คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #179 : ความน่ากลัวของป้ายตัวเเทน
ห่างจากห้องของชายชรารับผิดชอบหน้าที่ในการยืนยันศิษย์ภายนอกไม่ไกลนัก ถางเฉินซีเดินนำฉินหลิงมายังคลังสมบัติของสำนักขจีไพรสันที่ตั้งอยู่ในบริเวณของตำหนักกลาง
คลังสมบัติของสำนักแห่งนี้เป็นเหมือนสถานที่แลกเปลี่ยนสมบัติวิเศษกับคะแนนภารกิจ
หรือใช้สมบัติวิเศษแลกกลับเป็นคะแนนภารกิจของสำนักก็ได้เช่นกัน ต้องทราบว่าเมื่อเหล่าศิษย์ออกไปทำภารกิจพวกเขามีสิทธิได้พบเจอโชคระหว่างทาง
ดังนั้นพวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งของวิเศษที่บังเอิญเจอให้เป็นคะแนนแล้วค่อยแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับฝึกฝนแทน
แน่นอนว่าการแลกเปลี่ยนดังกล่าวย่อมต้องไม่เป็นธรรมอยู่แล้ว
คะแนนที่ได้รับจากการเอาของวิเศษมาแลกเปลี่ยนมักจะน้อยกว่าคะแนนที่ต้องใช้ซื้อกลับคืนไป
นอกจากการซื้อขายโอสถที่เป็นรายได้หลักของสำนักแล้ว ส่วนต่างของการแลกเปลี่ยนนั้นแหละคืออีกแหล่งรายได้สำคัญของสำนักขจีไพรสัน
ด้านหน้าของคลังสมบัติมีการตกแต่งอย่างหรูหราพร้อมกับป้ายสีทองที่มีคำว่า
‘คลังสมบัติ’ อยู่ตรงใจกลาง
เมื่อเดินเข้าไปด้านฉินหลิงก็พบว่าคลังสมบัติแห่งนี้จะแบ่งเป็นห้องส่วนตัวที่โปร่งใสหลายสิบห้องตั้งอยู่ติดกันและภายในแต่ล่ะห้องต่างก็มีหญิงสาวรูปงามยืนต้อนรับศิษย์ในสำนักที่ต้องการเข้ามาแลกเปลี่ยน
ห้องที่โปร่งใสนี้คือค่ายกลอย่างหนึ่งที่ช่วยกักเก็บเสียงอย่างแน่นอน
ถึงแม้เขาจะไม่สามารถสร้างค่ายกลในเวลานี้ แต่เขาก็พอรับรู้ได้ถึงความสามารถของค่ายกลตรงหน้า
“ไม่ต้องตกใจไปหรอก ค่ายกลตรงหน้าเพียงแค่ช่วยให้การแลกเปลี่ยนเป็นความลับ”
ถางเฉินซีเอ่ยออกมาเมื่อเห็นฉินหลิงจ้องมองไปยังห้องต่างๆที่มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนก่อนจะชี้ไปที่ห้องหนึ่งซึ่งมีคนกำลังเดินออกมาพอดี
“ห้องตรงนู้นว่างพอดี.. เราไปกันเถอะ”
ฉินหลิงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปยังภายในห้องที่พึ่งมีศิษย์ภายนอกเดินออกไป
ยามเมื่อเขาเดินเข้าไปเขารู้สึกได้ถึงการสั่นไหวของตราประจำตัวที่พึ่งได้มาไม่นาน
เมื่อเขามาในห้องคลื่นพลังที่สั่นไหวค่อยๆแข็งตัวจนเหมือนกับกลายเป็นผลึกสีใสปกคลุมรอบห้อง
ฉินหลิงหันไปมองด้านข้างก็พบเห็นศิษย์คนอื่นกำลังพูดคุยกับหญิงสาวที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยน
เพียงแต่เขาไม่ได้ยินอะไรเลยก็เท่านั้น
ค่ายกลดังกล่าวทำให้ฉินหลิงรู้สึกเหมือนกับตัวเองอยู่ในห้องกระจกที่สามารถมองเห็นการแลกเปลี่ยนของลูกค้าคนอื่นที่อยู่ห้องด้านข้างได้พร้อมกัน
“ข้าน้อยฮวาเหลียงอวี้
ไม่ทราบว่าพวกท่านจะมาแลกเปลี่ยนสมบัติอะไรเจ้าค่ะ?” หญิงสาวผู้งดงามซึ่งมีโต๊ะกั้นกลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแต่ยังแฝงไว้ด้วยความทระนงตัว
ฉินหลิงหรี่ตามองไปยังหญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามเล็กน้อย
หากไม่เพราะเขามีจิตสัมผัสที่ไม่ธรรมดาเขาคงไม่อาจรับรู้ได้เป็นแน่ว่าระหว่างเขาและนางมีอาคมบางอย่างขวางกั้นอยู่
หากเขายื่นมือไปเพื่อแตะต้องสตรีต้องหน้าต้องเจอกับพลังสังหารที่ไม่ธรรมดา
“ศิษย์น้องข้าต้องการมาแลกเปลี่ยนสมบัติน่ะ”
ถางเฉินซีรีบเอ่ยตอบกลับอย่างมีมารยาทเมื่อนางเห็นฉินหลิงจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าโดยไม่ตอบโต้อะไรและคิดว่าเขาคงหลงเสน่ห์หญิงสาวตรงหน้าเข้าจนพูดไม่ถูก
“ฮิฮิ...เช่นนั้นพวกท่านต้องการแลกเปลี่ยนอะไรเจ้าค่ะ”
ฮว่าเหลียงอวี้หัวเราะด้วยท่าทีเขินอายเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้ายังคงจ้องมองนางอยู่โดยไม่รู้เลยว่าที่ชายหนุ่มกำลังสนใจไม่ใช่นางแต่เป็นค่ายกลที่กั้นระหว่างพวกเขาทั้งสองต่างหาก
ตุบ!
“โอ๊ย!! เจ้าทำบ้าอะไรเนี๊ย”
ฉินหลิงโวยวายใส่ถางเฉินซีเมื่อเขาโดนนางเหยียบเท้าอย่างแรงในขณะที่เขากำลังตั้งใจศึกษาค่ายกลตรงหน้า
“ไม่ใช่ว่าเจ้าจะมาแลกเปลี่ยนสิ่งของไปฝึกฝนหรอกรึ?” ตอนนี้นางเริ่มไม่พอใจเมื่อเห็นว่าศิษย์น้องของนางกลายเป็นชายหนุ่มเจ้าชู้ที่มัวแต่มองหญิงสาวตรงหน้าโดยลืมจุดมุ่งหมายของตนเอง
ฉินหลิงก็พยักหน้าอย่างงงๆ
ทั้งที่แค่สะกิดเรียกก็ได้ ไม่เห็นต้องกระทืบเท้ากันเลย
“ข้าต้องการเลือดของวานรสองหางเพศเมียอายุไม่ต่ำกว่า100ปี
เลือดของพยัคฆ์ทองแดงอายุ100ปีขึ้นเช่นกัน แก่นอสูรระดับ2ธาตุไฟ 20ชิ้น
ขนหางจิ้งจอกวายุ500ปี.......” ฉินหลิงร่ายสิ่งที่เขาต้องการอย่างไม่หยุดพักราวกับกำลังท่องสูตรคูณ
ไม่เพียงหญิงสาวที่เป็นคนทำหน้าที่แลกเปลี่ยนของคลังสมบัติที่อ้าปากค้าง
แม้แต่ถางเฉินซีที่เป็นคนนำทางมายังอดไม่ได้ที่จะจ้องมองฉินหลิงราวกับคนบ้า
พวกนางทั้งสองไม่คิดเลยว่าฉินหลิงจะแลกเปลี่ยนมากมายขนาดนี้
“หือ..มีอะไรรึเปล่า?” ฉินหลิงเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นหญิงสาวหันมาจ้องเขา
ฮวาเหลียงอวี้ที่ทำหน้าที่เป็นคนดูแลก็ยิ้มอย่างบิดเบี้ยว
ในฐานะที่เป็นคนของตำหนักกลาง นางพึ่งเคยเจอศิษย์ภายนอกที่กล้าแลกเปลี่ยนสิ่งของมากมายขนาดนี้เป็นครั้งแรกจนเผลอคิดไปว่าเขาอาจจะล้อนางเล่น
“ไม่ทราบว่าท่านมีแต้มภารกิจเท่าไหร่หรือเจ้าค่ะ?
ดูเหมือนสิ่งที่คุณชายต้องการจะใช้แต้มภารกิจไม่น้อยเลย” หญิงสาวผู้ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนรีบเอ่ยขึ้นมาเพื่อดูว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีแต้มภารกิจเพียงพอรึไม่?
เพราะนางไม่เชื่อว่าศิษย์ภายนอกจะมีแต้มมากมายพอจะแลกของได้มากขนาดนั้น
ต้องรู้ว่าสัตว์อสูรระดับ2ที่ชายหนุ่มต้องการนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนขั้นก่อตั้งวิญญาณจะใช้ได้อย่างแน่นอน
“หืม... แต้มภารกิจหรือ? ข้าไม่มีหรอก”
ฉินหลิงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ตัวเขาที่พึ่งยืนยันตัวเองเข้าเป็นศิษย์ภายนอกจะเอาเวลาที่ไหนไปทำภารกิจได้เล่า
สีหน้าของฮวาเหลียงอวี้มืดคล้ำเมื่อได้ยินคำตอบของชายหนุ่มตรงหน้า
หากว่านี้ไม่เรียกว่ามาป่วนแล้วจะให้เรียกว่าอะไร?
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีแต้มภารกิจก็จงรีบไสหัวกลับไปทำภารกิจก่อนแล้วค่อยมาแลกเปลี่ยนใหม่
ไม่ใช่มาทำให้ข้าเสียเวลาเช่นนี้” หญิงสาวพ่นลมออกมาอย่างไม่พอใจในขณะเอ่ยไล่ฉินหลิงที่มาก่อกวนนางออกไป
พลางคิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าต้องการเรียกร้องความสนใจจากนางอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามในขณะที่ฉินหลิงกำลังล้วงตราตัวแทนของผู้อาวุโส2ออกมา
หญิงสาวตรงหน้ากับโวยวายขึ้นมาอย่างไม่หยุดเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังไม่ยอมออกไป “หากเจ้ายังไม่ออกไปข้าจะเรียกยามมาลากคอเจ้าออกไปพร้อมกับห้ามเจ้าเข้ามายังคลังสมบัติตลอดชีวิต”
เมื่อเห็นว่าฉินหลิงเป็นเพียงชายหนุ่มซึ่งเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นก่อตั้งวิญญาณระดับ2ที่ไม่มีฐานะอะไรนางจึงอดไม่ได้ที่จะวางท่าใส่อย่างไม่เกรงกลัว
หญิงสาวที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนชี้มาทางด้วยสีหน้ารังเกียจจนทำให้ศิษย์ที่แลกเปลี่ยนอยู่ห้องข้างๆต้องหันมาดู
ถึงพวกเขาจะไม่ได้ยินอะไรแต่มีน้อยนักที่ผู้ที่ทำหน้าที่รับแลกเปลี่ยนจะเสียมารยาท
ดังนั้นพวกเขาจึงหันมามองอย่างสนใจ
สีหน้าของฉินหลิงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เมื่อรวมกับดวงตาอำมหิตจึงทำให้ตัวแทนสาวสวยจากคลังสมบัติหวาดกลัวทันที
ถางเฉินซีที่เป็นคนใจเย็นมาตลอดยังรู้สึกไม่พอใจเมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาวตรงหน้า
ศิษย์น้องของนางเป็นถึงผู้จารึกอักขระที่เก่งกาจ ทำไมต้องมาถูกหญิงสาวไร้เหตุผลตรงหน้าว่าร้ายด้วยเล่า!
หญิงรูปงามผู้เป็นคนของคลังสมบัติเห็นสีหน้าน่ากลัวที่มีจิตสังหารปนอยู่ของชายหนุ่มตรงหน้าก็บีบหยกในมือที่เคยตั้งอยู่ข้างนางจนแตกละเอียด
หลังจากหยกในมือของหญิงสาวผู้นั้นแตกสลายไป
คลื่นพลังปริศนาก็ล้อมรอบห้องราวกับพื้นที่โดยรอบถูกผนึกเอาไว้ แม้แต่ห้องแลกเปลี่ยนด้านข้างที่กำลังแลกเปลี่ยนกันอยู่ก็ถูกผนึกไม่ต่างกัน
เหล่าศิษย์ที่ทำการแลกเปลี่ยนพากันตื่นตกใจและหันมามองห้องแลกเปลี่ยนของฉินหลิงที่เป็นต้นเหตุ
เพียงพริบตาเหล่าทหารยามห้าคนที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นสร้างฐานต่างพุ่งเข้ามายังห้องส่วนตัวของฉินหลิง
“เกิดอะไรขึ้น?” หนึ่งในทหารยามที่สวมชุดเกราะเอ่ยถามหญิงสาวที่ทำหน้าเป็นตัวแทนแลกเปลี่ยน
“เป็นมันเจ้าค่ะ... เจ้าคนผู้นี้กล้ามาแลกเปลี่ยนสิ่งของโดยที่ไม่มีแต้มแลกเปลี่ยนแถมยังข่มขู่ข้าอีกด้วย
ถึงแม้เขาจะเป็นศิษย์ในสำนัก แต่เขาก็ไม่มีสิทธิข่มขู่คนจากคลังสมบัติของตำหนักกลาง
ขอท่านช่วยให้ความเป็นธรรมด้วยเจ้าค่ะ”
ฮวาเหลียงอวี้ชี้ไปทางฉินหลิงพร้อมกับท่าทางราวกับตัวเองถูกรังแก
ทหารยามที่มีพลังสูงสุดในกลุ่มเดินเข้ามาทางฉินหลิงด้วยท่าทีดุร้ายก่อนจะเตรียมเอามาคว้าไหล่ของฉินหลิง
“หากเจ้ากล้าแตะต้องตัวข้า ก็จงเตรียมตัวตายไว้ด้วย!!!” น้ำเสียงเยือกเย็นแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายสังหารทำให้มือที่กำลังคว้าบนไหล่ของฉินหลิงแข็งทืออย่างไม่รู้ตัวทันที
หัวหน้าทหารยามที่กำลังคว้าตัวฉินหลิงรีบคว้ามือกลับมาอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ใช่คนโง่ที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร การที่ชายตรงหน้ากล้าพูดเช่นนั้นย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายมีเบื้องหลังไม่ธรรมดาและไม่ใช่ศิษย์ภายนอกธรรมดาที่เขาสามารถล่วงเกินได้อย่างแน่นอน
“อย่าไปเชื่อมันเจ้าค่ะ คนผู้นี้แม้แต่คะแนนภารกิจยังไม่มีเลย
ท่านอย่าได้ถูกมันหลอกเอาได้” หญิงสาวตัวแทนจากคลังสมบัติรีบเอ่ยบอกทหารยาม
นางหวาดกลัวจิตสังหารของชายหนุ่มตรงหน้าจึงรีบบอกให้ทหารยามรีบจัดการฉินหลิงให้พ้นทาง
“ศิษย์น้องเจ้าเป็นอะไรรึเปล่า?” ถางเฉินซีรีบวิ่งเข้ามาขวางระหว่างฉินหลิงและหัวหน้าทหารยามที่โดนฉินหลิงข่มขู่ไป
ในขณะที่หัวหน้าทหารยามกำลังจะลงมือจัดการฉินหลิงที่ทำให้เขาเสียหน้า
เขากลับเหลือบเห็นรอยปักรูปดอกไม้สีแดงตรงหน้าอกของถางเฉินซีเข้าพอดี
เพี๊ยะ!!!!
เสียงตบดังสนั่นลั่นจนแม้แต่ห้องแลกเปลี่ยนข้างๆยังได้ยิน
ด้วยการทำลายหยกคุ้มกันจึงทำให้ค่ายกลปิดกั้นเสียงถูกเปลี่ยนไปเป็นค่ายกลปิดผนึกพื้นที่แทน
ดังนั้นห้องแลกเปลี่ยนข้างๆต่างก็ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับกำลังเฝ้าดูเรื่องราวในห้องของฉินหลิงอย่างสนุกสนาน
อย่างไรก็ตามเรื่องราวกับตรงกันข้ามทันทีเมื่อหัวหน้าทหารยามที่มีพลังฝึกตนสร้างฐานขั้น5กับตบหน้าหญิงสาวที่เป็นตัวแทนของคลังสมบัติแทนที่จะเป็นชายหนุ่มผู้นั้น
ฮวาเหลียงอวี้เอามือกุมแก้มที่บวมเป้งด้วยสีหน้างุนงง
ไม่ใช่ว่าทหารยามต้องไปจัดการชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์ภายนอกหรอกรึ?
ไม่รอให้หญิงสาวหายสับสน หัวหน้าทหารยามคนเดิมก็ยกมือคำนับฉินหลิงอย่างนอบน้อม
“ข้ารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
ในฐานะตัวแทนของคลังสมบัติข้าจะจัดการหญิงชั่วผู้นี้เอง”
“ทำไม? ไม่ใช่ว่าชายผู้นั้นทำผิดกฎรึ?
ทำไมท่านต้องขอโทษมันด้วย”
ฮวาเหลียงอวี้เอ่ยออกมาพร้อมกับชี้ไปทางฉินหลิงด้วยท่าทีงงงวย
“บิดามันเถอะ!! ศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโส2ใช่คนที่เจ้าจะล่วงเกินได้รึ!” หัวหน้ายามหันมาตวาดใส่หญิงงามที่กำลังเอามือกุมแก้มข้างที่ถูกเขาตบ
เฮือก!!! ตัวแทนที่ทำหน้าแลกเปลี่ยนจากคลังสมบัติรู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมาทันที
ตัวนางที่เป็นเพียงคนจากตระกูลเล็กๆที่เกาะอาศัยทำงานในสำนักขจีไพรสันเพื่อต้องการสนับสนุนด้านทรัพยากรมีหรือจะกล้าท้าทายอำนาจของผู้อาวุโส2ที่ยิ่งใหญ่
แต่ชายหนุ่มตรงหน้ามีเป็นเพียงผู้ฝึกตนก่อตั้งวิญญาณขั้น2ไม่ใช่รึ?
พลังที่เล็กน้อยขนาดนี้จะไปเข้าตาของผู้อาวุโส2ผู้นั้นได้ยังไง
“ไม่! เจ้าต้องโกหก
ไม่มีทางที่เจ้าจะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโส2ได้อย่างแน่นอน เจ้าที่ไม่มีแม้แต่แต้มภารกิจ ไม่มีทางที่เจ้าจะเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้อาวุโสหลักได้”
ฮวาเหลียงอวี้โวยวายออกมาเพราะนางยังคงไม่เชื่อว่าฉินหลิงเป็นศิษย์ของผู้อาวุโส2
อย่างไรก็ตามเมื่อนางเห็นชายหนุ่มตรงหน้าล้วงตราไม้สีแดงออกมาทั้งร่างของนางก็สั่นสะท้าน
แม้แต่เหล่ายามที่ยืนอยู่ต่างตกตะลึงจนแทบไม่เชื่อสายตา
แรงกดดันที่ออกมาจากป้ายไม้สีแดงนั้นราวกับอาญาสวรรค์ทำให้พวกเขารีบคุกเข่าต่อหน้าฉินหลิงอย่างรวดเร็ว
ต่อหน้าตัวแทนผู้อาวุโส2ไม่มีใครกล้าสงสัยอีกต่อไป
ทันใดนั้นเองหัวหน้าทหารยามก็นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เขาได้รับรายงานว่าผู้อาวุโสหลักกว่า5คนที่ประจำอยู่ในสำนักไปรวมตัวกันที่ตีนเขาเพื่อแย่งชิงศิษย์คนหนึ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายผู้นั้นคือชายหนุ่มตรงหน้าเขาอย่างแน่นอน
หญิงสาวที่ทำหน้าแลกเปลี่ยนตกตะลึงจนสลบล้มพับไปทันที
นางคงไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มที่ไม่มีแต้มภารกิจซักคะแนนเดียวคือผู้ที่ถือป้ายตัวแทนของผู้อาวุโสหลักของสำนัก
ความคิดเห็น