เรื่อง ใบสุดท้าย ของ โอ เฮนรี่ - ชอบเรื่องนี้มาก
เรื่องนี้สนุกมาก
ผู้เข้าชมรวม
5,493
ผู้เข้าชมเดือนนี้
29
ผู้เข้าชมรวม
นี้เป็นวรรณกรรมที่ชอบมาก ได้อ่านตอนเรียน ม1 แต่ตอนนั้นอ่านเป็นภาษาเวียดนาม ดีใจมากที่มีคนแปลเป็นไทย อยากให้ทุกคนได้อ่านด่วยกัน.
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เรื่องสั้น ใบสุดท้าย the last leaf ของ โอ . เฮนรี่
ในย่านเล็กๆ ด้านตะวันตกของวอชิงตันสแควร์ ถนนหนทางวกวนน่าเวียนหัว
แบ่งออกเป็นช่วงสั้นๆ ที่เรียกว่า “ตอน” แต่ละ “ตอน” เป็นโค้งเป็นมุมประหลาด
ถนนเส้นหนึ่งตัดผ่านตัวเองรอบสองรอบ จิตรกรจึงสบโอกาสงามของถนนเส้นนี้
หากว่าคนเก็บเงินผ่านมาทางนี้เพื่อทวงค่าสี ค่ากระดาษ และผ้าใบ
ยังไม่ทันรู้ตัวเขาก็พบตัวเองกลับออกมาโดยไม่ได้รับเงินชำระหนี้เลยสักสตางค์เดียว
ไม่ช้าไม่นานบรรดาศิลปินก็มุ่งหน้ามายังกรีนนิชวิลเลจอันเก่าแก่และมีเสน่ห์แบบแปลกๆ
ต่างพากันมองหาหน้าต่างทางทิศเหนือ หน้าจั่วสมัยศตวรรษที่สิบแปด ห้องใต้เพดานสไตล์ดัชท์ และค่าเช่าถูกๆ แล้วพวกเขาก็ขนเอาเหยือกดีบุกกับหม้อกระทะลูกสองลูกมาจากถนนสายที่หก
ในที่สุดก็กลายเป็นคนใน “ย่านศิลปิน”
ที่ชั้นบนสุดของอาคารก่ออิฐสามชั้นทรงเตี้ยม่อต้อ
ซูกับจอห์นซี่มีห้องชุดอยู่ด้วยกัน “จอห์นซี่” คือชื่อเล่นของโจอันนา คนหนึ่งมาจากเมน
อีกคนจากแคลิฟอร์เนีย ทั้งสองพบกันที่โต๊ะอาหารรวมในร้านเดลโมนิโคส์บนถนนสายที่แปด
ต่างพบว่ารสนิยมความชอบเกี่ยวกับศิลปะ สลัดชิคโครี และเสื้อแขนจั๊มป์ของพวกเธอสอดคล้องต้องกันมาก
จนลงเอยด้วยการอยู่ร่วมห้องชุดด้วยกันนั่นคือเมื่อเดือนพฤษภาคม
ในเดือนพฤศจิกายน คนแปลกหน้าผู้เย็นชาและมองไม่เห็นซึ่งพวกนายแพทย์เรียกว่าโรคปอดบวมเยื้องกรายเข้ามาในย่านศิลปินแห่งนี้ จรดปลายนิ้วเย็นเยียบของเขาที่นั่นที่นี่
ทางด้านตะวันออกหายนะตนนี้ย่างสามขุมเข้าไป นำความเจ็บป่วยให้เหยื่อของเขาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ฝีเท้าของเขากลับย่ำช้าๆ ไปตามทางวกวนของ “ตอน” แคบๆ ที่ปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำ
คนอย่างนายปอดบวมไม่ใช่คนที่เราจะเรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษชราผู้กล้าหาญ
ผู้หญิงตัวเล็กๆ โลหิตจางซีดเซียวเพราะสายลมตะวันตกจากแคลิฟอร์เนียแทบไม่คู่ควรเป็นเหยื่อของชายชรางกเงิ่นที่เหนื่อยหอบและโมโหโกรธา
แต่กับจอห์นซี่เขาก็นำความเจ็บไข้มาให้ แล้วเธอก็ล้มป่วย
นอนแซ่วอยู่บนเตียงเหล็กทาสี ได้แต่มองผ่านกรอบหน้าต่างสไตล์ดัชท์บานเล็กออกไปยังกำแพงด้านที่ไม่มีหน้าต่างของบ้านก่ออิฐหลังถัดไป
เช้าวันหนึ่งคุณหมอผู้มีงานรัดตัวเลิกคิ้วสีเทาดกหนาส่งสัญญาณชวนให้ซูออกไปที่ห้องโถง
“เธอมีโอกาส ตีเสียว่า...หนึ่งในสิบ”
เขาพูดขณะสะบัดปรอทในเทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ลงไปในกระเปาะ
“และนั่นเป็นโอกาสที่มีถ้าเธอต้องการจะมีชีวิตอยู่ การที่คนเรามัวไปคิดถึงการจองคิวสัปเหร่อเหมือนจะทำให้หยูกยาทั้งหลายไม่เป็นท่าไปหมด แม่สาวน้อยของคุณตัดสินใจแล้วว่าตัวเองจะไม่หายป่วย
เธอมีเรื่องอะไรค้างคาใจหรือเปล่า”
“เธอ…เธออยากจะวาดภาพอ่าวเนเปิลส์สักวันหนึ่งค่ะ” ซูพูด
“วาดภาพหรือ ไร้สาระจริง เธอมีอย่างอื่นในใจที่ควรค่าแก่การไตร่ตรองให้รอบคอบไหมล่ะ อย่างเช่น ผู้ชายสักคน”
“ผู้ชายหรือคะ” ซูแค่นเสียงขึ้นจมูก
“ผู้ชายน่ะหรือที่ควรค่า แต่...ไม่หรอกค่ะ คุณหมอ ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกค่ะ”
“อืม มันเป็นจุดอ่อนนะ เอาหละ” คุณหมอพูด
“หมอจะทำทุกอย่างที่วิทยาศาสตร์ทำได้ ตราบเท่าที่มันอยู่ในความสามารถของหมอ
แต่เมื่อไหร่ที่คนไข้เริ่มนับจำนวนรถในขบวนแห่งานศพของตัวเองละก็…หมอจะลดฤทธิ์ยาลง
50 เปอร์เซ็นต์ ถ้าคุณสามารถทำให้เธอสนใจถามสักคำเกี่ยวกับแขนเสื้อคลุมแบบใหม่ๆ
สำหรับฤดูหนาวละก็ หมอสัญญากับคุณว่าเธอจะมีโอกาสถึงหนึ่งในห้า แทนที่จะเป็นหนึ่งในสิบ”
หลังจากคุณหมอกลับไป ซูเข้าไปในห้องทำงานและร้องไห้จนกระดาษเช็ดหน้าแบบญี่ปุ่นเปื่อยยุ่ย
แล้วเธอก็เดินฝืนปั้นสีหน้าเข้าไปในห้องของจอห์นซี่
ถือกระดานวาดรูป เเละผิวปากเป็นจังหวะแร็กไทม์
จอห์นซี่นอนอยู่ แทบไม่ขยับเขยื้อนภายใต้ผ้าห่ม ใบหน้าของเธอหันไปทางหน้าต่าง
ซูหยุดผิวปาก คิดว่าจอห์นซี่หลับอยู่
เธอจัดกระดานและเริ่มวาดภาพลายเส้นเพื่อประกอบเรื่องในนิตยสาร
จิตรกรหนุ่มสาวแผ้วถางหนทางไปสู่ศิลปะด้วยการวาดภาพสำหรับเรื่องในนิตยสารซึ่งนักประพันธ์หนุ่มสาวเขียนขึ้นเพื่อแผ้วถางหนทางของพวกเขาไปสู่วงวรรณกรรม
ในขณะที่ซูกำลังร่างกางเกงแบบหรูหราสำหรับใส่ขี่ม้าโชว์กับแว่นตาข้างเดียวของพระเอกซึ่งเป็นคาวบอยไอดาโฮ เธอได้ยินเสียงแผ่วๆ ซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง เธอรีบไปที่ข้างเตียง
ดวงตาของจอห์นซี่เบิกกว้าง เธอกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างและนับ...นับถอยหลัง
“สิบสอง” เธอพูด และถัดมาอีกเล็กน้อย “สิบเอ็ด” และจากนั้นก็ “สิบ” และ “เก้า”
และจากนั้นก็ “แปด” และ “เจ็ด” เกือบติดกัน
ซูมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความกังวล ข้างนอกนั่นมีอะไรให้นับหรือ
เท่าที่เห็นก็มีแต่ลานโล่งๆ ไม่น่าสนใจ กับกำแพงด้านที่ไม่มีหน้าต่างของบ้านก่ออิฐไกลออกไปประมาณยี่สิบฟุต ถาไอวี่เก่าแก่เป็นตะปุ่มตะป่ำและรากเน่าเลื้อยขึ้นมาครึ่งหนึ่งของกำแพง
ลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงปลิดใบไปจากเถา
จนกิ่งก้านคล้ายโครงกระดูกที่ยึดติดอยู่กับก้อนอิฐร่วนซุยนั้นแทบจะไม่หลงเหลือใบ
"อะไรหรือจ๊ะคนดี" ซูถาม
“หก” จอห์นซี่พูด แทบเป็นเสียงกระซิบ
“พวกมันร่วงเร็วขึ้นแล้วตอนนี้ สามวันก่อนมีอยู่เกือบร้อย มันทำให้ฉันปวดหัวแทบแย่ที่ต้องนับมัน แต่ตอนนี้มันง่าย นั่นไงร่วงไปอีกหนึ่ง เหลือแค่ห้าแล้วตอนนี้”
“ห้าอะไรหรือคนดี บอกซูดี้ของเธอหน่อยสิจ๊ะ”
“ใบไม้ บนเถาไอวี่น่ะ พอใบสุดท้ายร่วงลง ฉันก็ต้องไปเหมือนกัน ฉันรู้มาตั้งสามวันแล้ว หมอไม่ได้บอกเธอหรือ”
“โธ่ ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องเหลวไหลอย่างนั้นหรอก”
ซูบ่นด้วยน้ำเสียงดูถูกอย่างแรง
“ใบไอวี่เก่าแก่นั่นจะเกี่ยวกับการหายป่วยของเธอได้อย่างไร แล้วเธอก็เคยรักเถาวัลย์นั่นมากไม่ใช่หรือจ๊ะ แม่จอมซน อย่าขี้ตื่นไปหน่อยเลย ที่จริงหมอบอกฉันเมื่อเช้านี้ว่าโอกาสที่เธอหายจะป่วยในไม่ช้านี้ ให้ฉันนึกก่อนนะว่าหมอบอกว่ายังไง เขาบอกว่ามีโอกาสสิบต่อหนึ่งเชียวนะ
โอ…นั่นเกือบจะเท่ากับโอกาสของเราในนิวยอร์กตอนนั่งรถรางหรือเดินผ่านตึกสร้างใหม่เลยนะ
ตอนนี้พยายามกินซุปนี่สักหน่อยสิจ๊ะ แล้วให้ซูดี้กลับไปวาดรูป เพื่อที่เธอจะได้ขายมันให้อีตาบรรณาธิการ แล้วก็ซื้อไวน์โปรตุเกสให้เด็กน้อยที่กำลังป่วยของเธอคนนี้ กับซื้อความมีหน้ามีตาให้แก่ตัวตนทะยานอยากของเธอ”
“เธอไม่จำเป็นต้องซื้อไวน์อีกหรอก” จอห์นซี่พูด
สายตายังจับนิ่งออกไปนอกหน้าต่าง
“นั่นร่วงไปอีกหนึ่งแล้ว ไม่หรอก ฉันไม่อยากกินซุป ตอนนี้ก็เหลือแค่สี่ ฉันอยากเห็นใบสุดท้ายร่วงก่อนค่ำ แล้วฉันก็จะไปบ้าง”
“จอห์นซี่คนดี” ซูพูด โน้มตัวลงไปหาเธอ
“สัญญากับฉันได้ไหมว่าเธอจะหลับตา และไม่มองออกไปนอกหน้าต่างจนกว่าฉันจะทำงานเสร็จ ฉันต้องส่งพวกภาพวาดนั่นพรุ่งนี้ ฉันต้องการแสงสว่างไม่งั้นฉันก็คงดึงบังตาลงมาแล้ว”
“เธอไปวาดที่ห้องอื่นไม่ได้หรือไง” จอห์นซี่ถามน้ำเสียงเย็นชา
“ฉันอยากอยู่ที่นี่ใกล้ๆ เธอมากกว่าจ้ะ” ซูพูด
“อีกอย่าง ฉันไม่อยากให้เธอเอาแต่จ้องใบไอวี่บ้าบอนั่น”
“เสร็จเมื่อไรก็บอกฉันแล้วกัน” จอห์นซี่พูด
หลับตาลง และนอนซีดเซียวแน่นิ่งราวรูปปั้นที่ล้มลง “เพราะฉันอยากเห็นใบสุดท้ายร่วง
ฉันเบื่อการรอคอย ฉันเบื่อการใช้ความคิด ฉันอยากหลุดพ้นจากสิ่งยึดเหนี่ยวทั้งหมด
และล่องลอยลงไป ลงไป…เหมือนกับใบไม้ที่อ่อนล้าน่าสงสารพวกนั้น”
“พยายามหลับซะเถอะจ้ะ” ซูพูด
“ฉันต้องไปตามเบอหร์แมนมาเป็นนายแบบคนงานเหมืองแร่ชราผู้สันโดษ
ฉันไปไม่ถึงนาทีหรอกจ้ะ อย่าขยับเขยื้อนจนกว่าฉันจะกลับมา”
ตาเฒ่าเบอหร์แมนเป็นจิตรกรที่อาศัยอยู่ชั้นล่างใต้ห้องของหญิงสาวทั้งสอง
แกอายุเลยหกสิบและมีหนวดเหมือนโมเสสของไมเคิล แองเจลโล
มันหยิกเป็นลอนโค้งลงมาจากศีรษะที่คล้ายแซทเทอร์ กับร่างกายเหมือนภูติเด็ก
เบอหร์แมนคือความล้มเหลวในศิลปะ สี่สิบปีที่แกสะบัดพู่กัน
แต่ไม่เฉียดใกล้ที่จะแตะชายของศิลปะ แกได้แต่เกือบจะวาดภาพวาดชิ้นเอกมาตลอด
แต่ไม่ได้เริ่มลงมือเสียที นานหลายปีที่แกไม่ได้วาดอะไรเลยนอกจากภาพวาดกระจอกๆ
ให้งานด้านการค้าหรือโฆษณาเป็นบางครั้งบางคราว
แกมีรายได้เล็กๆ น้อยๆ จากการเป็นนายแบบให้แก่จิตรกรหนุ่มสาวในย่านศิลปินแห่งนี้ซึ่งไม่สามารถจ้างนายแบบอาชีพ
แกดื่มเหล้าจินมากเกินไป และยังคงคุยโม้ถึงภาพวาดชิ้นเอกที่กำลังจะมาถึง
นอกจากนี้แล้วแกก็เป็นชายชราร่างเล็กอารมณ์ร้าย ผู้ดูถูกดูแคลนความใจอ่อนของคนอื่นอย่างรุนแรง
และเป็นคนที่ถือว่าตัวเองเป็นสุนัขเฝ้ายามพิเศษที่คอยปกป้องสองจิตรกรสาวน้อยผู้อาศัยในห้องชุดชั้นบน
ซูพบเบอหร์แมนคลุ้งไปด้วยกลิ่นฉุนของเหล้าราคาถูกอยู่ในห้องรูหนูอับทึบข้างล่าง
ที่มุมหนึ่งมีผ้าใบว่างเปล่าตั้งอยู่บนขาตั้ง
มันรออยู่ตรงนั้นยี่สิบห้าปีเพื่อจะรองรับเส้นสายแรกของภาพวาดชิ้นเอก
เธอเล่าให้แกฟังเรื่องจินตนาการประหลาดของจอห์นซี่ และเรื่องที่เธอวิตกว่าจอห์นซี่
ซึ่งความจริงแล้วก็บอบบางและอ่อนแอเหมือนใบไม้
จะล่องลอยไปเมื่อแรงยึดเหนี่ยวของเธอที่มีต่อโลกนี้อ่อนกำลังลง
ตาเฒ่าเบอหร์แมน ดวงตาแดงก่ำมีน้ำตาคลอ
ตะโกนระบายอารมณ์หดหู่และเย้ยหยันต่อจินตนาการอันไร้สาระนั้น
“อารายนะ” แกร้อง
“นายโลกนี้มีโคนบ้องตื้นถึงคะหนาดคิดว่าจาตายเพราะพวกใบไม้น่านร่วงจากเถาไม้ระยำนั่นเรอะ
โผมม่ายเคยได้ยินมาก่อน ไม่มีทาง โผมจาม่ายยอมเป็นนายแบบคนสันโดษบ้าบอนั่นหรอก
ทามมายคุณถึงปล่อยให้เรื่องไร้สาระนั่นเข้าปายนายสมองของเธอนะ เฮ้อ คูณยอห์นซีน้อยๆ
ที่น่าสงสาร”
“เธอป่วยและอ่อนแอมาก” ซูพูด
“แล้วไข้นั่นก็ทำให้ความคิดของเธอสับสนและมีจินตนาการประหลาด เอาเถอะ คุณเบอหร์แมน
คุณไม่อยากจะเป็นนายแบบให้ฉัน ก็ไม่ต้องเป็น แต่ฉันคิดว่าคุณเป็นยายแก่...ทั้งแก่ทั้งน่ารังเกียจที่สุด”
“คุณนี่ผู้ยิ้งผู้หญิงจริงๆ” เบอหร์แมนตะโกน
“ครายบอกว่าโผมจะไม่เป็นแบบให้คุณ ไปสิ ผมจะไปกะคุณ ตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วมั้งที่โผมพายามจาบอกคุณว่าโผมพร้อมจะเป็นนายแบบให้ พระช่าว... นี่ม่ายช่ายที่สำหรับคนแสนดีอย่างมิสยอห์นซีจะนอนป่วย ซักวันโผมจาวาดภาพวาดชิ้นเอก และพวกเราทู้กคนจะไปจากที่นี่ พระช่าว...ใช่แล้ว”
จอห์นซี่กำลังหลับอยู่เมื่อทั้งสองขึ้นไปข้างบน ซูดึงบังตาลงมาจนปิดถึงกรอบหน้าต่างและทำมือทำไม้ชวนเบอหร์แมนไปอีกห้องหนึ่ง
ในห้องนั้นพวกเขาเหลือบมองออกไปที่เถาไอวี่นอกหน้าต่างด้วยความวิตกกังวล
ทั้งคู่มองหน้ากันครู่หนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร
ฝนเม็ดเย็นเยียบแทรกปนไปกับหิมะยังตกลงมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย
เบอหร์แมนในเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินตัวเก่า นั่งวางท่าเป็นคนงานเหมืองแร่อยู่บนหม้อน้ำที่คว่ำอยู่แทนก้อนหิน
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อซูตื่นขึ้นหลังจากนอนหลับหนึ่งชั่วโมง
เธอพบจอห์นซี่จ้องไปยังบังตาสีเขียวที่ถูกดึงลงมาด้วยตาเบิกกว้างขุ่นมัว
“ดึงมันขึ้นไป ฉันอยากจะดู” เธอสั่งด้วยเสียงกระซิบ
ซูทำตามอย่างเหนื่อยอ่อน
แต่...ดูเถอะ
หลังจากฝนกระหน่ำและพายุรุนแรงที่ดำเนินต่อเนื่องตลอดค่ำคืนอันยาวนาน
บนกำแพงอิฐตรงนั้นก็ยังมีไอวี่อยู่ใบหนึ่ง เป็นใบสุดท้ายใบบนเถา
ยังเป็นสีเขียวเข้มใกล้ๆ ก้าน ขอบจักๆ ของมันเจือสีเหลืองของความผุพังเน่าเปื่อย
มันติดอยู่อย่างกล้าหาญบนเถาไอวี่สูงจากพื้นดินราวยี่สิบฟุต
“มันเป็นใบสุดท้าย” จอห์นซี่พูด
“ฉันคิดว่ามันร่วงไปแล้วแน่ๆ เมื่อตอนกลางคืน ฉันได้ยินเสียงลม มันจะร่วงวันนี้ และฉันก็จะตายไปพร้อมๆ กัน”
“คนดี...คนดี” ซูพูด เอนใบหน้าอิดโรยของเธอลงไปที่หมอน
“คิดถึงฉันบ้างสิจ๊ะ ถ้าเธอจะไม่คิดถึงตัวเอง ฉันจะทำอย่างไร”
แต่จอห์นซี่ไม่ตอบ สิ่งที่เปล่าเปลี่ยวที่สุดในโลก
คือวิญญาณที่เตรียมพร้อมจะเดินทางไปยังจุดหมายเร้นลับอันไกลโพ้น
ดูเหมือนจินตนาการเข้าครอบงำเธออย่างลึกซึ้งในขณะที่สายใยที่ผูกพันเธอไว้กับมิตรภาพและกับผืนปฐพีค่อยหลุดลงทีละเส้น
แล้ววันนั้นก็หมดไป แม้จะมองผ่านแสงตะวันยามโพล้เพล้
ทั้งสองยังเห็นไอวี่ใบเดี่ยวนั้นยึดติดอยู่บนก้านที่กำแพง
จากนั้นเมื่อกลางคืนมาเยือนลมเหนือก็พัดมาอีก ในขณะที่ฝนยังคงสาดเข้าใส่หน้าต่าง
และกระแทกเปาะแปะลงมาตามชายคาเตี้ยๆ สไตล์ดัชท์
เมื่อฟ้าเริ่มมีแสงสว่างขึ้น จอห์นซี่ผู้ไม่ปรานีปราศรัย สั่งให้ดึงบังตาขึ้น
ใบไอวี่ใบนั้นยังคงอยู่ที่นั่น
จอห์นซี่นอนจ้องมองมันอยู่เนิ่นนาน
แล้วเธอก็ร้องเรียกซูซึ่งกำลังคนซุปไก่บนเตาแก๊ส
“ฉันทำตัวแย่มากๆ เลย ซูดี้” จอห์นซี่พูด
“อะไรบางอย่างทำให้ใบไม้ใบสุดท้ายยังอยู่ตรงนั้น เพื่อแสดงให้ฉันรู้ว่าฉันชั่วร้ายขนาดไหน มันเป็นบาปที่คิดจะตาย เธอเอาซุปมาให้ฉันได้แล้วหละ กับนมที่เหยาะเหล้าองุ่นลงไปซักเล็กน้อย
แล้วก็...ไม่ดีกว่า เอากระจกมาให้ฉันก่อน แล้วก็เอาหมอนมารองตัวฉันที ฉันจะนั่งขึ้นดูเธอทำอาหาร”
ชั่วโมงถัดมาเธอก็กล่าวขึ้นว่า
“ซูดี้จ๋า ฉันหวังว่าสักวันฉันจะได้วาดภาพอ่าวเนเปิลส์”
คุณหมอมาเยี่ยมในตอนบ่าย และซูถือโอกาสออกไปที่ห้องโถงตอนเขากำลังจะกลับ
“โอกาสห้าสิบห้าสิบ” คุณหมอพูด คว้ามือแบบบางไหวระริกของซูขึ้นมา
“ด้วยการดูแลประคบประหงมอย่างดี คุณจะชนะ ผมต้องไปดูคนไข้อีกคนหนึ่งข้างล่างแล้วละ
เขาชื่อเบอหร์แมน ผมเข้าใจว่าเป็นศิลปินอะไรทำนองนั้น โรคปอดบวมเหมือนกัน
เขาเป็นคนแก่ร่างกายอ่อนแอ แล้วก็โดนเล่นงานรุนแรง ดูจะไม่มีหวังสำหรับเขา แต่
เขาจะไปโรงพยาบาลวันนี้ จะได้ช่วยให้เขารู้สึกสบายขึ้น”
รุ่งขึ้นคุณหมอบอกกับซู
“เธอพ้นขีดอันตรายแล้ว คุณชนะ ตอนนี้ก็แค่ให้อาหารบำรุงกำลังและการดูแลเอาใจใส่เท่านั้น”
และบ่ายวันนั้นซูไปที่เตียงซึ่งจอห์นซี่นอนอยู่ เธอกำลังตั้งอกตั้งใจถักนิตติ้งผ้าคลุมไหล่ขนสัตว์สีฟ้าเข้มมากๆ และไร้ประโยชน์มากๆ ซูโอบแขนรอบตัวเธอรวบไปทั้งที่นอนหมอนมุ้ง
“ฉันมีเรื่องจะบอกเธอจ้ะ แม่หนูซีด” เธอพูด
“คุณเบอหร์แมนตายด้วยโรคปอดบวมวันนี้ที่โรงพยาบาล แกล้มป่วยได้แค่สองวัน
คนทำความสะอาดตึกพบแกตอนเช้าวันแรกในห้องแกข้างล่าง เจ็บหนักจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ รองเท้ากับเสื้อผ้าของแกเปียกโชกและเย็นเฉียบ ไม่มีใครเดาออกว่าตาเบอหร์แมนออกไปไหนมาในคืนที่อากาศเลวร้ายขนาดนั้น แล้วพวกเขาก็เจอตะเกียง ไฟยังติดอยู่ กับบันไดที่ถูกลากไปจากที่เก็บ
และพู่กันหลายอันวางระเกะระกะ แล้วก็จานสีซึ่งมีสีเขียวและสีเหลืองผสมอยู่
แล้วก็มองออกไปข้างนอกหน้าต่างสิจ๊ะ ที่รัก ที่ไอวี่ใบสุดท้ายบนกำแพงนั่น
เธอไม่สงสัยเลยหรือว่าทำไมมันไม่ไหวติงหรือขยับเขยื้อนเวลาลมพัด ที่รัก...
มันคือภาพวาดชิ้นเอกของเบอหร์แมน แกวาดไว้ที่นั่นในคืนที่ใบไม้ใบสุดท้ายหลุดร่วงลง”
ขอขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=188639
ผลงานอื่นๆ ของ Tuinui_ans ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Tuinui_ans
ความคิดเห็น