คืนที่ไร้แสงดาว - คืนที่ไร้แสงดาว นิยาย คืนที่ไร้แสงดาว : Dek-D.com - Writer

    คืนที่ไร้แสงดาว

    ค่ำคืนที่ไร้แสงดาว นำพาบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้นให้เกิดขึ้นอย่างไม่มีทางแก้

    ผู้เข้าชมรวม

    342

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    342

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 มี.ค. 52 / 23:43 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    เรื่องเล่าขานท่ามกลางสวนสาธารณะกลางกรุง

    เริ่มต้นเพียงการพูดคุย

    จบลงที่......

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เคยคิดกันมั้ยว่า.....คนเราต้องการที่จะทำอะไรในชีวิต ตอนเด็กคุณเคยมีความฝันกันมั้ย....เด็กทุกคนล้วนมีความฝันบางคนมีความฝันอันยิ่งใหญ่ หากแต่บางคนมีความฝันแค่เพียงความอยู่รอด

      ในค่ำคืนที่ไร้แสงดาวใจกลางเมืองหลวง ผมถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายหลังจากเคลียร์งานเสร็จ ผมเดินเข้ามาในสวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ผมตัดเดินลึกเข้าไปในที่ไม่ค่อยมีคนนัก ในสวนแห่งนี่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ หากแต่ว่าเริ่มหายากเต็มที ที่ที่มีต้นไม้เยอะ ๆ 

      ผมเดินไปเรื่อย ๆ จนไปเจอเก้าอี้ยาว ผมเดินเข้าไปนั่งลงทันที ก่อนที่จะเริ่มเอนตัวพิงพนักเก้าอย่างช้า ๆ แล้วจึงค่อยเหยียดขาตรงราวกับคนเกียจคร้าน แสงไฟจากเสาส่องสว่างเป็นจุด ๆ 

      ผมเอามือข้างขวาล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างช้า ๆ ในขณะที่มือเริ่มกดปุ่มหมายเลขที่จะโทรออก เมื่อกดโทรออกเสร็จ ผมก็เอามืออีกข้างที่เหลือยกขึ้นมาปลดสายเน็คไทให้คลายความแน่นลง มันทำให้ผมหายใจสบายขึ้นเยอะ เมื่อปลดสายเน็คไทเสร็จ ผมก็ใช้มือข้างเดิมนี้ล่ะล้วงลงไปหยิบซองบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงข้างขวาพร้อมกับไฟแช็ค

      "ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกในขณะนี้ ไม่สามารณติดต่อได้ค่ะ Sorry Th...."

      ผมฟังได้สักพักจึงกดปุ่มวาง ก่อนที่จะหันมาจุดบุหรี่ที่อยู่ในมือเสียก่อน

      ซื้ดดด.....ฟู่วว...

      ผมสูบบุหรี่ก่อนที่จะเริ่มโทรใหม่อีกครั้ง โดยที่หวังว่าครั้งนี้จะโทรติด

      "ขอโทษค่ะ หมายเล....."

      ครั้งนี้ยังไม่ทันฟังได้จบประโยคก็ตัดสายทิ้งก่อนแล้ว ก่อนที่จะเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกงตามเดิม แล้วจึงยกแขนดูนาฬิกาข้อมือ

      "สองทุ่มครึ่ง เฮ้อ..." ผมถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ ที่ผมมานั่งหลบอยู่ในสวนสาธารณะนี้ก็เพราะว่า ผมเบื่อการจราจรในเมืองยิ่งนัก ผมเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่ไร้แสงดาวอีกรอบ ก่อนจะถอนหายใจตามมาอีกรอบ

      ขณะที่ผมกำลังเงยหน้าอยู่นั้น หูของผมได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังก้าวเท้ามาทางผมอย่างสม่ำเสมอ เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผมต้องหันในหน้ามามองอย่างประหลาดใจ!!

      ก็จะไม่ให้ประหลาดใจได้ไงล่ะครับก็อย่างที่ผมบอก ที่ที่ผมนั่งอยู่นั้นไม่ค่อยจะมีใครเข้ามาซักเท่าไรนัก เพราะว่ามันดูมิดชิด ถึงจะมีแสงไฟส่องให้ก็เถอะนะ 

      โอ้แม่เจ้า!! งงล่ะสิครับผมร้องทำไม ก็คนที่เดินมาน่ะสิ เป็นผ้หญิงแถมยังน่ารักอีกด้วยแต่สิ่งที่แถมมาน่ะสิ น้ำตาของเจ้าหล่อน

      สาวน้อยที่กำลังเดินมาทางนี้กำลังร้องไห้อยู่ ร่างกายทรวดทรงเอวเป็นเอว ก้นเป็นก้นเลยน่ะสิครับ ใบหน้าขาวสวยมีน้ำตาไหลอาบแก้มเป็นทาง เธอเดินอย่างไม่สนใจสิ่งใดเลย ผมได้ยินเสียงสะอื้นเบา ๆ จากเธอเท่านั้น

      "ร้องไห้ทำไมน่ะ" ผมเอ่ยถามระคนสงสัย ทั้งๆที่ผมไม่เคยคิดจะสนใจคนอื่นเลยแท้ๆ แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าทำไมปากมันถึงได้ไปก่อนสมองจะสั่งการ สาวน้อยที่กำลังจะเดินผ่านผมไปเกิดอาการชะงักทันที คงเป็นเพราะว่าเธอไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างทำให้ไม่รู้ว่ามีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว

      แตว่าตัวผมเองก็ชะงักเหมือน จะเพราะอะไรกันล่ะ ก็สายตาแม่คุณน่ะสิจ้องจะกินเลือดเนื้อกันทีเดียว ผมดูดบุหรี่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นพร้อมกับขยี่ทิ้ง แล้วจึงลุกขึ้นยืนอย่างเต็มความสูงตัวเธอสูงเพียงคางผมเท่านั้น ในขณะที่ผมลุกขึ้น ยังไม่ทันสาวน้อยที่ผมว่าน่ารัก ก็หมุนตัวหันหลังจะวิ่งหนี คงเพราะว่ากลัวผมจะทำอะไรมิดีมิร้ายล่ะมั้ง มันก็แน่ล่ะนะเป็นใครก็ต้องกลัวผมไม่เถียงหรอก แต่ก็ถือว่าเป็นโชดดีของผมที่ ผมสามารถคว้ามือเธอไว้ได้ ทำให้เธอตกใจพร้อมกับตะโกนขึ้นมา

      "ปล่อยฉันนะ...อย่ามายุ่ง!!"  เธอตะโกนบอกด้วยเสียงดัง หากแต่มันก็ยังดูน่าฟังยิ่งนักในความคิดผม

      "เอ่อ....ขอโทษครับ ผมแค่เพียงเห็นคุณร้องไห้เลยจะหยิบผ้าเช็ดหน้าให้เท่านั้นเอง" ผมเอ่ยขึ้นพร้อมกับหยิบหลักฐานที่อยู่ในมือของผมมาให้ดูทันที แต่ดูจากสายตาของสาวน้อยตรงหน้าจะยังไม่ค่อยเชื่อซักเท่าไรนักก็ตาออกจะขวางขนาดนั้น 

      "สาบานเลยครับ" ผมเอ่ยย้ำไปอีกทีดูเหมือนจะได้ผล เธอลดความแข็งกร้าวลงไปได้นิดหน่อย

      "แล้ว...." เธอก้มหน้าพูดด้วยเสียงอันเบาจนผมต้องทวนซ้ำ
       
      "อะไรนะครับ!?"

      "จะปล่อยมือได้รึยังคะ...." เธอเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมพร้อมกับพูดอย่างชัด ๆ 

      "ให้ตายสิทำไมเธอถึงน่ารักอย่างนี้นะ" คำพูดนี้พูดได้แค่เพียงในความคิดของผมเท่านั้น ผมอึ้งจนแทบทำอะไรไม่ถูกริมฝีปากจิ้มลิ้มน่ารักน่าจูบ ฟันสีขาวสะอาดเรียงสวยเมื่อยามเธอพูด ผมสีดำยาวเงางามถึงกลางหลังที่ดูนุ่มสลวย ใบหน้าขาวใส ดวงตาสีดำที่ดูเศร้าหมองยังคงดูสวย หากว่าเธอไม่มีเรื่องให้เสียใจหรือร้องไห้คงจะดีกว่านี้ไม่น้อย เธอบิดข้อมือน้อย ๆ ทำให้ผมรู้สึกตัว จนรีบปล่อยมือถือราวกับต้องของร้อน

      "อะ...ขอโทษจริง ๆ ครับ" ผมรีบเอ่ยขอโทษอีกครั้ง ก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เธอ

      เพล้ง!!   ได้ยินเสียงอะไรกันมั้ยครับ ใช่ครับ เพล้ง!!  ใบหน้าของผมมันแตก แตกแบบมองไม่รับเย็บเลยก็คุณเธอน่ะสิครับเล่นตอบกลับมา

      "ฉันมีของตัวเองคะ" เธอเล่นเอ่ยแบบไม่ถนอมน้ำใจคนให้เลย เยี่ยมจริง ๆ

      "คุุณนี่นะ เล่นกันอย่างนี้ผมหน้าแตกยับเลย...ไม่ถนอมน้ำใจคนที่มีน้ำใจเลย" ผมบ่นอย่างเซ็ง ๆ ก่อนที่จะเดินกลับไปยังม้านั่งที่เดิม

      "คิก คิก.." คุณนี่ตลกดีจัง หญิงสาวเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเดินตามมานั่งลงในม้านั่งตัวเดียวกัน แต่เว้นระยะห่างไว้อย่างพอดี

      "ผมตลกตรงไหนล่ะนี่ เฮ้อ...แล้วคุณล่ะมีเรื่องอะไรถึงเดินร้องไห้มาอย่างนี้" ผมเอ่ยถามในเรื่องที่ตัวเองสงสัยขึ้นทันทีเมื่อหญิงสาวย่อนตัวลงนั่ง

      "คุณชื่ออะไรหรอคะ!?" เธอไม่ยอมตอยแต่กลับถามชื่อผมซะนี่ แย่จริง

      "เดียวครับ แล้วคุณล่ะ"

      "น้ำคะ แล้วคุณอายุเท่าไรแล้วคะนี่!?" นั้นถามอะไรไม่ถามดันถามอายุ เฮ้อ...

      "24 จะ 25 แล้วครับ"  เวงกำแล้วจะตอบไปทำไมเนี่ย

      "โห แก่กว่าน้ำอีก อย่างนี้น้ำต้องเรียกว่าลุงซะแล้ว" เธอย้อนกลับอย่างกวน ๆ

      "กรรม ฮะ ๆ อยากเรียกยังไงก็เรียกเถอะ แล้วจะตอบเรื่องที่พี่ถามได้รึเปล่าเนี่ย" ผมเริ่มแทนตัวเองว่าพี่ในขณะที่พูดคุยอยู่กับเธอ หลังจากที่ผมถามเสร็จดวงตาเธอเริ่มกลับมาเศร้าอีกครั้ง น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วเริ่มรื้นขึ้นอีกรอบอย่างห้ามไม่อยู่

      "น้ำขอไม่เล่าได้มั้ย....น้ำยังไม่อยากนึกถึงมันตอนนี้" เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ราวกับว่าถ้าเอ่ยถึงมันจะทำร้ายจิตใจเธออย่างรุนแรง

      "งั้นก็ตามใจน้ำแล้วกัน อ่ะนี่" ผมส่งขวดน้ำเปล่าที่ผมซื้อมาจากร้านค้าก่อนที่จะเดินเข้ามาภายในสวนสาธารณะที่ตั้งอยู่กลางเมืองอย่างนี่ เธอรับขวดน้ำขวดนั้นไปพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ มือผมได้สัมผัสมือถือมันช่างนุ่มยิ่งนัก ขณะที่รอเธอดื่มน้ำผมก็ควักบุหรี่ตัวใหม่ขึ้นมาพร้อมกับหยิบไฟแช็คขึ้นมาจุดด้วย

      แค่ก!!  แค่ก!!

      ผมหันไปมองเธอ แล้วเธอก็มองผมด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดขึ้นเนื้อ ก็จะอะไรกันล่ะก็เธอไม่ชอบควันบุหรี่นั้นเอง เธอต่อว่าผมอย่างไม่เกรงใจ ทั้ง ๆ ที่เราทั้งคู่พึ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่การพูดคุยราวกับคนที่สนิทกันมาก ๆ แล้ว คงเป็นเพราะว่าตัวผมเองนั้นเป็นคนเฉย ๆ ชอบอะไรตรง ๆ และเป็นคนที่ไม่ค่อยจะถือโทษโกรธใครง่าย ๆ และน้ำก็เป็นคนที่ดูร่าเริง พูดเก่ง และดูแก่นแก้วแต่ในความแก่นนั้นกลับมีความอ่อนหวานและอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ เรานั่งคุยกันจนผ่านไป

      หนึ่งชั่วโมง

      สองชั่วโมง

      จนกระทั่งเวลาเลยเที่ยงคืน ผมจึงถามเธอไม่กลับบ้านหรอแล้วกลับจะกลับยังไง น้ำก็ตอบผมกลับมาว่ากลับแล้วพี่ไปส่งน้ำได้มั้ยล่ะ เธอย้อนกลับมาอย่างกวน ๆ ผมก็ย้อนกลับไปว่า ไว้ใจพี่หรอ ไม่กลัวพี่หลอกหรือไงกัน แล้วเธอก็ตอบกลับมาราวกับว่าเธอเป็นคนดูคนเก่งเสียนักหนาว่า "ถ้าพี่ไม่ใช่คนดีจริง พี่คงจัดการกับน้ำไปตั้งนานแล้ว น้ำอาจดูคนผิดก็ได้ แต่น้ำก็เชื่อว่าพี่เป็นคนดีจริง"

      เมื่อน้ำพูดมาก็ทำให้ผมปลื้มใจแทบแย่ ยังมีคนมองผมว่าผมเป็นคนดีอยู่ด้วย ทำให้ผมรู้สึกตื้นตันใจจริง ๆ

      คุนกันได้อีกซักพักทั้งผมทั้งน้ำก็เดินออกจากสวนสาธารณะ ในขณะที่เดินไปนั้น เราก็เดินคุยกันไปเรื่อย ๆ จนมองเห็นทางออกที่อยู่ริบ ๆ แสงไฟตามเสาไฟดวงเล็ก ๆ ได้ดับตัวลงหมดแล้ว เพราะว่าเป็นเวลาที่สวนสาธารณะได้วั่งปิดไฟ

      ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัดแม้แต่ลมก็ไม่มีพัด ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา "เที่ยงคืนครึ่ง" นี่เราคุยกันนานขนาดนี้เชียวหรอน้ำ ผมเริ่มรู้สึกแปลก ๆ มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกและมันก็ทำให้ผมขนลุกขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แล้วจู่ ๆ น้ำก็พูดขึ้นมาหลังจากเงียบมานาน

      "พี่เดียว พี่อยากอยู่กับน้ำมั้ย!?" เธอเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ความรู้สึกประหลาดยิ่งรุนแรงขึ้น แล้วขณะที่ผมกำลังจะตอบเธอ อยู่ ๆ ก็มีลมพัดอย่างรุนแรงวูบนึง ยิ่งทำให้ผมสังหรณ์ใจแปลก ๆ

      "ทำไมถึงถามอย่างนี้ล่ะ เราก็มีครอบครัวของเราแล้ว....พี่จะไปอยู่ด้วยได้ไงกัน" ผมพูดตอบกลับไป แต่ผลตอบรับกลับกลายเป็นศูนย์ ทุกสิ่งที่อย่างเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงก้าวเท้าของตัวเอง ผมเริ่มรู้สึกว่าเธอเดินช้าลงมากและด้วยความที่ไม่มีแสงไฟทำให้ผมมองเห็นอะไรไม่ถนัดนัก จนผมสงสัยต้องหันกลับไปมองหาคนอีกคนหนึ่ง 

      อนิจจา!! เมื่อผมหันกลับไปหาน้ำ สิ่งที่พบกลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า ไร้สิ่งมีชีวิต ในตอนนั้นเองที่ผมรู้แล้วว่าตัวเองเจออะไร ผมก้มลงไปมองทางที่ผ่านมา ผมมองเห็นรอยเท้า ใช่!! ผมมองเห็นแต่ผมใส่รองเท้าผ้าใบแถมพื้นยังแห้งมันจะมีรอยเท้าได้ไง มันเป็นไปไม่ได้เลย!! มันมีเพียงรอยเท้าขนาดเล็ก ที่เหมือนรอยเท้าของผู้หญิง ตอนนั้นผมแทบจะบ้าตาย

      ผมกวาดสายไปรอบ ๆ จนเห็นไปทางสระน้ำภายในสวนสาธารณะ นั้นล่ะชัดเลย สิ่งที่ผมเห็นแม้ไม่ชัดก็เถอะ เรื่องอะไรจะอยู่ต่อ ผมใส่เกียร์หมาทันที ผมรีบวิ่งออกจากสวนสาธารณะแห่งนั้น แล้วรีบกลับไปเอารถแล้วขับกลับบ้านทันที

      เมื่อกลับไปถึงบ้าน ผมรีบจุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทางว่ากลับมาคนเดียว ไม่ได้พาใครมาด้วย

      หลังจากคืนนั้นผ่านพ้นไป สามวันให้หลังผมกลับไปยังสวนสาธารณะที่เดิม หากแต่ว่าครั้งนี้ผมไปตอนกลางวัน ผมเดินไปซื้อน้ำจากรถขายน้ำ เมื่อซื้อเสร็จผมก็ถามป้าคนขายน้ำว่า สวนนี้เคยมีเด็กผู้ตายรึเปล่า ป้าแกก็เล่ามาทุกอย่าง

      ป้าแกเล่าว่าเมื่อหกเดือนก่อนมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเค้าทะเลาะแฟน แล้วทีนี้ผู้ชายบอกเลิกด้วยความที่เด็กผู้หญิงคนนั้นเค้ารักแฟนตัวเองมาก เมื่อโดนบอกเลิกก็เมื่อว่าชีวิตไม่เหลืออะไร เด็กคนนั้นเดินร้องไห้เข้าไปในสวนตอนกลางคืนไม่รู้ว่าเข้าไปทำอะไร แต่ถึงเช้าอีกวันก็พบว่าเด็กคนนั้นได้เสียชีวิตแล้ว เห็นเค้าบอกกันว่าฆ่าตัวตายโดยการโดดลงไปในสระน้ำกลางสวน เมื่อผมได้ฟังเสร็จขนผมก็ลุกทันที

      ก็เมื่อตอนที่ผมหันไปทางสระน้ำนั้นน่ะ ผมเห็นเธอใช่ สาวน้อยที่คุยกับผมยันเที่ยงคืน เธอคลานขึ้นมาจากสระน้ำนั้น ดวงตาทั้งสองมีแล้วตาสีขาว ผิวตัวขาวซีดเหมือนคนขาดเลือด ทั้ง ๆ ที่มืดแสนมืดแต่ไม่รู้ทำไมถึงมองเห็นเธอได้ชัดซะขนาดนั้น อีกทั้งสิ่งที่เธอพูด.....เธอผมด้วยเสียงอันยานคางและเชิญชวน

      "พี่ค่ะ.......พี่.......มาอยู่......กับหนู......เถอะ....นะ"

      คืนนั้นที่ผมฟังคุณป้าที่ขายน้ำให้ผม ผมกลับจากที่ทำงานเมื่อมาถึงบ้าน ผมก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าหมายมั่นที่จะอาบน้ำภายในห้องน้ำผมมีอ่างอาบน้ำ ผมชอบแช่เพราะมันสบายดี ผมเปิดน้ำทิ้งไว้ซักพักก่อนที่จะทิ้งตัวลงในอ่าง

      ผมนอนหลับตาอยู่ในอ่างอาบน้ำอย่างสบาย ๆ จนเวลาผ่านไปซักครู่ ในช่วงนั้นเองที่ผมหลับตาอยู่ผมก็ได้ยิน

      "พี่ค่ะ.......พี่.......มาอยู่......กับหนู......เถอะ....นะ"

      ผมลืมตาขึ้นทันทีพร้อมกับเบื้องหน้าของผมนั้น......คือเธอ น้ำนั้นเอง

      "พี่....เดียว"

      แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบลง.....อย่างไร้เสียงตอบรับตลอดกาล....

      -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

      มีความน่ากลัวมั้งมั้ยเนี้ย เรื่องนี้ = = แต่งสด

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×