คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : สาปต้องรัก :: บทที่ 1 - ชนม์ชนิดาภา 100 %
ชนม์ชนิดาภาย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ หมู่บ้านที่เธออยู่ซอยค่อนข้างแคบไปสักหน่อย รถราพอสวนกันได้เท่านั้น
บ้านทาวน์เฮ้าส์ที่นี่ถูกสร้างขึ้นมาน่าจะพอๆ กับอายุของหญิงสาว หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเก่า ซอยถนนต่ำกว่าถนนหลัก บ้านบางหลังถูกถมให้สูงขึ้นตามสภาพความเป็นอยู่ เพื่อป้องกันน้ำท่วม
บ้านที่หญิงสาวเลือกเช่าอยู่ ถูกถมพื้นทำใหม่เกือบทั้งหลัง ทั้งด้านนอกและด้านในมีการตกแต่งเรียบร้อย พร้อมกับมีเครื่องใช้ไม้สอยให้ แม้จะไม่กี่ชิ้นก็ตาม แต่บ้านทั้งหลัง....ชนม์ชนิดาภาเลือกที่จะเอากระจกออกทั้งหมด และติดไฟเพิ่มมากกว่าบ้านทั่วไป
บ้านหลังนี้เธอมาดูไว้สักพักนึงแล้ว จนกระทั่งวันนี้...วันที่ชนม์ชนิดาภาลากกระเป๋าเข้ามาอยู่อย่างจริงจัง ที่นี่เงียบสงบเหมาะสำหรับการพักผ่อนจิตใจ เงียบเสียจนได้ยินเสียงนกร้อง หลังจากจัดข้าวของที่เอาติดตัวมาน้อยนิดเดียว หญิงสาวก็นอนเอนกายบนพื้นกระเบื้องเย็นๆ กลางบ้าน พลางหลับตาลงนึกย้อนไปตั้งแต่แรกที่เธอเจอกับนาคเทพ
ย้อนกลับไปตอนเธอยังเป็นเด็กน้อยวัย 5 ขวบกว่า พื้นที่ซึ่ง ณ ปัจจุบันครอบครัวนาคเทพเป็นเจ้าของและอาศัยอยู่ มันเคยเป็นที่ดินของครอบครัวเธอมาก่อน
และใช่ พ่อเธอขายที่ดินทั้งหมดให้ครอบครัวนี้ ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง
ตอนนั้นเธอกับแม่ไม่รู้ว่าก่อนเลย ว่าพ่อป่วยด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร พ่อคงทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดและเครียดมาก ถึงได้เลือกทางออกแบบนั้น
ในวันที่พ่อจากไป ชกา แม่ของเธอเสียใจมาก แต่ท่านก็เข้มแข็งมากพอที่จะดูแลเธอ ท่านทำทุกอย่างเหมือนเดิม จนกระทั่งเจ้าของที่ดินคนใหม่เข้ามา นาควิสุทธิ์ พ่อของนาคเทพได้เข้ามาคุยกับแม่ของเธอ
นาควิสุทธิ์ บอกว่าเธอและแม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อได้ ท่านไม่ได้รีบร้อนไล่เจ้าของเดิมอย่างเธอกับแม่ออกจากพื้นที่ กลับกันยังใจดีรับดูแลครอบครัวของเธอด้วย ทั้งให้งาน และยังอาสาส่งเสียเธอเรียนจนจบปริญญา
ตอนนั้นเธอ นาคเทพ และเหมือนทิวา สนิทสนมและรักใคร่กลมเกลียวกันดี ในทุกเย็น ทั้ง 3 คนจะมานั่งเล่นด้วยกันที่บ้านของชนม์ชนิดาภา มาทำการบ้านด้วยกันบ้าง กินข้าวด้วยกันบ้าง ทำทุกอย่างด้วยกันราวกับพี่น้องที่คลานตามกันออกมาดูโลก แต่ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อทุกคนโตขึ้น
ในช่วงวัยย่างเข้า 15 ปีของชนม์ชนิดาภา ในค่ำคืนนั้นเป็นเหตุการณ์ที่หญิงสาวไม่มีวันลืมได้ลง คืนที่เธอกำลังหลับสนิท ในห้วงภวังค์ที่คล้ายจะเป็นฝันดี หญิงสาวเห็นตัวเองและเหมือนทิวาไปเที่ยวด้วยกันที่วัดแห่งหนึ่งบนภูเขา
บรรยากาศในวัดร่มรื่นไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ สองสาวเดินเล่นด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน ภายในวัดเงียบสงบมาก มีเสียงนกร้อง มีลมพัดผ่านเย็นรอบตัว แต่เดินมานานเท่าไหร่กลับไม่เห็นพระสงฆ์สักรูปเลย
ทั้งสองคนเดินเล่นจนเหนื่อย กระทั่งพากันมาหลบภายในสถานที่แห่งหนึ่ง ด้านในเป็นกำแพงหินทรงโค้งมีลักษณะคล้ายถ้ำ อึมครึมและมืดทึบ แต่เย็นคล้ายกับติดแอร์ไว้ด้านใน ภายในมีพระพุทธรูปประดิษฐานเอาไว้อยู่มาก
ในฝันชนม์ชนิดาภาเห็นตัวเองเดินชมพระพุทธรูปเหล่านั้นอย่างเพลิดเพลิน แต่เพราะเสียงกระดิ่งรูปใบโพธิ์ที่ประตูทางเข้าดังขึ้น หญิงสาวจึงหันไปมอง แล้วก็พบว่าเหมือนทิวากำลังปิดประตูกระจกข้างนอก
อีกฝ่ายปิดประตูลง พร้อมกับเอาโซ่จากไหนไม่รู้มาคล้องล็อกไว้อย่างแน่นหนาชนม์ชนิดาภาเห็นเช่นนั้น เธอก็ตกใจอย่างมาก พยายามวิ่งตามเหมือนทิวาไปที่ประตู แต่ก็ไม่ทันการณ์
เธอถูกขังเอาไว้ด้านใน!
หญิงสาวพยายามเคาะกระจกเรียกเหมือนทิวาอยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาเลย ชนม์ชนิดาภากระวนกระวายใจอย่างมาก เธอพยายามกระชากประตูออก แต่เพราะโซ่ด้านหน้าที่ถูกคล้องเอาไว้แน่นหนาเกินไป ทำให้บานประตูแทบไม่ขยับเลยสักนิด
หญิงสาวคิดว่าแค่กำลังของตนนั้นอาจไม่เพียงพอ จึงคิดมองหาเครื่องทุ่นแรงเพื่อจะมาทุบกระจกทั้ง 2 บานให้แตกออก และเธอจะได้ออกไปจากที่นี่
แต่ที่ไหนได้...
พอชนม์ชนิดาภาหันกลับไป เธอก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อภาพตรงหน้าปรากฎสิ่งที่เธอไม่คาดคิดว่าตัวเองจะเห็นบนผนังกำแพงที่มีลักษณะคล้ายถ้ำนั้นเต็มไปด้วย ‘งู’ สีดำขนาดใหญ่กว่างูธรรมดาทั่วไป เลื้อยอยู่ตามกำแพงเต็มไปหมด ศีรษะของมันมีหงอนเล็กๆ
ชนม์ชนิดาภาเห็นแบบนั้น เธอก็ทั้งตกใจ ทั้งกลัว และขยะแขยงในเวลาเดียวกัน แต่สิ่งที่ชัดเจนกว่าสิ่งอื่นใดคือเกล็ดของมันสีดำจนเป็นนิล
หญิงสาวพยายามรวบรวมสติของตน ก่อนจะตะโกนเรียกชื่อเหมือนทิวาอยู่หลายครั้ง
“มายด์! มายด์! มายด์!”
เธอพยายามเคาะกระจกแรงๆ เขย่าประตูอย่างสุดพลัง สายตาพยายามมองสอดส่องหาเหมือนทิวาไปด้วย แต่เธอไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกฝ่ายเลย ด้านนอกมันเงียบมาก
ชนม์ชนิดาภาลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ความกลัวนั้นเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกาย และเมื่อหันหลังกลับไปสิ่งที่น่ากลัวไปกว่าการเห็นงูนับร้อยตัวเลื้อยคลานอยู่บนกำแพงนั้น คือการที่กำแพงซึ่งเต็มไปด้วยงูค่อยๆ เคลื่อนขยับเข้ามาหาเธอเรื่อยๆ
มันเป็นอะไรที่สยดสยองมาก!
ขนในร่างกายของชนม์ชนิดาภา..พากันลุกพรึบ เธอคิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง อีกทั้งยังหมดหนทางหนี สิ่งเดียวที่ทำได้คือการหลับตาแน่นอย่างยอมจำนน ก่อนจะกรีดร้องออกมาสุดเสียง
“กรี๊ดดดด~”
เฮือก
หญิงสาวลืมตาเบิกโพลงขึ้นมาบนที่นอนของตัวเอง มีมุ้งสีเขียวเข้มครอบกันยุงเอาไว้ ในสมัยนั้นห้องนอนของเธอยังไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศ มุ้งสีเขียวราวกับสีตะไคร่น้ำทำให้ชนม์ชนิดาภาขนลุกซู่ขึ้นมาอีกรอบ ก่อนจะรีบลนลานพาตัวเองออกมาจากมุ้ง
ความฝันเมื่อกี้น่ากลัวมาก และเธอไม่มีวันลืมมันลงอย่างแน่นอน
เสียงฝีเท้าของ ชกา ผู้เป็นมารดาเดินตึกตึกขึ้นบันไดมาด้วยความรีบร้อน คนเป็นแม่เอามือผลักประตูห้องนอนของลูกสาวออกด้วยสีหน้าที่ตื่นตกใจไม่แพ้ชนม์ชนิดาภาเลย
“ชนม์!”
“แม่!”
หญิงสาวหันไปมองมารดา ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาแล้วกอดท่านเอาไว้แน่น จากนั้นเธอก็ร้องไห้โฮ ชกาเองก็กอดปลอบลูกสาว จนกระทั่งสติของชนม์ชนิดาภาฟื้นกลับมาเกือบครบถ้วนดี ท่านถึงได้ออกปากถามไถ่
“เกิดอะไรขึ้นน่ะชนม์ แม่ได้ยินเสียงชนม์ร้องลั่นบ้านเลย”
“ชนม์ฝันร้ายค่ะแม่”
จากนั้นหญิงสาวก็เล่าความฝันของตนให้ชกาฟังทั้งหมด “แม่ มุ้งสีนี้ชนม์ขอเอาไปทิ้งนะ”
หญิงสาวเกิดความไม่สบายใจอย่างมาก ถึงจะเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่เธอกลับจำทุกอย่างได้อย่างแม่นยำ ราวกับว่า...มันคือความจริง
และไม่เพียงแค่นั้น ความฝันในคืนนั้นยังตามหลอกหลอนเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าในยามที่ชนม์ชนิดาภาจะสระผม เธอก็ไม่สามารถหลับตาลงได้ เธอกลัวแม้กระทั่งฝักบัว หรือสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายงูและเกล็ดของงู อย่างอ่างหินที่มีเนื้อผิวขลุกขระ รวมถึงสิ่งของที่มีสีดำทมึนที่อยู่เหนือศีรษะเธอด้วย
ตอนนั้น ชนม์ชนิดาภายอมรับเลยว่าเธอคล้ายคนที่ใกล้จะเป็นโรคประสาทเต็มทน กลัวไปหมดทุกสิ่งอย่าง ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปราวกับ ‘พลิกฝ่ามือ’ แม้กระทั่งยามเข้านอนก็ต้องเปิดไฟทุกคืน ข่มตานอนก็ลำบาก บางคืน...เธอถึงขั้นต้องพึ่งพายาแก้แพ้เพื่อให้ข่มตาลง
ใครไม่เป็นเธอ คงไม่รู้
ความฝันนั้นไม่ได้หลอกหลอนเธอเพียงแค่อาทิตย์ สองอาทิตย์ แต่มันตามหลอกหลอนเธอเป็นปี และทุกครั้งที่ชนม์ชนิดาภาหลับตา เธอจะยังคงเห็นภาพงูตัวดำเกล็ดมันเป็นนิลนับร้อยตัวบนกำแพงนั้น ชัดเจนเสมอ
ที่สำคัญ หลังจากค่ำคืนฝันร้าย เธอยังมักจะฝันเห็น ‘พญานาค’ ที่อยู่ตามวัด ตามหุบเขาอีกด้วย
ชนม์ชนิดาภาเคยครุ่นคิดอยู่กับตัวเองหลายครั้ง และเธอแน่ใจมากว่าตนคงไม่ใช่ลูกหลานพญานาคอย่างแน่นอน แต่น่าจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตแค้นกันเสียมากกว่า ท่านถึงได้ตามเอาคืนกันแบบนี้
เมื่อวันเวลาผ่านไปชนม์ชนิดาภาเติบโตขึ้นเข้าวัยสาว เธอได้เข้าเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกับนาคเทพ และเหมือนทิวา ด้วยการส่งเสียเลี้ยงดูของนาควิสุทธิ์
ในช่วงที่เธอเริ่มต้นเข้าปี 1 พร้อมเหมือนทิวา นาคเทพกำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 3
ในวันเปิดภาคเรียนใหญ่ เสียงกลอง เสียงเพลง ดังทั่วมหาวิทยาลัย เธอ นาคเทพ และเหมือนทิวา เรียนคนละสาขาตามความสนใจของแต่ละคน แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่นาคเทพเป็นหนุ่มหน้าตาดี ชาติตระกูลหรูหราหมาเห่า ทำให้เขากลายเป็นคนดังในที่สุด และมีคนรู้จักกันไปทั่ว
นาคเทพมักฝากฝังน้องสาวและชนม์ชนิดาภาไว้กับคนที่ตนพอจะรู้จักและไว้ใจได้ อาจเพราะการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น...ไม่ได้มีเรื่องผลประโยชน์ทางการเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเท่าไหร่ ทุกคนเลยค่อนข้างสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
ในช่วงบ่ายวันหนึ่ง
ขณะที่เหมือนทิวายืนซื้อข้าวอยู่ในโรงอาหารนั้น คูปองที่เธอแลกมาไม่เพียงพอสำหรับค่าอาหารที่จะต้องจ่าย ขณะที่เธอชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิด เพราะเรียนมาตั้งแต่เช้า ทั้งหิว ทั้งเครียด และเหนื่อย เลยรู้สึกขัดใจไปกับทุกอย่าง ก็มีผู้ชายคนหนึ่งยื่นคูปองในมือผ่านหน้าเธอไป
แฟนเพจ 'อสรพิษ' เอาไว้ให้ทุกคนติดตาม
ความคิดเห็น