ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #279 : ประชุมสำนัก

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.21K
      550
      9 มี.ค. 63

    หลังจากการปรากฏตัวของผู้ฝึกตนขั้นประสานวิญญาณปริศนาที่ซ่อนอยู่ในอาณาเขตมู่หลงก็ผ่านพ้นไปกว่าหนึ่งอาทิตย์ ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของผู้อาวุโสที่งดงามผู้นั้นประหนึ่งเป็นสิ่งลี้ลับ
     
    แน่นอนว่ามีบางคนที่คิดว่าเหล่าผู้อาวุโสขั้นหลอมรวมร่วมมือกันเพื่อหวังฮุบสมบัติฟ้าดินไว้เพียงกลุ่มเดียวเลยคิดแต่งเรื่องหลอกลวงผู้คน
     
    อย่างไรก็ตามเรื่องที่เกิดขึ้นได้ดึงดูดความสนใจของบรรพชนของสำนักใหญ่ หากว่ามีผู้ฝึกตนขั้นประสานวิญญาณปรากฏขึ้นจริง สมดุลอำนาจทั้งหลายในทวีปคงพังทลายลงไป
     
    และหลังจากตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเหล่าผู้ฝึกตนที่บังเอิญพบเจอหญิงสาวปริศนาในอาณาเขตมู่หลง บรรพชนสองท่านจากสำนักทะยานฟ้าและสำนักซากศพก็พบเศษเสี้ยวกลิ่นอายแห่งเต๋าที่มีเฉพาะผู้ฝึกตนขั้นประสานวิญญาณ
     
    เมื่อได้รับการยืนยันจากท่านบรรพชนที่เป็นตัวแทนของทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรม แรงกระเพื่อมขนาดใหญ่พลันเกิดขึ้นกับเหล่าผู้ฝึกตนในทวีปหนานหวู่
     
    ต้องรู้ว่าด้วยทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดจึงทำให้ผู้ฝึกตนไม่น้อยต้องถูกจำกัดด้วยความขาดแคลน นอกจากสำนักใหญ่แล้วเหล่าสำนัก พรรคหรือนิกายต่างก็ต้องทนต่อทรัพยากรที่มีอยู่น้อยนิด
     
    หากว่าผู้อาวุโสที่พักอาศัยอยู่ในอาณาเขตมู่หลงมีตัวตนอยู่จริงๆ นั้นย่อมหมายถึงขุมอำนาจใหม่ หากพวกเขายอมติดตามผู้อาวุโสท่านนั้นย่อมต้องมีทรัพยากรให้ใช้อย่างไม่จำกัด สายตามากมายของเหล่าผู้ฝึกตนต่างมุ่งหวังในการเข้าร่วมกับขุมอำนาจใหม่นี้เหลือเกิน
     
    แทบจะในเวลาเดียวกันที่เหล่าผู้ฝึกตนจำนวนมากบุกเข้าไปยังอาณาเขตมู่หลงที่ยังไม่ได้ผ่านการบุกเบิก ฉินหลิงก็กำลังก้มมองกระดาษรายงานจำนวนมากที่ตำหนักบนยอดเขาของสำนักขจีไพรสัน
     
    หลังจากอ่านอยู่ครู่หนึ่ง ฉินหลิงวางกระดาษลงบนโต๊ะพร้อมกับถอนหายใจออกมา “ไม่คิดเลยว่าสำนักคุนเผิงจะถอนตัวจากการเป็นสำนักฝ่ายธรรมะ ดูเหมือนผลกระทบที่ข้าทำไว้ในเมืองไร้อธรรมจะส่งผลเกินกว่าที่คำนวณไว้..”
     
    สายตาคมกริบของชายหนุ่มจ้องไปทางเหล่าผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ตรงหน้า “แล้วสำนักใหญ่อื่นมีท่าทีต่อการถอนตัวของสำนักคุนเผิงอย่างไรบ้าง”
     
    หลานชิงชิงหรือเจ้าสำนักขจีไพรสันที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขายิ้มออกมาเล็กน้อย นางไม่ได้พบเจอเขากว่าครึ่งปี หากไม่เพราะผู้อาวุโส4มาแจ้งต่อนางไว้ก่อนว่าอาจารย์ถางได้นำเขาไปฝึกฝนในอาณาเขตมู่หลง นางคงบุกเข้าไปในสำนักทะยานฟ้าเพื่อชิงตัวเขากลับมาแล้ว
     
    เมื่อเห็นสายตาของหญิงสาวที่จ้องมา ฉินหลิงได้แต่กระแอมเบาๆก่อนจะหันไปเอ่ยถามผู้อาวุโส4ที่อยู่ในร่างเด็กหนุ่ม
     
    ผู้อาวุโส4ที่รับหน้าที่สืบข่าวพยักหน้าเล็กน้อย “หลังจากสำนักคุนเผิงถอนตัวจากสำนักธรรมะก็ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมะไม่พอใจเป็นจำนวนมาก และยังมีเรื่องที่บุตรชายของเจ้าสำนักไป๋ฝึกฝนของวิชามารจึงทำให้หลายคนคิดว่าสำนักคุนเผิงเป็นสายให้แก่สำนักมาร เหล่าผู้ฝึกตนจึงมองสำนักคุนเผิงเป็นสำนักมารไปแล้วถึงแม้ว่าสำนักคุนเผิงจะไม่ได้เสดงท่าทีใดๆ นอกจากนี้ยังมีเรื่องการหายตัวไปของเจ้าสำนักเซี่ยที่ก่อให้เกิดความสับสนจนทำให้สถานการณ์ในสำนักทะยานฟ้าวุ่นวาย  ดังนั้นในตอนนี้จึงดูเหมือนว่าจะเป็นตำหนักเบญจธาตุที่ต้องคอยรับมือกับสำนักมารทั้งหลายเพียงลำพัง”
     
    “ใช่แล้ว เจ้าตำหนักทั้งห้าของตำหนักเบญจธาตุได้ส่งจดหมายมาขอความสนับสนุนจากสำนักขจีไพรสันด้วย เห็นได้ชัดว่าทางนั้นคงเริ่มรับมือไม่ไหวแล้ว มิเช่นนั้นสำนักใหญ่อย่างตำหนักเบญจธาตุคงไม่แบกหน้ามาขอความช่วยเหลือเรา แต่ว่าข้ายังไม่ได้ตัดสินใจ” ชิงชิงกล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
     
    หลังจากถางอีเหวินลงมือสังหารผู้นำตระกูลจางซึ่งเป็นขั้วอำนาจหลักในสำนักทะยานฟ้าย่อมก่อให้เกิดความวุ่นวาย ในขณะที่สำนักทะยานฟ้ากำลังอยู่ในความขัดแย้งภายใน สำนักมารทั้งสองอย่างสำนักมารอเวจีและสำนักซากศพที่เป็นคู่ปรับเก่าย่อมถือโอกาสโจมตีตำหนักเบญจธาตุ
     
    ในสถานการณ์ที่สำนักคุนเผิงถอนตัวออกจากฝ่ายธรรมะจนเหลือสำนักธรรมะเพียง2แห่ง มีหรือที่สำนักมารทั้งสองปล่อยโอกาสสำคัญเช่นนี้ไป
     
    เมื่อเห็นฉินหลิงยังคงเงียบ ชิงชิงก็เอ่ยต่อ “ถึงแม้ว่าพวกเราจะประกาศสงครามและสู้รบกับสำนักคุนเผิง แต่สำนักขจีไพรสันของเรายังคงวางตัวเป็นกลาง หากว่าข้าให้ความช่วยเหลือตำหนักเบญจธาตุ ความเป็นกลางของสำนักขจีไพรสันจะจบลงทันที เพราะเช่นนั้นแล้ว....”
     
    ฉินหลิงพยักหน้าเล็กน้อย เขาเข้าใจดีว่าหากสำนักขจีไพรสันช่วยเหลือตำหนักเบญจธาตุ ความเป็นกลางที่ยืนหยัดมาตลอดจะจบลง ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการขายเม็ดยาให้แก่ผู้ฝึกตนฝ่ายมารจะจบลงทันที ถึงตอนนั้นสำนักขจีไพรสันอาจจะถูกลอบโจมตีโดยสำนักมารทั้งหลายที่ไม่พอใจก็เป็นได้
     
    “เจ้าทำถูกแล้วที่ไม่ได้ให้การสนับสนุนแก่ตำหนักเบญจธาตุ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกล้อมโดยสองสำนักมาร แต่ข้ามั่นใจว่าตำหนักเบญจธาตุจะผ่านพ้นไปได้” รากฐานของสำนักใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่จะคาดเดาได้ โดยเฉพาะตำหนักเบญจธาตุที่มีผู้ฝึกตนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในทวีปหนานหวู่
     
    ถึงแม้จะมีคำกล่าวว่าร่างกายของมนุษย์ก่อเกิดขึ้นจากธาตุทั้ง5 แต่ในร่างผู้ฝึกตนจะมีรากวิญญาณที่บ่งบอกถึงธาตุกำเนิดที่เฉพาะเจาะจงซึ่งแตกต่างกัน อย่างสำนักขจีไพรสันที่ฝึกฝนนักปรุงยาก็มักจะรับศิษย์ที่มีธาตุไม้หรือไม่ก็ธาตุไฟ จึงทำให้เคล็ดวิชาฝึกฝนสองธาตุนี้มีเป็นจำนวนมาก
     
    อย่างไรก็ตามตำหนักเบญจธาตุนั้นได้รับศิษย์สาวกทุกคนโดยไม่เกี่ยงว่าจะมีรากวิญญาณเป็นธาตุใด การกระทำเช่นนั้นย่อมเป็นเพราะพวกเขามีคัมภีร์ฝึกฝนรองรับสำหรับเหล่าศิษย์ที่มีรากวิญญาณทั้ง5ธาตุนั้นเอง ดังนั้นสำนักที่สามารถฝึกฝนให้ศิษย์ชำนาญได้ทั้ง5ธาตุอย่างตำหนักเบญจธาตุย่อมไม่ใช่ตัวตนที่ธรรมดา
     
    “ตำหนักเบญจธาตุเป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ของสำนักขจีไพรสัน หากว่าเราไม่ได้ช่วยเหลือพวกเขา บางทีพวกเขาอาจจะโกรธเคืองจนก่อปัญหาแก่พวกเราในอนาคตก็เป็นได้” ผู้อาวุโส3ที่ดูแลเกี่ยวกับโอสถเอ่ยออกมาด้วยความกังวล เหมือนคำว่ายิ่งรักมากก็ยิ่งแค้นมาก ในอดีตตำหนักเบญจธาตุได้ใช้จ่ายให้แก่สำนักขจีไพรสันเป็นจำนวนมากจนเหมือนว่าทั้งสองเป็นพันธมิตรที่สำคัญ แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมาสหายที่พวกเขาเชื่อใจกลับไม่ยอมช่วยเหลือพวกเขา ถึงตอนนั้นจะเกิดเป็นความแค้นที่แก้ได้ยาก
     
    “เหอะๆ ผู้อาวุโส3 ที่ท่านอยากช่วยตำหนักเบญจธาตุมิใช่ว่าเป็นเพราะพวกเขาคือแหล่งรายได้หลักของท่านรึ?”
     
    “ท่านจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือที่ลากสำนักขจีไพรสันไปเกี่ยวข้องด้วย? ”
     
    “พวกเราสำนักขจีไพรสันวางตัวเป็นกลางตั้งแต่ต้นมิใช่รึ! แล้วท่านจะกล่าวว่าพวกเขาคิดแค้นเราได้อย่างไรในเมื่อพวกเราเพียงแค่ทำหน้าที่ซื้อขายเม็ดยาเท่านั้น”
     
    แน่นอนว่าผู้อาวุโสคนอื่นย่อมไม่เห็นด้วยกับความเห็นของผู้อาวุโส3 เพราะอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องผลกำไรกับผู้อาวุโส3ที่เป็นเจ้าตำหนักโอสถหลังใหญ่
     
    “พวกเจ้า!!” ใบหน้าชราของผู้อาวุโส3แดงกล่ำเพราะความโกรธ เขาไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสคนอื่นจะกล้ากล่าวเช่นนี้ออกมา ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับผลประโยชน์จริง แต่กำไรส่วนใหญ่ก็ตกไปอยู่ที่สำนัก ดังนั้นการกล่าวหาของผู้อาวุโสคนอื่นย่อมสร้างความโกรธเคืองแก่ชายชราผู้นี้
     
    เพียงพริบตา ห้องประชุมในตำหนักของเจ้าสำนักก็เปลี่ยนเป็นลานประลองน้ำลายของเหล่าผู้อาวุโส
     
    ฉินหลิงมองดูการโต้เถียงกันของเหล่าผู้อาวุโสอย่างเอือมระอา ความหยิ่งผยองของผู้อาวุโส3ที่เป็นนักปรุงยาและเจ้าตำหนักโอสถย่อมทำให้ใครหลายคนไม่พอใจ ถึงแม้ว่าจะเป็นคนจากสำนักเดียวกันแต่เมื่อมีคำว่าผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเขาไม่มีทางยอมนิ่งเฉย
     
    “หุบปาก!!!” เสียงคำรามของหลานชิงชิงดังขึ้น แรงกดดันของนางกระจายไปทั่วจนทำให้เหล่าผู้อาวุโสหนังหัวด้านชา
     
    สายตาของเหล่าผู้อาวุโสที่จ้องมาทางชิงชิงนั้นเบิกกว้างอย่างตกตะลึง รัศมีตลบอบอวลที่กระจายออกมานั้นทำให้เหล่าผู้อาวุโสอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้
     
    “หะ...หลอมรวมขั้น3 เป็นไปได้ยังไง”
     
    “นางพึ่งทะลวงระดับหลอมรวมเมื่อ10ปีก่อนมิใช่รึ?”
     
    “น่ากลัวเกินไปแล้ว พรสวรรค์ระดับปีศาจชัดๆ”
     
    ใครจะคิดว่าช่วงเวลาเพียงสิบกว่าปี เจ้าสำนักผู้ขึ้นชื่อในความงดงามล้นฟ้าจะก้าวหน้ารวดเร็วเช่นนี้ พวกเขาอดสงสัยไม่ได้ว่านางที่ทำหน้าเป็นเจ้าสำนักเอาเวลาที่ไหนไปบ่มเพาะจนขั้นบำเพ็ญเพียรพุ่งทะยานได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้
     
    “พวกเจ้าเป็นถึงผู้อาวุโสที่กุมชะตาสำนักขจีไพรสัน แต่กับมาทะเลาะเหมือนเด็กไม่อับอายชนรุ่นหลังบ้างรึยังไง!” น้ำเสียงตะคอกของชิงชิงทำให้ผู้อาวุโสหลายคนต้องอับอาย คำพูดของชิงชิงนั้นไม่สามารถโต้แย้งได้เลย
     
    ฉินหลิงมองดูเหล่าผู้อาวุโสเอ่ยขอโทษด้วยความตื่นเต้น ในอดีตชิงชิงเคยถูกกดดันโดยเหล่าผู้อาวุโสตรงหน้าอยู่หลายครั้ง เพราะอย่างไรตัวตนของนางก็ยังอ่อนอาวุโสและยังมีพลังไม่เพียงพอ หากไม่เพราะมีถางอีเหวินอยู่เบื้องหลัง บางทีนางอาจจะควบคุมสำนักขจีไพรสันไม่อยู่แล้วก็เป็นได้
     
    คาดไม่ถึงเลยว่าเพียงพริบตาหลานชิงชิงกับสามารถปกครองทุกอย่างได้ด้วยมือนางแล้ว
     
    ความสามารถที่นางปล่อยมาทำให้เหล่าผู้อาวุโสได้แต่ยอมจำนนและก้มหัวอย่างเชื่อฟังโดยไม่ต้องพึ่งพาอำนาจของผู้เป็นอาจารย์อีกแล้ว
     
    “เอาล่ะ ในเมื่อทุกท่านไม่อาจตัดสินว่าจะทำอย่างไรต่อไปเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือตำหนักเบญจธาตุ ทำไมเราไม่ฟังคำแนะนำของท่านกุนซือฉินหน่อยล่ะ” ผู้อาวุโส4ที่นิ่งเงียบอยู่นานตัดสินใจเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัด
     
    สายตาทั้งหมดจ้องไปทางชายหนุ่มที่มีพลังน้อยที่สุด อย่างไรก็ตามสายตาของเหล่าผู้อาวุโสไม่ได้แฝงไว้ด้วยความดูถูกแม้แต่น้อย ตลอดหลายปีที่ผ่านมาชายผู้นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงความสามารถ ดังนั้นทุกคนจึงตั้งใจฟังความเห็นของฉินหลิง
     
    “ก่อนอื่นข้าขอยืนยันว่าทุกท่านต้องการให้สำนักขจีไพรสันยืนหยัดในความเป็นกลางและไม่ต้องการเข้าร่วมในความขัดแย้งระหว่างสำนักฝ่ายธรรมะและอธรรมะใช่รึไม่?”
     
    เมื่อได้ยินคำถามของฉินหลิง เหล่าผู้อาวุโสก็พยักหน้าอย่างงุนงง ความร่ำรวยของสำนักขจีไพรสันเกิดจากการยืนหยัดในความเป็นกลาง หากไม่เช่นนั้นพวกเขาที่เป็นนักปรุงยาย่อมทำให้เกิดความระแวงต่อสำนักหรือพรรคที่เข้ามาค้าขายด้วยได้
     
    “ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าพวกเรายังคงท่าทีเป็นกลางโดยไม่สนใจอะไรเช่นนี้ต่อไป ตำหนักเบญจธาตุที่เป็นคู่ค้าสำคัญย่อมตกระกำลำบากและโกรธแค้นที่สำนักขจีไพรสันไม่ช่วยเหลือสิน่ะ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ฝ่ายธรรมะตกอยู่ในวิกฤต หากเราตัดสินใจช่วยเหลือตำหนักเบญจธาตุ ข้ามั่นใจว่าสำนักคุนเผิงที่ยังคงลังเลอยู่จะเข้าร่วมฝ่ายมารร้ายอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นพวกเราจะถูกดึงเข้าสู่ความวุ่นวาย...”
     
    หลังจากได้ฟังคำพูดของฉินหลิง สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสรวมถึงชิงชิงดูหนักอึ้ง สถานการณ์ในตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงวุ่นวาย หากพวกเขาถูกลากเข้าสู่วังวนการต่อสู้ ย่อมต้องมีศิษย์ในสำนักนับไม่ถ้วนถูกเข่นฆ่าอย่างเลี่ยงไม่ได้
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×