คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #150 : หุบเขาเซียน
หลังจากปลอบเด็กน้อยทั้งสามที่กำลังร้องไห้จนสงบลง
ฉินหลิงจึงเอ่ยถามหลายๆอย่าง แต่ด้วยสภาพจิตใจที่ยังคงตื่นตกใจอยู่จึงทำให้เขารับรู้อะไรไม่ได้มากและทราบเพียงแค่ว่ามารดาทั้งสองของเด็กน้อยทั้งสามถูกจับตัวไปในตอนที่ฉินหลิงกำลังเก็บตัวบำเพ็ญตนอยู่ในห้อง
“บิดาของเจ้าล่ะ?” ฉินหลิงเอ่ยขึ้นมาเมื่อได้ยินว่าพ่อของเด็กน้อยทั้งสองผู้เป็นเถ้าแก่ร้านถูกทำร้ายจนไม่ได้สติ
“พ่ออยู่ด้านล่างท่านหมอกำลังดูอาการอยู่
ท่านลุงได้โปรดช่วยแม่ข้าด้วยขอรับ”
ฉินหลิงขมวดคิ้วแน่นก่อนจะพยักหน้าเบาๆและเดินลงด้านล่างโรงเตี๊ยมไปพร้อมกับกลุ่มเด็กทั้งสามเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
อย่างไรก็ตามเมื่อฉินหลิงลงมาถึง เขาก็พบกลุ่มคนจำนวนมากมุงดูชายผู้หนึ่งที่เต็มไปด้วยหนวดเครานอนหลับไม่ได้สติพร้อมกับผ้าพันศีรษะที่ย้อมไปด้วยเลือด
ท่ามกลางกลุ่มคนจำนวนมากที่มีอยู่
มีชายชราผู้หนึ่งกำลังทำท่าทางจับชีพจรของชายผู้นี้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ยังถือว่าโชคดีนัก เขาเพียงแค่หัวแตกและกระดูกซี่โครงหักเท่านั้น
กินยาซักสองสามเทียบก็คงอาการดีขึ้น แต่คงเคลื่อนไหวไม่ได้ซักสองสามเดือน”
“น่าสงสารจริงๆ อาหวังหนออาหวัง
ทำไมถึงโชคร้ายเพียงนี้”
“จอมยุทธพวกนั้นก็ช่างเกินไปจริงๆ
กลางตลาดแท้ๆยังกล้าลักพาตัวคนไปอีก ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองเลยรึยังไง”
“เจ้าโง่ จอมยุทธพวกนั้นเป็นคนของท่านผู้นั้น
เจ้าพูดพล่อยๆออกมาระวังตายไม่รู้ตัว”
“ทำไมท่านผู้นั้นถึงคิดจับตัวสตรีไร้ทางสู้ไปล่ะ”
“เรื่องนี้แม้แต่ทางการยังคงทำเป็นมองไม่เห็นอย่างแน่นอน”
“ช่างสงสารเด็กน้อยทั้งสามยิ่งนักที่ต้องมาไร้แม่เช่นนี้”
เหล่าชาวบ้านต่างพูดคุยกันเสียงดังจนไม่ได้สังเกตเห็นฉินหลิงและกลุ่มเด็กน้อย
“แม่ข้าต้องไม่เป็นไร
ท่านลุงรับปากจะช่วยข้าแล้ว ท่านลุงต้องเอาแม่ข้ากลับคืนมาอย่างแน่นอน”
อาไป๋ตะโกนใส่ฝูงชนที่ยืนล้อมเตียงไม้ของเถ้าแก่โรงเตี๊ยม
“ใช่ๆ ท่านลุงต้องช่วยแม่พวกข้าได้แน่”
“พวกเจ้าโกหก แม่ของเราต้องไม่เป็นไรทั้งนั้น”
เด็กอีกสองคนก็ช่วยพูดขึ้นมาด้วยท่าทางไร้เดียงสา
เหล่าชาวบ้านที่เห็นท่าทางของเด็กน้อยทั้งสามก็รู้สึกสงสารก่อนจะหันมามองฉินหลิงและพยายามเอ่ยเตือน
“พ่อหนุ่ม
ทางที่ดีอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จะดีกว่า”
“จอมยุทธที่มาพาตัวเถ้าแก่เนี้ยกับชิงชิงน้อยไปคือคนของหุบเขานั้น”
“ท่านผู้นั้นที่เป็นเจ้าของหุบเขาเขาไม่ใช่คนธรรมดาเช่นพวกเรา
แต่ท่านเป็นเซียนที่มีอิทธิฤทธิ์”
“ใช่ๆ
แค่จอมยุทธที่คอยรับใช้ท่านผู้นั้นก็มีนับสิบแล้ว อย่าหาเรื่องตายเลย”
หลังจากได้ฟังเรื่องราวที่ชาวบ้านพูด
ฉินหลิงก็ยิ่งสับสนกว่าเดิม ทำไมถึงมีผู้ฝึกตนเข้ามาเกี่ยวข้อง
ในโลกแห่งการบ่มเพาะมีข้อจำกัดที่ห้ามผู้ฝคกตนมิให้ไปยุ่งเกี่ยวกับปุถุชน เเล้วทำไมเจ้าของหุบเขาที่ชาวบ้านพูดถึงจึงจับสตรีทั้งสองไป
หรือว่าชิงชิงดันไปถูกตาถูกใจของจอมยุทธที่เป็นลูกน้องของผู้ฝึกตนคนนั้น
แต่หากเป็นเช่นนั้นจอมยุทธพวกนั้นก็น่าจะจับตัวแค่ชิงชิงไม่จำเป็นต้องจับตัวเถ้าแก่เนี้ยไปเลย
“ทำไมท่านเซียนที่อยู่ในหุบเขาที่พวกท่านพูดถึงได้จับตัวชิงชิงและเถ้าแก่เนี้ยไปล่ะขอรับ”
ฉินหลิงเอ่ยถามด้วยความสุภาพ
ด้วยหน้าตาที่หล่อเหลาและท่าทางราวกับเป็นวิญญูชนที่น่านับถือ
เหล่าชาวบ้านต่างเล่าเรื่องต่างๆมากมายไม่ว่าจะเป็นเพราะหน้าตาที่งดงามของชิงชิงได้สะดุดตาจอมยุทธ
หรือว่าเบื้องหลังของเถ้าแก่เนี้ย
เรื่องเล่าส่วนมากล้วนเป็นการพูดขึ้นมามั่วๆตามภาษาของชาวบ้านที่ชอบนินทาเรื่องคนอื่น
แต่สิ่งหนึ่งที่ฉินหลิงรู้สึกเอะใจมากที่สุดคือเรื่องที่เหลาสุราแห่งใหม่ถูกทำลายลงและความแค้นของเหล่าขุนนางที่สูญเสียอำนาจไป
คำแนะนำของฉินหลิงทำให้เหลาสุราที่มาเปิดใหม่ถูกปิดตัวลงย่อมสร้างความแค้นเคืองแก่เหล่าขุนนางที่อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน
และการกระทำของสตรีทั้งสองย่อมต้องทำให้เกิดการแก้แค้น ฉินหลิงที่เคยอยู่ในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมาก่อนย่อมมองเห็นสิ่งที่เหล่าขุนนางพวกนี้คิดได้แจ่มแจ้ง
เพียงแต่เรื่องรางทั้งหมดนั้นจะเกี่ยวข้องกับจอมยุทธที่เป็นเพียงลูกน้องของผู้ฝึกตนคนนั้นหรือจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ฝึกตนผู้คนโดยตรง
เรื่องราวในครั้งนี้ทำให้ฉินหลิงต้องขบคิดให้ละเอียด
ในเวลานี้เขาไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาดั่งเช่นในอดีตอีกแล้ว
ประสบการณ์ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาทำให้ฉินหลิงสุขุมขึ้นและสามารถพินิจสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามคำแนะนำที่ไม่จริงจังของฉินหลิงกลับทำให้เขามีกรรมต่อสตรีทั้งสองอย่างไม่รู้ตัว
ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงกรรมระหว่างเขาและสตรีทั้งสอง
แต่เขากลับรู้สึกได้ชัดเจน
บางทีความรู้สึกนี้อาจจะเป็นผลจากเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬ เคล็ดวิชาที่ฝึกเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่แทบเป็นตำนานของโลกการฝึกตน
การฝึกจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ลี้ลับและไม่มีใครอธิบายได้เพราะข้อมูลต่างๆที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวของการฝึกจิตชนิดนี้นั้นแทบจะไม่มีเหลืออยู่ในโลกแห่งการฝึกตนแล้ว
อย่างไรก็ตามในขณะที่ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวิชาฝึกจิตวิญญาณค่อยๆถูกลบเลือนหายไป
แต่กลับมีหนึ่งสำนักที่สืบทอดเคล็ดวิชาฝึกจิตมาอย่างช้านานโดยที่ไม่มีใครรับรู้
ถึงแม้ฉินหลิงยังไม่รู้ประโยชน์ที่แท้จริงของเคล็ดวิชาจิตวิญญาณทมิฬที่เป็นเพียงคัมภีร์ไม่ไผ่ที่ว่างเปล่าซึ่งอยู่ภายในคัมภีร์หิน
แต่เขารับรู้ว่าของสิ่งนี้ย่อมไม่ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน
ในขณะที่เหล่าชาวบ้านพูดคุยถึงความน่าเกรงขามของเทพเซียน
เด็กน้อยทั้งสามก็เผยสีหน้าหวาดกลัว ความหวังที่จะช่วยมารดาของพวกเขายิ่งเลือนราง
“ไม่ทราบว่าหุบเขาของท่านเซียนผู้นั้นอยู่ที่ใด?” ฉินหลิงเอ่ยถามเหล่าชาวบ้านที่กำลังพูดคุยกัน
เหล่าชาวบ้านต่างพากันหุบปากทันทีเมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่ม
เมื่อเห็นสายตาของชาวบ้าน
ฉินหลิงจึงหัวเราะแห้งๆออกมา “ข้าเพียงหวังว่าจะไปเจรจากับจอมยุทธที่ลักพาตัวแม่นางทั้งสองไป”
ชาวบ้านต่างก็พยักหน้าเข้าใจ
ชายหนุ่มตรงหน้าของพวกเขามีหน้าตาและผิวพรรณที่ดูดีย่อมบ่งบอกได้ว่าชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นเด็กหนุ่มในตระกูลร่ำรวย
ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจว่าฉินหลิงจะนำเงินไปไถ่ถอนแม่นางทั้งสองกลับคืนมา
“ทางเหนือไปราวสามสิบลี้
หุบเขาที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวนั้นแหละคือที่ตั้งของหุบเขาของท่านเซียน”
“เจ้าหนุ่มระวังตัวให้ดีล่ะ
อย่าไปล่วงเกินท่านเซียนเด็ดขาด”
“หากไม่สามารถไถ่ตัวพวกนางก็อย่าเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยง”
ฉินหลิงยิ้มรับความหวังดีของชาวบ้านด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แต่ภายในหัวกำลังคิดแผนการต่างๆเอาไว้
หลังจากได้จ้างหญิงสาวคนหนึ่งให้ดูแลเด็กน้อยทั้งสามและชายผู้เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมที่นอนไม่ได้สติ
ฉินหลิงจึงได้ออกเดินทางขึ้นเหนือ ด้วยระยะทางเพียงสามสิบลี้(15 กม.)
ฉินหลิงใช้เวลาไม่นานก็อยู่เบื้องหน้าหุบเขาแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาที่มีบรรยากาศทำให้รู้สึกสงบ
หุบเขาตรงหน้าของฉินหลิงคือสถานที่เก็บตัวฝึกตนของท่านเซียนตามคำล่ำลือของชาวบ้าน
บรรยากาศโดยรอบดูงดงามและมีไอวิญญาณหนาแน่นมากกว่าพื้นที่โดยรอบจริงๆ เรื่องการมีผู้ฝึกเก็บตัวอยู่ในที่แห่งนี้คงเป็นเรื่องจริง
ในขณะที่ฉินหลิงกำลังเดินเข้าไปข้างในหุบเขา
ชายสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นขวางทางเขาอย่างรวดเร็ว พลังปราณสีฟ้าที่แสดงออกมาทำให้ฉินหลิงรับรู้ว่าทั้งสองคือจอมยุทธขั้นต้น
การที่เอาจอมยุทธมาเฝ้ายามหน้าหุบเขาเช่นนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่ฉินหลิงในอดีตยังทำไม่ได้
“หุบเขาแห่งนี้คือที่บำเพ็ญตนของท่านเซียนห้ามล่วงล้ำเข้าไปเด็ดขาด
เห็นแก่เจ้ายังเป็นเพียงแค่เด็กน้อย จงไสหัวไปไกล อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
จอมยุทธคนหนึ่งเอ่ยออกมาพร้อมกับปล่อยแรงกดดันเพื่อต้องการข่มขู่ชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทางจองหอง
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มผู้นี้กลับมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับแรงกดดันของเขาไม่ส่งผลกระทบใดยิ่งทำให้จอมยุทธทั้งสองรู้สึกโกรธเคือง
ในขณะที่จอมยุทธอีกคนหนึ่งเห็นสถานการณ์ไม่ดี
เขาจึงเตรียมชักอาวุธออกมา
แต่มือที่กำลังจะคว้าดาบที่อยู่ด้านหลังกลับถูกหยุดด้วยมือของเด็กหนุ่ม
ไอปราณของจอมยุทธถูกปล่อยออกมาจากร่างของฉินหลิงจนทำให้จอมยุทธทั้งสองเผยสีหน้าหวาดกลัว
พลังปราณสีดำเข้มจนแทบมองไม่เห็นสีอื่นใดคือพลังที่บ่งบอกถึงระดับจอมยุทธขั้นสูงสุด
แรงกดดันที่ฉินหลิงปล่อยออกมานั้นเป็นพลังของจอมยุทธของแท้
นอกจากการฝึกฝนหนทางแห่งการบำเพ็ญตน
ฉินหลิงก็ยังเป็นจอมยุทธผู้หนึ่งเช่นกัน ในอดีตเขาพัฒนาความสามารถจนถึงขีดจำกัดของพลังยุทธในขอบเขตมนุษย์
เมื่อเทียบกันแล้วแรงกดดันของจอมยุทธขั้นต้นก็เป็นเพียงแรงลมที่ไม่อาจสั่นไหวต้นไม้ใหญ่ดั่งเช่นร่างของฉินหลิงได้
การฝึกฝนของมนุษย์และผู้ฝึกตนนั้นเป็นแนวทางการฝึกที่แตกต่างกัน
มนุษย์นั้นฝึกพลังปราณที่เกิดมาจากภายในร่างกายของตัวเอง
ในขณะที่ผู้ฝึกตนคือผู้ที่นำเอาพลังวิญญาณจากสภาพแวดล้อมเข้ามาภายในร่างกาย
พรสวรรค์ในการฝึกฝนพลังยุทธจนบรรลุเป็นจอมยุทธได้อย่างรวดเร็วนั้นเป็นเพราะสายเลือดที่ทรงพลังจากเผ่าพฤกษา
ในอดีตเขาเคยคิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ แต่เมื่อเขาได้เป็นผู้ฝึกตนและทำความเข้าใจเกี่ยวโลหิตของตัวเอง
เขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าพรสวรรค์การฝึกตนที่แท้จริงของเขาก็คือสายเลือดจากฝั่งมารดานั้นเอง
“จะ...เจ้าต้องการอะไร?” จอมยุทธที่ถูกฉินหลิงกุมมือเอาไว้เอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ
“ข้าต้องการได้รับคำแนะนำจากท่านเซียน”
ฉินหลิงพูดออกมาพร้อมกับท่าทางหยิ่งยโส
จอมยุทธทั้งสองที่ได้คำพูดของฉินหลิงก็รู้สึกโล่งใจ
มีจอมยุทธไม่น้อยที่ต้องการฝึกฝนวิชาเซียน
ดังนั้นพวกเขาจึงยินดีเป็นคนรับใช้ของท่านเซียน
อย่างไรก็ตามเมื่อนึกถึงอายุของเด็กหนุ่มตรงหน้า
พวกเขาทั้งสองก็รู้สึกอิจฉาอย่างช่วยไม่ได้
ใบหน้าของฉินหลิงที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มวัยยี่สิบแต่กลับมีพลังยุทธในระดับสูงสุดของจอมยุทธ
ด้วยศักยภาพเช่นนี้พวกเขาเชื่อว่าฉินหลิงย่อมต้องเตะตาท่านเซียนอย่างแน่นอน
เมื่อได้รู้จุดประสงค์ของฉินหลิง
จอมยุทธทั้งสองก็ผ่อนคลายลง ถึงแม้ฉินหลิงจะเก่งกาจแต่พวกเขาเชื่อว่าชายหนุ่มผู้นี้คงไม่กล้าพอที่จะกระทำการบ้าบิ่นบนหุบเขาที่มีเซียนฝึกวิชาอย่างแน่นอน
“ในเมื่อน้องชายต้องการเข้าร่วมกับพวกเรา
เช่นนั้นก็อย่าได้รอช้า ตามพวกข้ามาเถอะ” จอมยุทธผู้ที่ปล่อยแรงกดดันออกมาตอนแรงก็เอ่ยออกมาด้วยความเป็นมิตร
ความแข็งแกร่งของฉินหลิงนั้นเกินกว่าพวกเขามาก
ดังนั้นพวกเขาจึงคิดนำชายหนุ่มมาเป็นพวกให้ได้
“ขอบคุณพี่ท่านทั้งสอง...เชิญ” ฉินหลิงตอบกลับมาด้วยท่าทีดีกว่าเดิมแต่ยังคงท่าทางหยิ่งยโสเหมือนดั่งคุณชายจากตระกูลใหญ่
ความคิดเห็น