SPEC'D - นิยาย SPEC'D : Dek-D.com - Writer
×

    SPEC'D

    ขอเชิญเข้าสู่โลกแห่ง SPEC'D กับเรื่องราวหลากหลายรสชาติ ทั้งรัก รบ ตื่นเต้น ผจญภัย แอบหวาน หรือแอบเศร้า ของเหล่าผู้กล้าทั้งหลายกันเถอะ

    ผู้เข้าชมรวม

    239

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    239

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ผจญภัย
    จำนวนตอน :  5 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  2 ส.ค. 52 / 13:43 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    />

    Prologue ... once upon a time, about you and your life

     

                เคยมีใครคิดไหมว่า คนๆ หนึ่งเกิดมาทำไม ... เพื่อสุข หรือเศร้าเหรอ หลายๆ คนหาคำตอบให้ชีวิตด้วยวิธีต่างๆ กัน
    แต่บางที คำตอบนั้นอาจยังไม่ปรากฎให้เห็นก็ได้ ไม่ว่าจะนานแสนนานสักเท่าไร ... แต่เราก็ยังค้นหาคำตอบนั้นต่อไป
    ตราบที่ดวงตะวันยังส่องแสง ดวงจันทร์ยิ้มหวานๆ ให้หมู่ดาวยามราตรีกาล

     

     

     

    ตอนที่ ๑

     

    สถานที่ ปราสาทลากูน

               

                เช้าวันหนึ่งเมื่อแสงอาทิตย์ส่องสาดไปทั่วปราสาทหลังงามแสนกว้างใหญ่ มีทหารและเหล่าขุนนางเดินไปมา
    ตามปรกติเมืองลากูนเป็นเสมือนศูนย์กลางของทวีปใหญ่แห่งนี้ หากแต่ผู้คนยังคงอยู่ในวิถีชีวิตเรียบง่ายตามวิสัยเดิม
    สังคมมีทั้งครอบครัวชาวนา พ่อค้า ขุนนางและหลากหลายอาชีพเหมือนสังคมทั่วไป

     

                พลฯ ทหารในเครื่องแบบกององครักษ์รักษาพระองค์ก้าวฉับๆ ตรงไปยังห้องทำงานสุดทางเดินโถงที่ทอดยาว
    ดาบแกว่งไกวล้อแสงอาทิตย์ยามอรุณเหมือนพรายน้ำสะท้อนแสงในทะเสสาบ  ทหารหนุ่มเคาะประตูสามครา แล้ว
    จึงเปล่งเสียงขออนุญาต

     

                " ท่านผู้บัญชาการฯ ครับ  สาสน์จากท่านผู้สำเร็จราชการฯ ครับ"

     

                ทหารหนุ่มเดินผ่านประตูไม้บานใหญ่ ตรงไปยังโต๊ะไม้สีดำขลับอันมีกองเอกสารวางอยู่เรียงราย มีชายหนุ่ม
    ผู้หนึ่งกำลังอ่านเอกสารทีละหน้าอย่างระมัดระวัง มือข้างขวาจับปากกาขนนกจุ่มลงในขวดหมึกเพื่อลงชื่อบนเอกสารกองใหม่
    เจ้าของยศผู้บัญชาการเงยหน้ามองพลทหารที่หยุดยืนตรงวันทยหัตถ์ท่าทางขึงขัง

     

                " สาสน์ว่าอย่างไรหรือครับ"

     

                " ท่านผู้สำเร็จราชการฯ เรียนเชิญท่านไปพบที่สวนสราญครับ"

     

                ปากกาในมือกลับไปอยู่ที่วางเช่นเดิม ปึกเอกสารกลับวางที่กองเก่า ชายหนุ่มเค้าหน้าคมสันแต่อ่อนโยน
    ผิวหน้าเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครารุงรังราวกับผิวเด็กยิ้ม แล้วเอ่ยตอบผู้ส่งสาสน์

     

                " สักครู่ผมจะไปหาท่านเอง ขอบคุณมาก"

     

                ชายหนุ่มลุกจากโต๊ะคว้าดาบคู่กายสอดในช่องเข็มขัดหลังจากที่ทหารส่งข่าวออกไปแล้ว ดรากูน โซเลทนั่ม
    ผู้บัญชาการกองทัพลากูนก้าวออกจากห้องทำงานเดินทอดน่องไปตามระเบียงยาวที่ทอดสู่ตัวปราสาท บรรดานางใน
    ค้อมศีรษะพร้อมเอ่ยยศเมื่อเขาเดินผ่าน เสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบาแอบชมรูปโฉมอันหล่อเหลาและคมสันราวกับ
    เทพบุตรดังขึ้นเบาๆ แต่พอรู้กัน  แม้จะเป็นที่นิยมชมชอบในบรรดาข้าราชบริพารในราชสำนักสักเท่าไร ชายหนุ่มก็มิได้
    เหิมเกริมเที่ยวหว่านเสน่ห์ทั่วไป  เขาเดินเรื่อยไปตามแนวระเบียงขึ้นสู่ทางเชื่อมตัดผ่านโถงกลางเพื่อตัดเข้าสู่เขต
    พระราชฐานชั้นใน อันเป็นที่พำนักของราชวงศ์สุเพรมาสต์ วาลูเอล ราชวงศ์กษัตริย์องค์ปัจจุบันของเมืองลากูนแห่งนี้

     

                พ้นจากระเบียงชั้นในของตึกโอฬาร ด้านในมีทางเดินซุ้มไม้เถาทอดยาว ชายหนุ่มเดินลัดเลาะไปอย่างชำนาญ
    และรู้ทางดีด้วยแต่ก่อนเคยวิ่งเล่นในนี้อยู่เป็นนิจ  พ้นพุ่มดอกไม้สีขาวสะอาดตานั้นไป เขาแลเห็นใครคนหนึ่งเหนี่ยวสาย
    คันธนูแผลงศรออกไปยังเป้าฟางไกลออกไป เสียงแหวกอากาศดัวแว่วเบายามเมื่อดอกศรพุ่งสู่กลางเป้าอย่างแม่นยำ 
                เมื่อมือธนูหันมาเห็นผู้บัญชาการ เสียงหวานเสนาะโสตกล่าวทักทายเขาอย่างฉันท์มิตร

     

                " พี่ดรากูน อรุณสวัสดิ์ค่ะ  ขอโทษนะคะที่เรียกพี่มาด่วนอย่างนี้"

     

                " มิได้ครับ ท่านผู้สำเร็จราชการฯ  ถือเป็นหน้าที่ของกระผมอยู่แล้วครับ"

     

                ดรุณีโฉมงามค้อนน้อยๆ ล้อเลียนชายหนุ่มที่ทำท่าทางเจ้ายศเจ้าอย่าง  เซเรนา สุเพรมาสต์ วาลูเอล
    ผู้สำเร็จราชการแทนกษัตริย์องค์ปัจจุบันแห่งนครลากูนผายมือเชิญเขาไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก  นางสนองโอษฐ์
    รับคันธนูและสายคาดกระบอกธนูไปเก็บ และอีกสองนางนำชุดน้ำชามาบริการอย่างรวดเร็ว

                ทั้งสองนั่งลง บนโต๊ะหินขัดแวววับมีจดหมายใส่ซองวางอยู่ฉบับหนึ่ง

     

                " น้องได้รับจดหมายจากพี่ชายเมื่อวานนี้  ข่าวว่าทหารยามหน้าวังได้รับจากครอบครัวคนตัดฟืนชายป่าสางไพร
    เป็นคนนำมาให้ค่ะ"

     

                เขาวางฝักดาบลงข้างตัวแล้วหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน  พี่ชายของเซเรนา หรือผู้ปกครองคนปัจจุบันของนครลากูน
    ไม่ค่อยได้อยู่ในเขตวังสักเท่าไร นายคนนี้มักชอบแต่งตัวปอนๆ เป็นยาจกตระเวนเที่ยวไปตามในเมือง ในป่าเขามากกว่าจะ
    อยู่ทำงานราชการอย่างกษัตริย์ ซึ่งบ่อยครั้งทำให้ข้าราชบริพารพากันปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างช่วยไม่ได้  ชายหนุ่มเลิกคิ้ว
    ประหลาดใจ สงสัยอยู่ครามครันกับเนื้อความจดหมายที่อ่านอยู่

     

                " แปลก... แปลกจริงๆ  นี่ถ้าไม่ใช่ลายมือเจ้าตัว พี่ว่าคงมีคนเขียนปลอมมาทีเดียว"

     

                " ค่ะ พี่ดรากูน  พี่ชายเกลียดพิธีรีตองมาตั้งแต่เด็กๆ  แล้วจะให้มาเขียนจดหมายเป็นคุ้งเป็นแควอย่างนี้ น้องว่าผิดวิสัยอยู่"

     

                ชายหนุ่มกางจดหมายลงบนโต๊ะ ชี้ชวนให้หญิงสาวดูอย่างพินิจ

     

                " แถมคราวนี้ยังเขียนบอกมาอีกว่า จะไม่กลับมาที่วังอีกนานจนกระทั่งฤดูหนาว... ถึงจะเที่ยวตะลอนๆ ยังไง
    ก็ไม่ควรจะปล่อยให้น้องสาวอยู่รับหน้าเสื่อพวกขุนนางตอนประชุมประจำปีนี่นา.."

     

                ชายหนุ่มกล่าวอ้างถึงกลุ่มขุนนางบางส่วนซึ่งไม่พอใจการปกครองโดยผู้สำเร็จราชการเป็นผู้ตรวจสอบ ทำให้ขุนนาง
    บางส่วนที่คิดฉ้อฉลไม่สามารถหาประโยชน์เข้าตนได้ ดรากูนได้ข่าวลับๆ มาว่าพวกนี้แอบซ่องสุมกำลังคิดจะปฏิวัติยึดครอง
    ราชบัลลังก์เพื่อล้มล้างระบอบกษัตริย์ แต่ไม่แน่ใจว่าจะเท็จจริงหรือเป็นแค่โคมลอยปากต่อปากไปเรื่อย ชายหนุ่มเคาะนิ้วคิด
    ในใจอย่างพิเคราะห์

     

                " น้องคิดว่า พี่เขาคงต้องการความช่วยเหลือกระมังคะ"

     

                สายตาชายหนุ่มเหลือบมองดรุณีน้อยๆ ด้วยสำรวม  หญิงสาววัยยี่สิบต้นดูราวกับเด็กสาววัยกำดัด ผมสลวยประบ่า
    สีน้ำตาลผลเกาลัดคลอเคลียพวงแก้มอิ่มสีชมพู นัยน์ตาสีเข้มกลมโตมองทอดไกลออกไปอย่างครุ่นคิด ยามพักผ่อนในเขต
    พระราชฐาน พระองค์จะสวมชุดคลุมผ้าซาตินสีขาวสะอาดต่างจากตอนออกว่าราชการในชุดเครื่องแบบสีเข้ม ดูเป็นเวลาที่
    พระองค์ได้กลับเป็นตัวของพระองค์เอง
                ชายหนุ่มจิบน้ำชาหอมกรุ่นเบาๆ  ว่ากันตามตรง เขาเชื่อว่าตอนนี้พี่ชายของเซเรนาต้องเผชิญกับปัญหาสักอย่าง
    เพราะมิฉะนั้นแล้วคงไม่ทำผิดวิสัยหลายเรื่องอย่างนี้เป็นแน่ แต่เขาไม่มีหลักฐานอะไรสักอย่างจะมาพิสูจน์ให้กระจ่าง 
    เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ พลางประกบมือสองข้างกันเป็นสัญญานการครุ่นคิด

     

                " พี่ว่า ... พี่คงต้องไปดูเจ้านี่ที่ป่าสักหน่อยแล้วกระมัง ... กลัวจะไปเที่ยวเถลไถลแล้วหายไปจริงๆ "

     

                ชายหนุ่มไม่ยอมเผยความคิดทั้งหมด เพราะรังแต่จะทำให้ดรุณีเป็นกังวลโดยใช่เหตุ  แม้จะเป็นเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์
    สุเพรมาสต์ วาลูเอล  แต่เซเรนาเองก็มิได้ถือตนเป็นเจ้าอย่างเจ้าหญิงทั่วไป  หญิงสาวเล่าเรียนวิชาทั้งอาวุธและเวทมนต์คาถา
    จากนักปราชญ์แห่งราชสำนัก  แม้จะดูเป็นเด็กสาว แต่ฝีมือแผลงศรก็นับเป็นหนึ่งแม้หมู่พลธนูก็เทียบไม่ได้ ในขณะเดียวกัน
    เวทย์คาถาก็ไม่น้อยหน้านักปราชญ์แห่งกองทัพเวทย์ทีเดียว แม้จะด้อยเรื่องเวทย์โจมตี แต่เวทย์ป้องกันและรักษาก็เทียบได้
    กับปราชญ์แนวหน้าของมหานครเวทย์มนต์  นับว่าเป็นขัตติยนารีที่กล้าหาญกว่าวงศ์อื่นๆ ในวัยเดียวกัน

     

                " ค่ะ  น้องเห็นด้วย .. น้องจะสะสางงานให้เสร็จแล้วเตรียมตัวออกเดินทางตามหาพี่ชายกับกองทหารองครักษ์เช้าตรู่พรุ่งนี้เลย"

     

                " พี่ไม่เห็นด้วยเลย องค์หญิง... อย่านำกองทหารออกไปเพียงลำพังเลย"

     

                จอมทัพป้องปรามทันควัน ด้วยรู้ดีว่าพวกทหารในกองเอง ไม่ได้ถูกฝึกมาให้รบในป่าเขาเช่นทหารรับจ้าง  นครลากูน
    ไม่เคยทำศึกสงครามมาช้านาน ตั้งแต่ครั้งสมัยมหากษัตริย์และพระราชินี พระบิดาและมารดาของเซเรนาและกษัตริย์องค์ปัจจุบัน 
    หากถูกลอบโจมตีด้วยพวกทรชนหรือโจรป่าเจ้าเล่ห์แสนกล อาจเป็นอันตรายต่อเจ้าหญิงโดยเลี่ยงไม่ได้ เขาจำต้องทัดทานแม้ดรุณี
    จะย่นคิ้วกังขาแกมขัดใจ

     

                " พี่จะออกไปเอง คนเดียวทำอะไรสะดวกกว่ากองทหาร พี่เชื่อว่าคงตามตัวพ่อจอมกะล่อนพี่ชายขององค์หญิงได้ไม่ยากหรอก"

     

                " เอาอีกแล้ว พวกพี่ชายนี่อย่างนี้ตลอดทีเดียว  ไปก็ไปคนเดียว เที่ยวก็เที่ยวคนเดียว แต่พอเดือดร้อนก็ไม่แคล้วจะวิ่งมาหา"

     

                ดรุณีเชิดหน้าน้อยๆ แสนงอน  เธอเองนึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ่อยครั้งที่พวกพี่ชายได้รับอิสระให้ทำอะไรก็ได้ตั้งแต่ยังเยาว์
    แต่เธอไม่สามารถฝึกดาบ ออกทัพ หรือไปตรวจราชการตามหัวเมืองต่างๆ ได้ลำพังผู้เดียว  หากแต่สาวน้อยรู้จักวางตัวให้ "เป็นผู้ใหญ่"
    เหมือนกับที่พระพี่เลี้ยงสาวใหญ่คอยพร่ำสอน (หรืออีกนัยหนึ่งคือเฝ้าบ่นกรอกหู) อยู่เรื่อยมา

     

                " องค์หญิง... แต่ออกป่าอันตรายสารพัด  จะคนบ้าง สัตว์บ้าง หรือ..."

     

                " น้องก็โตแล้วค่ะ พี่ดรากูน  แล้วพี่ชายก็เป็นพี่ชายของน้องด้วย น้องไม่มีสิทธิ์ห่วงใยเป็นกังวลบ้างเลยหรือคะ"

     

                จอมทัพหนุ่มจนใจจะโต้เถียง เพราะเขาเองก็รู้ว่าแม้จะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันในวังตลอด พี่ชายก็เปรียบเสมือน
    ทุกอย่างของเธอ และเขาเองก็รักหวงขนิษฐาองค์เดียวราวกับเป็นดวงสุริยาทีเดียว  ใครผู้ใดกล้าดีจาบจ้วงองค์หญิง
    หากรอดจากเงื้อมมือเพชฌฆาต "สีเงิน" ไปได้ก็เป็นปาฏิหาริย์แล้ว  เขาจึงทำได้เพียงโบกมือขอสงบศึกแล้วเสนอความคิดไป

     

                " งั้นพี่จะตามเสด็จองค์หญิงไปป่าด้วยก็แล้วกัน  และถ้าโชคดีก็คงมีผู้ติดตามไปสักคนสองคนด้วยครับ"

     

                จอมทัพตัดความรวบจบทันควัน ด้วยไม่อยากให้ระคายอารมณ์ เพราะเขารู้ว่าองค์หญิงก็เป็นห่วงพี่ชายอยู่ครามครัน

     

                " นะครับ..."

     

                " ค่ะ พี่ดรากูน  งั้นพรุ่งนี้เช้า เราสองคนและผู้ติดตามจำนวนหนึ่งจะไปตามหาพี่ชายกันที่ป่าสางไพรนะคะ"

     

                " ครับ  แล้วพี่จะให้ทหารส่งสาสน์เรื่องเวลาไปให้  องค์หญิงอย่าลืมพักผ่อนนะครับ"

     

                ดรุณียิ้มล้อเลียนให้ "พี่ชาย" อีกคนของเธอ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อกลับสู่พระราชฐานชั้นใน (ซึ่งฝั่งซ้ายของเซเรนา
    ห้ามกองทหารใดๆ นอกจากหน่วยทหารเวทย์มนต์กองกำลังรักษาพระองค์ เข้าสู่เขตวังเด็ดขาด) ชายหนุ่มน้อมส่งเธอ
    จนเมื่อชายผ้าซาตินหายลับไปในแนวไม้ดอกขาวนวล จึงได้คว้าจดหมายออกจากสวนสราญกลับไปยังห้องทำงานของตน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น