ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #280 : ความเปลี่ยนแปลงของฉินหลิง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.18K
      548
      11 มี.ค. 63

    ฉินหลิงมองดูเหล่าผู้อาวุโสที่กำลังแสดงสีหน้าเคร่งครึม การกระทำของสำนักขจีไพรสันต่อจากนี้คือสิ่งที่ตัดสินชะตากรรมในอนาคต หากพวกเขาเลือกข้างผิด ในอนาคตย่อมต้องเกิดปัญหาใหญ่ จึงเป็นธรรมดาที่เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่มาหลายร้อยปีจะรู้สึกกังวลใจ
     
    “พวกท่านไม่ต้องกังวลเกินไป สถาการณ์ในทวีปหนานหวู่ยังไม่วุ่นวายถึงจนยากจะแก้ไข” ฉินหลิงเอ่ยด้วยความมั่นใจ
     
    “หืม! ท่านกุนซือมีความเห็นเช่นใดรึ?” ผู้อาวุโส3เอ่ยออกมาด้วยความแปลกใจ ท่าทีของกุนซือหนุ่มที่เป็นศิษย์น้องของเจ้าสำนักหลานดูเหมือนจะมีแผนการณ์บางอย่าง
     
    เหล่าผู้อาวุโสต่างหันมามองฉินหลิงด้วยความคาดหวัง  ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับหลายสำนัก พวกเขาต่างต้องการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งให้มากที่สุด
     
    “สถานการณ์วุ่นวายในทวีปหนานหวู่ยามนี้เกิดจากสำนักมารอเวจีและสำนักซากศพร่วมมือกันโจมตีตำหนักเบญจธาตุ เนื่องจากสำนักทะยานฟ้ากำลังเกิดความวุ่นวายภายในเพราะการหายตัวไปของเจ้าสำนักเซี่ยจึงทำให้สำนักมารทั้งหลายถือโอกาสกดดันตำหนักเบญจธาตุ การถูกล้อมโดยสองสำนักมารทำให้ตำหนักเบญจธาตุขอความช่วยเหลือมายังสำนักขจีไพรสัน แต่หากเราให้ความช่วยเหลือตำหนักเบญจธาตุ ไม่เพียงแต่สำนักมารทั้งสองที่ไม่พอใจ สำนักคุนเผิงที่ยังคงลังเลอยู่ย่อมผนึกกำลังรุมล้อมสำนักขจีไพรสันที่เข้าแทรกอย่างแน่นอน”
     
    เหล่าผู้อาวุโสต่างพยักหน้าให้กับคำกล่าวของฉินหลิง สถานการณ์ในตอนนี้ของทวีปหนานหวู่กำลังยุ่งเหยิง หากว่าสำนักมารผงาดขึ้นมาจริงๆ เหล่าผู้ฝึกตนจำนวนมากคงยากจะอยู่รอด แม้ว่าสำนักฝ่ายธรรมะจะมีความเห็นแก่ตัวและอ้างคุณธรรมบังหน้าเพื่อรับผลประโยชน์มากมาย แต่พวกเขาก็ไม่ได้โหดเหี้ยมสังหารไม่เลือกหน้าเหมือนเหล่าสำนักมารที่เต็มไปด้วยพวกบ้าคลั่งกระหายเลือด
     
    ถึงอย่างไรการให้สำนักฝ่ายธรรมะเป็นผู้กุมอำนาจหลักในทวีปหนานหวู่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เหล่าสำนักมารขยายอำนาจขึ้นมา
     
    แน่นอนว่าหากเจ้าสำนักเซี่ยแห่งสำนักทะยานฟ้ายังอยู่ สำนักมารทั้งสองคงไม่อาจหาญเปิดศึกกับตำหนักเบญจธาตุเช่นนี้ แต่เรื่องการเก็บตัวทะลวงขั้นบำเพ็ญของเซี่ยชิงหมินก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉินหลิงจะเอ่ยออกไปได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้
     
    “ถึงแม้ว่าสำนักขจีไพรสันจะไม่อาจเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ของสำนักทั้งสามได้โดยตรง แต่มันคงต่างออกไปหากว่ามันจะเป็นเรื่องส่วนตัว” ฉินหลิงยิ้มออกมาในขณะที่มองไปยังร่างชายชราที่อยู่ในชุดหรูหรา
     
     “เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร?” ผู้อาวุโส3เลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง เขาไม่เข้าใจว่ากุนซือหนุ่มผู้นี้ต้องการบอกอะไรกับเขากันแน่
     
    “ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราและตำหนักเบญจธาตุนั้นเหมือนการเกื้อหนุนกันและกัน หากว่าตำหนักเบญจธาตุถูกทำลายลง รายได้หลักของเราจะหายไปจำนวนมาก และผู้ที่สูญเสียผลประโยชน์มากที่สุดย่อมหนีไม่พ้นท่านที่เป็นเจ้าของตำหนักโอสถ ในเมื่อพวกเราไม่อาจสนับสนุนตำหนักเบญจธาตุได้โดยตรง ทำไมพวกเราถึงไม่ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของท่านผู้อาวุโส3เพียงลำพังล่ะ ”
     
    “จะ..เจ้าคิดจะสละข้าทิ้งอย่างนั้นรึ?” สีหน้าของผู้อาวุโสดำมืด เขาไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะกล้าเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าตน
     
    เมื่อเห็นท่าทางของชายชรา ฉินหลิงส่ายหน้าเบาๆ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว หากว่าท่านไม่ได้เป็นนักปรุงยาขั้น4ข้าคงไม่คิดมากที่จะสละท่านทิ้ง แต่ตัวตนของท่านยังมีประโยชน์ต่อพวกเราอีกมากนัก ข้าคงไม่โง่ขนาดที่จะทิ้งนักปรุงยาที่เก่งที่สุดของสำนักขจีไพรสันไปหรอก”
     
    หลังจากได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาของฉินหลิง ชายชราได้แต่ยิ้มออกมาอย่างบิดเบี้ยว เขาไม่รู้ว่าฉินหลิงจะชมหรือด่ากันแน่!
     
    “สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกคือ พวกเราควรสนับสนุนตำหนักเบญจธาตุโดยการลดราคาเม็ดยาลง แน่นอนว่าทั้งหมดต้องทำในนามของผู้อาวุโส3เท่านั้น”
     
    “แต่ว่า...” ผู้อาวุโส3ออกอาการลังเล หากว่าราคาเม็ดยาที่ขายให้ตำหนักเบญจธาตุลดลง จำนวนหินวิญญาณที่เขาได้รับก็ลดลง แถมยังทำให้ความน่าเชื่อของตำหนักโอสถที่เขาดูแลอยู่ลดลงด้วย
     
    เมื่อเห็นสีหน้าขมขื่นของชายชรา ฉินหลิงเอ่ยต่อ “ท่านอย่าได้ลืมว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาราคาเม็ดยาพุ่งสูงขึ้นจนทำให้ท่านได้กำไรมหาศาล โดยเฉพาะหินวิญญาณที่ได้รับจากตำหนักเบญจธาตุที่เป็นคู่ค้าหลัก ถึงแม้ว่าเราจะไม่อาจช่วยเหลือพวกเขาได้โดยตรง แต่การปล่อยเม็ดยาในราคาถูกก็นับเป็นการสนับสนุนที่ทำให้พวกเขาพึงพอใจได้แล้ว และในอนาคตพวกเขายังมองเราเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันเหมือนเดิม ในการค้านั้นการได้พันธมิตรที่ดีนั้นย่อมดีกว่าทำกำไรระยะสั้น”
     
    เหล่าผู้อาวุโสต่างมองมาทางฉินหลิงด้วยความแปลกใจ พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะนำเอาอนาคตของสำนักขจีไพรสันเปรียบเป็นการค้า มีเพียงแค่หลานชิงชิงที่ยิ้มออกมาเล็กน้อย นางเคยรับรู้เรื่องของฉินหลิงมาบ้าง ดังนั้นนางจึงไม่แปลกใจกับการกระทำของเขา
     
    ผู้อาวุโส3เผยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “หากเป็นดั่งที่เจ้าว่ามาจริง ตำหนักเบญจธาตุก็คงรู้สึกพอใจไม่น้อยแม้จะไม่ได้การสนับสนุนจากเราโดยตรง ด้วยปริมาณเม็ดยาจำนวนมากที่ข้าสามารถส่งไปให้ตำหนักเบญจธาตุย่อมสามารถทำให้พวกเขาต้านทานสำนักมารทั้งสองได้อย่างไม่ยาก เพียงแต่ว่าความลับเรื่องราคาเม็ดยาที่ข้าลดให้แก่ตำหนักเบญจธาตุช้าเร็วก็ต้องถูกสำนักมารทั้งสองพบ ถึงตอนนั้นข้ากังวลว่าสำนักมารจะเปลี่ยนเป้าหมายมายังสำนักขจีไพรสันของเรา”
     
    “นั้นจึงเป็นเหตุที่ข้าต้องการให้ท่านทำการค้าเป็นการส่วนตัว ถึงแม้ว่าสำนักมารทั้งสองจะพบเข้า พวกเราก็สามารถอ้างว่าทั้งหมดเป็นทรัพยากรส่วนตัวของท่านเพียงคนเดียวไม่ได้เกี่ยวกับสำนักขจีไพรสัน ถึงแม้สองสำนักมารจะไม่พอใจแต่พวกมันคงไม่บ้าถึงขนาดบุกมาโจมตีพวกเราทั้งที่มีศึกกับตำหนักเบญจธาตุ”
     
    “ถึงแม้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดออกมาจะเป็นจริง แต่พวกสำนักมารนั้นไม่อาจใช้สามัญสำนึกขอคนทั่วไปมาตัดสินใจได้ ข้ารู้สึกว่าในช่วงเวลาที่พวกมันกำลังเลือดขึ้นหน้าและรู้ว่าพวกเราให้ความช่วยเหลือตำหนักเบญจธาตุ บางที...ไม่สิ! พวกมันต้องส่งคนมาก่อกวนพวกเราอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโส4เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เขาเป็นคนรวบรวมข้อมูลลับต่างๆจึงทำให้เขาได้สัมผัสกับนิสัยใจคอของพวกผู้ฝึกตนสายมารยิ่งกว่าผู้ใด ดังนั้นเขาจึงมีความมั่นใจในการกระทำที่ไม่สนผู้ใดของสำนักมารทั้งหลาย
     
    เหล่าผู้อาวุโสต่างพากันเงียบ ถึงแม้คำแนะนำของกุนซือหนุ่มจะดูเข้าท่า แต่คำพูดของผู้อาวุโส4นั้นเป็นความจริง ผู้ฝึกตนสายมารนั้นขึ้นชื่อในเรื่องความบ้าระห่ำ หากสำนักขจีไพรสันไปทำให้พวกมันไม่พอใจขึ้นมา เกรงว่าในอนาคตพวกเขาคงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข
     
    ฉินหลิงลุกขึ้นยืน แววตาคมกริบของเขาจ้องไปทางเหล่าผู้อาวุโสอย่างเย็นชา กลิ่นอายชวนตะลึงแพร่ออกมาจากร่างของเขา การเปลี่ยนแปลงอย่าฉับพลันทำให้เหล่าผู้อาวุโสต่างพากันตะลึง
     
    “ข้าเป็นคนพูดว่าไม่ต้องการดึงสำนักขจีไพรสันเข้าสู่ความวุ่นวาย แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าเกรงกลัว พวกท่านคิดว่าการฝึกตนคืออะไร?”
     
    เหล่าผู้อาวุโสต่างขมวดคิ้ว ท่าทีของฉินหลิงในตอนนี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจ พวกเขาต่างผ่านโลกมาหลายร้อยปี แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกว่าความคิดของอีกฝ่ายไม่ธรรมดา แต่อย่างไรเขาก็เป็นเพียงชนรุ่นหลังคนหนึ่งเท่านั้น คำถามของฉินหลิงที่ราวกับดูแคลนพวกเขา จึงทำให้โทสะของเหล่าผู้อาวุโสสำนักขจีไพรสันปะทุขึ้น
     
    “ข้าไม่รู้ว่าการบำเพ็ญเพียรสำหรับพวกท่านคืออะไร แต่สำหรับข้าการฝึกตนหมายถึงการสังหาร แย่งชิง พวกเราปล้นชิงพลังวิญญาณมาจากธรรมชาติเพื่อแสวงหาหนทางแห่งความนิรันดร์ พวกเราเข่นฆ่าสังหารผู้อื่นเพื่อช่วงชิงของวิเศษเพื่อเพิ่มพลังบำเพ็ญตน พวกเราต่างต้องก้าวผ่านเส้นทางแห่งความเป็นตาย เพียงแค่ต้องเผชิญหน้ากับสำนักมาร พวกท่านก็กลัวจนหัวหดแล้ว หากว่าพวกท่านไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้ ต่อไปสำนักขจีไพรสันก็เหลือเพียงแค่ชื่อที่ไม่มีใครเกรงกลัว” ฉินหลิงในตอนนี้แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หลังจากผ่านประสบเฉียดตายในอาณาเขตมู่หลงอยู่หลายครั้ง เขาก็เข้าใจแล้วว่ามีเพียงแต่ต้องก้าวผ่านความเป็นความตายเท่านั้นถึงจะหล่อหลอมจิตใจที่แข็งแกร่งได้ หากว่าเหล่าผู้อาวุโสในสำนักยังคงเกรงกลัวเหล่าสำนักมารเช่นนี้อยู่ อนาคตของสำนักขจีไพรสันคงไม่อาจก้าวผ่านความวุ่นวายในทวีปหนานหวู่อย่างแน่นอน
     
    เหล่าผู้อาวุโสก้มหน้าลงอย่างอับอาย พวกเขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องโดนผู้ฝึกตนรุ่นหลังสั่งสอน และมันก็เป็นความจริงที่ความกล้าของพวกเขาเลือนหายไปกับกาลเวลา
     
    “ใช่แล้ว! สำนักขจีไพรสันของพวกเราก็เป็นสำนักใหญ่ เพียงแค่สำนักมารที่ชั่วร้ายอย่าได้หวังว่าจะทำอะไรพวกเราได้”
     
    “ถึงแม้พวกเราจะไม่เก่งกาจด้านการต่อสู้ แต่พวกเราก็มีเม็ดยาให้ใช้อย่างไม่จำกัด ใครกล้าหาเรื่องสำนักขจีไพรสัน ข้าจะขว้างเม็ดยาใส่จนมันสิ้นใจตาย!”
     
    “การฝึกตนคือการสังหารแย่งชิงรึ! พูดได้ดี ข้าชอบคำพูดของเจ้า”
     
    ประหนึ่งฟ้าผ่ากลางใจ เหล่าผู้อาวุโสที่เป็นกำลังหลักของสำนักต่างฮึกเหิมไปตามกัน พวกเขารู้สึกเลือดร้อนเหมือนได้ย้อนกลับไปเป็นวัยเยาว์ที่ต้องผ่านการเข่นฆ่าสังหารอีกครั้ง
     
    หลานชิงชิงแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของเหล่าผู้อาวุโสหลัก ในอดีตพวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงกับการต่อสู้ราวกับคนขี้ขลาด แน่นอนว่าสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงย่อมหนีไม่พ้นฉินหลิง  นางไม่เข้าใจว่าครึ่งปีที่ผ่านมาเขาไปประสบเหตุการณ์อะไรมาถึงได้เปลี่ยนแปลงไปมากถึงขนาดนี้
     
    แต่ไหนแต่ไรมาฉินหลิงพยายามทำให้สำนักขจีไพรสันหลีกหนีความวุ่นวายจากการต่อสู้ของสำนักใหญ่ แต่ดูเหมือนความเปลี่ยนแปลงของเขาจะเกิดขึ้นในอาณาเขตมู่หลง ชิงชิงรู้สึกอยากรู้ว่าอาจารย์ได้สั่งสอนอะไรให้เขากันแน่?
     
    ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนจากภายนอกตำหนักได้ดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้อาวุโส
     
    “เรื่องด่วนขอรับ โปรดปล่อยให้ข้าเข้าไปรายงานเถิด!!!”
     
    ด้านหน้าประตูทางเข้าตำหนักเจ้าสำนัก มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งใสชุดสีดำตะโกนเสียงดังในขณะที่เหล่ายามพยายามจับตัวเขาเอาไว้
     
    “บัดซบ! เจ้าสารเลวน้อยนี่คิดจะไปรบกวนการประชุมของเหล่าผู้อาวุโส”
     
    “เจ้าไม่รู้รึยังไงว่าตำหนักตรงหน้าคือตำหนักของเจ้าสำนัก ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะเข้ามารบกวนได้”
     
    “จับตัวมันไว้ อย่าให้มันเข้ามาวุ่นวายได้”
     
    เหล่าทหารยามในชุดเกราะฉุดดึงร่างของชายหนุ่มชุดดำที่กำลังส่งเสียงดังรบกวนการประชุมรวมตัวของเหล่าชนชั้นสูงในสำนักออกไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×