ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #149 : ผลกระทบจากแผนการของฉินหลิง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10.68K
      964
      12 ก.พ. 63

    สตรีทั้งสองคนที่ได้ยินคำพูดของฉินหลิงก็รู้สึกหนาวสั่นอย่างไม่รู้ตัว ความคิดของชายผู้นี้ช่างอันตรายยิ่งนัก พวกนางเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านย่อมไม่เคยรู้ทันความคิดของเหล่าขุนนางเจ้าเล่ห์แตกต่างจากฉินหลิงที่เคยปกครองวังหลวงมาด้วยตัวเอง การได้มองดูเหล่าขุนนางสู้รบกันจึงเป็นเหมือนงานอดิเรกอย่างหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

     

    เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการค้า ฉินหลิงก็อดใจไม่ไหวที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวจริงๆทั้งที่ตัวเขาตั้งใจจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับปุถุชนอีกแล้วแท้ๆ

     

    หลังจากพูดคุยกับสตรีทั้งสองเกี่ยวกับการจัดการปัญหาเรื่องผลกระทบจากการที่มีเหลาสุราเปิดใหม่เสร็จ เขาก็ขอตัวเข้าห้องพักเพื่อพักฟื้นร่างกาย หลังจากเดินทางมาหลายสิบวันโดยแทบไม่ได้พัก

     

    การพักฟื้นของผู้ฝึกตนนั้นแตกต่างจากนอนหลับของมนุษย์ทั่วไป การพักผ่อนของผู้บำเพ็ญตนนั้นคือการเข้าฌานเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณที่เขาใช้ไปในระหว่างการเดินทาง ในระหว่างสองเดือนที่ผ่านมาฉินหลิงได้ทดลองใช้ไอวิญญาณในรูปแบบต่างๆจนทำให้เขาสามารถควบคุมพลังของตัวเองได้อย่างใจนึกแต่ก็แลกมาด้วยไอวิญญาณที่สะสมมากว่าครึ่งปีแทบหมดเกลี้ยง

     

    อย่างไรก็ตามไอวิญญาณที่เขาดูดซับมาโดยตลอดต่างถูกเจ้าก้อนหมอกที่เป็นตัวอ่อนกระบี่แย่งชิงไปกว่าครึ่งจึงทำให้พลังวิญญาณที่ฉินหลิงสมควรใช้ได้เหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ถึงแม้เมืองแห่งนี้จะมีพลังวิญญาณมากกว่าแคว้นต้าเหยียนที่เขาจากมาแต่ก็ยังไม่มากพอสำหรับตัวเขาในเวลานี้

     

    และด้วยพลังวิญญาณที่ไม่เพียงพอเช่นนี้จึงทำให้ฉินหลิงเข้าใจทันทีว่าทำไมเหล่าผู้ฝึกตนจึงดูแคลนพื้นที่บริเวณแคว้นต้าเหยียนนัก

     

     หลังจากนั่งบำเพ็ญตนไปหนึ่งคืน พลังวิญญาณที่สูญเสียไปจากการเดินทางหลายวันที่ผ่านมาก็ค่อยๆฟื้นคืนกลับมา ตัวอ่อนกระบี่ก็ไม่ได้แย่งชิงพลังวิญญาณใดๆจากเขาไปอีกจนทำให้ฉินหลิงรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองโชคดี

     

    หลังจากฟื้นพลังวิญญาณเสร็จ ฉินหลิงก็หยิบขวดโอสถที่ลู่ชิงทิ้งไว้ให้ทั้งสองขวดขึ้นมาดูอย่างตั้งใจ ฉินหลิงเองก็ไม่รู้ว่าโอสถทั้งสองคือโอสถอะไร เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ได้เป็นผู้ฝึกตนมาอย่างไม่เหมือนใคร เขารู้เพียงว่าขวดที่มีหลายเม็ดย่อมเป็นโอสถระดับสามและโอสถระดับสี่นั้นมีอยู่เม็ดเดียว

     

    ฉินหลิงลังเลอยู่ในใจว่าตัวเขาสมควรกินโอสถที่อยู่ในขวดรึไม่?

     

    สุดท้ายแล้วฉินหลิงก็ตัดสินใจที่จะกินโอสถระดับสามเพื่อหวังว่าจะก้าวหน้าในหนทางการฝึกตนบ้าง! หากผู้ฝึกตนคนใดมาเห็นฉินหลิงตัดสินใจตัดผ่านระดับต่อไปทั้งที่พึ่งฝึกตนได้ไม่ถึงปีคงสร้างเรื่องแตกตื่นแก่โลกบำเพ็ญเพียรอย่างแน่นอน เพราะผู้ฝึกตนมักจะใช้เวลาไม่น้อยกว่าสามปีเพื่อปรับตัวหลังจากกลายเป็นผู้ฝึกตนก่อนจะเริ่มตัดผ่านไปยังก่อตั้งวิญญาณขั้นสอง

     

    ก่อนฉินหลิงจะเก็บตัวฝึกตน เขาก็ไปบอกชิงชิงว่าตัวเขาเหมาที่พักชั้นสามทั้งหมดและห้ามให้ใครมารบกวนเด็ดขาดพร้อมทั้งโยนทองไปก้อนหนึ่ง

     

    ชิงชิงที่เตรียมปฏิเสธก็เห็นสีหน้าจริงจังของฉินหลิงจึงทำให้นางพยักหน้าเบาๆและวิ่งลงไปแจ้งเจ้าของโรงเตี๊ยม

     

    หลังจากกลับเข้ามาในภายในห้องพักที่ไม่ใหญ่มาก ฉินหลิงก็กางพลังวิญญาณที่มีกลิ่นอายของเคล็ดวิชาโลหิตให้ครอบคลุมรอบห้องก่อนจะเทโอสถสีแดงออกมาลงในมือ กลิ่นหอมสมุนไพรลอยฟุ้งออกมาจากเม็ดยาบนฝ่ามือของฉินหลิงไปทั่วทั้งห้อง หากไม่เพราะเขากางพลังวิญญาณไว้คงทำให้เกิดคลื่นแพร่กระจายไปรอบเมืองอย่างแน่นอน

     

    หลังจากพิจารณาเม็ดยาปริศนาอยู่ชั่วครู่ เขาจึงกลืนลงไปอย่างไม่ลังเล หนทางการเป็นผู้ฝึกตนย่อมต้องกล้าเสี่ยง ตัวเขาที่ตั้งใจจะนำพาถานอวี้จี้กลับมาจากโลกหยินย่อมต้องทำทุกหนทางเพื่อให้ได้มาซึ่งความแข็งแกร่ง

     

    โอสถสีชาดละลายและเปลี่ยนเป็นละอองทันทีเมื่อถูกส่งเข้าปาก กลิ่นหอมชื่นแพร่กระจายไปทั่วร่างกายในขณะเดียวกันไอวิญญาณก็ค่อยๆปะทุขึ้นก่อนจะระเบิดออกอย่างรวดเร็วจนฉินหลิงไม่ทันตั้งตัว

     

    พลังปราณวิญญาณมหาศาลเกินกว่าฉินหลิงจะรับไหวถูกระเบิดภายในร่างของเขา ฉินหลิงฝึกตนด้วยตัวเองโดยไม่มีใครสั่งสอนมาก่อนจึงทำให้เขาไม่เข้าใจถึงวิธีหมุนเวียนปราณวิญญาณเมื่อครั้งกินเม็ดยาโอสถเข้าไป

     

    ตัวอ่อนกระบี่ที่ราวกับจำศีลในตันเถียนของฉินหลิงก็ถูกปลุกขึ้นเมื่อเห็นคลื่นพลังปราณมากมายอยู่ภายในร่างกายชายหนุ่ม

     

    ราวกับได้พบอาหารเลิศรส ตัวอ่อนกระบี่รีบแปลงสภาพจากหมอกควันกลายเป็นเหมือนทุ่งหญ้าหนามที่แหลมคมคอยวิ่งไปดูดซับพลังปราณที่เอ่อล้นออกมาตามร่างกายฉินหลิง

     

    ฉินหลิงเองก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนที่ของตัวอ่อนกระบี่ที่เคลื่อนออกจากตันเถียน เขาจึงรีบโคจรไอวิญญาณให้เดินทางไปตามเส้นทางของตัวอ่อนกระบี่ที่หมุนเวียนไปตามชีพจรจุดต่างๆ การเคลื่อนที่ของตัวอ่อนดูเหมือนไม่เป็นระเบียบแต่มันกลับทำให้พลังปราณที่ออกมาจากเม็ดยาโอสถเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบอย่างน่าอัศจรรย์

     

    ในขณะที่ฉินหลิงกำลังเก็บตัวฝึกตน เหล่าผู้ที่เดือดร้อนจากการกระทำของขุนนางที่มาเปิดเหลาสุราแข่งกับพวกเขาก็รวมตัวกันโดยมีสามีของเถ้าแก่เนี้ยจากโรงเตี๊ยมของฉินหลิงเป็นแกนนำอธิบายถึงสิ่งที่เมียเขาพูดออกมาตามที่แขกหนุ่มผู้หนึ่งเคยพูดออกมา

     

    ในคราแรกเถ้าแก่ร้านที่เมามายอยู่นอกร้านก็ตื่นตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เมียของเขาเอ่ยอธิบายตามที่ฉินหลิงเคยเล่าออกมา จนทำให้เขาพุ่งเข้าไปเพื่อขอคำอธิบายแก่ฉินหลิงเพิ่ม แต่เมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มผู้นั้นไม่ต้องการให้ใครเข้ามารบกวน เขาจึงทำได้เพียงระงับความอยากรู้และรวบรวมพันธมิตรตามคำแนะนำที่เถ้าแก่เนี้ยได้เคยเอ่ยออกมา

     

    เมื่อรวบรวมผู้คนที่เดือดร้อนจากการกระทำของเหลาสุราที่มาเปิดใหม่ พันธมิตรกลุ่มนี้ก็เดินทางไปหาขุนนางระดับสูงคนหนึ่งเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งขุนนางผู้นี้คือคนที่ไม่ถูกและเป็นฝ่ายตรงข้ามกับขุนนางผู้เป็นเจ้าของเบื้องหลังของเจ้าของเหลาสุรา

     

    หลังจากได้ยินเรื่องราวทุกข์ร้อนของชาวบ้าน ดวงตาของขุนนางผู้นั้นก็เปล่งประกาย  เขารับรู้ได้อย่างรวดเร็วถึงหนทางในการกำจัดศัตรูทางการเมือง ในขณะเดียวกันเขาก็สงสัยว่าทำไมเหล่าชาวบ้านถึงสามารถคิดอ่านได้ลึกซึ้งนักทั้งที่มันสมควรจะเป็นเพียงเรื่องการแข่งขันทางการค้าเท่านั้น

     

    การได้ฟังคำแนะนำของชาวบ้านถึงจำนวนภาษีที่ทางการจะได้รับน้อยลงเพราะมีขุนนางเข้ามาแทรกแซงก็ทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกอยู่ส่วนหนึ่งแต่เรื่องทั้งหมดมันเป็นประโยชน์แก่ตัวเขา จึงทำให้เขาไม่ได้เอ่ยถามอะไรแก่เหล่าชาวบ้านมากความนักและรับปากว่าจะไปทูลเรื่องดังกล่าวต่อฝ่าบาทให้

     

    ภายในท้องพระโรง เหล่าขุนนางทั้งสองฝ่ายต่างก็โต้เถียงกันเมื่อเรื่องการเปิดโรงเตี๊ยมเข้ามามีผลต่อภาษีบ้านเมือง

     

    ถึงแม้การเปิดโรงเตี๊ยมของขุนนางจะไม่ได้ผิดระเบียบใดๆก็ตาม แต่เมื่อนึกถึงคนจำนวนมากที่เดือดร้อนรวมทั้งภาษีที่ทางการสมควรได้ก็ลดลงจึงทำให้ฮ่องเต้เอนเอียงมาทางชาวบ้าน

     

    ในยุคสมัยที่ต้องเอนเอียงไปตามการตัดสินใจของประมุขแห่งแคว้น เหล่าขุนนางที่ลงทุนลงแรงไปกับการเปิดโรงเตี๊ยมจำต้องก้มหัวยอมรับด้วยความรู้สึกอยุติธรรม เพราะอย่างไรแม้แต่ชายผู้เป็นฮ่องเต้ก็ยังไม่อาจละในความโลภของสิ่งที่เรียกว่าทรัพย์สมบัติได้

     

    เมื่อโดนบังคับให้ปิดเหลาสุรา ขุนนางที่เป็นเบื้องหลังก็สูญเสียเงินลงทุนไปเป็นจำนวนมาก ความโกรธแค้นที่บังตาจึงทำให้เขาหลงผิดไปและสั่งงานราชการผิดพลาดไปหลายอย่างจนเกิดเป็นผลกระทบในวงกว้าง

     

    การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวราวกับเป็นการตอกฝาโลงของตัวเอง เมื่อมีข้ออ้างขุนนางอีกฝ่ายก็โจมตีอย่างรวดเร็ว

     

    จากแผนการอันเรียบง่ายของฉินหลิงกลับทำลายขุนนางกลุ่มหนึ่งได้อย่างง่ายดายอยู่เหนือการเข้าใจของเหล่าชาวบ้านอย่างยิ่ง

     

    หลังจากนั้นไม่กี่วันเหลาสุราชื่อดังที่ขายอาหารถูกกว่าร้านอื่นๆก็ปิดตัวลง ถึงแม้จะมีผู้คนออกมาโวยวายอยู่บ้างแต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาไม่กี่วันเท่านั้น

     

    เหตุการณ์ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เหลาสุราร้านอื่นๆก็กลับมาคึกคักเช่นเดิม

     

    ขุนนางที่สูญเสียอำนาจไปก็ถูกลงโทษและตำแหน่งลดลงจนทำให้เขาอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี เมื่อเรารุ่งโรจน์ก็มีคนคอยยกย่องให้เกียรติ แต่ทันทีเมื่อเราตกต่ำแม้แต่มิตรสหายที่เคยดีต่อกันก็เปลี่ยนไป เหล่าขุนนางที่คาดหวังความร่ำรวยจากผลกำไรจากเหลาสุรานั้นต่างหมดตัวลง แม้แต่ศักดิ์ฐานะก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

     

    สุดท้ายพวกเขาก็ใช้เงินก้อนสุดท้ายสืบจนทราบว่าเป็นกลุ่มคนจากโรงเตี๊ยมเก่าๆแห่งหนึ่งที่เป็นตัวการทำให้พวกเขาต้องล้มเหลวเช่นนี้ แต่เมื่อนึกถึงอำนาจที่เหลือเพียงน้อยนิด หากเขายังแส่หาความตายกับหาเรื่องชาวบ้านอีก ชีวิตต่อจากนี้คงจบลงอย่างอนาถ

     

    แต่ความแค้นที่มีอยู่ทำให้เขาอดกลั้นไม่ไหวและตัดสินใจไปยังหุบเขาแห่งหนึ่งเพื่อขอร้องเซียนผู้หนึ่งโดยแลกเปลี่ยนกับข้อเสนอบางอย่าง

     

    ในแคว้นแห่งนี้มีเทพเซียนคอยดูแลอยู่ท่านหนึ่ง ว่ากันว่าเขามีอายุหลายร้อยปีโดยใช้ชีวิตอย่างสันโดษท่ามกลางหุบเขา มีผู้คนมากมายเขาได้กราบคารวะเพื่อขอพรมากมาย แต่อย่างไรก็ตามคำปรารถนาบางอย่างจะต้องแลกเปลี่ยนกับบางสิ่งเท่าเทียมกัน

     

    หัวหน้ากลุ่มขุนนางที่สิ้นหวังจึงตัดสินใจไปขอร้องเทพเซียนผู้นั้นเพื่อหวังให้เขาแก้แค้นแม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม

     

    ขณะเดียวกันนับตั้งแต่ฉินหลิงเก็บตัวฝ่าพลังก็ผ่านมากว่าหนึ่งอาทิตย์แล้ว ถึงแม้จะมีคนสงสัยอยู่บางว่าทำไมเขาถึงไม่ออกมาเลยแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปแม้แต่เถ้าแก่ร้านที่กลับมาทำงานเช่นเดิม

     

    อย่างไรก็ตามในวันที่สิบหลังจากการกักตนบำเพ็ญเพียรของฉินหลิงเสียงเคาะประตูก็กระหน่ำขึ้นจนทำให้ฉินหลิงต้องออกจากการฝึกตนพร้อมอารมณ์หงุดหงิด

     

    ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึว่าห้ามใครรบกวน!!!” ฉินหลิงเปิดประตูพร้อมตวาดออกไป การถูกขัดขวางระหว่างบำเพ็ญตนย่อมอาจทำให้เกิดผลกระทบได้เป็นอย่างมากดังนั้นฉินหลิงจึงรู้สึกโกรธเคืองมาก

     

    อย่างไรก็ตามแทนที่จะเห็นหนึ่งในคนดูแลที่คอยดูโรงเตี๊ยม ฉินหลิงกลับเห็นเพียงเด็กน้อยสามคนยืนร้องสะอื้นเสียงดังอยู่หน้าห้องพร้อมกับท่าทางหวาดกลัว

     

    ฉินหลิงจึงรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีก่อนจะเอ่ยถามเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เกิดอะไรขึ้น?”

     

    ทะ...ท่านแม่ ท่านแม่ถูกคนพาตัวไป แงๆๆๆ

     

    ฮือๆๆๆ ท่านลุง ช่วยแม่ของข้าด้วย

     

    พวกมันจับแม่ของข้าไป พวกมันเป็นโจรชั่ว ท่านพ่อถูกตีจนไม่รู้สึกตัวแล้ว

     

    เด็กน้อยทั้งสามพูดตีกันไปมาจนฉินหลิงสับสนแต่ก็พอจับใจความได้ว่าสตรีทั้งสองโดนลักพาตัวไป แต่เขายิ่งสงสัยและไม่เข้าใจว่าทำไมโจรถึงกล้ากระทำการอุกอาจแถวเมืองใหญ่เช่นนี้ได้

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×