คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #180 : เกิดเรื่องที่ตำหนักกลาง
แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครคาดคิดว่าผู้ฝึกตนที่มีพลังเพียงก่อตั้งวิญญาณขั้น2จะสามารถครอบครองป้ายตัวแทนของหนึ่งในผู้อาวุโสหลักแห่งสำนักขจีไพรสันได้
แต่ด้วยแรงกดดันและกลิ่นอายที่แพร่กระจายออกจากแผ่นป้ายไม้สีเเดงนั้นย่อมสามารถยืนยันได้อย่างง่ายดายว่าป้ายสีแดงในมือของชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ของปลอมเป็นแน่
เมื่อรวมกับรอยปักที่อกของหญิงสาวอีกคนที่แสดงตัวว่าเป็นศิษย์พี่ของเขานั้นสามารถบ่งบอกฐานะของฉินหลิงได้อย่างชัดเจน
เหล่าศิษย์ที่กำลังรอแลกเปลี่ยนอยู่ในห้องข้างเคียงต่างจ้องมองมาทางศิษย์คนใหม่ของผู้อาวุโส2อย่างตกตะลึง
ด้วยฐานะของชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่อะไรที่พวกเขาสามารถล่วงเกินได้เลย
ถึงแม้ในสำนักจะมีศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสหลักอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถถือป้ายตัวแทนของอาจารย์ตนเองได้
ในเวลานี้พวกเขาต่างรู้สึกอิจฉาฉินหลิงที่มีพลังเพียงก่อตั้งขั้น2แล้วแต่กลับมีพลังหนุนหลังจนแม้แต่ผู้อาวุโสในสำนักยังต้องเกรงใจ
เพียงไม่นานหัวหน้ายามที่คุกเข่าขอโทษฉินหลิงในคราแรกก็นำทางไปยังห้องส่วนตัวที่มีไว้สำหรับผู้อาวุโสซึ่งตั้งอยู่ด้านในของคลังสมบัติ
อย่างไรก็ตามก่อนจากไป ฉินหลิงก็หันไปเอ่ยบอกกับหัวหน้ายามว่าเขาไม่ต้องการเอาเรื่องกับหญิงสาวที่ชื่อฮวาเหลียงอวี้
แน่นอนหัวหน้ายามก็เข้าใจความหมายของฉินหลิงไปอีกทางก่อนจะพยักหน้างึกงักจนทำให้เขารู้สึกสงสัย
ส่วนเหตุผลที่ฉินหลิงไม่ต้องการตัดหนทางรอดของหญิงสาวผู้นั้นเป็นเพราะเขาไม่ต้องการสร้างความแค้นเคืองแก่ตระกูลของฮวาเหลียงอวี้
ถึงแม้เขาจะมีอำนาจในยามนี้ แต่อำนาจนี้ก็เป็นของคนอื่นมิใช่สิ่งที่เขาสร้างมาด้วยตัวเอง
ดังนั้นเขาจึงไม่อยากใช้อำนาจของป้ายตัวแทนที่ได้มาจากผู้อาวุโส2เพื่อรังแกของผู้อื่น
หากเขาจะสู้ เขาจะสู้ด้วยกำลังของตัวเอง มิใช่คอยแต่พึ่งพาผู้อื่น และที่สำคัญเขาก็ไม่ได้รู้สึกชิงชังกับหญิงสาวผู้นั้นถึงขั้นต้องแย่งชิงชีวิตของนาง
หลังจากเข้าไปในห้องส่วนตัวด้านใน ฉินหลิงก็เอ่ยวัตถุดิบที่เขาต้องการเหมือนก่อนหน้านี้อย่างไม่ผิดเพี้ยน
รวมถึงคัมภีร์ฝึกฝนอักขระระดับ2และ3
ต้องรู้ว่าเขาฝึกฝนอักขระจนถึงระดับ1แล้ว
หากต้องการเข้าสู่ระดับ2 ฉินหลิงจำเป็นต้องมีพลังฝึกตนขั้นสร้างฐานและเข้าใจรูนอักขระมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เคล็ดวิชาฝึกใหม่เพื่อเพิ่มอักขระรูน
ฉินหลิงฝึกฝนการเป็นผู้ใช้อักขระและผู้จารึกอักขระควบคู่กัน
เขาจึงจำเป็นต้องใช้เคล็ดวิชาที่เกี่ยวกับรูนอักขระและสูตรการสร้างยันต์หรือค่ายกลจำนวนมาก
แน่นอนว่าสูตรในการจารึกของผู้ฝึกฝนอักขระย่อมไม่ใช่สิ่งที่สามารถหาได้โดยทั่วไป เพราะอย่างไรของเหล่านี้ต่างเป็นสิ่งที่ผู้จารึกอักขระหวงแหน
แต่ต้องอย่าลืมว่าที่นี้คือสำนักขจีไพรสัน หนึ่งในหกสำนักใหญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องการปรุงโอสถและความร่ำรวย
หากสำนักขจีไพรสันเอ่ยบอกว่าตัวเองร่ำรวยเป็นอันดับสอง อีกห้าสำนักก็ไม่มีทางกล้าเอ่ยอ้างว่าตนเป็นที่หนึ่งอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าการผู้ฝึกตนเส้นทางอักขระจะสร้างรายได้มหาศาล
แต่ระหว่างที่พวกเขากำลังร่ำเรียนฝึกฝนก็ย่อมต้องใช้จ่ายหินวิญญาณไปมากเช่นกัน จึงมีการแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชาของผู้ฝึกอักขระกับสำนักขจีไพรสันไม่น้อย
ดังนั้นจึงทำให้ภายในสำนักที่เด่นเรื่องการปรุงยามีคัมภีร์เกี่ยวกับด้านอื่นๆที่ได้มาจากการซื้อขายแลกเปลี่ยน
ไม่เพียงแต่แต่เคล็ดวิชาอักขระเท่านั้น แม้แต่เคล็ดวิชาฝึกฝนต่อสู้อื่นก็มีอยู่มากมาย
ดังนั้นศิษย์ภายในสำนักขจีไพรสันที่ไม่ได้มีพลังธาตุไม้ก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาอื่นได้อย่างราบรื่น
“คุณชายเป็นนักจารึกอักขระด้วยรึเจ้าค่ะ?” หญิงสาวอีกคนที่มาทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าต้องการเป็นของที่ใช้จารึกยันต์และสร้างค่ายกลทั้งสิ้น
“แน่นอน...
ศิษย์น้องเล็กของข้าเป็นทั้งผู้ใช้และผู้จารึกอักขระระดับ1
ผู้อาวุโสตั้ง5คนยังแย่งเขาเพื่อเป็นศิษย์ส่วนตัวเลย
แต่สุดท้ายศิษย์น้องก็รู้ดีว่าท่านอาจารย์ของเราดีที่สุด!”
ถางเฉินซีที่นั่งข้างฉินหลิงโม้ออกมาราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
ฉินหลิงทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆออกมา
หญิงสาวตรงหน้าเบิกตากว้างเมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นผู้ฝึกตนสายอักขระแถมยังเป็นทั้งผู้ใช้อักขระและผู้จารึกอักขระ
นางเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมผู้อาวุโสถึงแย่งชิงตัวเด็กหนุ่มผู้นี้
“ไม่ทราบว่าคุณชายมีผู้ดูแลส่วนตัวรึยัง
หากว่าไม่... ข้าสามารถอาสาไปดูแลท่านในยามที่ท่านเก็บตัวจารึกก็ได้น่ะเจ้าค่ะ
แน่นอนว่าข้าพร้อมปรนนิบัติคุณชายได้ทุกเวลา” หญิงสาวตรงหน้ายิ้มออกมาพร้อมกับทำท่าทางยั่วยวนเต็มที่
หากว่านางสามารถเขาใกล้และจับผู้จารึกอักขระได้แล้วล่ะก็... ในอนาคตนางก็มีหินวิญญาณใช้ไม่รู้หมด
ตอนนี้ตัวของชายหนุ่มตรงหน้าราวกับเป็นสมบัติเดินได้
“ไม่เป็นไร!! ศิษย์น้องของข้า
ข้าดูแลเองได้ไม่ต้องให้คนของตำหนักกลางมาช่วยหรอก”
ถางเฉินซีรีบแย้งขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นสตรีตรงหน้ากำลังหว่านเสน่ห์ใส่ฉินหลิง
แน่นอนว่าแม่นางผู้นั้นที่โดนถางเฉินซีคอยขวางทางการสานสัมพันธ์ย่อมรู้สึกไม่พอใจ
แต่นางเป็นเพียงคนรับใช้ของคลังสมบัติเท่านั้น
มิอาจต่อล้อต่อเถียงกับศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโส2ได้
ในขณะที่มีคนจากคลังสมบัตินำของที่ฉินหลิงสั่งไว้เข้ามาส่งนั้นเอง
หญิงสาวทั้งสองคนจึงพบว่าในตัวของชายหนุ่มมีสมบัติมิติที่เอาไว้เก็บของยิ่งสร้างความตะลึงแก่พวกนาง
“คุณชายมีสมบัติวิเศษสายมิติด้วยรึเจ้าค่ะ
สุดยอดไปเลย”
“ศิษย์น้อง ท่านอาจารย์ให้ของวิเศษที่เอาไว้เก็บของแก่เจ้าด้วยหรือ?”
ย่อมเป็นธรรมดาที่หญิงสาวทั้งสองต้องตกใจ
เพราะอย่างไรสมบัติสายมิตินั้นหาได้ยากมากแม้แต่เหล่าผู้อาวุโสในสำนักที่มีพลังแก่นทองยังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีของวิเศษอย่างแหวนมิติได้
แน่นอนว่าฉินหลิงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่หญิงสาวทั้งสองล้วนเข้าใจไปเองว่าแหวนมิตินั้นย่อมต้องเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโส2ให้มาอย่างแน่นอน
พวกนางไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสจะทุ่มทุนให้แก่ศิษย์คนใหม่มากถึงเพียงนี้ แม้แต่ถางเฉินซีที่เป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโส2ยังเผยความรู้สึกอิจฉาอย่างปิดไม่มิด
เมื่อได้ของที่ต้องการหมดแล้ว
ศิษย์ของผู้อาวุโสทั้ง2ก็เดินออกมาจากตำหนักกลาง
“ศิษย์น้อง
เจ้าไม่คิดเอาของวิเศษสายมิติมาให้ข้าดูบ้างเลยรึ?.... เจ้าไม่เห็นรึยังไงว่าในมือข้ามีของเต็มไปหมดเลย
เจ้าไม่สงสารข้าเลยรึ!!” ถางเฉินซีกรอกตามองไปยังฉินหลิงพร้อมกับทำท่าทางให้ดูน่าสงสาร
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวตรงหน้าฉินหลิงกำลังรบเร้าให้เขาเอาแหวนมิติออกมาให้นางเล่นอย่างแน่นอน
“เช่นนั้นข้าช่วยท่านถือเอง”
เพียงพริบตาฉินหลิงก็คว้าเอาของวิเศษที่ไถ่มาจากชายชราในตอนที่เขาเข้าไปรับตราศิษย์ภายนอกมาถือแทนเพื่อที่จะไม่ให้นางได้ข้ออ้างใดๆอีก
“ชิ...เจ้าคนขี้งก”
หากมองดูในมุมมองของคนนอก
ภาพการหยอกล้อของฉินหลิงและถางเฉินซีนั้นดูเหมือนคู่รักวัยเยาว์ที่กำลังง้องอนกันอย่างแน่นอน
แทบจะในเวลาเดียวนั้นเองเสียงตะโกนราวกับการคำรามของราชสีห์ก็ดังขึ้นมาทางตรงหน้า
“ถางเฉินซี!!!!”
ครันได้ยินเสียงตะโกนตรงหน้า
ถางเฉินซีเปลี่ยนเป็นท่าทางเย็นชาอย่างฉับพลันก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตรงหน้าที่สวมชุดสีน้ำเงินเหมือนนาง
“เฉิงอี้หานเจ้าไม่มีสิทธิเรียกข้าเช่นนี้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นคนของตระกูลเฉิงก็ตาม”
“เหอะ...ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าข้ากำลังเกี้ยวเจ้าอยู่”
ชายหนุ่มร่างสูงที่ถูกเรียกว่าเฉิงอี้หานก็เดินไปประชิดและจ้องตาฉินหลิงด้วยท่าทางโหดเหี้ยม
“เจ้าไม่รู้รึยังไงว่าผู้หญิงคนนี้เป็นของข้า หากไม่อยากตายก็จงคุกเข่าลงด้านหน้าข้าเสีย
มิเช่นนั้นอย่าหวังได้มีชีวิตที่ดีอีกเลย!!”
เฉิงอี้หานที่เห็นถางเฉินซีเอ่ยล้อกันตรงหน้าย่อมเกิดความหึงหวงและต้องการสั่งสอนชายหนุ่มที่กล้าเข้ามายุ่งกับสตรีที่เขาจองไว้
เดิมทีเขาต้องการเพียงข่มขู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงพลังก่อตั้งวิญญาณขั้น2และไม่มีตราอะไรที่บ่งบอกถึงตำแหน่งจึงทำให้เขาได้ใจและต้องการทำให้ฉินหลิงอับอายขายหน้าต่อหน้าถางเฉินซี
“เฉิงอี้หานอย่าให้มันเกินไปนัก..ข้ากับเจ้าไม่ได้เกี่ยวอะไรกัน”
เอ่ยจบนางก็คว้ามือฉินหลิงทันที “ศิษย์น้องไปกันเถอะ...อย่าไปสนใจคนบ้าพวกนั้นเลย”
แน่นอนว่ายิ่งเฉิงอี้หานเห็นหญิงสาวที่เขาต้องการหันไปคว้ามือกับชายหนุ่มอีกคนอย่างสนิทสนมย่อมเกิดความรู้สึกโมโหจนสีหน้าแดงกล้ำ
เขาไม่คิดเลยว่ายังมีศิษย์ภายนอกคนใดกล้ามาแย่งชิงนางไปจากเขา
“บัดซบ..เจ้าแส่หาเรื่องเอง ไปตายซ่ะ!!!” ชายร่างสูงพุ่งเข้าไปพร้อมกับปล่อยหมัดใส่ด้านหลังฉินหลิงอย่างรวดเร็ว
เปรี๊ยง!!!
ยันต์วิเศษที่อยู่ในอกของฉินหลิงเปล่งแสงออกมาอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโล่พลังสีฟ้าคลุมทั่วร่างของเขาทันทีที่มันจับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งออกมาจากร่างของเฉิงอี้หานที่ลอบโจมตีเข้ามาอย่างหน้าไม่อาย
โล่พลังที่สร้างมาอย่างฉับพลันแตกกระจายราวกับเศษกระจกทันทีเมื่อมันโดนกำปั้นของชายร่างสูงปะทะเข้าอย่างจัง
ฉินหลิงที่รับรู้ได้ถึงการลอบโจมตีก็รีบหันกลับมาแล้วเอาแขนป้องกันการโจมตีจากด้านหลัง
ตู๊ม!!!
“แค๊กๆ” ฉินหลิงที่กระเด็นออกไปหลายจ้างกระอักเลือดออกมาพร้อมกับฝืนลุกขึ้นมองไปยังชายที่ลอบโจมตีเขา
หากไม่เพราะยันต์พิทักษ์คุ้มกายขวางกั้นเอาไว้ชั่วครู่ ไม่แน่เขาอาจจะบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้
ต้องรู้ว่าเฉิงอี้หานเป็นผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสร้างฐานแล้ว
ด้วยพลังของเขากับฉินหลิงที่มีพลังขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับ2แตกต่างกันราวฟ้ากับพิภพย่อมสามารถทำลายร่างของฉินหลิงได้อย่างง่ายดาย
“เหอะ!!...
ช่างตายยากเสียเหลือเกิน”
ชายร่างสูงเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเย็นชาพร้อมกับมองไปยังฉินหลิงที่กำลังบาดเจ็บด้วยท่าทางเหนือกว่าราวกับเขาเป็นผู้วิเศษและอีกฝ่ายเป็นเพียงมดปลวกที่ต่ำต้อย
“ศิษย์น้อง!!! เจ้าเป็นอะไรรึไม่?” ถางเฉินซีรีบพุ่งเข้ามาพยุงฉินหลิงที่กำลังกัดฟันแน่นด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
นางรู้ดีว่าหากไม่เพราะยันต์คุ้มกายเมื่อครู่ศิษย์น้องของนางย่อมต้องสิ้นชีพไปแล้วอย่างแน่นอน
ด้วยพลังโจมตีของผู้ที่กำลังก้าวสู่ขั้นสร้างฐานมีหรือที่ก่อตั้งวิญญาณขั้นต้นจะต้านทานไว้ได้
“ฮาๆๆๆ เจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่อีกรึ!! คอยหลบอยู่หลังผู้หญิงไม่อายบ้างรึไง” เฉิงอี้หานเยาะเย้ยชายหนุ่มตรงหน้า
แต่ภายในใจกลับโมโหอย่างยิ่งเมื่อเห็นถางเฉินซีแสดงท่าทางห่วงใยชายผู้นั้น
“หยุดน่ะ!! นี้คือตำหนักกลางไม่ใช่สถานที่ที่พวกเจ้าจะก่อเรื่องได้”
เสียงตะโกนของเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ไม่ไกลก็ดังขึ้นมาก่อนจะเข้ามาปรากฏตัวล้อมกลุ่มคนของเฉิงอี้หานและฉินหลิง
ความคิดเห็น