ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wang Yibo X Xiao Zhan | Red Thread: A Labyrinth (红线: 迷宫) #ด้ายแดงป๋อจ้าน

    ลำดับตอนที่ #5 : Red Thread (红线) #ด้ายแดงป๋อจ้าน | 第四集 [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.85K
      82
      26 ม.ค. 63

    04





    เหม่อมองท้องนภาเมฆาล่อง

    ทั้งเหม่อมองสายนทีมิมีจบ

    ออกเดินทางผ่านพนาและบรรพต

    จนประสบพบเจอคู่ชีวิต

    ยินคำกล่าวเล่าขานผ่านเลยไป

    ไม่สนใจโชคชะตาฟ้าลิขิต

    แต่ครานี้จักจดจำให้เป็นนิจ

    ชั่วชีวิตคิดครองคู่เพียงแต่เจ้า





    ทั้งสองต่างก็ตกอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยเฉพาะเซียวจ้านที่เบิกตากว้างประดุจดั่งไข่ห่านเมื่อรู้ตัวว่าหน้ากากที่ตนเองสวมอยู่นั้นได้หลุดออกไปเสียแล้ว อีกทั้งยังเปิดเผยใบหน้าของเขาให้เห็นอย่างชัดเจนโดยไร้ซึ่งรอยตำหนิอย่างที่หลิวเหวินจินได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้


    เซียวจ้านมีความรู้สึกว่าอีกไม่นานชีวิตของตนเองก็จะพบกับความอาภัพที่สุดแสนจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดมิได้ เขาคิดไปหลายขั้นตอนมาก อันดับแรก หวังอี้ป๋อก็จะลากตัวเขาไปหาผู้อาวุโสตระกูลหวังเพื่อตัดสินโทษ แล้วคำตัดสินนั้นก็จะดังออกมาว่าเขากับหลิวเหวินจินถูกไล่ออกจากบ้านสกุลหวังตลอดนิรันดร์กาล หรือไม่ก็ถูกคัดตามจำนวนที่หวังอี้ป๋อได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ สอง หากเขาและนางถูกไล่ออกจากบ้านจริงๆ พวกเขาทั้งสองก็จะต้องหาโรงเตี๊ยมราคาถูก หรือไม่ก็นอนตามป่าตามเขาเพื่อหาที่หัวซุกหัวนอน และสิ่งสุดท้าย เขาก็จะไม่ได้พบกับบุพเพสันนิวาสอีก สิ่งที่เขาได้ลงมือทำมาก็เสียเปล่า


    คนตัวเล็กรู้สึกขนลุกขนพองไปหมด เขารีบหลับตาเสียแน่นและพูดออกมาเสียงดัง "อย่าพาข้าไปหาผู้อาวุโสเลยนะ! ข้าผิดไปแล้ว! ท่านจะให้ข้าทำสิ่งใดก็บอกมาได้เลย! ให้ข้าคัดกฎประจำตระกูลหวังเป็นหมื่น เป็นแสนหรือเป็นล้านข้าก็ยอม! แต่อย่าส่งข้าไปหาผู้อาวุโสแห่งตระกูลหวังและไล่ข้ากับหลิวเหวินจินออกไปเลยนะ!"


    หวังอี้ป๋อมองหน้าเซียวจ้านแต่ก็มิได้พูดสิ่งใดออกมา หากแต่ใช้มือที่รัดเอวอยู่นั้นรั้งร่างของคนที่ตัวเล็กกว่าให้ลุกขึ้นยืน หลังจากที่เซียวจ้านกลับมาอยู่ในท่ายืนตรงแล้ว เขาก็รีบหยิบหน้ากากที่ตกอยู่บนพื้นหลังคาขึ้นมาใส่ทันทีอย่างไม่รีรอให้มากความ มือทั้งสองสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวแต่ก็ต้องกัดฟันสกัดกั้นมันเอาไว้ในใจ กว่าจะผูกปมมัดเชือกได้ก็ใช้เวลาไปครู่หนึ่ง


    "ใบหน้าของเจ้ามิได้ถูกไฟคลอก" หวังอี้ป๋อกล่าวหลังจากที่เซียวจ้านผูกเชือกมัดหน้ากากเรียบร้อยแล้ว "เหตุไฉนสหายเจ้าถึงพูดโป้ปดต่อผู้อาวุโสและต่อหน้าอนุชนสกุลหวัง"


    เซียวจ้านสะอึก ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมาด้วยถ้อยคำเหล่านี้ที่ทิ่มแทงใจเขาดั่งมีดอันแหลมคม น้ำเสียงของหวังอี้ป๋อนั้นสุดแสนจะเรียบนิ่ง ทว่าก็เชือดคอของเขาได้นิ่มๆ เช่นกัน เซียวจ้านจนมุมที่จะโกหกต่อไปเพราะถูกจับได้แล้ว และตอนนี้เขาต้องพูดแต่ความจริงให้หวังอี้ป๋อเท่านั้น


    มือบางบีบเข้าหากันแน่น ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พร้อมกับบอกความจริงทั้งหมดให้หวังอี้ป๋อฟัง "คือว่า...เมื่อหนึ่งปีก่อน เมื่อตอนที่ข้าสอบจอหงวนได้อันดับที่หนึ่ง และได้รับตำแหน่งทำหน้าที่เป็นองครักษ์ส่วนตัวของจักรพรรดิ หลังจากที่ข้าทำหน้าที่นั้นได้เพียงสองเดือน ข้าถูกใส่ร้ายว่าข้าลอบปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิและมีโทษถึงประหาร ข้าหนีออกจากราชสำนักและปลิดชีพตนเองที่เนินเขาแห่งหนึ่ง ทว่าข้าก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งเพราะใครบางคน หลังจากที่ข้าฟื้นคืนชีพได้ไม่นานนัก ข้าก็ได้ยินเสียงครหาจากชาวบ้านว่าข้านั้นแสนชั่วช้าสารเลวจนมิควรที่จักให้อภัย ข้าจึงจำเป็นต้องสวมหน้ากากนี้เพื่อปิดบังใบหน้าตนเอง"


    น้ำเสียงของเซียวจ้านนั้นสุดแสนจะสั่นเครือ ใบหน้าสวยก้มมองลงบนพื้นหลังคาอย่างหมดหวัง หากหวังอี้ป๋อมิเชื่อในสิ่งที่เขาพูดและพาเขาไปหาผู้อาวุโสสกุลหวังจนไล่เขากับหลิวเหวินจินออก เขาก็จะยอมรับโชคชะตานั้นอย่างช่วยไม่ได้ เพราะว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริงทั้งหมด จะเชื่อไม่เชื่อหรือจะใจไม้ไส้ระกำอย่างไรเขาก็ต้องยอมรับให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตาม


    "ที่หลิวเหวินจินจำเป็นต้องโป้ปดผู้อาวุโส เพราะนางกลัวว่าหากพวกท่านรู้ความจริงเข้า พวกท่านอาจไม่ให้พวกเราอาศัยอยู่ด้วยและไล่ออกจากบ้านสกุลหวังไป พวกเราทั้งสองก็จะต้องรอนแรมระหกระเหินเดินหาโรงเตี๊ยม หรือไม่ก็ต้องนอนตามป่าตามเขา ที่แย่ไปกว่านั้นคือทั้งนางและข้าต่างก็หวาดกลัวว่าอาจถูกพวกท่านสังหารก็เป็นได้"


    หวังอี้ป๋อ "..."


    "ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่ข้ามิอาจรู้ แต่สิ่งที่ข้าเล่ามาทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องจริงทุกประการ" เซียวจ้านกล่าว "หากท่านจะจับข้ายัดชังเตกับทางการ สั่งให้ข้าคัดกฎของตระกูลท่านเป็นหมื่น เป็นแสนเป็นล้านข้าก็ยอม แต่ขอเพียงสิ่งเดียว ไม่สิ! สามสิ่ง! ท่านอย่าพาข้าไปหาผู้อาวุโสและสั่งให้ข้าถอดหน้ากากเถอะนะ แล้วก็อย่าลากหลิวเหวินจินสหายข้าเข้ามาด้วย เพราะนางมิได้มีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้กับข้าเลยแม้แต่น้อย"


    หวังอี้ป๋อมองหน้าเขาแต่ก็มิได้พูดสิ่งใดออกมา


    เซียวจ้านกลอกตามองไปมาพลางถามด้วยน้ำเสียงลังเล "แล้ว...ข้าไปได้หรือยัง"


    "ยัง"


    "เหตุไฉนท่านจึงมิปล่อยข้าไปเสียที" ร่างบางกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนและเขย่งเท้าขึ้นลงไปมาราวกับเด็กน้อย "ท่านอยากจะรู้ข้อมูลอะไรจากข้าอีกอย่างนั้นหรือ ข้าบอกให้ท่านรู้ได้นะ"


    "เงียบ แล้วตามข้ามา" หวังอี้ป๋อกล่าวตัดบทของเซียวจ้านอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากตรงนั้นพร้อมกับเก็บกระบี่หมิงเยว่เข้าฝักไปด้วย คนตัวเล็กถูกทิ้งให้อยู่ท่ามกลางความสับสนอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว กว่าจะตั้งสติและยอมเดินตามอีกฝ่ายไปได้ก็ใช้เวลาไปสักครู่หนึ่ง ในมือก็ถือสุราฉางเอ๋อร์สามไหแน่น


    ร่างสูงเดินไปที่ไหนสักที่บนหลังคาของตระกูลหวัง ในขณะที่เขากำลังเดินอยู่นั้นมือทั้งสองของเขาไพล่หลังไปด้วย เหตุเนื่องจากว่าเขานั้นเป็นถึงสุดยอดเซียนแห่งตระกูลหวัง เหล่าอนุชนที่มีอายุน้อยกว่านั้นให้ความเคารพและยำเกรงมาก เวลาที่เขาเดินตรวจเหล่าอนุชนที่กำลังฝึกฝนก็มักจะเดินด้วยท่าประจำเช่นนี้ จึงทำให้สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นบุคลิกนิสัยอย่างหนึ่งของเขาไปโดยปริยาย


    เซียวจ้านมองตามไหล่ของอีกฝ่ายไปอย่างไม่วางตา ขาทั้งสองก็ก้าวฉับๆ ไปข้างหน้าโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เพราะว่าหวังอี้ป๋อคนนี้มีฝีมือเหนือกว่าเขาหลายเท่า หากขัดขืนหรือไม่ทำตามคำสั่งก็อาจจะถูกลงโทษได้ ซึ่งมิใช่เพียงแค่วิ่งไล่ฟันเขาเช่นนี้อย่างแน่นอน หวังอี้ป๋อนั้นอาจจะฆ่าเขาโดยไม่กังขาและตายได้โดยไม่อิดออด ทว่าสิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่ความคิดอันสุดแสนจะเตลิดเปิดเปิงของเขาเอง ในความเป็นจริงคงมิมีผู้ใดกล้าทำเรื่องบ้าบิ่นถึงเช่นนั้นไปได้หรอก


    ใบหน้าสวยหันรีหันขวางมองไปรอบๆ บ้านเรือนของตระกูลหวังนั้นยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกถึงความแข็งแกร่งและความยิ่งใหญ่ของตระกูล ที่มิใช่เพียงแค่เหล่าอนุชนที่มีจำนวนมากแต่อย่างใด แต่หากเป็นอำนาจของการปราบมารและชื่อเสียงที่โด่งดังเสียมากกว่า รวมไปถึงกฎมากมายที่ต้องรักษาอย่างเคร่งครัดเสียจนเลี่ยงมิได้ เซียวจ้านคิดว่าดีแค่ไหนที่เขาไม่ได้เกิดมาเป็นหนึ่งในอนุชนของสกุลหวัง มิเช่นนั้นเขาคงได้เสียสติไปก่อนที่จะได้ออกมาปราบมารอย่างแน่นอน


    ถึงแม้ว่าในระหว่างทางที่เดินไปที่ไหนสักแห่งนั้นสุดแสนจะอึดอัดเกินพรรณนา ทว่าเซียวจ้านก็สดับยินเสียงฉินที่กำลังบรรเลงในขณะนี้ มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและคลายความกังวลออกไปได้ส่วนหนึ่ง ถึงจะช่วยให้ผ่อนคลายได้ไม่มากนักแต่ก็ทำให้เขาได้รู้สึกดีที่ระหว่างทางที่เดินตามอีกฝ่าย


    ยอมรับว่าในช่วงแรกๆ นั้นเซียวจ้านไม่ค่อยเชื่อในเรื่องบุพเพสันนิวาสเช่นเรื่องด้ายแดงมาก่อนเลยแม้แต่น้อย ทว่าในเมื่อเขากลับมามีชีวิตอีกครั้งพร้อมกับความสามารถในการมองเห็นด้ายแดงของตนเองและคนอื่น เขาก็เริ่มเชื่อขึ้นมานิดหน่อยแล้วว่าด้ายแดงที่ผูกข้อเท้าของตนเองและข้อเท้าของหวังอี้ป๋อนั้นต่างก็เป็นบุพเพสันนิวาสของกันและกัน



    แต่ขอเพียงสิ่งเดียว คู่แท้ของเขานั้นจะเป็นคนเย็นชาและเจ้าระเบียบตัวพ่อเช่นนี้ก็ไม่ไหวนะ



    ตลอดทางที่เดินตามกันมานั้นก็ไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นระหว่างคนสองคน หากแต่เป็นความอึดอัดของความเงียบที่เกิดขึ้น เซียวจ้านเองก็ไม่กล้าที่จะชวนอีกฝ่ายพูดคุยสนทนากัน เนื่องด้วยใบหน้านิ่งๆ เรียบๆ โดยไร้ซึ่งการแสดงสีหน้า บวกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นั้นทำให้เซียวจ้านต้องอุบปากเอาไว้ อย่าคิดแม้แต่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือพูดออกมาเชียว ราวกับว่ามีเรื่องคาราคาซังกันมาตั้งแต่ปางหลัง ทว่าก็ไม่มีฝ่ายใดที่เอื้อนเอ่ยวาจาใดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น มีแต่เงียบใส่กันและกันเช่นนี้


    หวังอี้ป๋อกระโดดลงจากหลังคา เซียวจ้านกระโดดลงตามหวังอี้ป๋อ ก่อนที่จะออกเดินตามต่อไปโดยไม่มีบทสนทนาอะไรใดๆ ออกมาอีกเช่นเคย ตอนนี้พวกเขาทั้งสองมาถึงเรือนแห่งหนึ่งที่มีขนาดเล็กกว่าเรือนที่เป็นห้องโถงใหญ่ของตระกูลหวัง ตัวอักษรจีนถูกสลักเหนือบานประตูเพื่อเป็นเครื่องหมายบอกว่าเรือนแห่งนี้เป็นของผู้ใด เซียวจ้านเงยหน้ามองและอ่านข้อความนั้น โดยข้อความนั้นถูกเขียนเอาไว้ว่า 'เรือนมังกรหยก'


    ประตูถูกหวังอี้ป๋อเลื่อนออกอย่างช้าๆ พบว่าด้านในของเรือนนั้นมีชายคนหนึ่งสวมอาภรณ์สีขาวเช่นเดียวกับร่างสูง ทว่าชายคนนั้นสวมหมวกสีดำทรงสูง ดูแล้วเหมือนกุนซือ*หรือไม่ก็ประมุข แต่ที่แน่ๆ ก็คือชายคนนี้อาจมียศหรือฐานะสูงกว่าหวังอี้ป๋อและเซียวจ้านอย่างแน่นอน อีกทั้งตอนนี้เขากำลังง่วนอยู่กับการเขียนบางสิ่งบางอย่างลงบนกระดาษสีขาวด้วยพู่กัน


    เซียวจ้านพยายามชะเง้อมองข้ามไหล่ของหวังอี้ป๋อเพื่อดูข้อความในกระดาษว่าชายคนนั้นกำลังเขียนอะไรอยู่ แต่ก็ถูกหวังอี้ป๋อกระแอมเสียงดังจนตกใจ ทว่าคนที่กำลังนั่งเขียนอยู่นั้นกลับไม่มีท่าทีตกใจกระไรเลย ซ้ำยังเอ่ยปากถามขึ้นมาราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย


    "เจ้ามาทำอะไรที่นี่ในยามไฮ่** หรืออี้ป๋อ"


    "ท่านพี่จื่ออี้ พอดีว่าข้าพาเซียวจ้านมาหาท่าน เขาสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับอัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงและทางราชสำนักได้" หวังอี้ป๋อกล่าวและเบี่ยงกายของตนเองออกเพื่อให้เซียวจ้านประจันหน้ากับหวังจื่ออี้ แต่ร่างบางกลับกลัวจนเกาะไหล่แกร่งของเขาเอาไว้เสียแน่น และหลบหลังของอีกฝ่ายเพื่อพยายามหลบซ่อนกายของตนเองเอาไว้


    "อ้าว! เซียนพเนจรคนนั้นน่ะหรือ" หวังจื่ออี้ร้องพลางวางพู่กันลง "ออกมาเถอะ มิต้องกลัวกระไรดอก ไหนมาเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ว่าเรื่องราวมันเป็นเยี่ยงไร"


    เซียวจ้านเดินออกมาจากด้านหลังของหวังอี้ป๋ออย่างกล้าๆ กลัวๆ นี่คือวิธีหนี่งที่หวังอี้ป๋อใช้เพื่อที่จะลอบเชือดคอเขาทางอ้อมหรืออย่างไร ถึงบอกว่าเขาเป็นผู้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับทางราชสำนักและอัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตง ที่แท้แล้วอาจลงโทษเขากลายๆ เลยก็ว่าได้ เล่ห์เหลี่ยมช่างมีมากนักนะ!


    เข่าทั้งสองถูกย่อลงก่อนที่จะสัมผัสลงบนพื้นไม้ที่แสนจะเย็นเฉียบ ในตอนนี้เซียวจ้านอยู่ท่านั่งคุกเข่ากับพื้นราวกับสำนึกผิด โดยมีผู้คุมอย่างหวังอี้ป๋อยืนเต็มความสูงอยู่ข้างๆ เขา หากเขาเงยหน้ามองอีกฝ่ายนั้นย่อมพบกับสายตาเย็นชาที่มองลงมาก็เป็นได้ บัดนั้นเขาอาจจะขนลุกหรือรู้เย็นยะเยือกบริเวณสันหลังเป็นแน่แท้ เซียวจ้านวางไหสุราเอาไว้ข้างตัว ก่อนจะกำมือทั้งสองที่วางอยู่บนหน้าตักแน่นหลังจากที่วางสุราลงจากมือเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับเริ่มเล่านิทานอันแสนเศร้าของเขาให้หวังอี้ป๋อและหวังจื่ออี้ได้สดับฟัง


    "เมื่อหนึ่งปีก่อน ข้าสอบจอหงวนได้และรับราชการเป็นขุนนางฝ่ายในของตำหนักองค์จักรพรรดิ อีกไม่นานนักข้าก็ได้รับตำแหน่งเป็นองครักษ์ประจำตัวของพระองค์ เนื่องจากว่าองครักษ์ประจำตัวของพระองค์ก่อนหน้านั้นได้สิ้นชีพไปแล้ว และตำแหน่งนี้ก็ยังคงว่างอยู่ ด้วยความที่ข้านั้นต้องการหาเงินมาเลี้ยงปากท้องตนเอง ข้าจึงบอกกับพระองค์ว่าตัวข้าเป็นเซียนฝึกหัดและจะใช้พลังทั้งหมดที่มีในการคุ้มกันพระองค์อย่างสุดความสามารถ"


    เซียวจ้านกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ ก่อนจะเล่าต่อไปอีกครั้ง


    "องค์ฝ่าบาทนั้นมีใจเมตตากรุณาต่อข้ามาก พระองค์ได้มอบตำแหน่งองครักษ์ประจำตัวพระองค์ให้กับข้า ข้ารู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้รับตำแหน่งที่สูงกว่าขุนนางอื่นๆ ในวัง ข้าจึงลงมือทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทว่าเมื่อนั้นชะตาชีวิตก็เล่นตลกกับข้า เมื่ออัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงมีแผนการชั่วร้ายบางอย่างขึ้น เขาได้แทรกแซงอำนาจและได้ลอบสังหารพระองค์ในยามวิกาล แล้วก็ใส่ร้ายป้ายสีข้าจนข้าต้องหนีออกจากวังไปเพื่อหนีการจับกุมของทางการที่ตามล่าข้า"


    น้ำเสียงสั่นเครือของร่างบางดำเนินต่อไปจนกระทั่งเมื่อเล่าจบหมดแล้ว เซียวจ้านยกมือขึ้นมาจับหน้ากากของตนเองแต่ก็มิได้ถอดมันออกแต่อย่างใด พยายามชั่งน้ำหนักในความคิดว่าควรถอดมันออกหรือไม่ หากถอดมันออกแล้วจักเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นหรือ มันจะเลวร้ายไหม มันจะเป็นเรื่องดีไหม เขาก็มิอาจล่วงรู้ได้ สุดท้ายมือที่จับหน้ากากนั้นก็ปล่อยลงและเอามาแนบตักอีกครั้ง


    ภายในใจก็รู้สึกผิดที่ไม่เล่าทุกอย่างให้ผู้ที่อาวุโสกว่าฟัง นี่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของทั้งหมด โดยที่เขายังไม่ได้เล่าว่าเขามิได้ถูกไฟคลอกในวัยเด็ก อีกทั้งเขาได้ปลิดชีพตนเองไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้วและฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ด้วยฝีมือของใครบางคน พร้อมได้รับความสามารถมองเห็นด้ายแดงของตนเองและผู้อื่น สิ่งสุดท้ายคือเหตุผลที่ใส่ต้องหน้ากากนี้เพื่อหลบหนีการจับกุมของทางการและปิดใบหน้าของตนเอง มิต้องการให้ผู้อื่นต้องเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาและส่งทางการต่อไป


    หวังจื่ออี้ลูบคางของตนเองเมื่อฟังเรื่องราวของเซียวจ้านจบหมดแล้ว จึงโน้มกายมาด้านหน้าเพื่อพินิจพิเคราะห์บางอย่าง เซียวจ้านมองอีกฝ่ายผ่านหน้ากากที่ปิดเพียงแค่ใบหน้าส่วนบนของเขาอย่างฉงนสงสัย พลางคิดในใจว่าเหตุไฉนหวังจื่ออี้ถึงจ้องมาที่ตนเองราวกับจับผิดอะไรบางอย่าง นี่เขาเผยไต๋ให้หวังจื่ออี้รู้อย่างนั้นหรือ ไม่หรอก นี่อาจเป็นภาพหลอนในใจของเขากระมัง จึงทำให้หวาดผวาต่อสิ่งรอบข้างมากเกินไปเช่นนี้


    "อย่างนั้นหรอกหรือ" หวังจื่ออี้กล่าวพลางส่ายหน้าไปด้วย ก่อนจะเอนหลังให้กลับไปนั่งตัวตรงอีกครั้ง "ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอัครมหาเสนาบดีเหอเสวี่ยตงจักเป็นคนที่ชั่วช้าสามานย์เช่นนี้ ถึงกับใส่ร้ายป้ายสีเจ้าจนต้องหนีออกจากวังเพราะกลัวถูกสังหาร ช่างเป็นคนที่เลวทรามกระไรเช่นนี้"


    เซียวจ้าน "..."


    "ข้าเห็นใจเจ้ามากเลยนะ คุณชายเซียว" หวังจื่ออี้พูด "ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องราวของเจ้านั้นจะยากลำบากถึงเพียงนี้ ข้ารู้ว่าเจ้านั้นมิใช่คนไม่ดี เจ้าไม่กล้าทำเรื่องเลวทรามเช่นนั้นไปได้หรอก เพียงแค่ข้ามองลึกเข้าไปในดวงตาของเจ้า ข้าก็รู้ทันทีว่าเจ้านั้นพูดความจริง"


    เซียวจ้านทั้งรู้สึกขนลุกปนรู้สึกดีไปพร้อมๆ กัน เขาไม่รู้ว่าควรรู้สึกขนลุกกับคำพูดของหวังจื่ออี้ที่บอกว่ามองลึกเข้าไปในดวงตาทั้งสอง หรือว่าควรรู้สึกดีที่อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจเขาอีกหนึ่งคน มิใช่เพียงแค่หลิวเหวินจินคนเดียวกันแน่ แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมาให้เห็นนั้นคือการเผยยิ้มบางๆ ออกมาเท่านั้น


    "อย่างน้อยก็มีหลักฐานมัดตัวเหอเสวี่ยตง แล้วเรื่องปราบมารเล่า พวกเราจักทำเช่นไรดี"


    เซียวจ้านถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้


    "พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางไปที่หมู่บ้านเป่ยหูเพื่อสืบหาร่องรอยของมารทมิฬฉีลา" หวังจื่ออี้ตอบ "ที่แห่งนั้นมีพลังมารค่อนข้างมากกว่าหมู่บ้านตงจิง ผู้อาวุโสกล่าวว่าหมู่บ้านนั้นถูกบังบดไปด้วยเมฆหมอกสีดำ ซึ่งเป็นพลังของอำนาจมืด สิ่งที่หมู่บ้านเป่ยหูเหมือนกับตงจิงก็คือ ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ที่แห่งนั้นเลยสักคน"


    ขณะเดียวกันนั้นเองเซียวจ้านก็รู้สึกว่าสันหลังของตนเองนั้นเย็นวาบ เขารู้ว่าหมู่บ้านที่เขามาพบกับอนุชนตระกูลหวังเป็นครั้งแรกนั้นมีชื่อว่าหมู่บ้านตงจิง นอกจากนั้นคือเป็นหมู่บ้านร้าง ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่แม้แต่คนเดียว บทสนทนาของอนุชนตระกูลหวังที่เขาเคยได้ยินก่อนหน้านี้ลอยเข้ามาในความคิดทันที



    "พวกมารทมิฬเหล่านี้มาจากที่แห่งใดกัน เหตุใดถึงเข้ามาทำร้ายพวกชาวบ้าน"


    "มารพวกนี้น่ะมันจะสิงสู่และทำร้ายมนุษย์อย่างไม่ปรานี นับวันพวกมารยิ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกำจัดแทบไม่ไหว หากพวกเรายังสืบหาต้นตอของเรื่องทั้งหมดมิได้ แผ่นดินนี้จักล่มสลายแน่นอน"


    "เจ้าจักกลัวไปด้วยเหตุไฉนหรือ ในเมื่อตระกูลหวังของพวกเราที่เป็นเอกทางด้านปราบพวกมาร หากมีพลังมากน้อยแค่ไหนพวกเราก็ไปปราบให้ได้!"


    "เจ้าอย่าชะล่าใจไปหน่อยเลย นับวันมารพวกนี้ยิ่งมีอำนาจและพลังกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่แน่ สักวันพวกเราอาจเป็นเบี้ยล่างของพวกมันก็ได้"


    "หมู่บ้านแห่งนี้ก็ร้างผู้คนไปเสียแล้ว บ้านหลังนี้พวกเรามานั้นก็เป็นบ้างหลังสุดท้ายที่มีคนอยู่ ทว่าน่าเสียดายที่คนในบ้านถูกปีศาจกลืนกินและฆ่าตายไปแล้ว ช่างน่าเวทนาเสียยิ่งกระไร"


    "เอาละทุกคน! ภารกิจของพวกเราได้เสร็จสิ้นแล้ว กลับหวายหนานกันเถอะ"



    เป็นหมู่บ้านผีสิงอย่างนั้นหรือ แล้วชายตัดไม้ที่เราเห็นก่อนหน้านี้คือใครกัน เซียวจ้านคิดในใจพลางรู้สึกว่ากายบางนี้สั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ฟันบนล่างกระทบกันรัวๆ อีกทั้งยังรู้สึกว่าโลหิตที่อยู่บนใบหน้านั้นมีน้อยจนมันซีดไปหมด ในตอนนี้เขามิอาจควบคุมร่างกายนี้ได้อีกต่อไปแล้ว มีแต่ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นเท่านั้น


    "เจ้าเป็นอะไร" หวังอี้ป๋อก้มหน้าถาม


    เซียวจ้านเงยหน้ามองอีกฝ่ายพลางกลืนน้ำลาย "หมู่บ้านตงจิงนั้น...ร้างผู้คนใช่หรือไม่"


    "ใช่"


    "ข้าเห็นชายตัดไม้คนหนึ่ง" ร่างบางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทา


    "เจ้าเห็นร่างไร้วิญญาณชายตัดไม้หรือ" หวังจื่ออี้ลูบคาง "ฮึม...หรืออาจเป็นวิญญาณที่ตายแล้วและออกมาเตือนผู้ที่เดินเข้ามาในหมู่บ้านกระมัง เจ้าอย่าคิดมากไปเลย"


    "ข้ามิได้คิดมากหรอกขอรับ!" เซียวจ้านกล่าวตอบเสียงดังพลางส่ายหน้าไปมา "ข้าเพิ่งนึกสังเกตเห็นได้ว่าเขาตายไปแล้ว ร่างกายของเขาซีดเผือดมาก อีกทั้งข้ายังเห็นแป้นแดงๆ อยู่ด้านหลัง**ของเขาด้วย เขาเป็นศพ แล้วฟื้นคืนชีพมาได้เยี่ยงไรกัน หากมิใช่เพราะพลังมารในหมู่บ้านนั้นน่ะขอรับ"


    จบประโยคของเซียวจ้าน หวังจื่ออี้นิ่งเงียบไปสักครู่หนึ่งเพื่อคิดวิเคราะห์ เพราะเขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่เซียวจ้านเห็นนั้นจะเป็นศพที่ฟื้นคืนชีพ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากมากที่ศพจะฟื้นคืนชีพกลับมาโดยไร้มูลเหตุ ซึ่งอาจเป็นเพราะพลังมารที่มีมากอย่างที่เซียวจ้านกล่าวไปก็เป็นได้ เพราะหมู่บ้านแห่งนั้นก็มีแต่คนตายเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีข่าวลือเรื่องไอความตายและเหล่ามารทมิฬที่มีมากจนคร่าชีวิตของชาวบ้านจนหมด


    "สิ่งที่เจ้าพูดนั้นก็เป็นความจริง" หวังจื่ออี้พูดพลางวางมือลงบนโต๊ะเล็กที่อยู่ตรงหน้าเขา "ตั้งแต่ตอนที่ข้า อี้ป๋อกับอนุชนสกุลหวังคนอื่นๆ เข้าไปในหมู่บ้านแห่งนั้นก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของความตายและพลังมารเป็นจำนวนมาก พวกเราเองก็สรุปมิได้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนั้นมันเกิดจากสิ่งใด เหล่ามารเข้ามาทำร้ายชาวบ้าน หรือมีชาวบ้านคนใดคนหนึ่งถูกมารทมิฬเข้าสิงสู่และสังหารชาวบ้านคนอื่นๆ กันแน่ แต่ที่ข้าแน่ใจก็คือหมู่บ้านแห่งนั้นร้างผู้คน ไม่มีใครเหลือรอดเลยแม้แต่คนเดียว"


    เซียวจ้าน "..."


    "บัดนี้เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปนานมากแล้ว เรื่องนี้ไว้เราค่อยพูดคุยหารือกันทีหลัง เพราะพรุ่งนี้พวกเราต้องไปที่หมู่บ้านเป่ยหูเพื่อสืบหาเรื่องมารและดาบไร้ฆาตต่อไป พวกเราจะบุ่มบ่ามเข้าโจมตีฉีลากับเหอเสวี่ยตงที่เมืองหลวงมิได้ หากยังตามหาดาบไร้ฆาตของตระกูลหลิวไม่เจอ ดาบไร้ฆาตคือสิ่งเดียวที่จะปลิดชีพเหล่าอธรรมได้ และเรื่องนี้พวกเราตระกูลหวังต้องรบกวนเจ้าและแม่นางหลิวในการทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง ถึงแม้ว่ามันจะยากลำบาก แต่พวกเราต้องกำจัดเหล่ามารและอธรรมให้ออกไปจากแผ่นดินให้ได้ เพราะนี่คือเจตนารมณ์ของตระกูลหวังของเรา"


    ความรู้สึกขนลุกก็บังเกิดขึ้นกับคนตัวเล็กอีกครั้งเป็นรอบที่ล้าน หากแต่มิใช่ความรู้สึกขนลุกที่ว่าหวาดกลัวต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่เป็นคำพูดอันหนักแน่นของหวังจื่ออี้ที่มีต่อภารกิจอันใหญ่หลวงนี้ต่างหาก เซียวจ้านไม่เคยพบเคยเห็นเจตนารมณ์อันแรงกล้าเฉกเช่นหวังจื่ออี่มาก่อนเลยแม้แต่ผู้เดียว


    มือทั้งสองกำกางเกงสีดำแน่น พลางเม้มปากเป็นเส้นตรงเพื่อตกผลึกความคิดว่าเขาจะร่วมมือช่วยสกุลหวังหรือไม่ อย่างไรเสียน้ำหนักทางความคิดที่ว่าช่วยเหลือนั้นย่อมมีมากกว่า เพราะเขาเป็นคนๆ หนึ่งที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจากสังคม ซ้ำยังถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลวทรามจนแผ่นดินยังขยาดที่ลอบสังหารองค์จักรพรรดิทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำ อีกทั้งเหอเสวี่ยตงผู้ชั่วช้าสามานย์นั้นก็ยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่ในแผ่นดินนี้และกดขี่ข่มเหงชาวบ้านจนเดือดร้อนไปหมด เขาต้องกำราบอำนาจมืดนี้ออกไปจากแผ่นดินให้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม



    นี่คือชะตาชีวิตของเขาที่ต้องลงมือทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จลุล่วงให้ได้ ไม่ว่าตนเองจะต้องสิ้นลมหายไปกี่สิบรอบก็ตาม



    "เจ้ากลับห้องเถอะคุณชายเซียว" หวังจื่ออี้กล่าว "บัดนี้ก็ดึกมากแล้ว"


    เซียวจ้านลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ พร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นมาประสานกันและก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพ ก่อนที่จะหยิบไหสุราสามไหขึ้นมาและพร้อมที่จะเดินผ่านหวังอี้ป๋อออกไปจากห้องนี้ แต่ในขณะที่เขากำลังจะหมุนตัวและก้าวขาเดินออกไปนั้น เสียงของหวังจื่ออี้ก็ดังแทรกเข้ามาเสียก่อน


    "เดี๋ยวก่อนสิคุณชายเซียว" หวังจื่ออี้เรียก แต่เซียวจ้านมิได้หันกลับไปมองแต่อย่างใด "กฎของตระกูลหวังบอกเอาไว้ว่า หนึ่ง ห้ามออกท่องเที่ยวในยามราตรีกาล สอง ให้พำนักอยู่แต่ในห้องหลังยามซวี อย่าได้ริออกมาเด็ดขาด และสาม ห้ามนำสุราเข้ามาดื่มในเขตของบ้านตระกูลหวังเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องถูกคัดกฎห้าพันครั้งจบ ครบถ้วน ไม่ขาดไม่เกิน"


    โสตประสาททุกอย่างที่อยู่ในสมองของร่างบางนั้นหยุดทำงานชะงัก ร่างทั้งร่างเย็นเฉียบและซีดเซียวไม่ต่างจากศพชายตัดไม้ที่เขาเห็นไปเมื่อไม่นานมานี้ ไม่เคยคิดเลยว่าสองพี่น้องคู่นี้จะน่ากลัวเสียยิ่งกว่ามารทมิฬ อีกทั้งคำพูดนั้นยังเหมือนกันราวกับคัดลอกและท่องกันมา


    เซียวจ้านยืนอ้าปากค้างให้กับประตูที่เปิดออกโดยหวังอี้ป๋อจนเหล่าแมลงแทบจะบินเข้าไป มือทั้งสองที่ถือไหสุราฉางเอ๋อร์นั้นแทบจะปล่อยให้หลุดร่วงลงบนพื้น แต่จิตใต้สำนึกที่ยังมีอยู่บอกว่าอย่าปล่อยเป็นเด็ดขาดเพราะเสียดายสุราที่อุตส่าห์ลงไปซื้อมา หากปล่อยให้แตกก็สุดแสนจะน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง พยายามขยับขาทั้งสองให้เดินออกจากห้องก็เป็นไปได้ยากเหลือเกิน เซียวจ้านนึกอยากจะร้องไห้ออกมามากแต่กลับไม่มีน้ำตาให้ไหลออกมา จึงทำได้เพียงกู่ร้องไห้อยู่ในใจเท่านั้น



    คำสัตย์สาบานที่บอกว่าที่จะช่วยสกุลหวังนั้นขอลบเลือนหายไปได้หรือไม่ เขาไม่อยากจะลั่นสัตย์วาจาอะไรอีกต่อไปแล้ว!



    หวังอี้ป๋อที่เห็นว่าเซียวจ้านยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเหมือนศพแช่แข็ง จึงเอื้อมมือหนาไปดันแผ่นหลังบาง และเป็นดังที่เขาคาดเอาไว้ เท้าทั้งสองของเซียวจ้านก็ก้าวไปด้านหน้าสลับไปมาอย่างแข็งทื่อและลงน้ำหนักแรงจนไม้แทบหัก เมื่อออกมาด้านนอกเรือนมังกรหยกแล้ว หวังอี้ป๋อจึงหันไปเลื่อนปิดประตูให้กับพี่ชาย ก่อนจะหันไปดันหลังของเซียวจ้านเพื่อไปส่งที่ห้องต่อไป


    ในระหว่างทางที่ทั้งสองเดินไปตามทางเดินอยู่นั้น สายลมอ่อนๆ ก็พัดผ่านร่างของทั้งสองจนเรือนผมสีดำขลับที่ทิ้งตัวสยายกลางแผ่นหลังนั้นปลิวลู่ลมตาม เฉกเช่นผ้าสีขาวและดำของเสื้อผ้าที่ต่างคนต่างสวมใส่กันอยู่ในตอนนี้ บัดนี้สติของเซียวจ้านก็กลับคืนมาอีกครั้งและเดินได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีหวังอี้ป๋อช่วยดันหลังอีกต่อไปแล้ว


    ใช้เวลาไม่นานนักหวังอี้ป๋อก็มาส่งเซียวจ้านถึงห้อง เมื่อร่างบางพ้นเขตอันตรายและห่างจากอีกฝ่ายแล้ว จึงรีบเอื้อมมือไปเลื่อนเปิดประตูและแทรกกายเข้าไปข้างในห้อง แต่ก็หมุนตัวมาประจันหน้ากับอีกฝ่ายพร้อมกับกล่าวขอบคุณที่มาส่งถึงห้อง


    "ขอบคุณท่านหวังอี้ป๋อมากที่มาส่งข้า แต่จริงๆ แล้วท่านไม่ต้องมาส่งข้าก็ได้นะ" เซียวจ้านกล่าว "ข้าเดินกลับห้องได้เอง"


    หวังอี้ป๋อ "..."


    เซียวจ้าน "เรื่องคัดกฎของสกุลหวัง ข้าจะพยายามคัดให้จบนะ"


    หวังอี้ป๋อ "..."


    เซียวจ้าน "มีใครบอกท่านหรือเปล่าว่าท่านเป็นคนที่เย็นชาและน่ากลัวมาก"


    หวังอี้ป๋อ "ไม่ใช่เรื่องของเจ้า"


    เซียวจ้าน "..."


    เซียวจ้านเลื่อนปิดประตูห้องอย่างช้าๆ ใบหน้าของหวังอี้ป๋อก็เลือนหายไปตามที่ประตูที่เลื่อนปิดลง เขายืนอยู่หน้าประตูเงียบๆ สักพักก่อนจะหันตัวกลับ วางสุราสามไหลงบนโต๊ะสีน้ำตาลเข้มและถอดรองเท้าออก ก่อนที่จะล้มตัวนอนลงบนตั่งนอนอย่างหมดอาลัยตายอยาก นี่เขาจะต้องคัดกฎของสกุลหวังเป็นหมื่นจบอย่างนั้นหรือ เขาขอลากหลิวเหวินจินและพากันหนีออกไปจากบ้านสกุลหวังแล้วไม่กลับมาเลยจะได้หรือไม่! เขาไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว! ที่นี่น่ากลัวและเข้มงวดยังกับนรกแดนโลกีย์! ที่นี่เป็นบ้านหรือเป็นห้องขังนักโทษกันแน่! จะบ้าตาย!


    เงาของหวังอี้ป๋อที่อยู่ด้านนอกห้องนั้นก็หายไปแล้ว แสดงว่าเขาคงเดินออกไปแล้วสินะ เซียวจ้านคิดในใจในขณะที่เหลือบมองที่ไปที่ประตูห้อง อยากจะบ้าตาย! เขาเป็นคู่แท้ของเราจริงๆ ใช่ไหม นี่มิใช่การเดาสุ่มเรื่องเนื้อคู่ใช่ไหม เหตุใดเขาถึงมีวาจาที่เชือดคอคนและน่ากลัวเช่นนี้กันนะ


    คนตัวเล็กกู่ร้องไห้ในใจอีกครั้งพร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นมาปิดหน้าของตนเอง ขณะนั้นแสงเทียนที่ถูกจุดในห้องก็ดับลงเพราะเขาเป่าลมหายใจออกมา เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนั้นดับมืดลงหมดแล้ว เซียวจ้านก็ดำดิ่งลงสู่ห้วงนิทราโดยไม่รู้ตัว วันนี้ช่างเป็นวันที่ทรหดสำหรับเขาเหลือเกินหลังจากที่ฟื้นคืนชีพมาแล้วเกือบๆ สองวัน



    แต่อย่างน้อยเขาก็ได้พบกับบุพเพสันนิวาสผ่านด้ายแดงที่มัดข้อเท้าแล้วล่ะนะ



    ++



    และแล้ววันต่อมาที่เซียวจ้านไม่อยากจะให้ถึงก็มาถึงในที่สุด เหล่าอนุชนสกุลหวังนั้นตื่นนอนแต่เช้าและเตรียมตัวเพื่อที่จะออกเดินทางไปสู่หมู่บ้านเป่ยหู ซึ่งเป็นจุดหมายของพวกเขาที่จะต้องเก็บรวบรวมหลักฐานทั้งหมดเพื่อตามหาดาบไร้ฆาตที่หายไป


    วันนี้เซียวจ้านกับหลิวเหวินจินถูกอนุชนสกุลหวังคนอื่นๆ มาเคาะปลุกที่ห้องเพื่อให้ตื่น ยิ่งอนุชนคนหนึ่งที่ปากจัดเหมือนกรรไกรนั้นก็บ่นไปด้วยเคาะประตูไปด้วย จนทำให้คนที่อยู่ในห้องอย่างเซียวจ้านและหลิวเหวินจินนั้นรู้สึกรำคาญเป็นอย่างมากกับความปากจัดเหมือนกรรไกรของอนุชนสกุลหวังคนนั้น ทั้งเขาและนางต่างก็ออกมาจากห้องด้วยสีหน้าที่คิ้วขมวดเป็นปมด้วยความหงุดหงิด มิใช่เพราะถูกรบกวนการนอนแต่อย่างใด หากแต่เป็นเสียงบ่นกระปอดกระแปดอันน่ารำคาญต่างหาก


    เหล่าอนุชนตระกูลหวังต่างก็ขึ้นขี่ม้าคู่กายของตนเอง และออกเดินทางจากหวายหนานขึ้นไปทางเหนือเพื่อตรงไปยังหมู่บ้านเป่ยหูตั้งแต่เช้ามืด ทว่าการออกเดินทางตั้งแต่เช้านั้นทำให้คนที่ไม่เคยตื่นเช้าถึงเพียงนี้มาก่อนอย่างเซียวจ้านและหลิวเหวินจิน ซึ่งต่างคนต่างก็สัปหงกด้วยความง่วงงุนบนหลังม้าจนเกือบจะตกลงไป หากไม่มีอนุชนสกุลหวังบางคนเข้ามาสะกิดให้ตื่น ป่านนี้ทั้งสองคงตกจากหลังม้าและหน้าฟาดพื้นไปแล้วกระมัง


    "ตอนนี้คือยามกระไรแล้วหรือนี่"


    หลิวเหวินจินถามในขณะที่ดวงตาทั้งสองกำลังปิดอยู่


    "ยามเหม่า****แล้วแม่นาง" หวังเจี้ยนเฉิงตอบนาง


    หลิวเหวินจินถามต่อ "นี่เราต้องออกเดินทางเช้าถึงเพียงนี้เลยหรือ"


    "ออกเดินทางในกาลนี้ย่อมเป็นผลดี! เพราะพวกมารจะไม่ออกทำร้ายผู้คนในตอนกลางวัน! คนขี้เกียจสันหลังยาวอย่างพวกเจ้าทั้งสองนั้นเอาแต่สัปหงก! เช่นนี้จักไม่เห็นความสำคัญของการออกเดินทางแต่เนิ่นๆ ได้อย่างไร!"


    "หวังเยี่ยนเฉิน! เจ้าพูดเช่นนี้ได้เยี่ยงไร!" อนุชนสกุลหวังคนหนึ่งกล่าวเสียงดัง "นางมิรู้กฎของสกุลหวังว่าต้องเตรียมพร้อมเสมอ! นางเพิ่งออกรบกับพวกเราเป็นครั้งแรก! เหตุไฉนเจ้าถึงถือสาเรื่องนี้นัก!"


    "ข้าพูดความจริง! หวังฮ่าวเซวียน!" หวังเยี่ยงเฉินโต้ตอบ "ผู้ใดที่เข้ามาอยู่ในบ้านสกุลหวังควรรู้กฎของพวกเรา! ไม่ควรมีการละเว้นเด็ดขาด! หากเป็นเช่นนั้นแล้วเหตุใดตอนที่พวกเขามาที่หวายหนานครั้งแรกผู้อาวุโสพูดเสียงดังเลยว่า ห้ามให้ผู้ใดที่มิใช่คนในสกุลหวังเข้ามาที่หวายหนานเด็ดขาด! เจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร!"


    "ข้าได้ยิน! แต่เจ้ามิเห็นต้องพูดจาแรงๆ ใส่นางเช่นนั้นเลยนี่! นางเป็นสตรีนะ!"


    "คนเราควรต้องเตรียมพร้อมเสมอ!"


    "พอได้แล้ว! พวกเจ้าทั้งคู่นั่นแหละ!" หวังจื่ออี้ตะโกนตอบเพื่อยุติการโต้เถียงดุเด็ดเผ็ดร้อนของอนุชนทั้งสอง เพราะตอนนี้อนุชนคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกรำคาญที่ฟังเสียงตะโกนโหวกเหวกไปมาที่ต่างคนต่างก็ไม่มีใครยอมใคร แต่เมื่อทั้งสองกำลังจะเอ่ยปากเถียงกันอีกครั้ง ริมฝีปากบนและล่างของทั้งสองก็เม้มเข้าหากันแน่นและไม่สามารถส่งเสียงใดออกมาได้เลย ทำได้เพียงแค่ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอไปมาเท่านั้น


    ในขณะนั้นเองหญิงสาวก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า มือทั้งสองกำบังเหียนแน่นเพื่อระบายอารมณ์ พยายามใช้ความนิ่งสงบสยบทุกความเคลื่อนไหว เพราะนางมิต้องการเสวนาและชี้หน้าด่าอีกฝ่ายให้เปลืองน้ำลายเปล่าๆ ถึงแม้ว่าในใจของนางนั้นจะพ่นคำด่าหูดับตับไหม้รัวๆ ไปแล้วก็ตาม


    เซียวจ้านที่เห็นภาพเช่นนั้นจึงเอื้อมมือไปลูบหลังนางเพื่อบอกให้นางใจเย็นลง หลิวเหวินจินพ่นลมหายใจเข้าออกเสียงค่อนข้างดัง เมื่อนางได้รับคำปลอบโยนราวกับน้ำเย็นของเซียวจ้านแล้ว เพลิงอย่างนางนั้นก็สงบลงทันทีหลังจากที่เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ถึงแม้ว่าอารมณ์โกรธจะเย็นลงแล้ว แต่ความไม่พอใจที่หวังเยี่ยนเฉิงกล่าวมานั้นยังคงมีอยู่และคุกรุ่นอยู่ในใจ


    "ใจเย็นๆ เถอะนะแม่นาง ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังเอง" หวังเจี้ยนเฉิงพยายามพูดเกลี้ยกล่อมนาง "หมู่บ้านเป่ยหูอยู่ทางตอนเหนือและใช้เวลาเดินทางค่อนข้างมาก หากเราล่าช้าในการออกเดินทางเราอาจไปถึงในยามค่ำคืน บัดนั้นจักอันตรายยิ่งนัก"


    "อย่างนั้นหรอกหรือ"


    หลิวเหวินจินพยักหน้าสองสามครั้งก่อนจะหันกลับไปทางเดิม ขณะเดียวกันนั้นเองเซียวจ้านก็ยื่นไหสุราฉางเอ๋อร์ที่เขาลำบากบนไปซื้อด้วยตัวเองให้กับนาง หญิงสาวมองไหสุราด้วยความฉงนสงสัยพร้อมกับหันมามองเซียวจ้าน ก่อนจะถามออกไปด้วยเสียงกระซิบและความสงสัยยิ่ง ไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายบ้าบิ่นถึงขนาดที่ว่าฝืนกฎและออกไปสุราด้านนอกในยามวิกาลถึงเพียงนี้


    "ท่านไปซื้อมาแล้วหรือ"


    เซียวจ้านพยักหน้า


    "แล้วถูกจับได้ไหม"


    เซียวจ้านลังเลสักพักหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเพื่อบอกว่าไม่ถูกจับได้ แต่หลิวเหวินจินนั้นไม่เชื่อ นางหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างจับผิดและไม่ละสายตาไปที่ไหน อีกทั้งยังไม่รับไหสุราจากมือของเซียวจ้านอีกด้วย สุดท้ายแล้วเมื่อถูกกดดันจากทางสายตามากขึ้นเรื่อยๆ เซียวจ้านจึงยอมรับความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น


    "ใช่! ข้าถูกจับได้! พอใจหรือยัง!"


    "ไม่อยากจะเชื่อว่าท่านจะบ้าบิ่นถึงเพียงนี้" นางกล่าวพลางส่ายหน้าไปมา "แล้วใครจับท่านได้คาหนังคาเขาล่ะ หวังอี้ป๋อหรือ"


    ร่างบางย่นคอลงพลางหันหน้าไปทางอื่น นี่นางมีดวงตามองทะลุฝาผนังและมองเห็นทุกอย่างได้หรืออย่างไร เหตุไฉนจึงรู้ว่าหวังอี้ป๋อนั้นเป็นคนที่จับได้ อีกทั้งยังไล่บี้จนหนีเกือบไม่รอด เขาล่ะเกลียดยิ่งนักกับคนที่รู้ทันทุกอย่างเช่นนี้น่ะ เมื่อถูกนางทายถูกอีกคราหนึ่งเขาก็ต้องยอมรับอีก เพราะถ้ายังดันทุรังโกหกต่อไปก็ไม่แนบเนียนอยู่ดี


    "ใช่"


    นางเดาะลิ้น "ว้าว! ดูท่าทางท่านจะเหนื่อยไม่ใช่ย่อยเลยนะนี่! หวังอี้ป๋อน่ากลัวเช่นนี้ท่านต้องหนีอย่างเอาเป็นเอาตายแน่นอน"


    "จะเอาไหมสุรา" เซียวจ้านพูดตัดบทพร้อมกับแกว่งไหสุราไปมาอย่างหมดอารมณ์ "ข้าฝ่าฟันอุปสรรคและซื้อสุรามาสามไห ข้าจะดื่มสองไหส่วนอีกไหข้าให้เจ้า จะเอาหรือไม่เอา หากเจ้าไม่เอาหรือไม่อยากได้งั้นข้าก็จะดื่มมันแทน"


    "เฮ้อ..." หลิวเหวินจินถอนหายใจ "ในเมื่อท่านอุตส่าห์ฝ่าฝืนกฎของสกุลหวังและลงไปซื้อมาให้ข้าไหหนึ่ง หากไม่รับก็เสียมารยาท หากเป็นเช่นนั้นแล้ว...ข้าต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ ข้าจะรับเอาไว้"


    นางเอื้อมมือไปรับสุราจากมือของเซียวจ้าน ก่อนจะเปิดผ้าสีขาวที่เป็นจุกปิดไหออกและดื่มเข้าไปอึกใหญ่ ร่างบางเห็นดังนั้นจึงดึงสุราออกมาจากเชือกที่มัดติดอยู่กับอานนั่งของเสี่ยวอิงเถา มือข้างที่ว่างก็เอื้อมไปดึงผ้าสีขาวออกและกระดกสุราเข้าปากไปเมื่อรู้สึกคอแห้งขึ้นมา


    "สุราฉางเอ๋อร์มีรสชาติดียิ่ง! " นางอุทาน "มิน่าล่ะท่านถึงชื่นชอบนัก!"


    ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะกระดกสุราเข้าปากอีกครั้ง ทันใดนั้นเองริมฝีปากบนล่างของนางก็เม้มเข้าหากันแน่น พยายามใช้แรงของตนเองเปิดปากออกแต่ก็เป็นไปได้ยากนัก ตอนนี้นางทำได้เพียงส่งเสียงในลำคอเท่านั้น ซึ่งมิใช่เพียงแค่นางคนเดียวที่เป็นเช่นนี้ เซียวจ้านก็เช่นกัน


    "อื้อ! อื้อๆๆๆๆ!" เซียวจ้านส่งเสียงร้องในลำคอ "อื้อ!"


    หลิวเหวินจินส่ายหน้าไปมาอย่างแรง "อื้ม! อื้อๆๆๆๆ อื้ออออ!"


    "พวกเจ้าสองคนถูกคาถาปิดปากเข้าให้แล้วล่ะ" หวังเจี้ยนเฉิงกล่าวขึ้นมาโดยที่มิได้หันไปมองเซียวจ้านกับหลิวเหวินจิน สองสหายที่ได้ยินเสียงของหวังเจี้ยนเฉิงนั้นก็หันไปมองเขาพร้อมกับโดยมิได้นัดหมาย "ต้องรอสักพักคาถาถึงจะสลายตัวไป แล้วก็กฎของตระกูลหวังกล่าวเอาไว้ว่า ห้ามดื่มสุราในขณะที่ออกเดินทางเด็ดขาด มิเช่นนั้นจักถูกคาถาปิดปากลงโทษ"


    ทั้งเซียวจ้านและหลิวเหวินจินต่างก็มองหน้ากันและกันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะส่งเสียงร้องออกมา "อืออื้อออออออ! อื้อ! อื้อๆๆๆๆ! อื้ออออออออ!!"



    ขณะเดียวกันนั้นเองหวังอี้ป๋อกระตุกยิ้มออกมาเมื่อรับรู้ว่าตอนนี้เกิดเหตุการณ์ใดขึ้น ซึ่งทำให้คนที่กำลังควบม้าอยู่ข้างๆ อย่างหวังจื่ออี้นั้นก็รู้ทันทีว่าใครเป็นคนร่ายคาถาปิดปากสี่สหายนี้





    #ด้ายแดงป๋อจ้าน





    ________________________

    *ที่ปรึกษา

    **ช่วงเวลาระหว่าง 21.00 - 22.59 น.

    ***รอยสีแดงคล้ำบริเวณผิวหนังด้านล่างของศพ อันเกิดจากการที่เลือดตกตามแรงโน้มถ่วงหลังจากที่หัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิต

    ****ช่วงเวลาระหว่าง 05.00 - 06.59 น.



    TBC. [15.10.2019]

    สวัสดีค่าทุกคน มาพบกับตอนใหม่ของด้ายแดงป๋อจ้านแล้วนะคะ ก่อนอื่นเลยคืออยากบอกว่าช่วงนี้เราอาจจะมาต่อฟิคเรื่องอื่นๆช้าหน่อยนะคะ เนื่องจากว่ารร.เราเปิดเทอมสองแล้ว กิจกรรมก็ค่อนข้างมากและอาจจะมาอัพบ้างไม่อัพบ้างนะคะ แล้วก็ช่วงนี้เราเองก็มีปัญหาทางด้านสุขภาพจิตพ่วงตามมาอีกด้วย หมดกำลังใจและแรงจูงใจในการทำอะไรหลายๆอย่าง มีอาการซึมๆในบางครั้ง รวมไปถึงเริ่มเบื่อกับงานอดิเรกที่ทำอยู่ด้วย ซึ่งเราเองก็ไปทำทดสอบและมีแนวโน้มว่าเป็นสภาวะซึม แต่ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เพราะเราจะพักรักษาและชาร์จแบตให้กับตัวเองก่อนที่กลับมาแต่งฟิคอีกครั้งหนึ่งค่ะ เราจะกลับมาอีกแน่นอน เพราะฉะนั้นสบายใจได้เลยค่ะ! (ยกนิ้วโป้ง)

    ไม่เครียดกับทอร์คละๆ เข้าสู่ช่วงบันเทิงดีกว่า 555555

    อยากบอกว่าตอนนี้ก็แต่งค่อนข้างนานเหมือนกันเพราะแต่งกลอนแปดไปด้วย ภาษาที่ใช้ก็กากมากเลยข่ะขุ่นพี่ ไร้ซึ่งความไพเราะเพาะพริ้ง จะบ้าตาย 55555555

    เอ็นดูจ้านเกอมากค่ะเพราะโดนป๋อตี้เบรกจนหน้าทิ่มพื้น โดนไล่บี้ไม่พอยังโดนทั้งพี่ชายและน้องชายสั่งให้คัดกฎอีก โอ้ยขุ่นทั่นเอ้ยยยย น่ากลัวแบบนี้แล้วจ้านเกอจะกล้าเข้าหาไหมเนี่ย 5555555 แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ วิถีคนซึนของทั่นก็สามารถชนะใจจ้านเกอได้แน่นอนค่ะ ความซึนของป๋อบวกกับความซนของจ้านเกอนั้นรับรองว่าฮากระจายแน่นอน! (ยกนิ้วโป้ง)


    สุดท้ายก็อย่าลืมติดตามเรื่องนี้เพื่อรออ่านเนื้อเรื่องตอนต่อไปด้วยนะคะ ที่สำคัญอย่าลืมเฟบ โหวต กดให้กำลังใจ สกรีมฟิคในทวิตเตอร์และคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังให้ไรเตอร์และป๋อตี้จ้านเกอของเราด้วยนะคะ ><

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×