ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF.EXO | R U N ◇ chanbaek / kaido / hunhan

    ลำดับตอนที่ #12 : Underneath the Skin: Chapter 3 | jongin x kyungsoo

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 436
      1
      25 ก.ย. 56

    underneath the skin

    jongin x kyungsoo / r (for soft erotic scenes) / angst , romance

     

     

    *

     

    Chapter 3

     

    สายลมเย็นพัดผ่านควันท่อไอเสียรถยนต์จากถนนข้างล่างขึ้นสู่ระเบียงห้องพอขัดคอ มือเรียวยกขึ้นมาป้องกันมลพิษเข้าสู่โพรงจมูก ระเบียงห้องเขรอะด้วยสนิมตรงราวจับน่าจะเป็นสถานที่ ๆ คยองซูโปรดปรานมากที่สุดตอนนี้ก็ว่าได้ เขารู้สึกถึงอิสระที่ใกล้แต่ไกลเกินเอื้อมทุกครั้งที่ได้มายืนสูดอากาศตรงนี้ ตึกราบ้านช่องเริ่มคุ้นหูคุ้นตาร่างบางมากขึ้น ใบหน้าผู้คนที่เปิดแผงขายของมากมายก็เริ่มถูกบันทึกลงในสมองส่วยความจำของเขา เห็นเด็กตัวเล็ก ๆ วิ่งเล่นไล่จับกันทำให้เขารู้สึกโปร่งสบายอย่างไม่บอกไม่ถูก

     

    ไออุ่นจากอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์สัมผัสเข้าที่ผิวเขาวนียนราวกับเดจาวู ดวงตากลมสีนิลเกลือกจ้องไปยังบุรุษเจ้าของความอุ่นนี้ ริมฝีปากอิ่มออกคล้ำคลี่ยิ้มบางเบาที่ต้องใช้การสังเกตุอย่างดีถึงจะมองเห็น

     

    อาจจะฟังดูทะแม่ง ๆ แต่กลิ่นกายของผู้ชายคนนี้ดึงดูดเขาราวกับมนต์สะกด เหมือนเปลือกของต้นไม้ในป่าทึบหลังห่าฝนกระหน่ำ คยองซูจ้องมองลึกลงไปในดวงเนตรประกอบเข้ากับเปลือกตาสีเข้มเรียว บางอย่างมันเกินกว่าที่จะหาคำพูดมาอธิบายได้จริง ๆ

     

    คยองซู

     

    “หืม?”

     

    “ยังทันมั้ยที่ผมจะขอโทษ” คยองซูหันกลับมามองตรงลงสู่พื้นถนนเรียบที่ตอนนี้เริ่มเงียบสงัดลง หัวทุยเล็กพยักลงไปมาช้า ๆ

     

    “มันไม่จำเป็นหรอก ฉันจะโทษอะไรไม่ได้นอกจากโชคชะตา” ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาไม่ได้ทำให้ความรู้สึกผิดของอีกฝ่ายลดลงไปเลย

     

    “อย่าเครียดไปเลยน่า เครียดไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ สู้อยู่เฉย ๆ ปล่อยให้อะไร ๆ มันเกิดตามกาลเวลาไม่ดีกว่าเหรอ?” ความพยายามครั้งที่สองล้มเหลวไม่เป็นท่าเช่นเคย คยองซูถอนหายใจก่อนจะโยกย้ายร่างของตนกลับเข้าสู่ห้อง

     

    หมวกแก๊ปสีดำเข้มถูกโยนใส่หัวทุยอย่างแรง คยองซูมองการกระทำพิลึกนี้ด้วยความมึนงง ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าสรรหาเสื้อผ้ามาหนึ่งชุดและโยนมันให้กับอีกร่างที่ยืนอยู่ด้านหลัง ไคถอดชุดเสื้อผ้าสำหรับใส่อยู่บ้านออกและสวมแทนด้วยเสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงยีนเรียบง่าย อีกฝ่ายที่ได้แต่ส่งสายตาสำรวจร่างกายกำยำตรงหน้าได้แต่ยืนมองอย่างไม่เข้าใจ

     

    “นี่…”

     

    “อ้าว มัวแต่ยืนดูอยู่ได้ รีบ ๆ ใส่ซะสิ”

     

    “ก็อยู่ ๆ ดีมาโยนเสื้อผ้าให้อย่างงี้ จะทำอะไรบอกซักคำไม่ได้เหรอไงห๊า?”

     

    “…พูดมากจริง ไม่อยากออกไปข้างนอกหรือไง?”

     

    “ห… ห๊า?” เปลือกตาสีนวลเบิกออกกว้างกว่าเดิม

     

    “ไม่ต้องมาหือมาหาเลย เห็นนอน ๆ นั่ง ๆ ในห้องเป็นง่อยมานาน ว่าจะชวนไปสูดอากาศข้างนอกซักหน่อย จะไปมั้ย?”

     

    เจ้าของดวงตากลมใสพยักหน้าขึ้นลงเหมือนเด็กน้อยตื่นเต้นที่พ่อแม่พาไปเที่ยว เสื้อยืดตัวโคร่ง คาดว่าจะเป็นไซส์เดียวกับเจ้าของและเป็นไซส์เดียวที่เขามีถูกสวมใส่อย่างรวดเร็ว คยองซูนึกแปลกใจกับความใจดีของเด็กหนุ่มแต่ก็ไม่คิดจะปริปากถามถึงสาเหตุแต่อย่างใด ถ้าจะถามไคตอนนี้เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกที่จะเอาตัวไปเสี่ยงกับกฏที่บอสตั้งขึ้นเพียงแค่อยากจะทำให้คน ๆ นี้มีความสุข


    อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ชีวิตของคน ๆ นี้จะได้รับการดูแลจากเขาโดยใช้ชีวิตของเขาเป็นเดิมพัน

     

     

    เด็กหนุ่มหุ่นนายแบบเคลื่อนตัวมาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว ดวงหน้าหวานเงยขึ้นมาปะทะอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ ระดับความสูงของคนทั้งคู่ค่อนข้างห่างกันอยู่พอสมควร ยิ่งได้มายืนใกล้ชิดกันขนาดนี้คยองซูยิ่งรู้สึกได้ ริมฝีปากชุ่มสีฝาดเฉียดผ่านระหว่างคิ้วของเขาไปนิดเดียว มือเรียวสีเข้มจัดแจงคลุมร่างบางด้วยเสื้อกันหนาวตัวเดียวที่เขามีอยู่ก่อนจะก้มตัวลงไปหยิบหมวกใบเก่งของเขาขึ้นมาสวมใส่ให้กับอีกคน สายตาเฉี่ยวหลุบลงมองลึกเข้าไปในดวงตาใสของคนตรงหน้า ถ้าไคได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวน่าตลกนี่เขาคงจะคิดสมเพชในใจเป็นแน่

     

    “คนของจื่อเทามันอยู่ทั่วย่านนี้ ถ้ามันเห็นคุณเดินเต็ดเตร่อยู่ข้างนอก ไม่ผมก็คุณต้องตายกันไปข้าง”

     

    คำขู่นี่ช่างฟังดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก เส้นขนเส้นเล็กตามผิวผ่องพากันตั้งชูขึ้น ไคนำหน้าเดินออกจากห้องไปก่อนตามมาด้วยเหยื่อในการปกครองของเขา ในวินาทีนี้เองที่คยองซูอยากจะอยู่ใกล้ชิดกับคน ๆ นี้เข้าไว้ อย่างน้อยก็เป็นเกราะป้องกันภยันตรายที่รายล้อมอยู่รอบกาย ราวกับว่าเด็กหนุ่มได้ยินขอคำที่ควรจะมีแต่ตัวคยองซูเท่านั้นที่รู้ มือแกร่งสีแทนเข้มเอื้อมมาเกาะกุมมือของอีกฝ่าย ใช้แรงฉุดนิดนึงเพื่อให้ร่างบางเดินเข้ามาแนบชิดกับร่างของเขามากขึ้น นิ้วเรียวยาวสอดประสากับนิ้วเรียวของอีกคน ไคไม่ได้หันมามองเขาแต่อย่างใด ปล่อยให้คนที่ถูกจูงมือเดินก้มหน้างุด ๆ บดบังแก้มเนียนที่ตอนนี้ขึ้นสีชมพูสด

     

     

    จะผิดอะไรมั้ยนะที่คยองซูอยากให้มือของไคไม่ละไปจากมือของเขา

     

     

    *

     

    ผ่านสี่แยกไฟแดงตรงหัวมุมถนน เดินเลยร้านขายของชำที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไปไม่กี่ช่วง ชายหนุ่มทั้งสองเดินไปตามทางท่ามกลางแสงจันทร์ผนวกกับแสงจากหลอดไฟสลัว นับตั้งแต่ออกจากตึกมาคยองซูไม่กล้าละสายตาจากพื้นคอนกรีตใต้เท้าเลยแต่ความกลัวในใจถูกกลบทับด้วยความตื่นเต้นกับบรรยากาศโดยรอบที่เขาไม่คุ้นเคยอบอวลไปทั่ว แตกต่างจากครั้งแรกที่เขาหนีไคออกมาเพราะความหวาดระแวงในตอนนั้นเริ่มจางหาย ไอร้อนจากฝ่ามืออุ่นส่งตรงมาที่ร่างบางสร้างความรู้สึกบางอย่างให้ก่อตัวสูงขึ้น

     

    จู่ ๆ เด็กหนุ่มหยุดสาวฝีเท้าลงจนยองซูที่เอาแต่เดินเหม่อลอยก้มหน้านับกระเบื้องคอนกรีตเดินมาชนร่างสูงใหญ่เบา ๆ มือแกร่งผละออกจากอีกฝ่ายก่อนจะส่งตรงไปยังใบหน้าเนียนใส ไคเชยคางมนของคนตรงหน้าเบาก่อนจะกระซิบเสียงเบาที่คยองซูพอจะจับใจความได้ว่า “รออยู่ตรงนี้นะ” หัวทุยเล็กก้มรับคำสั่งของคนอายุน้อยกว่า เด็กหนุ่มหันตัวมาอีกทิศเพื่อเผชิญกับประตูเหล็กบานยักษ์ก่อนจะใช้กุญแจดอกเล็กที่ตนเองพกมาแก้ล็อค ไคใช้แรงกายที่มีอยู่ผลักประตูเหล็กนั่นขึ้นด้วยความระมัดระวังต่อเสียงที่ดังรบกวนคนระแวกนี้

     

    เสียงรองเท้าแตะย่ำพื้นดังขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามด้วยเงาของหญิงสาวร่างบางหน้าตาออกไปทางคนจีนปรากฏขึ้น ท่าทางของหล่อนดูเดี๋ยวเดียวก็รู้ว่าเพิ่งตื่นมาจากห้วงนิทรา หล่อนดูท่าจะแปลกใจไม่น้อยที่เห็นหนึ่งหนุ่มที่ตนคุ้นเคยมากับผู้ชายแปลกหน้าอีกคนมาหาในยามวิกาล

     

    “อ้าวไค! มาทำอะไรดึกดื่นแถวนี้เนี่ยะ... แล้วนี่ใครอะ?” สายตาตรวจการของหล่อนสร้างความอึดอัดให้คยองซูไม่ใช่น้อยเลย ไคเห็นดังนั้นจึงเดินเข้ามาขวางสายตานั่นให้คนตัวเล็กกว่าพักพิงบนใต้แผ่นหลังแกร่ง

     

    “เหมย นี่เพื่อนเราเอง เขามาจากเกาหลี ชื่อคยองซู ...คยองซู ไม่ต้องกลัวนะ เหม่ยเหมยเขาเป็นลูกสาวของเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวที่ผมทำงานให้ ไว้ใจเขาได้” คยองซูค่อย ๆ เดินออกมาร่างของเด็กหนุ่มก่อนจะส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรไปให้ เด็กสาวมองรอยยิ้มอบอุ่นนั่นตาเป็นมันก่อนจะสลับไปมองเพื่อนของตนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

     

    “เฮ้ย ยังกับนักร้องเกาหลีในทีวีเลยอะ ไคไม่เห็นเคยบอกอั๊วเลยว่าเพื่อนหล่อขนาดนี้! ..เอ่อ เหม่ยเหมยนะคะ เหม่ย-เหมย”

     

    “ม...เมย เมย?”

     

    “ใช่ ๆ ! อึ๊ย อีเก่งนะ ออกเสียงชื่ออั๊วได้ด้วย ...แล้วไคพาเพื่อนมาทำอะไรที่นี่ดึก ๆ ดื่น ๆ หล่ะ? ลืมของเหรอ?”

     

    “เปล่า เรากะว่าจะพาเขาไปขี่มอไซค์เล่นแถวนี้ เลยแวะมาขอยืมมอไซค์ของพี่ชายเหม่ยเหมยหน่อยนะ”

     

    “อ๋อ เอาสิ! รอนี่นะเดี๋ยวอั๊วไปหยิบกุญแจรถให้ คยองซู! เชิญนั่งเลยคะ ตรงนี้ ๆ ” หล่อนรีบยกเก้าอี้ไม้เก่าคร่ำครึก่อนจะใช้มือเรียวเล็กปัดฝุ่นที่ติดเครอะอยู่บนที่นั่งด้วยความเต็มใจ ชายหนุ่มน้อมรับไมตรีจิตของหญิงสาวด้วยความเต็มใจพร้อมทั้งส่งยิ้มไปให้ไคที่ยืนมองด้วยรอยยิ้มระบายบางเบาบนใบหน้าหล่อ

     

    ผ่านไปไม่ถึงนาที เหม่ยเหมยเดินกลับมาที่ห้องโถงชั้นล่างพร้อมกับกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ในกำมือ หล่อนยื่นวัตถุชิ้นเล็กให้เพื่อนชายก่อนจะหันมาสนใจคนต่างแดนที่นั่งเงียบไม่พูดอะไร ได้แต่คลี่ยิ้มแห้ง ๆ ให้เด็กสาวที่มองเขาด้วยความตื่นเต้น

    “ข๊าวขาวเลยนะคยองซูเนี่ย... นี่ เขามีแฟนยัง?” เหม่ยเหมยเงยหน้าขึ้นมาถามร่างสูงที่ได้แต่ทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจเป็นคำตอบ

     

    “บ้า ใครจะไปรู้หล่ะ”

     

    “เอ๊า เพื่อนกันแท้ ๆ ไม่รู้ได้ไง ถามเขาให้หน่อยสิ!” เสียงถอนหายใจเฮือกยาวดังขึ้นเพราะคำขอของหญิงสาว

     

    “คยองซู” เจ้าของชื่อนั่งงงกับบทสนทนาของคนทั้งสองหันมาตามเสียงเรียก

     

    “หืม?”

     

    “มีแฟนยัง?”

     

    “ห๊า?”

     

    “เหม่ยเหมยฝากถาม มีแฟนยัง?”

     

    “ไม่...ไม่มี” คยองซูคิดสงสัยว่าเขามองผิดหรือเปล่าที่เห็นริมฝีปากนั่นยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เด็กหนุ่มเมื่อได้ฟังคำตอบก็หันมาหาคนที่ตั้งตารอฟังอย่างใจจดใจจ่ออยู่ข้างหลัง

     

    “ว่าไงๆๆๆ ตกลงมีหรือยังไม่มี?”

     

    “มีแล้ว” คิ้วเรียวโก่งทั้งสองขมวดเข้ากันพร้อมกับกลีบปากบางที่เบ้ออกมาด้วยความผิดหวัง

     

    “จริงปะเนี่ยะ!? โอ้ยเสียดาย! อุตส่าห์เจอหนุ่มเกาหลีถึงที่แล้วแท้ ๆ เห้อ ว่าจะเอาไปอวดเพื่อนซักหน่อย”

     

    “นี่ ๆ ถึงคยองซูจะมีหรือไม่มีแฟน ใช่ว่าเขาจะสนใจเธอซะเมื่อไหร่ ...อีกอย่าง ลองพูดอย่างงี้ให้เตี่ยเธอได้ยินดิ มีหวังไม่ปล่อยเธอไปเที่ยวตะลอน ๆ กับแก๊งสาวของเธอแน่”

     

    “โอ้ย! คนสวยเซ็ง! ถ้าไม่มีอะไร งั้นฉันขึ้นไปนอนแล้วนะ อย่าลืมพาคยองซูมาอีกหล่ะ คยองซู~ บ๊ายบาย~

     

    รอยยิ้มสดใสของเด็กสาวเจิดจ้าเหมือนพระอาทิตย์ยามบ่าย ทั้งที่อายุเท่ากันแท้ ๆ แต่ไคกลับรู้สึกเอ็นดูเพื่อนสาวคนนี้ที่คอยอยู่เคียงข้างเขาเสมอประหนึ่งน้องในสายเลือด ไม่แปลกใจเลยที่เหม่ยเหมยจะชอบชายหนุ่มคนนี้ที่กำลังโบกมือลาส่งหญิงสาว อีกใจหนึ่งก็แอบนึกขอโทษที่โกหกหล่อนเรื่องแฟนเฟินอะไรนั่นของคยองซู เหตุเพราะความหึงหวงไร้สาระนี่แท้ ๆ ที่ทำให้เขาพล่อยปากพูดปดออกไป นึกแล้วก็น่าขำสิ้นดีที่ตัวเองทำตัวไม่ต่างอะไรกับเด็กอมมือ

     

    ทำยังไงได้เขาเองก็หวงคนของเขาเหมือนกัน

     

     

     

    “เคยนั่งมอเตอร์ไซค์มั้ย?”

     

    ไคไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะถามอะไรที่คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้วแบบนี้ไปทำไม ลูกผู้ดีมีชาติตระกูลอย่างโดคยองซูนะหรือจะเคยนั่งยานพาหนะเสี่ยงตายอย่างงี้ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ คยองซูส่ายหัวไปมาและด้วยความจริงที่ว่าเขาจะต้องนั่งซ่อนท้ายมอเตอร์ไซค์ครั้งแรก ความวิตกกังวลฉายโชว์บนใบหน้ามนนั่นอย่างที่เด็กหนุ่มไม่คิดว่าคนอายุมากกว่าจะขี้กลัวถึขนาดนี้

     

    ขายาวปกคลุมด้วยพื้นสัมผัสหยาบของผ้าเดนิมยกขึ้นมาพาดไปอีกด้านของตัวเครื่องยนต์ หมวกกันน็อคที่แขวนไว้ตรงบริเวณคันเร่งถูกหยิบยกให้กับชายหนุ่มอีกคน ใช้เวลาพอสมควรกว่าคยองซูจะหยุดความตื่นกลัวของตนและหยิบหมวกกันน็อคนั่นขึ้นมาสวมใส่ ร่างเล็กค่อย ๆ ขยับนั่งบนยานพาหนะ แขนทั้งสองจับชายเสื้อของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างหน้าหลวม ๆ

     

    “อยากตกลงไปตายกลางถนนหรือไง? จับให้มันแน่น ๆ หน่อยสิ”

     

    “ฉันดูแลตัวเองได้... ไม่ต้องมาสั่ง” เสียง ‘หึ’ ในลำคอดังขึ้นอีกแล้ว

     

    “เตือนแล้วไม่เชื่อ งั้นก็ช่วยไม่ได้”

     

    เสียงบิดคันเร่งเสียดหูดังก้องจนมือขาวเนียนทั้งสองขยับเข้ามารัดร่างของเด็กหนุ่มอย่างช่วยไม่ได้ ไคยกยิ้มพอใจให้กับผลลัพธ์ที่ได้ก่อนจะเร่งความเร็วพุ่งออกไปโลดแล่นตามถนน สายลมที่พัดพรูเข้ามาปะทะร่างของเขาทำให้คยองซูรู้สึกเสียวสันหลังมากขึ้นเป็นทวีคูณจนไม่กล้าลืมตามองตึกราบ้านช่องที่ตอนนี้เหลือเพียงเส้นสีนับไม่ถ้วนให้เห็น ความเร็วดูท่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าไคจะไม่ลดความเร็วลงง่าย ๆ อยากจะรู้จริง ๆ ว่าทำไมถึงไม่คิดกลัวตายอย่างชาวบ้านเขามั่ง คยองซูเอาแก้มนิ่มของตนแนบไปที่แผ่นหลังกว้างจนไม่มีระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง ถ้าคยองซูเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้คงนึกสงสัยเป็นแน่

     

    เวลาผ่านไปชั่วพริบตา มอเตอร์ไซค์คันเนี้ยบจอดลงข้างสะพานกว้างใหญ่ที่ประกอบด้วยถนนเส้นยาวหกเลน แบ่งครึ่งด้วยเสาสูงตระการตาและสายเคเบิลนับสิบที่ตรึงตัวสะพานเอาไว้ บัดนี้เหลือเพียงรถราไม่กี่คันและพวกเขาทั้งสองยืนอยู่บนที่แห่งนี้ ไคเดินลงมาจากรถก่อนจะตรงดิ่งไปช่วยอีกคนที่กำลังเดินลงมาอย่างทุลักทุเล มือแกร่งยกหมวกกันน็อคออกจากหัวทุยเล็กที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ เด็กหนุ่มอดที่จะขำกับใบหน้าหวานที่กำลังมึนตึ้บปรับตัวไม่ทันอยู่ เส้นผมเปียกชื้นถูกปัดออกไปไม่ให้มาปรกหน้าผาก นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่ริมฝีปากนั้นคลี่ออกกว้างสดใสสมกับเป็นเด็กวัยรุ่น สัมผัสอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นร้อนจับมืออุ่นนุ่มของอีกฝ่าย คยองซูเดินตามเด็กหนุ่มไปยังรั้วเหล็กกั้น

     

    ผืนน้ำกว้างใหญ่ไพศาลตรงหน้าทำให้ความรู้สึกของคยองซูแทบจะเอ่อล้น ลมเย็นเบาหวิวห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้อย่างอ่อนโยน กลีบปากฉ่ำแดงระรื้นเผยยิ้มออกมาสะกดสายตาของเด็กหนุ่มที่ได้แต่ทอดสายตามองไม่ละไปไหน ดวงหน้าฉาบแสงจันทร์หันมาส่งยิ้มที่สวยที่สุดเท่าที่ไคจะพบเจอในชีวิต ชีวิตของเขาจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีกงั้นเหรอ?

     

    “ไค..”

     

    “จงอิน”

     

    “หืม?”

     

    “เรียกผมว่าจงอินเถอะ คิมจงอิน” รอยยิ้มนั่นคลี่ออกมากกว่าเดิมจนดวงตากลมหยีลง พวงแก้มใสขยับรวมกันเป็นกลุ่มน่าหยิก เมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มเริ่มเปิดใจให้เขามากขึ้น ราวกับเขาใกล้ชิดกับไคไปอีกก้าว

     

    “คิมจงอินเหรอ? ฉันชอบนะ”

     

    “ผมเองก็ชอบ…” ไคไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาพูดอะไรออกไป คยองซูมองมาที่เขาด้วยความสงสัย

     

    “ชื่อคยองซูน่ะ ผมว่าก็เข้ากับคุณดี” เสียงหัวเราะชวนฟังนี่คงติดตรึงอยู่ในหัวของเขาตราบนานเท่านาน

     

    ทั้งสองแบ่งปันความเงียบสงัดหากแต่ไร้ซึ่งความอึดอัดเจือปน มีแต่ความอบอุ่นในใจให้แก่กันและกัน เด็กหนุ่มเขยิบตัวเข้ามาพร้อมกับพวาดแขนแกร่งล้อมตัวคนที่ตัวเล็กกว่า แม้อากาศจะค่อนข้างอุ่นออกไปทางร้อนแต่อ้อมกอดนี้กลับไม่ได้ทำให้คยองซูไม่เคยรู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับยิ่งอยากจะอยู่ในวงแขนนี้นานที่สุดท่าที่จะทำได้

     

    ทำไมเขาถึงได้คิดแบบนี้กับคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนลักพาตัวเขาได้นะ?

     

    “นี่จงอิน”

     

    “ว่าไง?”

     

    “ฉันหิวอ่ะ …พาไปกินอะไรหน่อยสิ”

     

     

    *

     

    กลิ่นอายสมุนไพรออกฉุนชวนคัดจมูกกับแสงไฟสลัวสร้างบรรยากาศเงียบสงบให้สถานที่แห่งนี้ได้อย่างลงตัว ร้านที่ไค หรือตอนนี้ที่คยองซูรู้ชื่อจริงของเขา คิมจงอิน พาเขามานั้นไม่ได้เริดหรูอะไร แต่ถ้าให้พูดตรง ๆ มันก็ดูอยู่ในเกณฑ์เหนือระดับกว่าที่เด็กหนุ่มเจ้าของห้องแฟล็ตโกโรโกโสกับชุดเสื้อผ้าถูก ๆ จะสามารถรับมือกับราคาได้ คยองซูเดินตามร่างสูงใหญ่เข้าไปในร้านอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ทั้งสองเลือกที่นั่งมุมสุดของร้านเพื่อความเป็นส่วนตัว แน่นอนว่าเป็นหน้าที่ของจงอินที่ต้องสั่งอาหารที่ร่ายเรียงอยู่ในเมนูมากมาย คยองซูไม่ได้สนใจอยากจะรู้ว่าเมนูที่ไคสั่งนั้นมีอะไรบ้างแต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาทั้งหมดคือความคล่องแคล่วในการพูดภาษาไทยต่างหาก เขาไม่ทราบว่าสำเนียงของเด็กหนุ่มคนนี้อยู่ขั้นดีหรือไม่ประการใดแต่สำหรับคนที่ไม่รู้ภาษาไทยเลยอย่างเขา จงอินน่าจะอยู่ในชั้นเทียบเท่ากับคนไทยท้องถิ่นเลยก็ว่าได้

     

    อาหารคาวถูกทยอยวางเรียงกันบนโต๊ะ จงอินเลือกที่จะสั่งไม่เยอะมากนักเพราะรู้ว่ามาเพียงแค่สองคนและเขาทั้งสองก็ไม่ใช่คนทานเยอะเสียด้วย คยองซูบรรจงหยิบช้อนเงินวาวขึ้นมาแกะเนื้อปลาละเอยีดที่ราดด้วยพริกเม็ดเล็ก ๆ และกระเทียม กลิ่นของมะนาวลอยฟุ้งติดจมูกเรียกน้ำย่อย คยองซูละเลียดชิมเนื้อปลานั่น ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างขึ้นในรสชาติแปลกใหม่ที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อน

     

    “อันนี้อร่อยจัง นี่อะไรเหรอ?”

    “ปลานึ่งมะนาวน่ะ ส่วนนี่ก็แกงเผ็ด ที่ก็...เอ่อ... เหมือนเนื้อปูซูเฟลน่ะ แต่เผ็ดกว่า เขาเรียกว่าห่อหมก” คยองซูอ้าปากเป็นวงกลมก่อนจะพยักหน้ารับ ร่างบางไม่รอช้าจัดการชิมอาหารแต่ละชนิดอย่างมีความสุข

     

    “แล้วเคยกินเหรอ เนื้อปูซูเฟลอะ?”

     

    “น่าแปลกใจมากสินะที่คนจน ๆ อย่างผมเคยกิน”

     

    “แค่ถามเฉย ๆ ...อย่าร้อนตัวสิ”

     

    “ดี แมททีโอ เขตกังนัม ตรงข้ามชองดัมดงสามบล็อค” คยองซูหยุดเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง จงอินรู้จักร้านอาหารหรูร้านนี้ได้ยังไง? จะบังเอิญไปมั้ยที่ร้านนั้นจะเป็นร้านโปรดของครอบครัวเขา

     

    “....ทำไมไม่กินต่อ? อาหารไม่ถูกปากเหรอ?”

     

    “ป...เปล่า... กินต่อเถอะ”

     

    “คุณมีอะไรรึเปล่า? ดูสีหน้าคุณแปลก ๆ ไป”

     

    “ไม่มีจริง ๆ กินต่อเถอะนะ จงอิน” คิมจงอิน

     

     

    คิมจงอิน

    คิมจงอินงั้นเหรอ?

     

     

    *

     

     

    รายการฉายภาพยนตร์ยามดึกไม่ใช่สิ่งที่ คริส’ หรือที่เรียกกันในหมู่ลูกน้องคนสนิทหรือลูกกระจ๊อกต่ำต้อยว่า ‘บอส’ คนนี้โปรดปรานนัก แต่สำหรับชายหนุ่มที่หมดอาลัยตายอยากกับชีวิตและมือเปื้อนเลือดของตนแล้ว การอยู่ในห้องทำงานที่พื้นเนื้อที่ชั้นบนสุดของโรงแรมหรูห้าดาวอันเป็นหนึ่งในธุรกิจเล็ก ๆ จากก้อนเงินสกปรกของเขาคนเดียวพร้อมกับวิสกี้ชั้นดีและทีวีขนาดแปดสิบสี่นิ้วถ้วนก็ไม่ใช่เรื่องแย่เท่าไหร่นัก

     

    ออเดรย์ เฮปเบิร์นในบทเจ้าหญิงแอนในภาพยนต์ยุคฟิฟตี้ส์อย่าง “โรมัน ฮอลิเดย์“ ดูท่าจะกระชากหัวใจของหัวหน้าแก๊งมาเฟียอมื่อหนึ่งของโซลไปเสียแล้ว คริสมองร่างของหญิงสาวทางจอแอลซีดีเดินโลดแล่นไปมากลางกรุงโรมด้วยดวงตากลมลึก คงจะไม่มีอะไรน่าหงุดหงิดไปกว่าเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นขัดเวลาอันดูดดืมระหว่างเขากับนางเอกสาวสายในภาพขาวดำ

     

    /บอสครับ บอส..นี่ผมเอง ฮวางจื่อเทา/

     

    “โทรมาเวลานี้ รู้ใช่มั้ยว่าเรื่องที่นายกำลังจะพูดต้องสำคัญมาก”

     

    /สำคัญแน่ครับ เรื่องของไคกับคยองซู…/

     

    “คุณคยองซู ให้เกียรติเขาด้วย เขาแก่กว่านายนะ”

     

    /ข...ขอโทษครับ เท่าที่ผมจำได้บอสกำชับมันไม่ใช่เหรอครับว่าห้ามพาเหยื่อออกจากที่พัก/

     

    “ถ้ามันเป็นอย่างนั้นก็ใช่”

     

    /เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วลูกน้องผมเห็นมันกับคุณคยองซูเดินอยู่ด้วยกันข้างนอก จากรูปที่มันถ่ายส่งมาให้ผมดู ถึงคุณคยองซูจะใส่หมวกปิดบังใบหน้า แต่ผมเชื่อว่าเป็นพวกนั้นแน่นอนครับ/

    คริสถอนหายใจเฮือกใหญ่ แก้วคริสตัลบรรจุเต็มด้วยวิสกี้ถูกยกขึ้นจิบ

     

    “เจ้าเด็กนั่น... ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็จัดการมันอย่างที่ไอ้พวกเนรคุณที่ตกนรกไปแล้วพวกนั้นมันเคยโดน”

     

    /อ...เอาจริงเหรอครับ?/

     

    “ไม่งั้นนายจะโดนเป็นรายต่อไป”

     

    /...จะจัดการให้เร็วที่สุดเลยครับ/

     

    นิ้วเรียดกดไปที่ปุ่มรูปโทรศัพท์สีแดงก่อนจะเขวี้ยงวัตถุนั่นไปที่โซฟาหนังแท้นำเข้าจากอิตาลี เครื่องดื่มสีน้ำตาลกากอ่อนใสไล้ลงสู่คอยาวระหงส์ของชายหนุ่ม มืออีกข้างบรรจงเสยกลุ่มสีทองอร่ามดังชาวยุโรปออกจากหน้าผากของตน

     

    ร่างสูงชะรูดเดินตรงไปที่กระจกบานมหึมาสะท้อนเห็นเงาจางของเขากับจุดสีขาวของแสงไฟตามตึกราบ้านช่องด้านล่าง คริสหวนนึกถึงภาพของเด็กหนุ่มผิวสีคล้ำเข้มและดวงตาอันเด็ดเดี่ยว เต็มไปด้วยความเย็นชาและความหิวกระหาย จะด้วยแรงอาฆาตต่อโลกหรืออะไรก็ตามที่ทำให้นัยน์ตานั่นมองลึกเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเจอจุดสิ้นสุด เหมือนหลุมดำในห้วงอวกาศ จะว่าอย่างงั้นก็ได้ ความไว้วางใจของเขาส่วนหนึ่งนั้นถูกแบ่งให้กับเด็กคนนี้ตั้งแต่งานแรกที่ได้มอบหมายให้ คิมจงอินคือเด็กมีฝีมือไม่กี่คนที่คริสรู้จักและพูดได้เต็มปากว่าเขาคือลูกน้องของตน การสูญเสียบุคลากรชั้นดีแบบนี้ไป แน่นอนว่าต้องมีเสียดายกันบ้าง

     

    คริสถอนหายใจอีกเฮือกก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานตัวเก่ง สายตาจดจ้องอยู่กับภาพยนตร์ตรงหน้าต่อ

     


     

    นี่มือของเขาจะต้องเปื้อนเลือดอีกแล้วหรือนี่?



    -


     

    สวัสดีค่ะ คิดถึงไรท์เตอร์กันมั้ยยยย♡
    ห่างหายไปนานเลยต้องขอโทษจริงๆนะคะ;_; ไรท์เตอร์เพิ่งจะพ้นช่วงสอบไปเอง
    เลยเพิ่งมีเวลามาแต่งต่อน่ะค่ะ ขอโทษจริง ๆ น้าาาา
    หวังว่าแชพนี้จะเต็มอิ่มจุใจกันบ้างนะคะ ไว้เจอกันแชพหน้าเน้อ
    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นเลยนะคะ บ๊ายบายค่ะ


    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×