คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #149 : ผลกระทบจากแผนการของฉินหลิง
สตรีทั้งสองคนที่ได้ยินคำพูดของฉินหลิงก็รู้สึกหนาวสั่นอย่างไม่รู้ตัว
ความคิดของชายผู้นี้ช่างอันตรายยิ่งนัก
พวกนางเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านย่อมไม่เคยรู้ทันความคิดของเหล่าขุนนางเจ้าเล่ห์แตกต่างจากฉินหลิงที่เคยปกครองวังหลวงมาด้วยตัวเอง
การได้มองดูเหล่าขุนนางสู้รบกันจึงเป็นเหมือนงานอดิเรกอย่างหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการค้า
ฉินหลิงก็อดใจไม่ไหวที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวจริงๆทั้งที่ตัวเขาตั้งใจจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับปุถุชนอีกแล้วแท้ๆ
หลังจากพูดคุยกับสตรีทั้งสองเกี่ยวกับการจัดการปัญหาเรื่องผลกระทบจากการที่มีเหลาสุราเปิดใหม่เสร็จ
เขาก็ขอตัวเข้าห้องพักเพื่อพักฟื้นร่างกาย
หลังจากเดินทางมาหลายสิบวันโดยแทบไม่ได้พัก
การพักฟื้นของผู้ฝึกตนนั้นแตกต่างจากนอนหลับของมนุษย์ทั่วไป
การพักผ่อนของผู้บำเพ็ญตนนั้นคือการเข้าฌานเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณที่เขาใช้ไปในระหว่างการเดินทาง
ในระหว่างสองเดือนที่ผ่านมาฉินหลิงได้ทดลองใช้ไอวิญญาณในรูปแบบต่างๆจนทำให้เขาสามารถควบคุมพลังของตัวเองได้อย่างใจนึกแต่ก็แลกมาด้วยไอวิญญาณที่สะสมมากว่าครึ่งปีแทบหมดเกลี้ยง
อย่างไรก็ตามไอวิญญาณที่เขาดูดซับมาโดยตลอดต่างถูกเจ้าก้อนหมอกที่เป็นตัวอ่อนกระบี่แย่งชิงไปกว่าครึ่งจึงทำให้พลังวิญญาณที่ฉินหลิงสมควรใช้ได้เหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ถึงแม้เมืองแห่งนี้จะมีพลังวิญญาณมากกว่าแคว้นต้าเหยียนที่เขาจากมาแต่ก็ยังไม่มากพอสำหรับตัวเขาในเวลานี้
และด้วยพลังวิญญาณที่ไม่เพียงพอเช่นนี้จึงทำให้ฉินหลิงเข้าใจทันทีว่าทำไมเหล่าผู้ฝึกตนจึงดูแคลนพื้นที่บริเวณแคว้นต้าเหยียนนัก
หลังจากนั่งบำเพ็ญตนไปหนึ่งคืน
พลังวิญญาณที่สูญเสียไปจากการเดินทางหลายวันที่ผ่านมาก็ค่อยๆฟื้นคืนกลับมา
ตัวอ่อนกระบี่ก็ไม่ได้แย่งชิงพลังวิญญาณใดๆจากเขาไปอีกจนทำให้ฉินหลิงรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองโชคดี
หลังจากฟื้นพลังวิญญาณเสร็จ
ฉินหลิงก็หยิบขวดโอสถที่ลู่ชิงทิ้งไว้ให้ทั้งสองขวดขึ้นมาดูอย่างตั้งใจ
ฉินหลิงเองก็ไม่รู้ว่าโอสถทั้งสองคือโอสถอะไร เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ได้เป็นผู้ฝึกตนมาอย่างไม่เหมือนใคร เขารู้เพียงว่าขวดที่มีหลายเม็ดย่อมเป็นโอสถระดับสามและโอสถระดับสี่นั้นมีอยู่เม็ดเดียว
ฉินหลิงลังเลอยู่ในใจว่าตัวเขาสมควรกินโอสถที่อยู่ในขวดรึไม่?
สุดท้ายแล้วฉินหลิงก็ตัดสินใจที่จะกินโอสถระดับสามเพื่อหวังว่าจะก้าวหน้าในหนทางการฝึกตนบ้าง!
หากผู้ฝึกตนคนใดมาเห็นฉินหลิงตัดสินใจตัดผ่านระดับต่อไปทั้งที่พึ่งฝึกตนได้ไม่ถึงปีคงสร้างเรื่องแตกตื่นแก่โลกบำเพ็ญเพียรอย่างแน่นอน
เพราะผู้ฝึกตนมักจะใช้เวลาไม่น้อยกว่าสามปีเพื่อปรับตัวหลังจากกลายเป็นผู้ฝึกตนก่อนจะเริ่มตัดผ่านไปยังก่อตั้งวิญญาณขั้นสอง
ก่อนฉินหลิงจะเก็บตัวฝึกตน
เขาก็ไปบอกชิงชิงว่าตัวเขาเหมาที่พักชั้นสามทั้งหมดและห้ามให้ใครมารบกวนเด็ดขาดพร้อมทั้งโยนทองไปก้อนหนึ่ง
ชิงชิงที่เตรียมปฏิเสธก็เห็นสีหน้าจริงจังของฉินหลิงจึงทำให้นางพยักหน้าเบาๆและวิ่งลงไปแจ้งเจ้าของโรงเตี๊ยม
หลังจากกลับเข้ามาในภายในห้องพักที่ไม่ใหญ่มาก
ฉินหลิงก็กางพลังวิญญาณที่มีกลิ่นอายของเคล็ดวิชาโลหิตให้ครอบคลุมรอบห้องก่อนจะเทโอสถสีแดงออกมาลงในมือ
กลิ่นหอมสมุนไพรลอยฟุ้งออกมาจากเม็ดยาบนฝ่ามือของฉินหลิงไปทั่วทั้งห้อง
หากไม่เพราะเขากางพลังวิญญาณไว้คงทำให้เกิดคลื่นแพร่กระจายไปรอบเมืองอย่างแน่นอน
หลังจากพิจารณาเม็ดยาปริศนาอยู่ชั่วครู่ เขาจึงกลืนลงไปอย่างไม่ลังเล
หนทางการเป็นผู้ฝึกตนย่อมต้องกล้าเสี่ยง ตัวเขาที่ตั้งใจจะนำพาถานอวี้จี้กลับมาจากโลกหยินย่อมต้องทำทุกหนทางเพื่อให้ได้มาซึ่งความแข็งแกร่ง
โอสถสีชาดละลายและเปลี่ยนเป็นละอองทันทีเมื่อถูกส่งเข้าปาก
กลิ่นหอมชื่นแพร่กระจายไปทั่วร่างกายในขณะเดียวกันไอวิญญาณก็ค่อยๆปะทุขึ้นก่อนจะระเบิดออกอย่างรวดเร็วจนฉินหลิงไม่ทันตั้งตัว
พลังปราณวิญญาณมหาศาลเกินกว่าฉินหลิงจะรับไหวถูกระเบิดภายในร่างของเขา
ฉินหลิงฝึกตนด้วยตัวเองโดยไม่มีใครสั่งสอนมาก่อนจึงทำให้เขาไม่เข้าใจถึงวิธีหมุนเวียนปราณวิญญาณเมื่อครั้งกินเม็ดยาโอสถเข้าไป
ตัวอ่อนกระบี่ที่ราวกับจำศีลในตันเถียนของฉินหลิงก็ถูกปลุกขึ้นเมื่อเห็นคลื่นพลังปราณมากมายอยู่ภายในร่างกายชายหนุ่ม
ราวกับได้พบอาหารเลิศรส ตัวอ่อนกระบี่รีบแปลงสภาพจากหมอกควันกลายเป็นเหมือนทุ่งหญ้าหนามที่แหลมคมคอยวิ่งไปดูดซับพลังปราณที่เอ่อล้นออกมาตามร่างกายฉินหลิง
ฉินหลิงเองก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนที่ของตัวอ่อนกระบี่ที่เคลื่อนออกจากตันเถียน
เขาจึงรีบโคจรไอวิญญาณให้เดินทางไปตามเส้นทางของตัวอ่อนกระบี่ที่หมุนเวียนไปตามชีพจรจุดต่างๆ
การเคลื่อนที่ของตัวอ่อนดูเหมือนไม่เป็นระเบียบแต่มันกลับทำให้พลังปราณที่ออกมาจากเม็ดยาโอสถเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบอย่างน่าอัศจรรย์
ในขณะที่ฉินหลิงกำลังเก็บตัวฝึกตน
เหล่าผู้ที่เดือดร้อนจากการกระทำของขุนนางที่มาเปิดเหลาสุราแข่งกับพวกเขาก็รวมตัวกันโดยมีสามีของเถ้าแก่เนี้ยจากโรงเตี๊ยมของฉินหลิงเป็นแกนนำอธิบายถึงสิ่งที่เมียเขาพูดออกมาตามที่แขกหนุ่มผู้หนึ่งเคยพูดออกมา
ในคราแรกเถ้าแก่ร้านที่เมามายอยู่นอกร้านก็ตื่นตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เมียของเขาเอ่ยอธิบายตามที่ฉินหลิงเคยเล่าออกมา
จนทำให้เขาพุ่งเข้าไปเพื่อขอคำอธิบายแก่ฉินหลิงเพิ่ม
แต่เมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มผู้นั้นไม่ต้องการให้ใครเข้ามารบกวน
เขาจึงทำได้เพียงระงับความอยากรู้และรวบรวมพันธมิตรตามคำแนะนำที่เถ้าแก่เนี้ยได้เคยเอ่ยออกมา
เมื่อรวบรวมผู้คนที่เดือดร้อนจากการกระทำของเหลาสุราที่มาเปิดใหม่
พันธมิตรกลุ่มนี้ก็เดินทางไปหาขุนนางระดับสูงคนหนึ่งเพื่อขอความช่วยเหลือ
ซึ่งขุนนางผู้นี้คือคนที่ไม่ถูกและเป็นฝ่ายตรงข้ามกับขุนนางผู้เป็นเจ้าของเบื้องหลังของเจ้าของเหลาสุรา
หลังจากได้ยินเรื่องราวทุกข์ร้อนของชาวบ้าน
ดวงตาของขุนนางผู้นั้นก็เปล่งประกาย เขารับรู้ได้อย่างรวดเร็วถึงหนทางในการกำจัดศัตรูทางการเมือง
ในขณะเดียวกันเขาก็สงสัยว่าทำไมเหล่าชาวบ้านถึงสามารถคิดอ่านได้ลึกซึ้งนักทั้งที่มันสมควรจะเป็นเพียงเรื่องการแข่งขันทางการค้าเท่านั้น
การได้ฟังคำแนะนำของชาวบ้านถึงจำนวนภาษีที่ทางการจะได้รับน้อยลงเพราะมีขุนนางเข้ามาแทรกแซงก็ทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกอยู่ส่วนหนึ่งแต่เรื่องทั้งหมดมันเป็นประโยชน์แก่ตัวเขา จึงทำให้เขาไม่ได้เอ่ยถามอะไรแก่เหล่าชาวบ้านมากความนักและรับปากว่าจะไปทูลเรื่องดังกล่าวต่อฝ่าบาทให้
ภายในท้องพระโรง
เหล่าขุนนางทั้งสองฝ่ายต่างก็โต้เถียงกันเมื่อเรื่องการเปิดโรงเตี๊ยมเข้ามามีผลต่อภาษีบ้านเมือง
ถึงแม้การเปิดโรงเตี๊ยมของขุนนางจะไม่ได้ผิดระเบียบใดๆก็ตาม
แต่เมื่อนึกถึงคนจำนวนมากที่เดือดร้อนรวมทั้งภาษีที่ทางการสมควรได้ก็ลดลงจึงทำให้ฮ่องเต้เอนเอียงมาทางชาวบ้าน
ในยุคสมัยที่ต้องเอนเอียงไปตามการตัดสินใจของประมุขแห่งแคว้น
เหล่าขุนนางที่ลงทุนลงแรงไปกับการเปิดโรงเตี๊ยมจำต้องก้มหัวยอมรับด้วยความรู้สึกอยุติธรรม
เพราะอย่างไรแม้แต่ชายผู้เป็นฮ่องเต้ก็ยังไม่อาจละในความโลภของสิ่งที่เรียกว่าทรัพย์สมบัติได้
เมื่อโดนบังคับให้ปิดเหลาสุรา
ขุนนางที่เป็นเบื้องหลังก็สูญเสียเงินลงทุนไปเป็นจำนวนมาก ความโกรธแค้นที่บังตาจึงทำให้เขาหลงผิดไปและสั่งงานราชการผิดพลาดไปหลายอย่างจนเกิดเป็นผลกระทบในวงกว้าง
การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวราวกับเป็นการตอกฝาโลงของตัวเอง
เมื่อมีข้ออ้างขุนนางอีกฝ่ายก็โจมตีอย่างรวดเร็ว
จากแผนการอันเรียบง่ายของฉินหลิงกลับทำลายขุนนางกลุ่มหนึ่งได้อย่างง่ายดายอยู่เหนือการเข้าใจของเหล่าชาวบ้านอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นไม่กี่วันเหลาสุราชื่อดังที่ขายอาหารถูกกว่าร้านอื่นๆก็ปิดตัวลง
ถึงแม้จะมีผู้คนออกมาโวยวายอยู่บ้างแต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาไม่กี่วันเท่านั้น
เหตุการณ์ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เหลาสุราร้านอื่นๆก็กลับมาคึกคักเช่นเดิม
ขุนนางที่สูญเสียอำนาจไปก็ถูกลงโทษและตำแหน่งลดลงจนทำให้เขาอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
เมื่อเรารุ่งโรจน์ก็มีคนคอยยกย่องให้เกียรติ แต่ทันทีเมื่อเราตกต่ำแม้แต่มิตรสหายที่เคยดีต่อกันก็เปลี่ยนไป
เหล่าขุนนางที่คาดหวังความร่ำรวยจากผลกำไรจากเหลาสุรานั้นต่างหมดตัวลง แม้แต่ศักดิ์ฐานะก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
สุดท้ายพวกเขาก็ใช้เงินก้อนสุดท้ายสืบจนทราบว่าเป็นกลุ่มคนจากโรงเตี๊ยมเก่าๆแห่งหนึ่งที่เป็นตัวการทำให้พวกเขาต้องล้มเหลวเช่นนี้
แต่เมื่อนึกถึงอำนาจที่เหลือเพียงน้อยนิด
หากเขายังแส่หาความตายกับหาเรื่องชาวบ้านอีก ชีวิตต่อจากนี้คงจบลงอย่างอนาถ
แต่ความแค้นที่มีอยู่ทำให้เขาอดกลั้นไม่ไหวและตัดสินใจไปยังหุบเขาแห่งหนึ่งเพื่อขอร้องเซียนผู้หนึ่งโดยแลกเปลี่ยนกับข้อเสนอบางอย่าง
ในแคว้นแห่งนี้มีเทพเซียนคอยดูแลอยู่ท่านหนึ่ง
ว่ากันว่าเขามีอายุหลายร้อยปีโดยใช้ชีวิตอย่างสันโดษท่ามกลางหุบเขา
มีผู้คนมากมายเขาได้กราบคารวะเพื่อขอพรมากมาย แต่อย่างไรก็ตามคำปรารถนาบางอย่างจะต้องแลกเปลี่ยนกับบางสิ่งเท่าเทียมกัน
หัวหน้ากลุ่มขุนนางที่สิ้นหวังจึงตัดสินใจไปขอร้องเทพเซียนผู้นั้นเพื่อหวังให้เขาแก้แค้นแม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
ขณะเดียวกันนับตั้งแต่ฉินหลิงเก็บตัวฝ่าพลังก็ผ่านมากว่าหนึ่งอาทิตย์แล้ว
ถึงแม้จะมีคนสงสัยอยู่บางว่าทำไมเขาถึงไม่ออกมาเลยแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปแม้แต่เถ้าแก่ร้านที่กลับมาทำงานเช่นเดิม
อย่างไรก็ตามในวันที่สิบหลังจากการกักตนบำเพ็ญเพียรของฉินหลิงเสียงเคาะประตูก็กระหน่ำขึ้นจนทำให้ฉินหลิงต้องออกจากการฝึกตนพร้อมอารมณ์หงุดหงิด
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึว่าห้ามใครรบกวน!!!” ฉินหลิงเปิดประตูพร้อมตวาดออกไป การถูกขัดขวางระหว่างบำเพ็ญตนย่อมอาจทำให้เกิดผลกระทบได้เป็นอย่างมากดังนั้นฉินหลิงจึงรู้สึกโกรธเคืองมาก
อย่างไรก็ตามแทนที่จะเห็นหนึ่งในคนดูแลที่คอยดูโรงเตี๊ยม
ฉินหลิงกลับเห็นเพียงเด็กน้อยสามคนยืนร้องสะอื้นเสียงดังอยู่หน้าห้องพร้อมกับท่าทางหวาดกลัว
ฉินหลิงจึงรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีก่อนจะเอ่ยถามเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ทะ...ท่านแม่ ท่านแม่ถูกคนพาตัวไป แงๆๆๆ”
“ฮือๆๆๆ ท่านลุง ช่วยแม่ของข้าด้วย”
“พวกมันจับแม่ของข้าไป พวกมันเป็นโจรชั่ว ท่านพ่อถูกตีจนไม่รู้สึกตัวแล้ว”
เด็กน้อยทั้งสามพูดตีกันไปมาจนฉินหลิงสับสนแต่ก็พอจับใจความได้ว่าสตรีทั้งสองโดนลักพาตัวไป
แต่เขายิ่งสงสัยและไม่เข้าใจว่าทำไมโจรถึงกล้ากระทำการอุกอาจแถวเมืองใหญ่เช่นนี้ได้
ความคิดเห็น