ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ข้อมูล(ไม่)ทั่วไปในนิทานพื้นบ้าน-วรรณคดี

    ลำดับตอนที่ #5 : รวบศาสตร์วิชาชุบชีวิตที่ปรากฏในนิทานพื้นบ้านและวรรณคดี ศาสตร์วิชา“สัญชีวนีวิทยา(วิชาที่ทำให้ไม่ตาย)”

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 338
      1
      31 ธ.ค. 64

    จาก ศาสตร์วิชา“สัญชีวนีวิทยา(วิชาที่ทำให้ไม่ตาย)”

    ความหมายของ มนตร์สัญชีวนี นี้ค่อนข้างกว้าง วิชาที่ทำให้ไม่ตายตามหลักสูตรโบราณแบ่งได้
    ๕ สาขาวิชา ดังนี้


    ๑.น้ำทิพย์(Divaya Water) หลังจากการค้นคว้าและตีความร่วมกันของ นาคพิกลจริตและพี่ปู่จ้าวสามเศียร(ไตรศิระ) เราได้พบวิชาสัญชีวนีวิทยา หลังจากการเทียบกับสาขาอื่นๆแล้ว เราได้จัดให้วิชาใหม่นี้เป็นวิชาพื้นฐาน

    แต่ก่อนอื่น เราขอแจ้งให้ทราบถึงศพลักษณะต่างๆและร่างที่ใช้ในวิชาระดับต่างๆ

    ๑.ศพที่ยังไม่เน่าไม่อืด ตายได้ไม่นานนัก(ต่ำสุด)
    ๒.ซากโครงกระดูก เศษเถ้าผงอัฐิ ชิ้นส่วนเศษเนื้อแผ่นหนังเก่าเก็บ
    ๓.ฅนเป็นๆมีวิชาพอสมควร
    (ข้อ๑กับ๒ คือ พวก ศพ๙ประเภท)

    ป่าช้า ประกอบด้วยศพ๙ประเภท ดังนี้

    ๑.ซากศพที่ตายได้แล้ว๑วัน
    ๒.ซากศพที่ถูกพวก(นกและ)กาจิกกิน
    ๓.ซากศพที่มีแต่ร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือดติดอยู่ ยังมีเอ็นร้อยรัด
    ๔.ซากศพที่ไม่มีเนื้อ แต่ยังเปื้อนเลือด ยังมีเอ็นร้อยรัด
    ๕.ซากศพที่ไม่มีเนื้อและเลือดติดอยู่ แต่ยังมีเอ็นร้อยรัด
    ๖.กระดูกที่ไม่มีเส้นเอ็นร้อยรัด
    ๗.กระดูกขาวดังสีสังข์
    ๘.กระดูกที่รวมอยู่เป็นกองค้างปี
    ๙.กระดูกผุแหลกเป็นผุยผง
    เราคาดว่า ศพที่พวกเวตาลบังคับใช้ได้น่าจะอยู่ในข้อ๑-๒(แต่สำหรับสัญชีวนีวิทยาแล้ว ศพแบบไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้น)

    และวิชาน้ำทิพย์ที่พบใหม่นี้ เราพบจาก รามเกียรติ์ เป็นตอนที่นางมณโฑเสกน้ำทิพย์ให้ทศกัณฐ์ทำศึกครั้งที่๔ เนื้อหาพิธีมีดังนี้
    วิชานี้ ใช้พรมใส่สิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วให้กลับฟื้นคืน “รูปกาย” อีกครั้ง หมายถึง ฟื้นมาแต่ร่างกาย เป็นผีดิบที่จะทำตามคำสั่งของผู้ที่ชุบร่างคืนให้เท่านั้น

    ลักษณะโรงพิธี

    โรงพิธีนั้นต้องมีหม้อน้ำทอง โรงพิธีปลูกในเวลาค่ำตั้งอยู่นอกประตู(เมือง?)ทิศอีสาน(ตะวันออกเฉียงเหนือ) ประดับด้วยธงฉัตรดัดเพดาน มีม่านทองล้อมมิดชิด พร้อมจัดเครื่องพลีกรรมประจำทิศ ที่สำคัญ ไม้ที่ใช้ปลูกโรงพิธี(ทั่วๆไป)ต้องตัดจากบริเวณใกล้เคียงและใช้แบบครั้งต่อครั้งเท่านั้น!
    โรงพิธีนี้มีเฉลียงสูงเสมอประตู โรงพิธีมี๑๗ห้อง(เลข๑๗คือ พุธ หมายถึง ความคล่องว่องไว) หลังคาโรงเป็นสีแดงแย่งทอง ติดลำยองช่อฟ้าบราลี โขมพัตถ์ดัดเต็มเพดานสีขาว มีเดือนดาวเนาวรัตน์จำรัสศรี(แก้ว๙ประการแทนดาว๙ดวง?) ห้อยระย้าพรอยแพรวแก้วมณี มีพวงผกามาลีนานาพรรณ ราชวัติฉัตรทองและเบญจรงค์ทรงเครื่องจัดไว้ลดหลั่นกัน มีการวงสายม่านทองและตั้งบัลลังก์อาสนะลาดพรมเจียม หม้อน้ำสำหรับทำทิพยมนตร์นั้นตั้งบนเตียงมณีสี่เหลี่ยม เครื่องบูชาเตรียมตามธรรมเนียมโบราณ

    ขั้นตอนการทำพิธี

    ก่อนประกอบพิธีใดๆต้องอาบน้ำทุกครั้ง
    นางมณโฑ(ฝ่ายหญิง)ก็ต้องใช้ประคำนับมนตร์และปฏิบัติตนแบบดาบสินี(พิธีนี้นุ่งผ้าขาว) เมื่อถึงโรงพิธีให้ขึ้นแท่นแก้วมณีจุดธูปเทียนทองทันที แล้วหยิบข้าวตอกดอกไม้มาโปรย จากนั้นพนมมือเหนือศีรษะนึกถึงผู้ประสาทวิชา ตั้งสมาธิสำรวมกายร่ายเวทวิทยา
    ข้อห้ามสำคัญตาท้องเรื่องคือ หญิง๓ผัวทำพิธีไม่ได้!
    อาจกระท่อนกระแท่นไปนิด เพราะตรงที่แปลไม่ได้เราละไว้เป็นคำกลอน(ลองไปคิดเองนะ)

    ๒.น้ำอมฤต(Elixir)

    *อนึ่ง น้ำอมฤตนี้มี ๒ แบบ คือ แบบกิน กับแบบชุบชีวิต ซึ่งมีทั้งการพรมใส่ศพ และการพ่น(จากปาก)ใส่ศพ

    *บ้างว่า น้ำอมฤต คือ น้ำมันดิบ ใช้ทาถูร่างศพแล้วจะฟื้น

    *พืชเหล่านี้เป็นยารสเย็น ความหวานเย็นนี้น่าจะหมายถึงรสเย็นหวานซ่าคล้ายรสมินท์ ที่เมื่อประพรมรึพ่นออกจากปากจะเป็นละอองเย็นวาบไปต้องถูกศพและศพนั้นจะดูดซับละอองยาจนฟื้นขึ้นได้นั่นเอง

    โดยทั่วไป ส่วนต่างๆของพืชสมุนไพรที่นำมาทำยาได้จะมีอยู่ ๑๐ จุด(กัฏฐยักขะ) ดังนี้

    ๑.มูลคันโธ ราก(เหง้า)หอม
    ๒.สารคันโธ แก่นหอม
    ๓.เผคคุคันโธ กระพี้หอม
    ๔.ตจคันโธ เปลือกหอม
    ๕.ปปฏิกาคันโธ สะเก็ดหอม
    ๖.รสคันโธ ยางหอม
    ๗.ปัตตคันโธ ใบหอม
    ๘.ปุปผคันโธ ดอกหอม
    ๙.ผลคันโธ ผลหอม
    ๑๐.สัพพคันโธ สรรพหอม(น่าจะหมายถึงต้นไม้ที่มีกลิ่นทั้ง๙ส่วนอยู่ในต้นเดียว)

    รายละเอียดเพิ่มเติม หาได้จาก
    ที่อยู่ของเหล่ารุกขเทวดา ๑๐ ตำแหน่ง
    ส่วนวิธีใช้สมุนไพรชุบชีวิตนั้น คือ เคี้ยวส่วนรากยาของพืชนั้นแล้วพ่น(จากปาก)ใส่ศพ

    อีกสูตรหนึ่งของพืชสมุนไพรชุบชีวิต ปรากฏอยู่ในรามเกียรติ์ ตอน พระลักษณ์ถูกหอกโมกขศักดิ์ เป็นการรวมตัวยาสมุนไพร ๔ ชนิดนำมาบดรวมกันผสมกับน้ำตามตำราแล้วนำมารดลงตรงแผลที่ถูกหอกแทง ซึ่งสูตรยาคร่าวๆ มีดังนี้

    กำเนิดยา สังกรณี-ตรีชวา ที่รักษาบาดแผลพระลักษมณ์จากหอกโมกขศักดิ์ของพระยายักษ์กุมภกรรณ

    เรียกว่า ต้นยาสี่วิสุทธิ์

    ต้นยา ต้นที่ ๑ วิศัลยกรณี(Vishalyakarani) - สรรพคุณด้านการถอนอาวุธและขับพิษที่ตกค้างแทรกซึมอยู่ในร่างกาย
    ต้นยา ต้นที่ ๒ มฤตสัญชีวนี(Mrithasanjeevani) - สรรพคุณด้านการทำชีวิตให้กลับฟื้น
    ต้นยา ต้นที่ ๓ สันธยาณี(Sandhayani/Sandhanakarani) - สรรพคุณด้านการเยียวยาบาดแผลให้หายสนิท
    (สามต้นแรกนี้ เรียกว่า ตรีชวา เพราะ ตรี-สาม ตรีชวา คือ คำเรียกกลุ่มสมุนไพร ๓ ชนิด)
    ต้นยา ต้นที่ ๔ สวรรณกรณี(สังกรณี-Savarnyakarani แปลว่า สมุนไพรที่ทำให้(ผิว)ราบเรียบเสมอกัน) - สรรพคุณด้านการรักษาบำรุงผิวพรรณให้แช่มชื่นคืน


    ยาเหล่านี้ต้องเรียกชื่อ จะส่งเสียงขานรับ แต่ด้วยสมุนไพรเหล่านี้มีลักษณะคล้ายต้นแมนเดรก(Mandrake)และโสมมนุษย์ สมุนไพรเหล่านี้จึงไม่อยู่นิ่ง เมื่อขานตอบแล้วก็จะหนี(แทรกธรณี?)ไปซ่อนตามที่ต่างๆในภูเขา พอขานตอบเสียงเรียกชื่อแล้วก็ดำดินหนี หนุมานเรียกตีนเขามันขานตอบเสร็จก็ขึ้นไปยอดเขา พอหนุมานขึ้นไปเรียกที่ยอดเขามันก็ขานตอบแล้วลงมาอยู่ตีนเขา หนุมานมึนงงไม่สามารถเก็บสมุนไพรได้จึงต้องต้อนใช้หางพันรอบภูเขาเพื่อต้อนต้นยาทั้งหมดขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อจับตัว

    พิเภก เป็นผู้ปรุง โดยบดยาทั้งหมดให้ละเอียดแล้วใช้น้ำจากแม่น้ำ ๕ สาย(ปัญจมหานที)เป็นกระสาย ใช้คุณพระพรหม เป็นบทเสกก่อนก่อนนำยามาลูบลงแผล

    ยังมีน้ำอมฤตอีกสูตรหนึ่งเป็นสูตรเล็ก ไม่ได้ใช้ในการชุบชีวิตแต่ใช้ในการสมานแผลอย่างฉับพลันทันที โดยรายละเอียดของยาสูตรนี้ซ่อนซ้อนอยู่ในตำนานของ"ท้าวกกขนาก" ซึ่งระบุว่า นางนงประจันทร์ผู้เป็นบุตรสาวของท้าวกกขนากนั้นต้องการน้ำส้มสายชูเพื่อไปถอดศรพระรามที่ปักอยู่บนอกของบิดานาง ตามการวิเคราะห์แล้ว น้ำส้มสายชูที่จะใช้ในการนี้ได้ ไม่น่าจะเป็นแค่น้ำส้มสายชูธรรมดา แต่จะต้องเป็นน้ำส้มสายชูที่เกิดจากการหมักดองของสมุนไพรวิเศษจึงจะมีอำนาจในการถอดถอนอาวุธวิเศษให้เสื่อมอำนาจและหลุดออกมาได้ เมื่อเทียบกับกรณีการรักษาบาดแผลของพระลักษมณ์ด้วยสังกรณี-ตรีชวาแล้ว เป็นไปได้ว่า สมุนไพรวิเศษที่ถูกนำมาหมักดองเพื่อทำน้ำส้มสายชูทิพย์สำหรับถอดศรนี้ น่าจะมีอยู่ทั้งหมด ๓ ชนิดด้วยกัน คือ

    ต้นยา วิศัลยกรณี
    ต้นยา สันธยานี
    ต้นยา สวรรณกรณี

    การที่ไม่ใช้ต้นยา มฤตสัญชีวนี-ทำชีวิตให้กลับฟื้นต้นยา เป็นส่วนประกอบนั้น เป็นเพราะว่า ตัวท้าวกกขนากในเวลานั้นยังไม่อยู่ในอาการที่ถูกเรียกว่าตายไปแล้วนั่นเอง ดังนั้น จึงขอจัดน้ำส้มสายชูทิพย์นี้ เข้าเป็น๑ในสูตรตำรับน้ำอมฤตด้วยเช่นกัน

    นอกจากนี้ น้ำอมฤตยังสามารถใช้ดื่มได้อีกด้วย ซึ่งน้ำอมฤตนี้จะมีรสหวานและมีความเย็นเป็นธรรมชาติซึ่งคาดว่า เกิดจากการผสมสมุนไพรทั้ง๔ตัว ส่วนน้ำส้มสายชูทิพย์นั้น เนื่องจากขาดต้นยามฤตสัญชีวนีไป จึงทำให้น้ำอมฤตมีรสเปรี้ยว

    คุณลักษษณะ น้ำอมฤต
    อนึ่ง กรณีที่เป็นการชุบชีวิตให้กับร่างของผู้ที่ถูกระบุว่าตายมาหลายปีแล้วจึงรักษาร่างกายไว้เพื่อรอผู้มีบุญมาช่วยเหลือนั้น ว่ากันตามจริงแล้ว ร่างที่ถูกเก็บไว้นานปีนั้นไม่น่าจะใช่การตายจริงๆเพราะสภาพร่างกายไม่มีการเปื่อยเน่าเลยแม้จะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม การที่ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยนั้น น่าจะเป็นอาการประมาณฅนนอนโคม่าในรูปแบบพิเศษ จึงสามารถเก็บร่างนั้นไว้ได้นานมากๆโดยไม่บุบสลาย อาการนั้นอยู่ในระดับประมาณว่า ร่างนั้นมีการหายใจที่แผ่วเบามากเหมือนการจำศีล จึงเข้าใจกันไปว่าตายแล้วนั่นเอง และอาจรวมถึงอาการสมองตายแต่หัวใจยังเต้นอยู่ด้วย เช่น กรณีของพระวิจิตรจินดาซึ่งตายถูกระบุว่าตายแล้วและให้ตั้งศพเก็บไว้เพื่อรอผู้มีบุญมารักษา ซึ่งร่างพระวิจิตรจินดาก็ถูกเก็บรักษาไว้ถึง ๗ ปี จนนางโสนน้อยมาชุบฯนั้นร่างของพระวิจิตรก็ไม่ได้เน่าเปื่อยเลยแม้แต่น้อย
    จึงควรเรียกได้ว่าเป็น อาการ"ตายแต่ไม่ตาย"

    อนึ่ง พิษนาคอันก่อให้เกิดอาการอัมพาตซึ่งใกล้เคัยงกับอาการตายแต่ไม่ตาย มีอยู่ด้วยกันหลายธาตุ ดังนี้

    ๑. อัมพาต โดย ปถวีธาตุ(ดิน) ตะกรันเลือด(เกลือแร่), ตะกรันคลอเรสเตอรอล ร่วมลมพัดขึ้นบน(อุทธังคมาวาต)แทรกเข้าเส้นเลือด
    ๒. อัมพาต โดย อาโปธาตุ(น้ำ) น้ำหนอง(ปุพโพ), น้ำดีไม่เป็นฝัก(น้ำเหลือง)ร่วมลมพัดขึ้นบน(อุทธังคมาวาต)แทรกเข้าเส้นเลือดก้านคอ
    ๓. อัมพาต โดย วาโยธาตุ(ลม) ลมพัดขึ้นบน(อุทธังคมาวาต)แทรกเข้าเส้นเลือด และ เส้นกาละทารี
    ๔. อัมพาต โดย อากาสธาตุ(ช่องว่าง)...คือพวกอัมพาตส่วนล่างลำตัว หลังจากกระดูกสันหลังได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง ลมพัดขึ้นบน(อุทธังคมาวาต) หรือ ลมพัดลงล่าง(อัทโธคมาวาต)เข้าแทรกจนไขสันหลังขาดจากกัน

    ข้อมูล จาก
    https://www.facebook.com/atthanij.pokkasap/posts/1076197195775542?comment_id=1076705839058011&reply_comment_id=1077162905678971&notif_t=feed_comment_reply&notif_id=1464594615478876


    ๓.มนตร์/วิชาชุบชีวิต(โคลนนิ่ง) วัตถุดิบสำคัญ คือ เศษเถ้ากระดูก อัฐิของผู้ตาย(ในกรณีที่เผาไปแล้ว)หรือซากศพ(ที่ตายใหม่ๆยังไม่เน่า) เนื้อ และเลือด หรือ ชิ้นส่วนฅนเป็น(หรือเศษเซลล์ที่ยังมีชีวิต) สถานที่ประกอบพิธี กองไฟขนาดใหญ่ วิชานี้คือการใช้อำนาจจิตเหนือสนามพลังงานที่เป็นกสิณนำจิตดวงเดิมของผู้ตายมาสถิตในร่างที่ทำการสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ (ผู้ทำพิธีมักเป็นฤาษีที่มีความรู้เรื่องวิชาจิตสรีระศาสตร์เป็นอย่างดี) ตัวอย่างผู้ผ่านพิธีกรรมนี้ ได้แก่


    ๑.นางมณโฑ มเหสีทศกัณฐ์ เดิมทีนางเป็นกบแล้วตายเพราะช่วยฤาษีทั้ง๔จากพิษนาค ฤาษีทั้ง๔จึงทำพิธี“ชุบ”ชีวิตและเสกนางเป็นสาวงามและตั้งชื่อว่า นางมณโฑ ซึ่งหมายถึง นางกบ


    ๒. พระลบฝาแฝดของพระมงกุฎ เกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิคของท่านฤๅษีวัชรมฤค(ฤๅษีกวางสายฟ้า) เมื่อครั้งที่พระรามสั่งพระลักษณ์ให้นำนางสีดาไปประหารเนื่องจากแอบวาดภาพของทศกัณฐ์ให้นางรับใช้ดู พระลักษณ์สงสารเลยปล่อยตัวไป นางสีดาจึงไปอาศัยอยู่กับฤๅษีวัชรมฤคและได้คลอดโอรส ๑ องค์ จึงตั้งนามว่า พระมงกุฏ
    วันหนึ่งนางสีดาไปทรงน้ำที่ลำธารปล่อยพระมงกุฎอยู่กับพระฤๅษี ขณะนั้นฤๅษีทำสมาธิอยู่ นางกำลังทรงน้ำเห็นชะนีอุ้มลูกน้อยจึงคิดถึงลูกกลับไปนำพระมงกุฎมาสรงน้ำ ฤๅษีออกจากสมาธิไม่เห็นพระมงกุฎกลัวนางจะเสียใจ(คิดว่าตัวเองทำลูกนางสีดาหาย)จึงทำพิธีเขียนวันเดือนปีเกิด และฤกษ์ยามต่างๆของพระมงกุฏ(ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่หาได้จากการคำนวณในหลักโหราศาสตร์)ลงบนแผ่นหนังราชสีห์ แล้วโยนใส่ในกองไฟที่ก่อไว้เพื่อสังเคราะห์ขึ้นมาเป็นกุมารโคลนนิ่งอีกฅน
    ทว่านางสีดากลับมาก่อน พระฤๅษีจึงคิดจะเลิกทำพิธีแต่นางสีดาขอร้องให้ทำพิธีต่อเพื่อจะได้เป็นเพื่อนเล่นกับพระมงกุฎ
    พระฤๅษีวัชรมฤคจึงทำพิธีต่อจนเสร็จ เกิดเป็นกุมารซึ่งมีลักษณะทางกายภาพเหมือนกับพระมงกุฎทุกประการขึ้น จึงให้ชื่อว่า พระลบ

    เนื่องจาก พระลพ เกิดจากการโคลนนิ่งโดยการทำสำเนา(Coppy)ลักษณะทางกายภาพของฅนเป็นเป็นจากการคำนวณในหลักโหราศาสตร์มาสังเคราะห์ขึ้นใหม่ บุคคลที่เกิดขึ้นจากวิธีการนี้จึงเข้าข่ายการเกิดแบบโคลนนิ่งด้วย


    อนึ่ง มนุษย์ที่เกิดจากการโคลนนิ่ง จะให้ชื่อว่า ลบ ซึ่งเลือนมาจากคำว่า ลพ(ลว) แปลว่าการตัด, การเกี่ยว, ส่วนที่ตัดออก, ท่อน, ชิ้น, หยาดน้ำ อันเกิดจากการที่มนุษย์นั้นเกิดจากชิ้นส่วนต่างๆที่นำมาทำการโคลนนิ่ง
    ดังนั้น ทางเราจึงขอเรียกวิชานี้ว่า ลพชีพ หมายถึง ชีวิตที่เกิดจากชิ้นส่วน


    ๓.(พ)หลวิชัย-คาวี เดิมทีเป็นลูกเสือและลูกวัวแต่สาบานเป็นพี่น้องร่วมกัน เป็นลูกกำพร้าทั้งคู่ จึงออกเดินทางท่องเที่ยวไปในป่า วันหนึ่งไปถึงอาศรมฤาษี ฤาษีแปลกใจมากที่สัตว์ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน(สงสัยกลัวถูกจับออกงานวัด)ฤาษีกลัวว่าจะเดินทางลำบาก จึงชุบชีวิตลูกเสือลูกวัวให้เป็นฅน และตั้งชื่อลูกเสือว่า(พ)หลวิชัย ลูกวัวชื่อคาวี (พ)หลวิชัยกับคาวีก็เรียนศิลปวิทยา(ศิลปะศาสตร์๑๘ประการ?)กับฤาษีจนเติบโต เมื่อมีอายุพอสมควรแล้ว (พ)หลวิชัยกับคาวีก็ขอลาพระฤาษีไปเผชิญโชค ฤาษีให้พระขรรค์วิเศษที่บรรจุ”หัวใจ”(“วิชาถอดดวงใจ”เป็นมนต์สัญชีวนีระดับสูง)ของ(พ)หลวิชัยกับคาวีไว้ ภายหลังคาวีได้อภิเษกกับพระนางจันทร์สุดา(นางผมหอม)และได้เป็นกษัตริย์ ต่อมายายเฒ่าทัดประสาดซึ่งเคยเป็นพี่เลี้ยงของนางจันทร์สุดา รู้เรื่องพระขรรค์วิเศษที่บรรจุหัวใจของคาวี จึงเกิดความคิด และชวนให้คาวีกับพระนางจันทร์สุดาไปสรงน้ำที่ชายทะเล คาวีและพระนางจันทร์สุดาถอดเครื่องทรงรวมทั้งพระขรรค์ให้ยายเฒ่าเก็บรักษา ยายเฒ่าได้ทีนำพระขรรค์ไปเผาไฟ คาวีกำลังว่ายน้ำเล่นก็รู้สึกร้อนจึงรีบชวนนางจันทร์สุดาว่ายกลับเข้าฝั่ง พอถึงชายหาดคาวีเห็นยายเฒ่ากำลังเผาพระขรรค์อยู่ ก็นึกโกรธที่พระนางจันทร์สุดาไม่รักษาความลับ แต่ยังไม่ทันพูดคาวีก็ล้มลงสิ้นสติ พระนางจันทร์สุดาตกพระทัยมากได้แต่ร่ำไห้กอดร่างคาวี ยายเฒ่าจึงรีบให้ทหารของท้าวสัณนุราชนำพระนางจันทร์สุดาไปถวายท้าวสัณนุราช ภายหลังฤาษีมาช่วยไว้ได้โดยการนำพระขรรค์วิเศษที่บรรจุหัวใจของคาวี มาชุบชีวิต(โคลนนิ่ง)ให้ใหม่ในร่างเดิม


    *โดยทั่วไปตายในสภาพใด ก็จะฟื้นขึ้นมาในสภาพนั้น เป็นมะเร็งตายก็ฟื้นมาเป็นมะเร็งต่อ ตายตอนแก่ฟื้นมาก็แก่ ถ้าผู้ทำพิธีไม่เอาตบะของตัวเองไปแลกกับการแก้โรค/ย้อนวัย ก็ช่วยไม่ได้
    *ความทรงจำของร่างโคลนอาจมีรึไม่มีก็ได้อยู่ที่ผู้ทำพิธีจะกำหนด วิชาที่ติดตัวก็เช่นกัน

    อนึ่ง วิชานี้เองยังแบ่งได้อีก ๓ ประเภท คือ

    ๑.ชุบจากผู้ที่ยังมีชีวิตร่างมีจิตสถิตย์สมบูรณ์ดี มักใช้ในการเปลี่ยนสถานภาพของผู้ที่มีร่างเป็นสัตว์แต่ดวงจิตอยู่ในระดับเดียวกับมนุษย์ เช่น (พ)หลวิชัย-คาวี รึ นางเอื้อยที่เกิดเป็นนกแขกเต้า

    ๒.ชุบชีวิตจากซากกเฬวรากที่หาได้ทั่วไป มักใช้กับพวกที่ตายนานจนซากผุเปื่อยเหลือเพียงเศษกระดูก ครบบ้างไม่ครบบ้าง กระดูกเสี้ยวเล็กๆถ้าผู้ทำพิธีอยู่ในระดับสูงก็ชุบได้ อาจใช้จิตดวงเดิมรึหาใหม่ก็ได้

    ๓.ชุบชีวิตจากวัสดุรีไซเคิล มักชุบจากวัสดุเท่าที่หาได้ มีการใช้เคล็ดเชิงนามธรรมบางประการเพื่อเชื่อมต่อให้เป็นรูปธรรม เช่น การชุบพระลบ(ลูกนางสีดา)จากหนังราชสีห์ จุดนี้อ้างอิงเคล็ดทางโหราศาสตร์ คือ ราชสีห์ เป็นสัตว์ประจำดาวพระอาทิตย์ ความหมายทางโหราศาสตร์ คือ ยศศักดิ์ หมายความว่า ผู้ที่ถูกชุบร่างจากหนังราชสีห์นี้จะมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เป็นต้น(แต่ผู้ทำพิธีอยู่ต้องอยู่ในระดับสูงมากๆจริงๆนะ)
    *และรวมถึงชุบชีวิตขึ้นมาจากของรักของผู้ตายเอง โดยใช้หลักที่ว่าเป็นของใกล้ตัวที่ใช้เป็นประจำมีความสัมพันธ์กับตัวเจ้าของดี

    ที่ใช้กองไฟเป็นสื่อในการชุบฯนั้น อธิบายได้คร่าวๆว่า เป็นการทำให้โมเลกุลอะตอมเกิดการสั่นสะเทือนและเกิดการเรียงตัวใหม่ คือ ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนจากความร้อน แล้วใช้อำนาจจิต(จากวิชา รึอย่างอื่น)เข้าทำการแทรกแซงกระบวนการการเรียงตัวของอะตอมจากภายใน

    เหตุพิสดารในการใช้สัญชีวนีวิทยา
    แผนผังการชุบชีวิต(Cloning)ด้วยหนังสัตว์
    แผนภาพสัญชีวนีวิทยา(Sanjivanivitaya) สาขา ชุบฯจากกระดูก
    อนึ่ง มีความเป็นไปได้ว่า วิชาชุบชีวิตจากกองไฟนี้ อาจก่อปัญหาได้มากกว่าที่คิด เนื่องจากผู้ที่ ฟื้นกลับมาในร่างใหม่ซึ่งเหมือนกับร่างเดิมทุกประการ อาจต้องประสบปัญหาความย้อนแย้งกับตัวเองต่างๆนานาในเรื่องที่ตัวเองเคยตายไปแล้ว แต่กลับได้มาอยู่ในร่างใหม่ที่ถูกสร้างขึ้น เป็นความย้อนแย้งด้านจิตใจที่อาจจะทนรับสภาพตัวเองไม่ค่อยจะได้ เพราะยังจำได้ถึงตอนที่ตัวเองตายยังไง และการปฎิบัติของฅนรอบข้างที่เคยรู้จักซึ่งก็ทราบว่ารู้ว่าฅนๆนั้นเคยตายไปแล้วอีกสารพัดรูปแบบ ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่ถูกชุบชีวิตกลับขึ้นมาอาจไม่สามารถปรับตัวให้ยอมรับสภาพของตนเองได้ ซึ่งหากไม่สามารถเยียวยาด้านจิตใจได้ก็อาจทำให้เกิดการอัตตวินิบาตกรรมขึ้น

    และอาจด้วยเหตุดังนี้เอง ที่ทำให้นิทาน-วรรณคดีหลายเรื่อง นิยมเลือกเอาพวกกระดูกสัตว์บ้าง สัตว์เดรัจฉานเป็นๆบ้าง เศษไม้เศษฟืนบ้าง มาทำพิธีชุบชีวิตจากกองไฟ มากกว่าที่จะเลือกเอาซากศพรึกระดูกของฅนตายมาใช้

    ดังนั้น จากความเป็นไปได้ที่กล่าวมานี้ จึงอาจทำให้ การชุบชีวิตจากกองไฟ กลายเป็น ศาสตร์ต้องห้าม อีกแขนงหนึ่งก็เป็นได้

    ๔.วิชาย้ายร่าง(สถิตย์ในร่างฅนตาย) อีกสาขาวิชาผู้ทำพิธีต้องมีความเชี่ยวชาญเรื่องจิตในระดับสูงมากๆ เป็นวิชาสำหรับย้ายวิญญาณ(จิต)จากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่ง มีปรากฏในนิทานเวตาล เรื่องที่ ๒๓ เรื่องของฤๅษีเฒ่า วามศิวะ ผู้อยากเป็นหนุ่ม โดยฤาษีเฒ่าผู้มีมนตร์วิเศษก็เกิดความคิดว่าตนจะเข้าสิงร่างเด็กหนุ่มเพื่อละร่างชราน่าเกลียดของตนกลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง ฤาษีเฒ่าผู้ต้องการจะเป็นหนุ่มอีก ก็ละร่างของตนและร่ายมนตร์วิเศษเข้าสิงร่างเด็กหนุ่มในบัดดล ทันใดนั้นร่างของเด็กหนุ่มซึ่งนอนอยู่บนกองฟืนในจิตกาธาน ก็ขยับร่างและลุกขึ้นนั่งพร้อมกับอ้าปากหาวนอน เมื่อบรรดาญาติและฅนทั้งหลายที่รายล้อมอยู่ ณ ที่นั้นแลเห็นก็พากันส่งเสียงตะโกนกึกก้องว่า “ไชโย เขาฟื้นแล้ว เขาฟื้นแล้ว”แต่นักบวชเจ้าเล่ห์ ผู้เป็นหมอผีอาคมฉมัง ได้เข้าสิงพราหมณ์หนุ่มเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องการที่จะละศีลของตน(เพราะตนเป็นนักพรตอยู่) จึงเดินทางออกจากที่นั้นท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง
    คำเตือน วิชาย้ายร่างแบบถาวร จิตของผู้ย้ายจะไปเฉพาะจิตสุดท้ายก่อนตายเท่านั้น(ความทรงจำในอดีตส่วนที่เหลือต้องไประลึกเอาต่อ)แบบทายาทอสูร
    วิเคราะห์เรื่อง การย้ายร่าง
     

    ๕.วิชาถอดดวงจิต(ถอดดวงใจ) สาขาวิชาผู้ทำพิธีต้องมีความเชี่ยวชาญเรื่องจิตในระดับสูงมาก เช่น พระฤาษีโคบุตร ผู้ถอดดวงใจให้ทศกัณฐ์ นับเป็นพระฤาษีที่มีฤทธิ์มาก เป็นครูฝ่ายยักษ์ ได้สั่งสอนวิชาเวทวิทยาอาคมขลังจนทำให้ทศกัณฐ์ กำเริบเสิบสานระรานทั่วทั้งสามโลก

    ทศกัณฐ์ขอร้องให้อาจารย์ช่วยถอดดวงจิต เพื่อตนจะได้เป็นอมตะไม่มีวันตาย เมื่อพระฤาษีโคบุตรเห็นใจช่วยถอดดวงจิตออกมาไว้นอกร่างกายทศกัณฐ์ก็ยิ่งมีฤทธิ์ไม่กลัวตายเพราะใครก็ทำอะไรตนเองไม่ได้ วิชาถอดดวงใจนี้ถือว่าเป็นยอดวิชาที่สร้างความคงกระพันไม่มีวันตายได้ ในมหาสงครามครั้งสุดท้าย พิเภกบอกกลอุบายให้พระรามและหนุมานได้ทราบ หนุมานจึงไปหลอกทศกัณฐ์ว่าตนทะเลาะกับพระรามไม่ขออยู่ด้วยแล้วต่อไปนี้จะช่วยทศกัณฐ์รบ ทศกัณฐ์หลงกลรักหนุมานดั่งลูก ที่สุดหนุมานสืบได้ว่ากล่องดวงใจอยู่ที่พระฤาษีโคบุตร หนุมานกับองคตจึงเข้าไปหลอกล่อ ลวงขอกล่องดวงใจของทศกัณฐ์ ที่สุดพระฤาษีโคบุตรเสียรู้ ทศกัณฐ์จึงต้องตายในสนามรบ โดยพระรามแผลงศร(ธนุรเวท-เครื่องยิงขีปนาวุธข้ามกำแพงเวลา) ในขณะที่หนุมานขยี้กล่องดวงใจ ดังนั้นเรื่องตบะฌานอันแก่กล้าของพระฤาษีโคบุตรจึงถือว่าสุดยอดหาผู้ใดมาเปรียบด้วยยาก เพราะมีเพียงพระฤาษีไม่กี่ตนเท่านั้นที่จะสามารถทำวิชาอันน่าอัศจรรย์นี้ได้ ดังนั้นพระฤาษีโคบุตรจึงถูกยกย่องว่า เป็นพระฤาษีที่มีฤทธิ์วิทยาแก่กล้ามากตนหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์

    การถอดดวงใจของทศกัณฐ์นี้ จึงไม่ใช่การควักหัวใจออกมาจริงๆ(เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ควักหัวใจออกมาแล้วจะไม่ตาย)แต่หมายถึง ความสามารถในการควบคุมจิตที่เป็น”สนามแรงที่รองรับเหตุการณ์/สนามเวลารองรับอายุขัย(สนามแรง/สนามเวลา คือ จิต/เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนจิต คือ กายเนื้อ)”ให้เป็นอิสระจากกัน ดังนั้นเมื่อกายเนื้อของทศกัณฐ์ถูกโจมตี หรือทำลายมันจะไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อดวงใจ(จิต)ของทศกัณฐ์ เพราะสนามแรงไม่ถูกทำลาย มันจึงปฏิเสธเหตุการณ์อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นบนกายเนื้อ ทำให้เป็นอมตะไม่มีวันตาย(ถ้าจะให้ตายในทันทีต้องทำลายทั้งจิตและกายเนื้อพร้อมกัน) แบบซาลามานเดอร์หรือจิ้งจกที่แม้ขาหรือหางจะขาดก็ยังงอกใหม่ได้(เพราะเกิดการกระทบกระเทือนเฉพาะกายเนื้อไม่ถึงระดับโครงสร้างจิต)

    แต่ที่โบราณเรียกชื่อวิชานี้ว่า การถอดดวงใจ เพราะโบราณถือว่าร่างกายจะยุติการทำงาน(ตาย)ก็ต่อเมื่อหัวใจหยุดทำงานไม่ใช่สมอง เช่นการทำมัมมี่ของอียิปต์ จะเน้นการเก็บรักษาหัวใจเป็นหลักเพราะถือว่าเป็นศูนย์ของการมีชีวิต หรือในปี๒๔๘๘มีเรื่องของ“ไมค์ ไก่ผู้ไร้หัว”ที่สามารถอยู่ได้โดยไร้หัวถึง ๑๘ เดือน!?!(คล้ายแมลงสาบที่ตัดหัวแล้วอยู่ได้๙วันแล้วจึงตายเพราะขาดอาหาร)

    *ดวงจิตที่ถูกทำพิธีถอดจากกายนั้น จะลอยออกมาทางปากของผู้ถอดดวงจิตมีชื่อเรียกว่า “แมลงภู่ทอง”

    ส่วนที่ดวงจิตของไมยราพ(และรวมถึงทศกัณฐ์)ถูกเรียกว่า “แมลงภู่ทอง” เป็นเพราะดวงจิตที่ถอดออกจากกายนั้นเป็นกลุ่มก้อนพลังงานส่องแสงสีทองขนาดประมาณตัวแมลงภู่และปล่อยคลื่นเสียงคล้ายกับเสียงแมลงภู่ขณะเวลากระพือปีกบิน และตัวแมลงภู่ทองนี้ เมื่อออกจากกายแล้ว จะต้องบรรจุไว้ในภาชนะที่ปิดผนึกมิดชิด เพราะหากปล่อยไว้ ตัวแมลงภู่ทองจะตรงรี่กลับเข้าร่างทันที ดุจลูกโคที่วิ่งกลับหาแม่โคเพราะต้องการนม และที่สำคัญ บุคคลหนึ่งๆจะสามารถทำพิธีถอดหัวใจได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากจิตที่ถอดได้กลับเข้าร่างสักครั้งหนึ่งแล้ว จะไม่สามารถทำพิธีซ้ำได้อีกไม่ว่าจะกรณีใดๆก็ตาม ไมยราพจึงนำกล่องใส่แมลงภู่ทองของตนไปซ่อนในเขาตรีกูฏ ส่วนทศกัณฐ์นั้นได้ฝากกล่องดวงใจ(ซึ่งเป็นแมลงภู่ทองเหมือนกัน)ไว้กับฤๅษีโคบุตรผู้เป็นอาจารย์ของตน

    แต่เหตุที่ตามพระราชนิพนธ์ไม่ได้ระบุว่าดวงจิตทศกัณฐ์เป็นแมลงภู่ทองแบบของไมยราพ เป็นเพราะลักษณะดวงจิตที่ออกจากกายถูกบรรยายในพิธีของไมยราพไปแล้ว ในพิธีของทศกัณฐ์จึงถูกตัดออกเพื่อไม่ให้เกิดคำบรรยายซ้ำซ้อน(แต่ถึงกระนั้น พิธีถอดดวงจิตของทั้งไมยราพและทศกัณฐ์ก็แตกต่างกันอยู่ดี)


    *ผู้ถอดหัวใจ จะไม่แก่ ไม่ตาย เพราะจิตถูกแช่แข็งไว้ และหากในกรณีที่สิ่งบรรจุสนามเวลานี้ตกอยู่ในสภาวะไม่ปลอดภัยและอยู่ห่างไกลจากเจ้าของ สิ่งบรรจุนี้จะพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อกลับคืนสู่เจ้าของๆมันเพื่อความปลอดภัย ถ้าสิ่งบรรจุนั้นเป็นสิ่งของอาจใช้วิธีครอบงำผู้ที่ถือครองให้นำไปคืนเจ้าของโดยไม่รู้ตัวแบบแหวนของเซารอน ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตอาจพยายามเข้าไปอยู่ข้างกายเจ้าของอย่างนาคินี(Nagini)ของโวลเดอมอร์ก็เป็นได้

    แต่หากว่า ร่างกายนั้นได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงมากๆจนไม่อาจปฏิเสธและฟื้นฟูความเสียหายนั้นได้ เช่น ร่างต้นสลายจนฟื้นฟูไม่ได้(ไม่เหลือซากร่างให้ปฏิเสธเหตุการณ์)แต่หัวใจ(สนามเวลารองรับอายุขัย)ยังอยู่ ก็สามารถคืนชีพโดยการสังเคราะห์ร่างใหม่ขึ้นมาได้ เช่น กรณีตัวอย่างจากการถือกำเนิดของนางผีเสื้อสมุทร ดังนี้

    นางผีเสื้อเมื่อก่อนเป็นก้อนหิน อยู่กระสินธุ์สมุทรมหาชลาไหล
    นางอสูรชาติก่อนได้พรชัย ถอดดวงใจฝากแฝงแท่งศิลา
    แล้วขึ้นจากฝากฝั่งมหรรณพ ไปรุกรบกับพระเพลิงที่เชิงผา
    ต้องไฟกรดหมดไหม้ทั้งกายา ยังแต่ว่าอายุอสุรินทร์
    กับดวงใจไม่ดับไปกลับชาติ เป็นปิศาจสังหรณ์อยู่ก้อนหิน
    ถูกไอน้ำซ้ำได้ไอแผ่นดิน บันดาลหินนั้นให้งอกออกทุกที
    เป็นหน้าตาขาแข้งอันแรงฤทธิ์ ด้วยพรอิศรารักษ์พระลักษมี
    นับอนันต์วันคืนได้หมื่นปี จึงเป็นผีเสื้อสมุทรผุดทะยาน
    ขึ้นต้องแสงพระอาทิตย์ยิ่งฤทธิกล้า ปราบบรรดาพวกปิศาจด้วยอาจหาญ
    ได้เป็นใหญ่ในแม่น้ำอโนมาน ใครล้างผลาญชีวัญไม่บรรลัย
     

    แปลความได้ว่า ในอดีตนั้น นางผีเสื้อได้ถอดหัวใจไว้ในก้อนหินยักษ์ก้นทะเล แล้วขึ้นไปสู้กับพระเพลิง แต่ด้วยถูกอานุภาพของไฟกรดทำลายร่างกายจนไม่อาจฟื้นฟูได้ ร่างต้นของนางจึงสลายไปเหลือแต่จิตที่ฝากไว้ในก้อนหินที่ดูดซับธาตุน้ำและดินอยู่ก้นทะเลจนเริ่มสังเคราะห์เป็นแขนขาและร่างกายส่วนต่างทั้งภายนอกและภายใน(ชีวิตเริ่มต้นจากอาการ๓๒ ประกอบด้วย ธาตุดิน๒๐ ธาตุน้ำ๑๒ สังเคราะห์ร่วมกันเกิดเป็นร่างกาย) จนเวลาผ่านไปร่วมหมื่นปีร่างกายของนางก็สมบูรณ์ดีกลับมาคืนชีพอีกครั้ง

    หากว่ากันตามหลักวิชาจริงนั้น การจะสังเคราะห์ร่างกายทั้งหมดขึ้นมาใหม่จากวัตถุดิบที่ฝากจิตไว้นั้น จำเป็นต้องมี"ผู้ชำนาญการพิเศษทำพิธีให้"ไม่อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้ทั้งหมด ตามท้องเรื่องจึงมีการอ้างอิงถึงอำนาจพรที่พระอิศวรได้ให้แก่นางไว้แทนพิธีกรรมของ"ผู้ชำนาญการพิเศษ"นั้น

    หมายเหตุ เป็นไปได้รึไม่ว่า เจ.เค.โรว์ลิง ผู้แต่ง harry potter จะเคยอ่าน”รามเกียรติ์” เพราะการสร้าง “ฮอร์ครักซ์(Horcrux) 7 ทั้งชิ้น”ของ”โวลเดอมอร์” คล้ายการถอดดวงใจของทศกัณฐ์ และไมยราพ

    วิชาการถอดดวงจิต ในนิทานพื้นบ้านและวรรณคดี มี๒แบบ


    แบบที่๑ เช่น การถอดของไมยราพและทศกัณฐ์(คาดว่าจิตถอดออกมาเป็นรูปคล้ายแมลงภู่ทองทั้งคู่) วิชานี้มีความเสี่ยงสูง เพราะจิตจะพยายามกลับเข้าร่างตลอดเวลา ต้องผนึกใส่กล่องไว้ให้มิดชิดเท่านั้น ซึ่งทางเราเรียกว่า วิชาแมลงภู่ทอง

     

    อนึ่ง วิธีแมลงภู่ทองของไมยราพและทศกัณฐ์นี้เป็นการนำจิตซึ่งเป็นสนามพลังงานออกมาคงเหลือไว้แต่"วิญญาณ"อันเป็นตัวรู้ยิ่ง(วิ+ญาณ)เอาไว้ในกาย ทศกัณฐ์กับไมยราพจึงยังมีชีวิตอยู่ (แต่การถอดดวงจิตด้วยวิธีนี้ก็มีผลข้างเคียงคือ ทำให้กระบวนการคิดอ่านจะไม่ปกติเหมือนเดิม ดังเช่นตัวของไมยราพที่มีความคิดอ่านไม่ปกติ กลับไปคบหากับทศกัณฐ์ทั้งๆที่ถูกกำชับมาตลอดว่าไม่ให้คบกับทศกัณฐ์อย่างเด็ดขาด) แต่ก็ฆ่าไม่ตายเช่นกันเพราะจิตที่เป็นสนามพลังไม่ได้อยู่ในตัวแล้ว เหตุการณ์ต่างๆที่มากระทบกายเนื้อจึงถูกปฏิเสธหมด ต่อให้ร่างกายขาดเป็นชิ้นๆก็กลับมาประกอบเข้าด้วยกันตามเดิมได้ตลอด

     

    แบบที่๒ รุ่นอัพเกรด เช่น การถอดของ(พ)หลวิชัย-คาวี เป็นการถอดจิตผนึกลงไปในวัตถุ วิชานี้เรียกได้ว่า ไม่มีความเสี่ยงที่จิตจะกลับเข้าร่างเลย สามารถพกวัตถุที่ผนึกจิตไว้ไปด้วยกันก็ได้ แต่จะมีความเสี่ยงมากหากไว้ห่างตัว เพราะหากวัตถุที่ผนึกจิตถูกกระทบกระเทือน เจ้าของดวงจิตจะมีอันตรายตามไปด้วย(อาการหนักสุดก็คือน๊อควูบสลบไปจนกว่าจะหาวัตถุที่ผนึกจิตเจอแล้วนำมาทำความสะอาดขัดถูซ่อมแซมให้สภาพกลับดีดังเดิม จึงจะฟื้น) แต่จะไม่มีผลข้างเคียงกระบวนการคิดอ่านเหมือนวิชาแมลงภู่ทอง

     

    การถอดจิตทั้ง ๒ แบบนี้ หากกล่องที่ใส่รึวัตถุที่ผนึกจิตถูกทำลาย จิตจะแล่นกลับเข้ากายทันที ดังนั้นเจ้าของดวงจิตจะไม่ตาย แต่จะไม่สามารถทำพิธีถอดดวงจิตครั้งที่ ๒ ได้เด็ดขาด แต่หากต้องการสังหารในทันที ให้ทำลายกล่องใส่รึวัตถุที่บรรจุดวงจิตไว้ พร้อมกับสังหารร่างเจ้าของดวงจิตพร้อมกันทันที เพื่อไม่ให้จิตกลับเข้าร่างแล้วหนีไปได้อีก

     

    อนึ่ง การสังหารพวกที่ถอดจิตใส่ไว้ในอาวุธแบบ(พ)หลวิชัย-คาวี ก็น่าจะใช้วิธีเดียวกันกับไมยราพและทศกัณฐ์ คือ ส่งจิตกลับเข้าร่างต้นเพื่อทำลายไปพร้อมๆกัน แต่ในกรณีที่จิตอยู่ในอาวุธก็ควรใช้ตัวอาวุธที่มีจิตนั้นล่ะทำร้ายตัวเจ้าของเองเพื่อส่งจิตกลับเข้าร่างแล้วก็ฆ่าไปเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น ถ้าถอดจิตใส่ในลูกศรก็เอาลูกศรนั้นล่ะยิงใส่ร่างเจ้าของไปเลยจิตเป็นการส่งจิตกลับเข้าร่างและถ้ายิงถูกจุดก็ตายเลยในทีเดียวไม่ต้องซ้ำ

     

    อนึ่ง ยังมีข้อควรระวังในวิชาถอดจิตจากนิทานอีกเรื่องที่เราจำชื่อไม่ได้ บรรยายถึงเหตุการณ์ที่ตัวเอกไปพบก้อนหินพูดได้จึงสอบถามจนทราบว่า ที่หินก้อนนี้พูดได้ก็เพราะมีวิทยาธรรึใครสักคนฝากดวงจิตเอาไว้แล้วไปสู้กับศัตรู แต่พลาดท่าถูกศัตรูกลืนร่างเข้าไปทั้งตัว ร่างนั้นจึงเหมือนถูกผนึกให้เป็นซากศพ(ถูกตัดการเชื่อมต่อ?)อยู่ในท้องของศัตรูนั้น ก้อนหิน(ดวงจิต)จึงขอให้ตัวเอกช่วยไปสู้กับศัตรูและหาทางให้มันคายร่างตนออกมาจะได้กลับเข้าร่างเพื่อคืนชีพซะที ตัวเอกจึงยอมช่วยเหลือจนสำเร็จ(ร่างที่ถูกกลืนไม่น่าจะถูกย่อยเพราะผลจากการถอดจิตทำให้ร่างเป็นอมตะ ลำพังแค่การอยู่ในกระเพาะจึงไม่อาจถูกย่อยได้)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×