยู่ไม่ใช่ที่เดิม ไม่เหยือกเย็น ไม่มีลมหนาว มันกับร้อนระอุเหมือนอยู่ท่ามกล่างกลองเพลิง ความร้อนเพิ่มขึ้นเลื่อยๆ และผมก็ได้รู้ว่า ที่ๆผมยืนอยู่ตรงนี้มันคือ...

     

    นรก

     

     

    เฮือกกกกกก

     

    ผมเด้งตัวตื่นด้วยความหวาดกลัว ทั่วร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ.. “ฝันไปหรอกหรอ??”  ผมพูดกับตัวเองเบาๆ แต่ว่าความหนาวเหน็บ และความร้อนที่เจอนั้นทำไมผมถึงไม่รู้สึกว่ามันเป็นแค่ความฝันเลย มันจริงมาก มากซะจนถึงตอนนี้ ผมยังรับรู้ได้ถึงอาการพวกนั้นอยู่เลย.

     

    พอตั้งสติได้ ผมถึงได้รู้ว่า ที่ผมอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่ห้องเก็บของ แล้วก็ไม่ใช่ห้องที่ผมนอนเล็กที่ผมโดนในวันนั้น, งั้นก็แสดงว่าที่ผมอยู่ตอนนี้คือห้องสุดท้ายของคอนโดนี้สิน่ะ “ห้องนอนพี่ตะวัน” ผมพูดออกมาอย่างตกใจก่อนจะหันไปมองรอบๆ ไม่มีใครอยู่ด้วย “เฮ้อออ” ผมถอนหายใจโล่งอกไปทีหนึ่ง, ผมมองออกไปข้างนอกระเบียงห้องนอนเห็น ฟ้าข้างนอกไม่ได้เริ่มสว่างแล้ว นี้มันวันทีสองแล้วหรอที่ผมอยู่ที่นี้, พอนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่วันที่ไปมหาลัยวันนั้น ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องผมเลยนิ ไม่น่าล่ะ ถึงได้ร้องประท้วงกันสนั่นเซียว ผมกวาดตามองดูตัวเองอีกครั้ง ผมอยู่ในชุดนอนสีดำที่ดูหลวมไปนิด ตามแขนมีผ้าพันไว้สองสามที่, นี่พี่ตะวันเปลี่ยนชุดให้ผม แถมยังทำแผให้ผมอีกหรอ มันทำให้ผมนึกถึงเหตุการตอนที่ร่างกายผมกำลังจะล่วงจากระเบียง พี่ตะวันวิ่งเข้ามาดึงผมเข้าไปกอดไว้ แว๊บแรกที่ผมเห็นในตอนนี้ คือแววตาที่หวาดกลัว สับสน และเสียใจ ถึงไม่ค่อยอยากเชื่อสายตาแต่ผมก็เห็นได้ชัดเจนมาก...

     

     

    แก๋กก

     

    มีเสียงอะไรบางอย่างหล่นกระทบพื้นตามมาหลังจากที่ผมก้าวขาลงจากเตียง ผมมองตามไปที่จุดที่เสียงนั้นดัง แล้วก็พบว่าที่ข้อเท้าขวาของผม มีโซ่ล่ามอยู่. จังหวะที่ผมเอื้อมมือลงไปจับโซ่ที่ขา ประตูห้องก็เปิดออก พร้อมกับผู้ชายร่างหนา ที่ผมก็ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิด และทำอะไรอยู่.

     

    “...” ผมมองหน้าพี่ตะวันอย่างไม่เข้าใจ ตอนที่พี่มันวางจานข้าวกับจานใข่เจียวมาไว้ตรงหน้าผม.

     

    “เข้า... ไม่ได้กินตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วนิ” พี่มันพูดเสียงเรียบ สายตาที่พี่มันมองมาตอนนี้กลับมาเย็นชาเหมือนเดิม.

     

    “อึม” ผมตอบรับงงๆ แล้วจับจานข้าวขึ้นมาตักเข้าปาก ทุกๆครั้งที่ผมกลืนข้าวลงไป มันทรมารมาก เหมือนกับกำลังกลืนก้อนหินเข้าไปเลย แล้วไหนจะอาการปวดหัวนี้อีก หรือว่าผมจะไม่สบายอยู่น่ะ ผมเนียนๆเอามือขึ้นแตะหน้าผากและชอกคอดู อย่างที่คิดจริงๆ ผมกำลังไม่สบาย แต่ถึงยังไงผมจะแสดงออกให้คนตรงหน้ารู้ไม่ได้ว่าผมอ่อนแอ เพราะคนอ่อนแอมันช่างน่าสมเพชนัก โลกที่เราอยู่ตอนนี้คนแข่งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่ได้ ถ้าอ่อนแอเมื่อไหร่ เราก็จะโดนคนพวกนั้นเหยียบจมดินทันที ก็เหมือนกับเมื่อก่อนกับเมื่อวานที่ผมอ่อนแอแล้วโดนพี่ตะวันมันเหยียบนั้นไง.

     

     

    “ผมจะต้องอยู่อย่างนี้อีกนานเท่าไหร่??” ผมถามลอยๆออกไป ทั้งๆที่สายตายังจับจ้องที่จานข้าวอยู่ ที่จริงมันก็ไม่มีอะไรน่ามองหรอก แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรให้วางสายตา.

     

    “อะไร??” พี่มันตอบกลับมาเสียงเรียบตามเคย ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้พี่มันมองผมอยู่หรือเปล่า.

     

    “อย่างที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ไง?” น้ำเสียงผมตอนนี้มันกลับมาเป็นผมคนเดิมอีกแล้ว เย็นชา น้ำเสียงที่ไร้ชึ้งความสึก..

     

    “กูแค่อยากแน่ใจว่ามึงจะไม่หนี ถึงแม้มึงจะหนียังไงก็หนีไงพ้นกูก็เหอะ”

     

    “แล้ว???”

     

    “กูจะปลดโซ่ให้มึง แต่...”

     

    “อะไร?”

     

    “ถ้ามึงคิดจะไปจากที่นี้ กูว่าอย่า เพราะยังไงมึงก็ไปจากที่นี้ไม่ได้ แม้แต่จะก้าวเท้าออกจากห้องกูก็ตาม” พอสิ้นประโหยคที่พี่ตะวันพูด ผมหันขวับไปมองพี่มันทันที.

     

    “จะต้องเป็นอย่างนี้ถึงเมื่อไหร่??” ผมสบตาพี่ตะวัน แววตาที่พี่มันมองมาที่ผมว่างเปล่า  ชึ่งผมเองก็แน่ใจว่าสายตาที่ผมมองพี่มันก็คงไม่ต่างอะไรกันหรอก..

     

    “ก็จนกว่ากูจะพอใจ” พี่ตะวันตอบ พลางปลดโซ่ที่กำลังล่ามขาผมออก.

     

    “ก็หวังว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วๆน่ะ” ผมพูดพร้อมดันจานเปล่าออกจากตรงหน้า.

     

    “หึ” พี่ตะวันไม่หันกลับมามองผมแม้แต่น้อย ก่อนจะเก็บจานเปล่ากับโซ่แล้วเดินออกจากห้องไป.

     

    นี้ผมกำลังเผชิญหน้ากับอะไรกันแน่ ผมไปทำอะไรให้พี่ตะวันกันแน่ ทำไมพี่มันถึงทำกับผมอย่างนี้ ผมต้องเจอเรื่องแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่ ผมจะต้องอยู่ในนรกแห่งนี้หนึ่งอาทิดย์ หนึ่งเดือน หนึ่งปี หรือตลอดชีวิตนี้ของผม

     

     

     

     

    øøøøøøøøøøøøøøøøøøøøøøøøøøø

     

    จบไปแล้วตอนที่สอง ไม่รู้จะถูกใจกันหรือเปล่า ขอโทษน่ะที่ปล่อยให้รอซะนานนนนน คือปีนี้เราเรียนโคตรหนักอ่ะ ไม่มีเวลาให้มานั่งชิลๆเขียนนิยายเลยอ่ะ..

     

    เราจะพยายามมาเขียนสลับกันระหว่างเรื่องนี้กัน Hey Boy - วุ่นนัก รักซะเลย (YAOI) น่ะ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×