ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF.EXO | R U N ◇ chanbaek / kaido / hunhan

    ลำดับตอนที่ #13 : Underneath the Skin: Chapter 4 | jongin x kyungsoo

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 446
      1
      22 มี.ค. 56

    underneath the skin

    jongin x kyungsoo / r (for soft erotic scenes) / angst , romance

     

     

    *

     

    Chapter 4

     

    กระดาษเอกสารบรรจุด้วยข้อความนับสิบพ่วงด้วยภาพถ่ายอีกนับร้อยถูกวางลงระเกะระกะตามพื้นกระเบื้องหินอ่อน เสียงกดแป้นพิมพ์ดังสนั่นไปทั่วห้องจตุรัสขนาดกว้างที่สร้างไว้สำหรับทำกิจส่วนตัวโดยเฉพาะ แว่นตากรอบบางวางบรรจบสันจมูกโด่งได้รูป แสงจากจอคอมพิวเตอร์สะท้อนเข้ากับดวงตาคมทั้งสองจนสีนิลขลับแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน จุนมยอนไล้ไปตามแป้นพิมพ์อย่างเป็นระบบ ตัวอักษรบนหน้ากระดาษในจอแสดงผลเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง

     

    ความตั้งใจที่จะหาตัวคยองซูนั้นมีมากล้นเหลือแต่นั่นไม่ได้ช่วยให้ภารกิจนี้ง่ายลงเลย เป็นเวลาเดือนหนึ่งเต็ม ๆ ที่โดคยองซูหายตัวไปและเป็นเวลาสามอาทิตย์ที่เขาเริ่มค้นหาตัวชายหนุ่มด้วยความสามารถทั้งหมดที่เขามี จุนมยอนติดต่อคนที่มีประโยชน์ต่องานนี้ทุกคนที่เขาพอจะรู้จัก แม้กระทั่งคนไข้ของเขาที่มีเส้นสายกับกรมตำรวจ เพราะผลบุญที่เขาทำไว้ต่อผู้คนเหล่านั้นหล่ะมั้งที่ทำให้เขาเจอเบาะแสชิ้นสำคัญเข้า

     

    จุนมยอนพยายามสืบเสาะประวัติบรรดาแก๊งมาเฟียทั้งหลายจนสะดุดเข้ากับหัวหน้ามาเฟียแก๊งนี้ ชื่อที่คุ้นหูกันในหมู่คณะคือคริส ส่วนชื่อจริงนั้นไม่มีผู้ใดทราบ จากที่เขารู้มาหัวหน้าแก๊งผู้นี้ใช้นกต่อในการซื้อหุ้นบริษัทของคุณโด อีกทั้งหลักฐานที่ได้มาจากหนึ่งในคนไข้กิตติมาศักดิ์ของเขาเป็นศรีภรรยาสารวัตรนายหนึ่งที่กำลังทำคดีชิ้นสำคัญของแก๊งมาเฟียมีชื่อกลุ่มนี้ ภาพถ่ายโดยนักสืบที่สนามบินตอนกลางดึก คืนเดียวกับที่คยองซูหายตัวไปนี้เอง มีชายสองคนพยุงชายหนุ่มร่างเล็กอีกคนเดินออกจากรถ หากสังเกตุดี ๆ ในเงากระจกนั้นปรากฏร่างของชายหนุ่มหน้าตามีภูมิฐาน แตกต่างจากคนเกาหลีทั่วไป จุนมยอนสันนิฐานว่าคน ๆ นั้นต้องเป็นคริสแน่นอน เขายังจำแผ่นหลังบางที่เขาคุ้นเคยได้ ชายหนุ่มที่ถูกพยุงอยู่ต้องไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโดคยองซู

     

    พนักงานสายการบินติดต่อกลับมาตามที่จุนมยอนโทรไปขอร้องข้อมูลไฟลท์ของคนเหล่านั้น จุดหมายที่พวกเขาเดินไปคือกรุงเทพ ประเทศไทย

     

    จุนมยอนตัดสินใจเดินทางออกจากโซลทันทีในคืนนั้นเอง

     

     

    *

     

     

    โดคยองซู …โดคยองซูงั้นเหรอ? ผมจะจำไว้

     

     

    บางอย่างตะโกนดังขึ้นมาในหัวสมองของคยองซู ปลุกโสตประสาททุกเส้นให้ปะทุขึ้น ร่างบางปกคลุมไปด้วยผ้ายืดบางเฉียบและหยาดเหงื่อสะดุ้งลุกขึ้นมาจากเตียง ปอดทั้งสองขยายเข้าออกสูดรับออกซิเจนจนเต็มที่ ริมฝีปากแดงฉ่ำสั่นระริกเล็กน้อยจากความฝันอันมืดมิดที่ตอนนี้ถูกสายลมเย็นจากพัดลมพัดออกไปเรียบร้อย คยองซูได้สติอีกทีเมื่อจงอินรีบวิ่งมาหาเขาก่อนจะใช้ด้านหลังของมือซับหยาดน้ำบนใบหน้าออก

     

     

     

     

    “เรา... เคยเจอกันมาก่อนใช่มั้ย?”

     

    ความเงียบพังทลายลงด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบของชายหนุ่มผู้ที่อวุโสที่สุดในห้อง ลำตัวแนบชิดกับผนังคอนกรีตแต่งเติมด้วยรอยร้าวจากอายุขัยส่วนขาเหยียวยาวนั้นลาดเรียบแนบชิดไปกับพื้นคละคลุ้งไปด้วยผงฝุ่นที่มีอยู่รำไร นัยน์ตากลมเพ่งตรงไปยังร่างใหญ่ของเด็กหนุ่มที่กำลังหันมาหาเขาทีละน้อย ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ของจงอินยากเกินกว่าจะคาดเดาว่าอะไรอยู่ในสมองของเขา ณ วินาทีนี้

     

    ไร้ซึ่งคำตอบใด ๆ

    “คิมจงอิน ฉันพูดอยู่กับนายนะ!”

     

    “.....”

     

    “แค่ตอบมาว่าเคยหรือไม่เคยแค่นั้นแหละ”

     

    “......”

     

    “นี่!

     

    ……..

     

    “คิม จง อิน!

     

    “หนวกหูจริง!”

     

    “ก...ก็แล้วทำไมไม่ตอบ ฉันนึกว่านายไม่ได้ยิน ...ไม่เห็นต้องตะคอกเลย” เด็กหนุ่มถอนหายใจ

     

    “เราจะเคยเจอหรือไม่เคยเจอกัน มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้หรอก จะรู้ไปทำไม”

     

    “นายแค่ตอบฉันว่าเคยหรือไม่เคย มันยากนักหรือไง?” ระดับเสียงของคยองซูเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างที่เจ้าตัวเองไม่รู้สึก

     

    “คุณกับผม เราต่างกัน ผมมันลูกน้องมาเฟีย คุณมันผู้ลากมากดี ผมเป็นอาชญากร คุณเป็นแค่เหยื่อ สิ่งที่พวกเราหมือนกันคือชีวิตที่โดนแขวนอยู่บนเส้นด้าย คุณจะตายเมื่อไหร่ผมก็ไม่รู้ ผมเองจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่แน่ใจ ...ความทรงจำที่คุณจำไม่ได้ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาหรอก เชื่อผม”

     

    น้ำตาที่มาจากไหนนั้นไม่มีใครทราบหลั่งพรูลงอาบแก้มใสทั้งสองข้างแต่ปราศจากเสียงสะอื้น เขาเจ็บใจ เจ็บใจที่ตัวเองลืม เขารู้สึกได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เจอกับจงอิน แม้จะอยู่ในนามของ ‘ไค’ เขาก็รู้สึกได้ถึงเด็กชายคนหนึ่งที่แอบยืนอยู่ในห้วงลึกของความทรงจำ

     

     

    เด็กชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในชีวิตของเขา

    เป็นลมบริสุทธิ์พัดท่ามกลางเขม่าควันของยานพาหนะ

     

    เขาลืมไปได้ยังไงกัน?

     

     

    ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรนอกจากเดินมาหาเขา แต่คยองซูกลับสะดุ้งตัวตกใจ จงอินไม่ได้สนใจท่าทีแปลกประหลาดนั่นก้มลงนั่งกับพื้น หัวทุยทิ้งลงด้านหลังอย่างผ่อนคลาย ดวงตาคู่คมนั้นค่อย ๆ จางหายไปกับเปลือกตาสีแทนเข้มเหลือไว้เพียงใบหน้าอ่อนละมุนสมวัย ทันใดนั้นเอง เสียงทุ้มนุ่มบรรเลงขึ้ผานทางกลีบปากฉ่ำน้ำอย่างไร้ท่วงทำนองประคับประคอง เปลือกตาผ่องนวลขยายมากขึ้นกว่าเดิม ภาพสะท้อนขุ่นมัวฉายสลับทับถมกันไปมาในหัวของคยองซู

     

     

    그댈 사랑하려 했던 것이 잘못입니다

    การที่ผมจะพยายามรักคุณนั้นมันเป็นเรื่องที่ผิด

     

    나는 내 주제를 모르는 바보랍니다...

    ผมมันก็แค่คนโง่คนหนึ่งที่ไม่รู้จักฐานะของตัวเอง

     

     

    ...이리 높은 벽에 둘러싸인 그대에 비해

    เปรียบเทียบกับคุณที่ห้อมล้อมไปด้วยความสูงส่ง

     

    난 아무것도 못 가진 철부집니다

    ผมมันก็แค่คนโง่เขลา ไร้ค่า ไร้ซึ่งสิ่งใด ๆ

     

     

    ด็กชายคนนี้ยังยืนอยู่ที่เดิมจริง ๆ แม้เสียงที่ดังเข้ามาในโสตประสาทจะหยุดไป แต่เสียงที่ยังไม่แตกหนุ่มของคน ๆ นี้ก็ดังประสานเข้ามาต่อ น้ำใสคลอเคล้าไปด้วยความอบอุ่นเริ่มไหลลงมาอีกครั้ง

     

    “....เสียงผมยังแย่เหมือนเดิมเลยใช่มั้ย?”

     

    “จงอิน คิมจงอิน...”

     

     

    .

    .

    .

     

    “ฉ....ฉัน .....ดีใจที่ได้เจอนายอีกครั้งนะ”

     

     

    *

     

    ดินเนอร์กับครอบครัวเพื่อนักธุรกิจของบิดาคงจะเป็นสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดสำหรับเด็กหนุ่มวัยย่างเข้าวัยรุ่นอย่างโดคยองซู ชุดนักเรียนมัธยมต้นเอกชนที่เขาสวมใส่อยู่ถูกจัดให้มีระเบียบมากกว่าเดิมโดยมารดาของเขาเพราะต้องมาร่วมฉลองรับประทานมื้อเย็นร่วมกันกับซีอีโอคนอื่น ๆ ของบริษัททันทีหลังเลิกเรียน เด็กหนุ่มมองตรงไปที่กระจกบานใหญ่ที่ถูกแขวนเป็นสง่าอยู่หลังอ่างล้างหน้อะลูมีเนียม มือเรียวยกขึ้นมาคลายปมเนกไทด์สีกรมท่าสลับเหลืองออกก่อนจะชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากมือ กลายเป็นนิสัยติดตัวเขาไปเสียแล้วที่ต้องใช้เวลานับสิบนาทีในการล้างมือ ทุกครั้งที่เขาล้างเสร็จเรียบร้อย นาฬิกาข้อมือราคาแพงจะถูกยกขึ้นมาดู ผ่านไปแล้วสิบนาทีจริง ๆ ด้วย

     

     

     

    “จงอิน! อย่าทำเลอะเทอะนะเว้ยเดี๋ยวพ่อกูว่า!

     

    “โหไอ้อ้วนยอล เห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย? ขอล้างหน้าล้างตาแปปเดียวเอง ไม่ได้จะพังห้องน้ำร้านพ่อมึงซักหน่อย”

     

    “เออ ๆ รีบ ๆ ล้างรีบ ๆ ออกมาละกัน แม่งเตะบอลเสร็จทีไรต้องมาทำบ้านทำร้านพ่อกูเลอะเทอะทุกที...”

     

    “ได้ยินนะเว้ย!

     

    หนึ่งในเจ้าของเสียงเดินเปิดประตูเข้ามาในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ดูท่าจะมีแต่ฝ่ายคยองซูที่สนใจเด็กหนุ่มคนนั้น ผิวสีเข้มดูแปลกตาพร้อมกับดวงตาคมเฉี่ยว จะมองจากมุมไหนเด็กคนนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญญามากินข้าวร้านหรู ๆ แบบนี้ได้เลย จู่ ๆ เด็กหนุ่มก็ร้องเพลงขึ้นมาทำลายความเงียบชวนอึดอัดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หรือแม้กระทั่งยางอายเสียด้วยซ้ำ

     

    “....입술을 깨물며 몇번이고 다짐하지만

    ผมกัดริมฝีปากของผมและสัญญากับตัวเอง

     

    흐르는 물까진 못합니~

    แต่ผมก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกแล้ว

     

    คยองซูอยากจะตะโกนใส่ดัง ๆ ในฐานะที่เป็นนักร้องนำของชมรมประสานเสียงของโรงเรียนว่าเสียงร้องของเด็กหนุ่มคนนี้ช่างเพี้ยนจนเสียดหูไปหมด นี่แค่ท่อนเล็ก ๆ ท่อนนึงยังทำได้ขนาดนี้ถ้าให้ร้องทั้งเพลงเขาคงทนอยู่ในห้องน้ำไม่ได้ เด็กหนุ่มที่รู้ตัวว่าตัวเองโตกว่าเดินไปหยิบกระดาษแผ่นหนามาเช็ดมือ เขาหยิบออกมาร่วมสิบแผ่นได้ คยองซูใช้เวลาอีกห้านาทีในการเช็ดมือของตนให้แห้งสนิท เด็กหนุ่มคนนั้นเดินตรงมาที่กล่องอะลูมิเนียมบรรจุกระดาษแห้งตรงผนังหินอ่อนแต่เมื่อเขาก้มลงมองดูปากกล่องก็ไม่เหลือกระดาษทิชชู่ให้หยิบเสียแล้ว ความรู้สึกผิดพุ่งเข้ามาใส่คยองซูอย่างแรง มือเล็กหยิบกระดาษที่ถูกสัมผัสหยดน้ำเปียกน้อยที่สุดให้กับเด็กชายผิวแทนคนนั้น

     

    ลูกตากลมภายใต้รูปตาเรียวคมหันทิศมาทางบุคคลแปลกหน้าที่กำลังยื่นกระดาษทิชชู่มาให้ เขานึกสงสัยว่าริมฝีปากฉ่ำแดงคู่นั้นจะขึ้นสีจัดได้มากกว่านี้หรือไม่

     

    “ชื่ออะไร?”

     

    “ห..หืม?”

     

    “ผมถามว่าฮยองชื่ออะไร? ต้องเรียกฮยองใช่มั้ย?”

     

    “ฉันอายุสิบห้า นายอายุเท่าไหร่ล่ะ?”

     

    “งั้นเรียกฮยองก็ถูกแล้ว ผมอยู่ประถมอยู่เลย ...ฮยองยังไม่ได้บอกชื่อผมเลยนะ”

     

    “จ...จะรู้ไปทำไม เอ้า รับไปสิ ฉันหยิบเกินมา” คนอายุน้อยกว่าแต่ตัวสูงกว่าเอื้อมมือมาหยิบกระดาษนั่นมาซับ

     

    “อยากรู้แค่นี้ไม่ได้หรือไง? ...อ๋อ เป็นเด็กโรงเรียนเอกชน มิน่าทำไมถือตัวนัก”

    “นี่ พูดแบบนี้หมายความว่าไง!

     

    “ก็หมายความอย่างที่พูด มานี่สิ”

     

    “มาบ้ามาบออะไร ...นี่จะพาฉันไปไหนเนี่ย?!

     

    ก็ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะโต้เถียงอะไร ข้อมือสีอ่อนตัดกับมือแกร่งของเด็กหนุ่มพาร่างเล็กเดินออกไปจากห้องน้ำ คยองซูไม่รู้จะขัดขืนยังไงได้แต่ปล่อยตัวให้ไปตามแรงของเด็กชายอีกคน ทั้งสองมาหยุดอยู่บริเวณด้านหลังของร้านอาหาร คยองซูสะบัดมือของเขาออกทันที

     

    “อะไรเนี่ยะ?! จู่ ๆ ก็ลากคนอื่นเขาออกมาจากร้าน”

     

    “ผมชื่อคิมจงอิน”

     

    “ฉันไม่ได้อยากรู้ซักหน่อย!

     

    “อยากกลับไปนั่งเบื่อที่โต๊ะอาหารหรือไง?” ใช่  จงอินเห็น ตั้งแต่เดินเข้าร้านอาหารของครอบครัวเพื่อนตัวโย่ง สิ่งแรกที่เรียกร้องความสนใจไปจากเขาคือภาพของใบหน้าละมุนละไมเหมือนเด็กอ่อนที่ดูท่าจะเด็กกว่าเขา แต่เมื่อเพ่งพินิจดี ๆ ก็จะเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นใส่ชุดเครื่องแบบโรงเรียนมัธยม กลีบปากที่ขนาดมองเห็นจากระยะไกลขนาดนี้ยังขึ้นสีสด ผิวขาวอ่อนนุ่มน่าแตะทำเอาฮอร์โมนหนุ่มที่เพิ่งมีปะทุขึ้น

     

    “นาย... เห็นงั้นเหรอ?” เด็กชายพยักหน้า

     

    “ฮยองคิดว่าเสียงผมเป็นไง?”

     

    “ห๊า?”

     

    “หูหนวกหรือไงเนี่ย... ผมถามว่าที่ผมร้องเพลงในห้องน้ำอ่ะ เป็นไง?”

     

    “จะเอาตรง ๆ หรืออ้อม ๆ ล่ะ?”

     

    “...นี่แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” คยองซูเห็นใบหน้ากวนโอ๊ยนั่นสลดลงก็รู้สึกเห็นใจ เด็กยังไงก็เป็นเด็กวันยังค่ำ

     

    “งั้น... ให้ฉันสอนมั้ย?” จงอินหันมามองเขาทันทีด้วยความสงสัย

     

    “เอาตำแหน่งนักร้องนำของชมรมประสานเสียงเป็นประกันเลย”

     

    “พูดจริงพูดเล่น?”

     

    “เอ๊า ใครจะไปล้อเล่น” เด็กหนุ่มผิมสีเข้มเผยยิ้มออกมาจนเห็นฟันสีขาวเรียงกันเป็นเม็ด ๆ นั่นทำให้คยองซูรู้สึกดีใจอย่างแปลกประหลาด

     

    มิตรภาพอันสุดแสนพิสดารระหว่างสองเด็กชายผลิบานออกเรื่อย ๆ คยองซูถ่ายทอดตั้งแต่การไล่โน้ตไปจนถึงวิชาเอื้อนเสียงขั้นแอดวานซ์สู่จงอินอย่างหมดเปลือก เด็กน้อยอายน้อยกว่าได้แต่มองรุ่นพี่ของตนด้วยความเคาระในความสามารถและเรื่องอื่น รวมไปถึงที่ทำให้หัวใจดวงน้อยไม่เคยรู้จักความรักได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง ท่ามกลางเสียงหัวเราะและเสียงกรนด่าไร้สาระ คยองซูไม่รู้เลยว่าบัดนี้เข็มนาฬิกาบนหน้าปัดขยับไปเท่าไหร่แล้ว

     

     

    “เห้ย! นี่มันสองทุ่มแล้ว?!

     

    ดวงตากลมใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์เบิกโตขึ้นแทบจะถลนออกมาจากเบ้า จงอินหยุดเสียงร้องที่กำลังพัฒนาได้ที่ของเขาลงเมื่อเห็นว่ามันถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองต้องแยกกัน

     

    อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน

     

    “...จะกลับแล้วเหรอ” จงอินพูดขึ้น

     

    “อื้ม แย่ล่ะสิ พ่อกับแม่คงกำลังตามหาฉันอยู่” เด็กหนุ่มไม่ได้ทำอะไรนอกจากมองดูอีกฝ่ายจัดแต่งเครื่องแต่งกายของตัวเองให้เป็นระเบียบดังเดิม เนกไทด์ที่กระชับรัดคอนเยีนขาวให้แน่นกว่าเดิม มือข้างที่ว่างอยู่ถูกยกขึ้นมาปาดกลุ่มผมด้านหน้าให้อยู่ทรง

     

    “จงอิน”

     

    “หืม?”

     

    “นายจะมาที่นี่อีกใช่มั้ย?”

     

    “ถ้าเจ้าชานยอลมันยอมอ่ะนะ” คยองซูคลี่ยิ้มสดใสนั่นอีกครั้ง จงอินชอบรอยยิ้มอบอุ่นนี่เหลือเกิน

     

    “งั้นฉันไปก่อนนะ พรุ่งนี้ฉันจะให้คนขับรถพามาที่นี่อีก ฉันจะเอาหนังสือกับเทปมาให้นายด้วย ตกลงมั้ย”

     

    คนอายุน้อยกว่าไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับเดินเข้ามาปิดระยะห่างของพวกเขา แม้อายุจะแตกต่างกันแต่ระดับความสูงนี่ค่อนข้างทัดเทียม ดูท่าฝ่ายเด็กประถมจะสูงกว่าเสียด้วยซ้ำ ใบหน้าคมนั่นขยับเข้ามาใกล้เสียจนอีกฝ่ายรู้สึกหวั่น ไม่ทันที่คยองซูจะพูดห้ามใด ๆ ริมฝีปากนั้นก็เข้าจู่โจมที่พวงแก้มนิ่มดั่งมาร์ชเมลโล่วนั่นทันที จงอินถอยห่างออกมาเมื่อภารกิจบรรลุล่วงพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า คยองซูรู้สึกได้ว่าแก้มข้างซ้ายของเขากำลังจะระเบิดออกมา ตอนนี้สภาพของเขาคงดูไม่จืดเลยทีเดียว

     

    “เอ้อ ฮยองยังไม่ได้บอกชื่อผมเลยนะ”

     

    “โด..”

     

    “?”

     

    “โด... คยอง... ซู....”

     

    “โดคยองซู ...โดคยองซูงั้นเหรอ? ผมจะจำไว้”

     

    เด็กหนุ่มมอต้นไม่ได้พูดอะไรนอกเหนือจากนี้ เขารีบวิ่งก้มหัวงุด ๆ เข้าไปในร้านทันที นั่นเรียกรอยยิ้มที่ประกายเจิดจรัสบนใบหน้าหล่อเหลาให้ฉีกกว้างกว่าเดิม

     

     

     

    “อ้าว ไอ้จงอิน! มึงยังไม่กลับอีกเหรอวะ?!

     

    “เออกลับแล้วมั่งไอ้เหี้ย ยืนหัวโด่อยู่อย่างนี้ยังมีหน้ามาถาม ...เออมึง เลี้ยงมือ้เย็นกูหน่อยดิ๊”

     

    “อะไรของมึงเนี่ย?”

     

    “เหอะน่ะา เลี้ยงเขาหน่อยเหอะ นะ ๆ ๆ ๆ สัญญาเลยหลังจากนี้จะไม่เรียกว่าไอ้อ้วนแล้ว”

     

    “เออ ๆ ก็ได้วะ รีบเข้ามาในร้านเร็ว เดี๋ยวโดนยุงแดกหรอก”

     

    แม้หลังจากนั้นหนึ่งวันคยองซูต้องผิดหวังเมื่อบริเวณลานนั้นไร้ซึ่งเเงาของด็กชายผิวแทนเข้มแปลกตา เมื่อวันเวลาจะไหลผ่านไปต่อวัน จากสัปดาห์แปรเปลี่ยนเป็นเดือน จากเดือนแปรเปลี่ยนเป็นปี ชื่อของเด็กชายคนนั้นก็เริ่มจางหายพร้อมกับวันเวลาที่ล่วงเลยไป คยองซูใช้ชีวิตของเขาเยี่ยงเด็กชายธรรมดาที่มีอนาคตอันสดใสเตรียมพร้อมเอาไว้ให้เขาอยู่

     

    มันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อนิดหน่อยที่เวลาเพียงหกสิบกว่านาทีที่ได้ใช้ร่วมกันจะเปลี่ยนโลกทั้งใบให้กับคน ๆ หนึ่งได้ คิมจงอินเองก็คิดอย่างนั้นว่ามันดูตลกไปหน่อยที่เขาจะรู้จักสิ่งที่น้ำเน่าที่สุดเท่าที่เขาจะเผชิญในชีวิต ‘ความรัก’ ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง แต่หัวใจดวงน้อยถูกหักให้แตกจนไม่เหลือเป็นชิ้นเมื่อเขารู้ถึงสถานะของครอบครัวที่เขาไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับตัว ในวันถัดมานั้นเองเขาถูกส่งตัวไปประเทศที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนในชีวิต ภายใต้การดูแลของผู้ปกครองคนใหม่ ชีวิตของเขากลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ

     

    แม้วันเวลาจะไหลผ่านไปต่อวัน จากสัปดาห์แปรเปลี่ยนเป็นเดือน จากเดือนแปรเปลี่ยนเป็นปี แต่ชื่อของเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้หายไปไหนเลย ตรงกันข้ามมันขึ้นสีคมชัดติดตรึงอยู่ในหัวใจของเขา จงอินใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวตามลำพังอย่างที่คนบนฟ้าลิขิตเอาไว้ มีเพียงแต่รอยยิ้มของใครคนหนึ่งที่คอยสะท้อนเป็นกำลังใจให้เขาใช้ชีวิตอยู่ต่อไป

     

     

    อยู่ต่อไปกับความหวังที่ว่าพวกเขาทั้งสองจะได้เจอกันอีกครั้ง

     

     

    *

     

    “นอนไม่หลับเหรอ?”

     

    แค่ได้ยินเสียงฟูกปูที่นอนถูไถกับเตียงเหล็กเก่าค่ำครึดังอยู่เนือย ๆ ก็พอจะรู้ว่าร่างบางที่นอนอยู่นั้นยังไม่ได้เข้าสู่ห้วงนิทรา พวงแก้มอ่อนนุ่มยกขึ้นเหนือสัมผัสหยาบของปลอกหมอน คยองซูชะโงกมองเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นข้าง ๆ เล็กน้อย เปลือกตาสีอัลมอนด์ประดับด้วยแพขนตาหนายังคงบดบังดวงตาคมนั่นอยู่ คยองซูหันตัวกลับมาที่เดิมของตน ดวงตากลมโตจ้องไปยังเพดานบนเบื้องหน้า

     

    “รีบ ๆ นอนซะนี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”

     

    “เอ๊า นายก็นอนไปสิ”

     

    “งั้นก็หยุดพลิกตัวไปมาได้แล้ว เสียงมันหนวกหู ผมจะได้นอนซักที”

     

    “...เออ ๆ ขอโทษ” ความเงียบแทรกกลางระหว่างคนทั้งสองได้ไม่นาน เสียงทุ้มออกแตกนิด ๆ ก็ดังขึ้น

     

    “คยองซู นอนหรือยัง?”

     

    “ยัง”

     

    “คิดอะไรอยู่ ถึงได้ไม่หลับไม่นอน?”

     

    “ก็... คิดนู่นคิดนี่ เรื่อยเปื่อย” คยองซูพูดต่อ

     

    “นี่นายทำ... อย่างงั้นกับฉันแล้วจริง ๆ เหรอ?”

     

    “ผมจะโกหกคุณไปทำไม ที่ถามนี่... อยากงั้นสิ?”

     

    “บ้า ทุเรศ อยู่ ๆ ก็มาลักหลับผู้ชายด้วยกัน นี่ถามจริงเหอะ ไม่ละอายมั่งรึไง?” จงอินแค่นหัวเราะ

     

    “ไม่อ่ะ แต่ผิวคุณนี่ดีมากเลยนะ ตอนผมจับผิวคุณนี่ผมนึกว่าตัวเองจับหมอนของเด็กทารกอ่ะ แค่แตะเบา ๆ นิดเดียวจากที่ขาว ๆ ก็ขึ้นสีแดงอย่างกะโดนคนตบ สงสัยตอนอยู่บ้านคุณคงมีคนใช้คอยประทินโฉมให้ตลอดเวลาเลยใช่มั้ย?”

     

    “บ้า... ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหล่ะ ไม่เอาแล้ว! ไม่พูด ๆ ๆ เปลี่ยนเรื่อง ๆ ๆ ๆ” คราวนี้เสียงหัวเราะของจงอินดังขึ้นกว่าเดิม นี่ถ้าเกิดเขาไม่โดนความเพลียฉุดรั้งเอาไว้ให้นอนราบกับเตียง เด็กหนุ่มก็อยากจะลุกขึ้นมามองใบหน้าที่เขาโปรดปรานั่นขึ้นสี

     

    “...คุณคิดอะไรอยู่?”

     

    “ก็เรื่องครอบครัวน่ะ.... ฉันเป็นห่วงพวกเขา พ่อ แม่... พวกเขาจะเป็นยังไงกันมั่งนะ? ...พวกเขาคงจะเป็นห่วงฉันมาก ฉันไม่น่าทำให้เขาลำบากเลย” คยองซูพูดไปในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกถึงบางอย่างอุ่น ๆ คลอขึ้นมาในเบ้าตา

     

    사랑이란 그 말이 너무 달콤해서

    คำว่า “รัก” มันช่างหวานละมุน

     

    영원히 빛나리라 믿었습니다

    ขนาดที่ตัวผมเองยังเชื่อว่ามันจะส่องแสงอย่างี้ตลอดไป

     

    하지만 꿈처럼 설레던 날이 지나니

    แต่แล้ววันเวลาดั่งความฝันล่วงเลยไป วันที่หัวใจของผมโบยบินจบลง

     

    앙상하게 모습만 남았습니다

    มีเพียงแต่ร่างอิดโรยไร้ชีวิตของผมคงเหลืออยู่”

     

    “...เคยมีคนบอกให้นายไปออดิชั่นบ้างมั้ย?” คยองซูที่นอนเงียบฟังเสียงทุ้มไหลขึ้นลงตามคีย์เอ่ยถามเด็กหนุ่ม

     

    “ถ้าไม่ติดที่ผมต้องมาทำงานรับใช้บอส ก็คงจะไปล่ะนะ แต่ถึงไปยังไงก็คงตกรอบแรกอยู่ดี”

     

    “เสียงนายไม่ได้แย่ขนาดนั้นซักหน่อย”

     

    “ว่าแต่คุณรู้จักเพลงนี้มั้ย?”

     

    “ก็หลังจากวันนั้นฉันก็จำเนื้อเพลงไปถามทุกคนในห้องเรียน แต่จนถึงป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าเพลงนี้ชื่ออะไร”

     

    “หึ เพลงนี้ชื่อชอลบูจีของจอห์น ปาร์ค” จงอินหยุดหายใจช่วงหนึ่ง แต่คราวนี้เด็กหนุ่มยันกายขึ้นมาเพื่อประสานสายตากับร่างบางที่ได้แต่มองอย่างอึ้ง ๆ ก่อนจะเริ่มร้องต่อ

     

    올라도 올라도 흘러내리는 모래언덕 안에서

    ไม่ว่าผมจะปีนซักแค่ไหน ภูเขาทรายลูกนี้ก็ยังคงไหลลงเรื่อย ๆ

     

    무릎까지 빠져 허우적대던

    ผมล้มลง เข่าของผมจมไปกับกองทราย

     

    모습은 어땠습니까

    ผมจะหันขึ้นมามองหน้าคุณได้อย่างไรกัน?”

     

    สัมผัสจากมือกร้านค่อย ๆ ทาบทามมาสู่มือเรียวของชายหนุ่ม น่าอายจริง ๆ ที่หัวใจของเขาเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะหยั่งกับเด็กสาววัยแรกรุ่นแบบนี้

     

    แก้มสีขาวนวลบัดนี้สุกงอมจนขึ้นสีแดงสด ขนาดมองในที่มืดมีเพียงแค่แสงรำไรส่องสะท้อนยังเห็นเด่นชัดได้เท่านี้ จงอินคิดไม่ออกเลยว่ามันจะสวยมากกว่านี้อีกซักเท่าไหร่ในยามที่แสงอรุณฉาบฉายบนใบหน้าของคน ๆ นี้ เด็กหนุ่มค่อย ๆ กระเถิบตัวเข้าหาร่างเล็กที่นอนเหยียดตัวอยู่บนเตียง ริมฝีปากหนาจุมพิตลงบนแก้มนุ่มนั่นก่อนจะถอนออกมาทำอย่างเดียวกันกับหน้าผากที่ตอนนี้เริ่มมีไรเหงื่อหยดนิด ๆ เพราะสภาพอากาศร้อนชื้น คยองซูนอนนิ่งพริ้มตารับสัมผัสอบอุ่นอย่างไม่ขัดขืน คนน่ารักฉีกยิ้มกว้างจนเห็นเม็ดฟันเล็ก ๆ เรียงตัวเป็นแถวสลวย

     

    ค่ำคืนอันยาวนานของคยองซูอบอวลไปด้วยความสุข รอยยิ้มยังไม่ถูกลบเลือนออกไปจากใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสอง คยองซูและจงอินเข้าสู่ห้วงนิทราของตนเองในที่สุด ถึงเวลาลาพักชั่วคราวจากโลกอันกว้างใหญ่ที่มีอุปสรรคมากมายกำลังรอพวกเขาอยู่


    -


     

    สวัสดีค่ะ ไรท์เตอร์ตูนนะคะ♡
    หลังจากปิดเทอมนี่คงได้เห็นหน้าเห็นตากันบ่อยขึ้น
    และดูท่าว่าฟิคเรื่องนี้จะยาวกว่าใครเพื่อนorz(คงเรียกว่าช็อตฟิคไม่ได้แล้วล่ะ)

    เพลงที่จงอินร้องให้คยองซู ไรท์เตอร์ใส่เป็นostของบทความแล้วนะคะ
    ชื่อเพลงว่า childlike ของ john park ไปหาโหลดกันนะคะเพราะมากๆ:-)
    จริงๆแล้วไรท์เตอร์เอามาจากหนังเรื่อง wolf boy ต่างหาก5555 อินมากเลย เนื้อเพลงก็โดน;_;

    แล้วเจอกันใหม่ในตอนหน้านะคะ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นเลยค่ะ

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×