ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #180 : เกิดเรื่องที่ตำหนักกลาง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.8K
      864
      12 ก.พ. 63

    แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครคาดคิดว่าผู้ฝึกตนที่มีพลังเพียงก่อตั้งวิญญาณขั้น2จะสามารถครอบครองป้ายตัวแทนของหนึ่งในผู้อาวุโสหลักแห่งสำนักขจีไพรสันได้

     

    แต่ด้วยแรงกดดันและกลิ่นอายที่แพร่กระจายออกจากแผ่นป้ายไม้สีเเดงนั้นย่อมสามารถยืนยันได้อย่างง่ายดายว่าป้ายสีแดงในมือของชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ของปลอมเป็นแน่ เมื่อรวมกับรอยปักที่อกของหญิงสาวอีกคนที่แสดงตัวว่าเป็นศิษย์พี่ของเขานั้นสามารถบ่งบอกฐานะของฉินหลิงได้อย่างชัดเจน

     

    เหล่าศิษย์ที่กำลังรอแลกเปลี่ยนอยู่ในห้องข้างเคียงต่างจ้องมองมาทางศิษย์คนใหม่ของผู้อาวุโส2อย่างตกตะลึง ด้วยฐานะของชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่อะไรที่พวกเขาสามารถล่วงเกินได้เลย

     

    ถึงแม้ในสำนักจะมีศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสหลักอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถถือป้ายตัวแทนของอาจารย์ตนเองได้ ในเวลานี้พวกเขาต่างรู้สึกอิจฉาฉินหลิงที่มีพลังเพียงก่อตั้งขั้น2แล้วแต่กลับมีพลังหนุนหลังจนแม้แต่ผู้อาวุโสในสำนักยังต้องเกรงใจ

     

    เพียงไม่นานหัวหน้ายามที่คุกเข่าขอโทษฉินหลิงในคราแรกก็นำทางไปยังห้องส่วนตัวที่มีไว้สำหรับผู้อาวุโสซึ่งตั้งอยู่ด้านในของคลังสมบัติ

     

    อย่างไรก็ตามก่อนจากไป ฉินหลิงก็หันไปเอ่ยบอกกับหัวหน้ายามว่าเขาไม่ต้องการเอาเรื่องกับหญิงสาวที่ชื่อฮวาเหลียงอวี้

     

    แน่นอนหัวหน้ายามก็เข้าใจความหมายของฉินหลิงไปอีกทางก่อนจะพยักหน้างึกงักจนทำให้เขารู้สึกสงสัย

     

    ส่วนเหตุผลที่ฉินหลิงไม่ต้องการตัดหนทางรอดของหญิงสาวผู้นั้นเป็นเพราะเขาไม่ต้องการสร้างความแค้นเคืองแก่ตระกูลของฮวาเหลียงอวี้ ถึงแม้เขาจะมีอำนาจในยามนี้ แต่อำนาจนี้ก็เป็นของคนอื่นมิใช่สิ่งที่เขาสร้างมาด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากใช้อำนาจของป้ายตัวแทนที่ได้มาจากผู้อาวุโส2เพื่อรังแกของผู้อื่น

     

    หากเขาจะสู้ เขาจะสู้ด้วยกำลังของตัวเอง  มิใช่คอยแต่พึ่งพาผู้อื่น และที่สำคัญเขาก็ไม่ได้รู้สึกชิงชังกับหญิงสาวผู้นั้นถึงขั้นต้องแย่งชิงชีวิตของนาง

     

    หลังจากเข้าไปในห้องส่วนตัวด้านใน ฉินหลิงก็เอ่ยวัตถุดิบที่เขาต้องการเหมือนก่อนหน้านี้อย่างไม่ผิดเพี้ยน รวมถึงคัมภีร์ฝึกฝนอักขระระดับ2และ3

     

     ต้องรู้ว่าเขาฝึกฝนอักขระจนถึงระดับ1แล้ว หากต้องการเข้าสู่ระดับ2 ฉินหลิงจำเป็นต้องมีพลังฝึกตนขั้นสร้างฐานและเข้าใจรูนอักขระมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เคล็ดวิชาฝึกใหม่เพื่อเพิ่มอักขระรูน

     

    ฉินหลิงฝึกฝนการเป็นผู้ใช้อักขระและผู้จารึกอักขระควบคู่กัน เขาจึงจำเป็นต้องใช้เคล็ดวิชาที่เกี่ยวกับรูนอักขระและสูตรการสร้างยันต์หรือค่ายกลจำนวนมาก

     

    แน่นอนว่าสูตรในการจารึกของผู้ฝึกฝนอักขระย่อมไม่ใช่สิ่งที่สามารถหาได้โดยทั่วไป เพราะอย่างไรของเหล่านี้ต่างเป็นสิ่งที่ผู้จารึกอักขระหวงแหน แต่ต้องอย่าลืมว่าที่นี้คือสำนักขจีไพรสัน หนึ่งในหกสำนักใหญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องการปรุงโอสถและความร่ำรวย หากสำนักขจีไพรสันเอ่ยบอกว่าตัวเองร่ำรวยเป็นอันดับสอง อีกห้าสำนักก็ไม่มีทางกล้าเอ่ยอ้างว่าตนเป็นที่หนึ่งอย่างแน่นอน

     

    ถึงแม้ว่าการผู้ฝึกตนเส้นทางอักขระจะสร้างรายได้มหาศาล แต่ระหว่างที่พวกเขากำลังร่ำเรียนฝึกฝนก็ย่อมต้องใช้จ่ายหินวิญญาณไปมากเช่นกัน จึงมีการแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชาของผู้ฝึกอักขระกับสำนักขจีไพรสันไม่น้อย ดังนั้นจึงทำให้ภายในสำนักที่เด่นเรื่องการปรุงยามีคัมภีร์เกี่ยวกับด้านอื่นๆที่ได้มาจากการซื้อขายแลกเปลี่ยน

     

    ไม่เพียงแต่แต่เคล็ดวิชาอักขระเท่านั้น แม้แต่เคล็ดวิชาฝึกฝนต่อสู้อื่นก็มีอยู่มากมาย ดังนั้นศิษย์ภายในสำนักขจีไพรสันที่ไม่ได้มีพลังธาตุไม้ก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาอื่นได้อย่างราบรื่น

     

    “คุณชายเป็นนักจารึกอักขระด้วยรึเจ้าค่ะ?” หญิงสาวอีกคนที่มาทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าต้องการเป็นของที่ใช้จารึกยันต์และสร้างค่ายกลทั้งสิ้น

     

    “แน่นอน... ศิษย์น้องเล็กของข้าเป็นทั้งผู้ใช้และผู้จารึกอักขระระดับ1 ผู้อาวุโสตั้ง5คนยังแย่งเขาเพื่อเป็นศิษย์ส่วนตัวเลย แต่สุดท้ายศิษย์น้องก็รู้ดีว่าท่านอาจารย์ของเราดีที่สุด!” ถางเฉินซีที่นั่งข้างฉินหลิงโม้ออกมาราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง

     

    ฉินหลิงทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆออกมา

     

    หญิงสาวตรงหน้าเบิกตากว้างเมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นผู้ฝึกตนสายอักขระแถมยังเป็นทั้งผู้ใช้อักขระและผู้จารึกอักขระ นางเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมผู้อาวุโสถึงแย่งชิงตัวเด็กหนุ่มผู้นี้

     

    “ไม่ทราบว่าคุณชายมีผู้ดูแลส่วนตัวรึยัง หากว่าไม่... ข้าสามารถอาสาไปดูแลท่านในยามที่ท่านเก็บตัวจารึกก็ได้น่ะเจ้าค่ะ แน่นอนว่าข้าพร้อมปรนนิบัติคุณชายได้ทุกเวลา” หญิงสาวตรงหน้ายิ้มออกมาพร้อมกับทำท่าทางยั่วยวนเต็มที่ หากว่านางสามารถเขาใกล้และจับผู้จารึกอักขระได้แล้วล่ะก็... ในอนาคตนางก็มีหินวิญญาณใช้ไม่รู้หมด ตอนนี้ตัวของชายหนุ่มตรงหน้าราวกับเป็นสมบัติเดินได้

     

    “ไม่เป็นไร!! ศิษย์น้องของข้า ข้าดูแลเองได้ไม่ต้องให้คนของตำหนักกลางมาช่วยหรอก” ถางเฉินซีรีบแย้งขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นสตรีตรงหน้ากำลังหว่านเสน่ห์ใส่ฉินหลิง

     

    แน่นอนว่าแม่นางผู้นั้นที่โดนถางเฉินซีคอยขวางทางการสานสัมพันธ์ย่อมรู้สึกไม่พอใจ แต่นางเป็นเพียงคนรับใช้ของคลังสมบัติเท่านั้น มิอาจต่อล้อต่อเถียงกับศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโส2ได้

     

    ในขณะที่มีคนจากคลังสมบัตินำของที่ฉินหลิงสั่งไว้เข้ามาส่งนั้นเอง หญิงสาวทั้งสองคนจึงพบว่าในตัวของชายหนุ่มมีสมบัติมิติที่เอาไว้เก็บของยิ่งสร้างความตะลึงแก่พวกนาง

     

    “คุณชายมีสมบัติวิเศษสายมิติด้วยรึเจ้าค่ะ สุดยอดไปเลย”

     

    “ศิษย์น้อง ท่านอาจารย์ให้ของวิเศษที่เอาไว้เก็บของแก่เจ้าด้วยหรือ?

     

    ย่อมเป็นธรรมดาที่หญิงสาวทั้งสองต้องตกใจ เพราะอย่างไรสมบัติสายมิตินั้นหาได้ยากมากแม้แต่เหล่าผู้อาวุโสในสำนักที่มีพลังแก่นทองยังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีของวิเศษอย่างแหวนมิติได้

     

    แน่นอนว่าฉินหลิงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่หญิงสาวทั้งสองล้วนเข้าใจไปเองว่าแหวนมิตินั้นย่อมต้องเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโส2ให้มาอย่างแน่นอน พวกนางไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสจะทุ่มทุนให้แก่ศิษย์คนใหม่มากถึงเพียงนี้ แม้แต่ถางเฉินซีที่เป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโส2ยังเผยความรู้สึกอิจฉาอย่างปิดไม่มิด

     

    เมื่อได้ของที่ต้องการหมดแล้ว ศิษย์ของผู้อาวุโสทั้ง2ก็เดินออกมาจากตำหนักกลาง

     

    “ศิษย์น้อง เจ้าไม่คิดเอาของวิเศษสายมิติมาให้ข้าดูบ้างเลยรึ?.... เจ้าไม่เห็นรึยังไงว่าในมือข้ามีของเต็มไปหมดเลย เจ้าไม่สงสารข้าเลยรึ!!” ถางเฉินซีกรอกตามองไปยังฉินหลิงพร้อมกับทำท่าทางให้ดูน่าสงสาร

     

    เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวตรงหน้าฉินหลิงกำลังรบเร้าให้เขาเอาแหวนมิติออกมาให้นางเล่นอย่างแน่นอน

     

    “เช่นนั้นข้าช่วยท่านถือเอง” เพียงพริบตาฉินหลิงก็คว้าเอาของวิเศษที่ไถ่มาจากชายชราในตอนที่เขาเข้าไปรับตราศิษย์ภายนอกมาถือแทนเพื่อที่จะไม่ให้นางได้ข้ออ้างใดๆอีก

     

    “ชิ...เจ้าคนขี้งก”

     

    หากมองดูในมุมมองของคนนอก ภาพการหยอกล้อของฉินหลิงและถางเฉินซีนั้นดูเหมือนคู่รักวัยเยาว์ที่กำลังง้องอนกันอย่างแน่นอน

     

    แทบจะในเวลาเดียวนั้นเองเสียงตะโกนราวกับการคำรามของราชสีห์ก็ดังขึ้นมาทางตรงหน้า “ถางเฉินซี!!!!

     

    ครันได้ยินเสียงตะโกนตรงหน้า ถางเฉินซีเปลี่ยนเป็นท่าทางเย็นชาอย่างฉับพลันก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตรงหน้าที่สวมชุดสีน้ำเงินเหมือนนาง “เฉิงอี้หานเจ้าไม่มีสิทธิเรียกข้าเช่นนี้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นคนของตระกูลเฉิงก็ตาม”

     

    “เหอะ...ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าข้ากำลังเกี้ยวเจ้าอยู่” ชายหนุ่มร่างสูงที่ถูกเรียกว่าเฉิงอี้หานก็เดินไปประชิดและจ้องตาฉินหลิงด้วยท่าทางโหดเหี้ยม “เจ้าไม่รู้รึยังไงว่าผู้หญิงคนนี้เป็นของข้า หากไม่อยากตายก็จงคุกเข่าลงด้านหน้าข้าเสีย มิเช่นนั้นอย่าหวังได้มีชีวิตที่ดีอีกเลย!!

     

    เฉิงอี้หานที่เห็นถางเฉินซีเอ่ยล้อกันตรงหน้าย่อมเกิดความหึงหวงและต้องการสั่งสอนชายหนุ่มที่กล้าเข้ามายุ่งกับสตรีที่เขาจองไว้ เดิมทีเขาต้องการเพียงข่มขู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงพลังก่อตั้งวิญญาณขั้น2และไม่มีตราอะไรที่บ่งบอกถึงตำแหน่งจึงทำให้เขาได้ใจและต้องการทำให้ฉินหลิงอับอายขายหน้าต่อหน้าถางเฉินซี

     

    “เฉิงอี้หานอย่าให้มันเกินไปนัก..ข้ากับเจ้าไม่ได้เกี่ยวอะไรกัน” เอ่ยจบนางก็คว้ามือฉินหลิงทันที “ศิษย์น้องไปกันเถอะ...อย่าไปสนใจคนบ้าพวกนั้นเลย”

     

    แน่นอนว่ายิ่งเฉิงอี้หานเห็นหญิงสาวที่เขาต้องการหันไปคว้ามือกับชายหนุ่มอีกคนอย่างสนิทสนมย่อมเกิดความรู้สึกโมโหจนสีหน้าแดงกล้ำ เขาไม่คิดเลยว่ายังมีศิษย์ภายนอกคนใดกล้ามาแย่งชิงนางไปจากเขา

     

    “บัดซบ..เจ้าแส่หาเรื่องเอง ไปตายซ่ะ!!!” ชายร่างสูงพุ่งเข้าไปพร้อมกับปล่อยหมัดใส่ด้านหลังฉินหลิงอย่างรวดเร็ว

     

    เปรี๊ยง!!!

     

    ยันต์วิเศษที่อยู่ในอกของฉินหลิงเปล่งแสงออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโล่พลังสีฟ้าคลุมทั่วร่างของเขาทันทีที่มันจับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งออกมาจากร่างของเฉิงอี้หานที่ลอบโจมตีเข้ามาอย่างหน้าไม่อาย

     

    โล่พลังที่สร้างมาอย่างฉับพลันแตกกระจายราวกับเศษกระจกทันทีเมื่อมันโดนกำปั้นของชายร่างสูงปะทะเข้าอย่างจัง

     

    ฉินหลิงที่รับรู้ได้ถึงการลอบโจมตีก็รีบหันกลับมาแล้วเอาแขนป้องกันการโจมตีจากด้านหลัง

     

    ตู๊ม!!!

     

    “แค๊กๆ” ฉินหลิงที่กระเด็นออกไปหลายจ้างกระอักเลือดออกมาพร้อมกับฝืนลุกขึ้นมองไปยังชายที่ลอบโจมตีเขา หากไม่เพราะยันต์พิทักษ์คุ้มกายขวางกั้นเอาไว้ชั่วครู่ ไม่แน่เขาอาจจะบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้ ต้องรู้ว่าเฉิงอี้หานเป็นผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสร้างฐานแล้ว ด้วยพลังของเขากับฉินหลิงที่มีพลังขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับ2แตกต่างกันราวฟ้ากับพิภพย่อมสามารถทำลายร่างของฉินหลิงได้อย่างง่ายดาย

     

    “เหอะ!!... ช่างตายยากเสียเหลือเกิน” ชายร่างสูงเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเย็นชาพร้อมกับมองไปยังฉินหลิงที่กำลังบาดเจ็บด้วยท่าทางเหนือกว่าราวกับเขาเป็นผู้วิเศษและอีกฝ่ายเป็นเพียงมดปลวกที่ต่ำต้อย

     

    “ศิษย์น้อง!!! เจ้าเป็นอะไรรึไม่?” ถางเฉินซีรีบพุ่งเข้ามาพยุงฉินหลิงที่กำลังกัดฟันแน่นด้วยสีหน้ากระวนกระวาย นางรู้ดีว่าหากไม่เพราะยันต์คุ้มกายเมื่อครู่ศิษย์น้องของนางย่อมต้องสิ้นชีพไปแล้วอย่างแน่นอน ด้วยพลังโจมตีของผู้ที่กำลังก้าวสู่ขั้นสร้างฐานมีหรือที่ก่อตั้งวิญญาณขั้นต้นจะต้านทานไว้ได้

     

    “ฮาๆๆๆ เจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่อีกรึ!! คอยหลบอยู่หลังผู้หญิงไม่อายบ้างรึไง” เฉิงอี้หานเยาะเย้ยชายหนุ่มตรงหน้า แต่ภายในใจกลับโมโหอย่างยิ่งเมื่อเห็นถางเฉินซีแสดงท่าทางห่วงใยชายผู้นั้น

     

    “หยุดน่ะ!! นี้คือตำหนักกลางไม่ใช่สถานที่ที่พวกเจ้าจะก่อเรื่องได้” เสียงตะโกนของเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ไม่ไกลก็ดังขึ้นมาก่อนจะเข้ามาปรากฏตัวล้อมกลุ่มคนของเฉิงอี้หานและฉินหลิง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×