ลำดับตอนที่ #44
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #44 : The Beginning :จุดเริ่มต้นของตำนาน [2]
The Beginning :จุดเริ่มต้นของตำนาน [2]
- เจ็ดปีต่อมา -
“ขอพรเทพเจ้าแห่งแสงสว่างจงอยู่เคียงข้างท่าน องค์ราชันย์แห่งวอลเลซ”เทพอัศวินครีอุสกล่าวสดุดี
“ต้อง ขอขอบคุณท่านจริงๆ เพราะแคว้นวอลเลซมีวิหารเทพเจ้าแห่งแสงสว่างอยู่แน่ๆจึงทำให้ที่แห่งนี้สงบ สุขปราศจากเหล่าอมนุษย์มาเป็นเวลานาน เราในฐานะตัวแทนแห่งประชาชนขอขอบคุณท่านจากใจ”
“หาที่สุดมิได้ฝ่าบาท เป็นเพราะคำอำนวยพรของเทพเจ้าแห่งแสงสว่างต่างหากที่ทำให้แคว้นวอลเลซสงบสุข เป็นเวลาช้านาน หาใช่เพราะวิหารเทพแห่งแสงสว่างหรือพวกเราสิบสองเทพอัศวินไม่”
“...ท่านช่างถ่อมตนจริงๆเทพอัศวินครีอุส...”องค์ราชาทอดถอนใจอย่างชื่นชม
“เนื่อง เพราะข้าเป็นเพียงผู้แทนวจนะแห่งเทพ จึงเป็นได้เพียงผู้รับใช้ของเทพแห่งแสงสว่างเท่านั้นฝ่าบาท ข้าตระหนักในพระคุณของเทพเจ้าแห่งแสงสว่างเป็นล้นพ้น จึงได้อุทิศทั้งชีวิตนี้เพื่อเทพเจ้าแห่งแสงสว่างเท่านั้น ข้ามิกล้าบังอาจเอื้อมไปเทียบเคียงเทพเจ้าแห่งแสงสว่างได้เลยแม้ซักเล็กน้อย ได้แต่กระทำอย่างสุดความสามารถเพื่ออุทิศแก่เทพเจ้าแห่งแสงสว่างเท่านั้น”
“เป็น บุญของแคว้นเราจริงๆที่ได้รับการคุ้มครองจากเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง”องค์ราชา ยิ้มกว้าง “ท่านคงจะเหนื่อยแล้ว เช่นนั้นข้าจะไม่รั้งพวกท่านเอาไว้อีกแล้วล่ะ”
“...พวกข้าขอตัว ...”ครีอุสลุกขึ้น ก่อนจะหันหลังเดินออกจากท้องพระโรง โดยทีเทพอัศวินฝั่งเฮมิซเดินเรียงแถวตามเขาไป ส่วนเทพอัศวินฝั่งโคลด์บลัดด์ก็เดินเรียงแถวตามเทอร์มิสไปเช่นกัน
“เรายังมีงานอะไรอีกมั๊ยครีอุส”ไทรอนถาม
“ด้วยคำอำนวยพรของเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง ท่านไม่ปรารถนาให้พวกเราผู้รับใช้แห่งท่านต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำแน่นอน ข้ามั่นใจ”ครีอุสตอบ
“...เอ่อ...หมายความว่าวันนี้ไม่มีกำหนดการอะไรแล้ว...ใช่มั๊ย?”
ครีอุสถอนหายใจแล้วพยักหน้าครั้งหนึ่ง
“เฮอะ อะไรๆก็เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง”
“เทพอัศวินเอกอน”ครีอุสเอ่ยทักเอกอนที่เข้ามาขวางขบวนเดินของเหล่าเฮมิซ
“เจ้า มันเพี้ยนไปแล้วครีอุส หรือตอนลงจากแดนเทพจะลืมเอาวิญญาณมา ตั้งแต่ลงมาก็เอาแต่เทพเจ้าแห่งแสงสว่างๆๆๆ พูดมันเข้าไป วันนี้ดีแค่ไหนที่ข้าไม่ได้กินอาหารเช้าก่อนไป ไม่งั้นคงได้อ๊วกคาท้องพระโรงแน่”
“นั่นคงเป็นพระเมตตาของเทพแห่งแสงสว่างแล้ว”ครีอุสยิ้มอย่างอ่อนโยน
“แหวะ!”เอกอนพูดแค่นี้ก็สะบัดหน้าจากไป
“ข้าขอตัวไปอาบไล้แสงสว่าง ณ ที่พำนักอันต่ำต้อยของข้าก่อนจะได้หรือไม่?”ครีอุสหันมาถาม
“...เจ้าไปเถอะ...”เทมเพสถอนหายใจ
“...เฮ้อ...”เคเรสทำหน้าเศร้า
“เป็นอะไรไปเคเรส?”ไทรอนถาม
“ข้า ไม่เข้าใจ...นี่มันก็เจ็ดปีมาแล้วนะตั้งแต่ที่เราลงมาจากแดนเทพ...ทำไมครีอุ สถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้”เคเรสทำหน้าเหมือนเก็บกดมากจนอยากจะร้องไห้ “เอกอนพูดไม่ผิดหรอก เขาน่ะเพี้ยนไปแล้ว ข้าไม่ชอบเขาในตอนนี้เลย ตอนที่เขาอยู่แดนเทพยังดีกว่าตั้งเยอะ!!!”
“นี่ขนาดจะเรียกพวกเรา เขายังใช้คำว่า “เทพอัศวิน” นำหน้า ทำตัวห่างเหินแบบนี้มันไม่ใช่ครีอุสเลย!!!”เฮฟเฟตัสระบายอารมณ์บ้าง “หรือเขาจะกินยาไม่เขย่าขวดก่อนลงมา นิสัยถึงได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ ข้าไม่ชอบเลย! มันเหมือนกับเขาไม่ใช่คนที่ข้าเคยรู้จักซักนิด!!!”
“ข้ารู้...ข้าเอง ก็รู้สึกเหมือนกับพวกเจ้านั่นแหละ”ไทรอนส่ายหัว “ขนาดข้าที่เมื่อก่อนเขาชอบมาระบายอะไรๆให้ข้าฟัง เดี๋ยวนี้แค่จะเข้าไปคุยข้ายังรู้สึกเหือนคุยกับคนแปลกหน้า การพูดการจาและกริยาสง่างามตลอดเวลาแบบนั้นน่ะไม่ใช่ครีอุสเพื่อนสนิทของข้า หรอก ไม่ใช่แน่นอน”
“เขาทำเหมือนตัวเองเพียบพร้อม ถึงเขาจะเพียบพร้อมจริงๆก็เถอะ แต่ข้าว่า...นั่นไม่ใช่ตัวจริงของเขาเลย”เทมเพสถอนหายใจ “เหมือนเขาฝืนตัวเองมากๆที่ทำแบบนี้ แต่ข้าจะพูดอะไรได้ มีไอ้บ้าตัวไหนมันฝืนตัวเองได้ตั้งเจ็ดปีโดยไม่หลุดเลยซักครั้งบ้างล่ะ? ไม่แน่ก่อนจะลงมาเทพไลท์อาจล้างสมองครีอุสไปแล้วก็ได้”
“...ไม่มีใครชินได้หรอก...การเพียบพร้อมสง่างามน่ะมันไม่เหมาะกับครีอุส...”เนเฟลพึมพำ “...และจะไม่มีทางเหมาะด้วย...ไม่มีทาง...”
ปัง
ครีอุสปิดประตูห้องขงตัวเอง หลังจากที่แน่ใจว่าลงกลอนประตูเรียบร้อยแล้วร่างสูงก็ยืนพิงประตู ก่อนจะค่อยๆลื่นลงไปนั่งแปะกับพื้น
“...เจ็ดปี...”ครีอุสพึมพำ
......แค่เจ็ดปีเท่านั้น......
“แค่เจ็บปีก็ทำข้าทรมาณราวกับตกนรกทั้งเป็นแล้ว!”ครีอุสตวาดลั่น
“เจ้า ก็พูดได้สิเอกอน! แน่จริงเจ้าลองมารับหน้าที่แบบข้ามั๊ยเล่าเจ้าโง่! เพราะพวกเจ้าไม่ยอมรับไม่ใช่รึไงข้าถึงต้องมาทำแทน!!! แล้วยังมีหน้ามาว่าข้าอีกงั้นเหรอไอ้โง่นี่!!!”
ครีอุสลุกพรวดอย่างโกรธจัด
“พวก โง่ราชสำนักนั่นก็เหมือนกัน! โง่สิ้นดี! วันๆเอาแต่ประชุมไร้สาระ ไม่ได้รู้เลยรึไงว่าคนเขารำคาญ! เรียกไปทีไรมีแต่เรื่องไร้สาระ! ต้องให้ข้าพล่ามเรื่องคำพูดไร้สาระของท่านไลท์อีกรึไง! หนังสือมีไม่อ่านกันแล้วใช่มั๊ยถึงได้ไม่รู้เลยว่าที่ข้าพูดมันก็ท่องจำมา จากหนังสือบ้านั่นทั้งดุ้นนั่นแหละ! โว๊ย!!!!!!!!!!”
ครีอุสอาละวาดไปทั่วห้องจนหมดแรง ร่างสูงหอบแฮ่กแต่ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะ...
ก๊อก ก๊อก
“ไม่ ทราบว่าเทพอัศวินผู้ใดที่อยู่ภายใต้แสงอันอบอุ่นของเทพแห่งแสงสว่างต้องการ พบข้าหรือ”ครีอุสถาม แต่ยิ่งพูดก็เกือบหลุดอาการอารมณืค้างออกไป
“ท่านครีอุส พระสังฆราชเรียกพบขอรับ”
“...อีกห้านาที”ครีอุสตอบอย่างไม่ลังเลและไม่ยืนยาว
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าพระสังฆราชกับเทพอัศวินครีอุสเกลียดกันเข้ากระดูกดำ!!!
ดังนั้นเทพอัศวินครีอุสจึงไม่ต้องพูดอ้างความสว่างไสวให้เปลืองน้ำลาย!
นี่เป็นเหตุผลที่เทพอัศวินครีอุสชอบที่สุด!!!
“...ท่าน ผู้นั้นจะเรียกข้าทำไมนะ”ครีอุสหยิบเสื้อประจำตำแหน่งของตนมาสวม จริงอยู่ที่เขาออกปฏิบัติภารกิจบ่อยครั้ง แถมยังลงสถานที่เกือบทุกวัน แต่ผิวของเขาก็ไม่มีทางดำเด็ดขาด
เพราะเขาอยู่ภายใต้ตำหนักของเทพไลท์มาตั้งแต่สิบสองขวบ เรื่องแสงแดดน่ะจิ๊บๆไปเลย!
“เอาเถอะ ไปแล้วก็คงรู้เอง”ครีอุสยักไหล่ไม่ใส่ใจ
“เทพ อัศวินครีอุสคารวะพระสังฆราช”ครีอุสดค้งตัวลงเล็กน้อย แต่ใบหน้าที่มักมีรอยยิ้มประดับตลอดเวลากลับนิ่งเสียจนเหล่าเทพอัศวินและนัก บวชต่างรีบจรลีออกจากห้องโดยไม่ต้องไล่ด้วยซ้ำ!
“...อืม...”พระสังฆราชเอานิ้วเคาะโต๊ะรอเวลาที่คนออกไปจนหมด และ...
“ไม่ได้พบกันนาน...ครีอุส”พระสังฆราชยิ้มบางเบา
“รู้สึกเราจะพบกันอยู่ทุกวัน...ฮาเดส”ครีอุสถอนหายใจ
......ใช่แล้ว...ที่ตำนานเล่าไว้ว่าเทพอัศวินฮาเดสรุ่นแรกไม่มีตัวตนนั้นเป็นความจริง......
......เพราะฮาเดสตัวจริงต้องมารับตำแหน่งพระสังฆราชนั่นเอง!!!......
นี่ เป็นแผนการของเทพไลท์รวมกับเทพจัสติสและเทพชาโดว์ ที่ให้พวกเขาสองคนรับหน้าที่สามตำแหน่ง นั่นคือ “เทพอัศวินครีอุส” “เทพอัศวินฮาเดส” และ “พระสังฆราช” หรือให้พูดง่ายๆก็คือในยามที่ครีอุสจำต้องออกปฏิบัติภารกิจ ก็จะให้ใช้ชื่อของฮาเดส ส่วนฮาเดสตัวจริงก็จะแสดงตัวเป็นเทพอัศวินครีอุส หรือไม่ก็แสดงตัวเป็นพระสังฆราชเพื่อกลบเกลื่อน และในยามปรกติก็จะให้เทพอัศวินฮาเดส “ที่มีแต่ชื่อ” ออกไปเป็นสายลับตามคำสั่งของพระสังฆราชที่เป็น “ตัวจริง” นั่นเอง
......ท่านไลท์มักจะบอกว่า...เพราะการให้คนสองคนปลอมเป็นคนสามคน...ง่ายกว่าคนคนเดียวแปลงเป็นคนสองคน!......
......แล้วมันต่างกันตรงไหน!!!!!......
“เจ้ามีอะไรถึงเรียกข้ารึฮาเดส”ครีอุสถาม
ใน กลุ่มพวกเขาทั้งสิบสองคน มีแค่ฮาเดสคนเดียวเท่านั้นที่รู้ถึงความ “อัดอั้นตันใจ” ของครีอุส และรู้ว่าทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้ ดังนั้นบางครั้งก็จะใช้อำนาจ “โดยมิชอบ” ของพระสังฆราชให้ครีอุสออกไปหาอะไรระบายอารมณ์ก่อนที่เพื่อนร่วมรุ่นของตนจะ เป็นบ้าไปซะก่อน
“ได้ยินเอกอนบ่นอยู่ทุกครั้งว่าเจ้าน่ะบ้าไปแล้ว ครีอุส”ฮาเดสยิ้มอ่อนใจ “เจ้าคงไม่ถือสาเขานะ”
“แน่ น้อน~ ข้าไม่ถือสาเขาหรอก”ครีอุสพูดเสียงสูงชนิดฟังก็รู้ว่าประชดสุดฤทธิ์ “ข้าไม่ถือสาหรอกว่าเป็นเพราะเขาไม่ยอมแต่แรกข้าถึงต้องยื่นข้อเสนอที่เสีย เปรียบสุดๆแบบนี้ ข้าไม่ถือเล้ย~”
“...เจ้าถือสาแน่ๆ...”ฮาเดสกุมขมับ
“เข้าเรื่องเถอะฮาเดส เจ้ามีอะไรถึงเรียกข้ามาล่ะ?”ครีอุสถาม “รู้มั๊ยว่าข้ากำลังระบายอารมณ์กับห้องของข้าอยู่เชียว”
“...เทพไลท์เรียกพบเจ้า เขาบอกว่ามีภารกิจให้เจ้าน่ะ...”ฮาเดสทำสีหน้าสงสาร
“อีกแล้วเหรอ!”ครีอุสสบถ
“เฮ้อ ท่าทางดูจากอารมณ์ของเจ้า ตอนนี้ห้องของเจ้าคงไม่มีอะไรเหลือดีสินะ ข้าจะไปเก็บกวาดซากให้แล้วกัน”ฮาเดสยิ้ม เขาเอามือสัมผัสกับสร้อยที่หน้าอกตนเอง ก่อนที่ชุดเครื่องแบบของพระสังฆราชจะเปลี่ยนเป็นชุดสีขาวปักตราพระอาทิตย์ ของเทพอัศวินครีอุส
“งั้นฝากแสดงตัวเป็นข้าไปทั้งวันเลยแล้วกัน ท่าทางข้าคงยุ่งแน่”ครีอุสบอก
“ได้”ฮาเดสพยักหน้ารับ “เจ้าระวังตัวด้วยนะ”
ปัง
ฮาเดสก้าวออกจากห้องไป แต่ก็ไม่ลืมปิดประตูล็อคห้องให้ครีอุสด้วย
ฟิ้วๆๆๆๆๆๆ
แสงสว่างพุ่งเข้ามาจากหน้าต่างหลายสิบหลายร้อยเส้น มันค่อยๆรวมตัวกันตรงหน้าครีอุส และ...เปลี่ยนเป็นร่างที่แสนคุ้นตา
“สวัสดียามบ่าย ครีอุส”ร่างนั้นยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ไม่ทราบว่าท่านมีเรื่องอะไรถึงได้เรียกใช้ข้าอีกล่ะขอรับ...ท่านไลท์”ครีอุสเอ่ยเสียงเย็น
“เปล่านะ! ข้าแค่มาดูว่าเจ้ายังเรียบร้อยดีอยู่รึเปล่าเท่านั้นเอง!”เทพไลท์รีบแก้ตัว
“เรียบร้อยสิขอรับ...เรียบร้อยจนข้าแทบบ้า!”ครีอุสตวาดลั่น
“ก็เจ้าเสนอตัวเองนะ”เทพไลท์ยิ้มแหย
“แล้ว ข้าทำเพื่อปกป้องใครครับถ้าไม่ใช่ชื่อเสียงและความน่าเคารพนับถือของท่าน !!!”ครีอุสแทบจะชักดาบไปฟันเทพหนุ่มตรงหน้าให้เป็นชิ้นๆเพื่อระบายอารมณ์ เสียแล้ว แต่ก็ต้องชะงักเพราะอีกฝ่ายเป็นเทพ แภมยังเป็นผู้ดูแลของเขามาแต่เล็กแต่น้อยอีกต่างหาก
“น่า น่า”เทพไลท์เกาแก้มอย่างอับจนถ้อยคำ “ข้าเข้าเรื่องได้รึยัง?”
“นั่นขึ้นอยู่กับข้าด้วยรึไงครับ”ครีอุสกระแทกตัวลงกับเก้าอี้อย่างหัวเสีย
“จัสติสสั่งงานมา”แค่ชื่อแรกที่ออกจากปากก็ทำครีอุสหน้าซีดได้แล้ว ยิ่งเมื่อพูดถึง “งาน” ยิ่งทำให้ร่างสูงสบถในลำคออย่างหงุดหงิดใจ
“งานของเทพจัสติสไม่เคยธรรมดาซักครั้ง คราวนี้ท่านจะปลดให้ข้ากี่ขั้น”ครีอุสถาม
“...เจ็ด...”เทพไลท์หรี่ตาลง
จริง อยู่ ในด้านความสามารถนั้น ครีอุสไม่ถือว่าเก่งดาบมากนัก แค่พอถือฟาดฟันได้ในระดับนักดาบฝึกหัด [อย่างน้อยก็ดีกว่าเกรเซียส] แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือไอพลังของเขา เพราะลำแสงแห่งเทพของเขานั้นแทบจะถอดแบบมาจากเทพไลท์เป๊ะๆ พูดง่ายๆคือแค่เสกลำแสงแห่งเทพอย่างง่ายๆก็อาจพาอัศวินแห่งความตายสลายไป ทั้งร่างเลยก็ได้ แถมนอกจากนั้นเขายังมีวิชาที่เรียกว่า “พลังจิต” อันเป็นพรสวรรค์เฉพาะตัวที่ไม่ใช่เวทย์มนต์ แต่เป็นยิ่งกว่ามนต์สะกดชั้นเลิศ
ซึ่งเทพไลท์เองก็เล็งเห็นว่าพลัง ทั้งสองสิ่งนี้อันตรายเกินกว่าจะปล่อยออกมาเพ่นพ่านในโลกมนุษย์ จึงจำต้องตรวนพลังของครีอุสเอาไว้ทั้งหมด พูดง่ายๆคือในยามปรกติ เขาจะมีพลังแค่ส่วนเดียวเท่านั้นจากสิบส่วน และเรื่องนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดแม้แต่เทพองค์อื่นๆนอกจากเทพจัสติ สและเทพไลท์ก็ไม่รู้ ไม่งั้นมีหวังพวกลูกศิษย์ของพวกเขาคงช็อกตาตั้งแน่ที่พลังแห่งเทพแค่ส่วน เดียวของครีอุส...ยังมากกว่าพลังเต็มที่ในยามปรกติของพวกเขาเสียอีก...และ ที่พูดถึงนี่ยังไม่นับกลุ่มโคลด์บลัดด์ด้วยซ้ำไป!!!
“งานอะไรกันถึงต้องปลดตั้งเจ็ดส่วน ฆ่ามังกรรึไงท่าน”ครีอุสแบะปาก
“เปล่า”เทพไลท์ถอนหายใจ
- คืนนั้น -
แซ่ก แซ่ก
ตุบ!
“...ซักวันข้าจะได้เชือดเทพแทนที่จะตกปากรับคำจริงๆแน่...”ครีอุสสบถอย่างหัวเสีย
ร่าง ของผู้แทนวจนะแห่งเทพในตอนนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่มักจะใส่เสื้อสีขาวติดตรา เทพอัศวินครีอุส แต่กลับเป็นชุดนักฆ่าที่ปกปิดร่างกายอย่างมิดชิดแล้ว ผมสีทองถูกย้อมจนกลายเป็นสีดำสนิท ดวงตาแน่วแน่จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนคนเดียวกับเทพอัศวินครีอุสผู้อ่อนโยน
ฟิ้ว!
ร่างสูงกระโจนครั้งเดียวก็กระโดดข้ามกำแพงของวิหารเทพแห่งแสงสว่างได้ ครีอุสกระโดดมายืนบนหลังคาไม้ของร้านค้าแห่งหนึ่ง
“ภารกิจ...ขับไล่อัศวินแห่งความตาย....ฮึ!”ครีอุสแค่นเสียง
......วันนี้...เวรตรวจการของเทอร์มิสสินะ......
“ต้องระวังตัวเอาไว้ก่อน”ครีอุสกระโดดข้ามหลังคาต่างๆไปอย่างรวดเร็ว
ฟู่...
ไอเวทย์สีดำทมิฬลอยมาจางๆ มันจางมากจนถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ครีอุสเองยังจัมสัมผัสแทบไม่ได้
“ไม่แปลกใจเลยแฮะว่าทำไมไม่รู้สึกตัวแต่แรก”ครีอุสพึมพำ
......แต่แปลกใจที่ว่า ไอปิศาจจางขนาดนี้มันมีอะไรอันตราย???......
[โหมดภาค : ครีอุส]
ตึก...ตึก...
“ร้าน...เหล้า?”ข้าขมวดคิ้ว ไอปิศาจมันมาจากที่นี่แน่ๆ แต่...
ทำไม ต้องเป็นที่นี่ด้วยนะ! ข้าเกลียดเหล้า! แค่กินเข้าไปจอกแรกข้าก็หน้าแดงแล้วเพราะข้าแพ้เหล้าทุกชนิด! เพราะแบบนี้เจ้าไอซอท เอกอน แล้วก็เจ้าอาร์เมลถึงได้ชอบบอกว่าข้าไม่ใช่บุรุษเพราะกินเหล้าไม่เป็น...ให้ ตาย! กินเหล้าไม่ได้แล้วมันผิดตรงไหนกัน!!!
ฟิ้ว...
แต่ตอนที่ข้ากำลังหงุดหงิด ไอเวทย์จางๆของคนบางคนก็ลอยออกมาให้รู้สึกได้
“...ซวย...”ข้าเผลอคราง
ดี ที่ยังไม่เปิดประตูเข้าไป นี่ข้าขอผลัดไปเป็นวันพรุ่งนี้ได้มั๊ย!!! ทำไมต้องเป็นเจ้านี่ด้วยล่ะ! ไอเวทย์เมื่อครู่ ถึงอยากลืมให้ตายข้าก็ลืมไม่ลงหรอก!!!
......เพราะเจอหน้ากันแทบทุกวัน...เพราะทะเลาะกันแทบทุกเวลาที่เดินสวนทาง......
......เทอร์มิส!!!......
แต่ จะปล่อยไปก็ไม่ได้ เพราะไม่งั้นก็ต้องไปขอให้เทพไลท์ผนึกพลัง แล้วค่อยปลดออกอีกทีวันพรุ่งนี้ จากนั้นคืนพรุ่งนี้ค่อยปลดออก แค่คิดถึงความยุ่งยากพวกนี้ข้าก็ขนลุกแล้ว ไม่เอาด้วยหรอก! ยังไงก็ต้องทำวันนี้แหละ!!!
ฟิ้ว
ข้ากระโดดวูบขึ้นไปบนหลังคา จากนั้นใช้มีดสั้นเล่มเล็กๆเจาะหลังคาจนเป็นรูแล้วมองลงไป [พฤติกรรมคุ้นๆเนาะ คล้ายใครเอ่ย? เอ๊ะ หรือเขามาคล้ายท่านครีอุสรุ่นแรกของพวกเราเสียเอง อิๆๆๆ]
“แกสินะ...อัศวินแห่งความตายที่เพ่นพ่านมาในช่วงนี้”เทอร์มิสเอ่ยเสียงเย็นเยียบ
ช่วงนี้? ทำไมข้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย???
ข้า กวาดมองไปรอบๆก็พบว่าในร้านเหล้านี้ นอกจากเทอร์มิสกับหน่วยเทพอัศวินของเขาสี่ห้าคนและร่างในชุดคลุมสีขมุกขมัว นั้นแล้วก็ไม่มีใครอีก ท่าทางเทอร์มิสจะกันคนอื่นออกไปหมดแล้ว
“ยังรอบคอบเหมือนเดิม”ข้าอดทอดถอนใจชมเชยไม่ได้ เทอร์มิสช่างสมกับเป็นเทอร์มิสจริงๆ ทำอะไรรอบคอบตลอดเวลา
“...อัศวินแห่งความตาย?...”ร่างนั้นย้อน ก่อนจะถอนหายใจ “จริงๆเลย...ดูถูกกันเกินไปหน่อยนะ”
ตูม!!!
ใน ทันที ไอปิศาจของร่างใต้ผ้าคลุมนั้นก็ระเบิดออกมา มันเป็นไอมืดที่น่ากลัวมาก แรงกดดันของมันส่งผลให้เทพอัศวินที่มีลำแสงแห่งเทพน้อยเข่าอ่อนทรุดตัวลงไป กองเลยทีเดียว สำหรับข้ามันก็เหมือนลมกระชากตัวผ่านไปวูบหนึ่ง แต่กับเทอร์มิสมันคงสร้างแรงกดดันไม่น้อยเพราะข้าเห็นว่าใบหน้าของเขาเคร่ง เครียดมาก
“...บ้าน่า...ประมุขแห่งความตายงั้นเหรอ!!!...”เทอร์มิสพึมพำ แต่ข้าได้ยินชัดเจน
ท่านจัสติส! ท่านโยนงานอะไรมาให้ข้าเนี่ย!!! ไหนบอกอัศวินแห่งความตาย! ไหงมันกลายเป็นประมุขแห่งความตายไปซะงั้นล่ะ!!!!!
ข้ารู้สึกอยากวิ่งไปกระทืบเทพจัสติสบนแดนเทพในฉับพลันก็ตอนนี้แหละ!!!
ฟิ้ว...
ควันสีดำลอยวนรอบร่างของประมุขแห่งความตายตนนั้นเอาไว้ ก่อนที่มันจะถอดผ้าคลุมออก
ใต้ ผ้าคลุมนั้นประมุขแห่งความตายจริงๆอย่างที่เทอร์มิสเดา ลวดลายแปลกๆที่วิ่งไปทั่วร่างของมันดูน่ากลัวไม่น้อย ดวงตาสีแดงที่รวบกับเอาเปลวเพลิงเข้าไปใส่ไว้ข้างในนั่นก็น่ากลัวเช่นกัน แต่ที่น่ากลัวที่สุดในร่างนี้...คงจะเป็นปีกค้างคาวสีแดงที่ชุ่มโชกไปด้วย เลือดที่กลางหลังกระมัง
“เลือดพวกนั้น!”เทอร์มิสกัดฟันกรอด
“ก็เลือดของเหยื่อของข้าน่ะสิ คิกๆๆๆๆ”ประมุขแห่งความตายแสยะยิ้ม
“แก!!!”
“พลังเทพก็น้อยนิดยังมาต่อกรกับประมุขแห่งความตาย...ทำไมโง่อย่างนี้น้า”มันลอยหน้าลอยตา
เคร้ง!!!
ไม่ ต้องพูดพล่ามทำเพลง ดาบของเทอร์มิสก็พุ่งเข้าใส่ประมุขแห่งความตายแล้ว และมันก็ดูจะไม่ทันตั้งตัวกับการโจมตีกระทันหันทำให้ต้องกระโดดหลบ
“คนที่จะด่าเทพอัศวินว่าโง่ได้...มีแค่ครีอุสเท่านั้น”เทอร์มิสประกาศกร้าว
ข้า? ทำไมถึงเป็นข้าล่ะ???
แคร้ง! แคร้ง!
ประมุข แห่งความตายตนนั้นเรียกดาบขึ้นมาจากอากาศ มันอัดแน่นไปด้วยไอทมิฬน่ากลัว แต่ที่น่ากลัวกว่าคือเพลงดาบของทั้งสองคน นี่พวกเจ้ามีความแค้นกันมาแต่ชาติปานไหน หา!!!
“สมกับเป็นเทพอัศวิน...ฝีมือดาบไม่เลวเลย”ประมุขแห่งความตายหัวเราะแผ่วเบา
“หุบปาก”
แคร้ง แคร้ง แคร้ง
ดาบ ของทั้งสองคนทวีความรุนแรงขึ้นจนข้าเหมือนเห็นประกายไฟแล่นเปรี๊ยะๆเมื่อดาบ ทั้งสองปะทะกัน เทพอัศวินที่เหลือพวกนั้นต่างหน้าซีด แต่ไม่มีใครกล้าขยับ
เพราะพวกเขาขยับไม่ได้...หากพวกเขาขยับจะเท่ากับดึงความสนใจและอาจเกิดอันตรายขึ้นได้
...ข้าต้องลงมือแล้ว...
ข้า คว้าเศษใบไม้ที่ปลิวมาตามลม ก่อนจะรวบรวมไอพลังแห่งเทพเพียงน้อยนิดห่อหุ้มมันเอาไว้จนมันแข็งราวกับหิน จากนั้นก็บรรจงปาใส่หัวของหนึ่งในเทพอัศวินพวกนั้นอย่างแผ่วเบา
ป๊อก
“......”เทพอัศวินพวกนั้นทำหน้าเหวอไปเลยเมื่อเห็นข้า
เอ...หรือพวกเขาจะจำข้าได้? ไม่สิ ข้าอุตส่าห์ใส่ชุดของเทพอัศวินฮาเดสแล้ว เขาจำข้าไม่ได้หรอก!
“ท...ท่านหัวหน้าเทพอัศวิน...ฮาเดส”หนึ่งในพวกเขาคราง
เฮ้อ ข้าคิดว่าพวกเขาจำข้าได้ซะอีก
ข้าขยับนิ้วเป็นการเขียนตัวอักษรกลางอากาศ โดยใช้ลำแสงแห่งเทพเป็นตัวอักษรแทน
‘พวกเจ้าห้าคนออกไปจากที่นี่ซะ กลับตำหนักเทพอัศวินไป เรื่องเทอร์มิสข้าดูแลเขาเอง’
เมื่อ พวกเขาอ่านจบก็ทำสีหน้าซาบซึ้ง แน่ล่ะ พวกเขาคงคิดว่าเทพอัศวินถึงสององค์อยู่ร่วมกัน ถึงเป็นประมุขแห่งความตายก็ยากจะรอด แต่มันไม่จริงซักหน่อย! ถ้าคนที่มาเป็นฮาเดสตัวจริงล่ะก็เขาช่วยเทอร์มิสไม่ได้หรอก! มีแต่ลำแสงแห่งเทพที่รุนแรงจริงๆถึงทำอะไรประมุขแห่งความตายได้!!!
แคร้ง!!!!!
ในที่สุด แรงของมนุษย์ก็ยากจะชนะแรงของปิศาจ ดาบของเทอร์มิสถูกประมุขแห่งความตายตนนั้นปัดจนกระเด็น!
แกร็ก
“ถ้าเจ้าขยับล่ะก็...ตายแน่”ประมุขแห่งความตายส่งสายตาโหดเหี้ยมใส่เทอร์มิส
“ตำหนักเทพอัศวินจะไม่มีทางยอมแพ้ต่อความมืด”เทอร์มิสยังคงสงบนิ่งได้
“คำพูดนั้น...เอาไว้พูดกับเพื่อนของเจ้าดีกว่ามั๊ย”
“อะไรนะ?”
“จะออกมาได้รึยัง เจ้าคนที่ซ่อนตัวอยู่แต่แรกนั่นน่ะ!”ประมุขแห่งความตายตวาด
แต่...มันรู้สึกถึงตัวตนของข้าแต่แรกแล้วงั้นเหรอ!?!
“เจ้าแอบดูมาแต่แรกไม่ใช่รึไง! พลังแห่งเทพสูงส่งขนาดนั้นปิดข้าไม่มิดหรอกนะ!!!”ประมุขแห่งความตายคำราม
“มีคนอื่นงั้นเหรอ”เทอร์มิสขมวดคิ้ว
ข้า จะเอายังไงดีล่ะทีนี้ จะลงไปเดี๋ยวเทอร์มิสก็จับสังเกตอะไรได้หรอก ตลอดเจ็ดปีมานี้ข้ากับเขามักจะพบหน้ากันน้อยที่สุด เพราะข้าพยายามหลบหน้าเขามาตลอด
ข้ากลัว...กลัวสายตาของเทอร์มิส
สายตาที่ราวกับเข้าใจข้าทุกอย่าง...สายตาที่มักจะทอดมองข้ากับคนอื่นๆราวกับมองนิสัยของพวกเราออกจนปรุโปร่ง
ข้ากลัวสายตาแบบนั้น...มันทำให้ “การแสแสร้ง” ที่ข้าทำมาตลอดเจ็ดปีแทบจะไม่มีความหมาย
ดังนั้น...ข้าจึงหนีจากเขา ข้าพยายามหลบหน้าเขาเพราะไม่ต้องการให้เขามองไปถึง “จิตใจ” ของข้าได้
“ถ้าเจ้าไม่ออกมา ข้าจะฆ่าเจ้านี่ซะก่อนล่ะ!”
“ลองทำอะไรเทอร์มิสดูสิ!!!”
ฟิ้ว!
ซวยแล้ว! ข้าเปิดเผยที่ซ่อนของตัวเองออกไปซะแล้ว!
มีดสั้นที่ข้าปาออกไปเมื่อครู่ปักเข้าที่แขนของประมุขแห่งความตาย จริงๆข้าเงเข้าที่ร่างกายของมัน แต่มันกลับหลบทำให้โดนเข้าที่แขนแทน
“มีดคมดีนี่!”
ท่าทางมันจะโกรธจัด ประมุขแห่งความตายตนนั้นผละออกจากเทอร์มิส หันมาไล่กวดข้าทันที
ข้ารีบใช้ความเร็วสูงสุดที่ตัวเองจะมีได้ กระโดดข้ามกำแพงและหลังคาต่างๆอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องพามันออกไปให้ไกลที่สุด!
ข้าจะทำให้เทอร์มิสเดือดร้อนไม่ได้!!!
########################################
- เจ็ดปีต่อมา -
“ขอพรเทพเจ้าแห่งแสงสว่างจงอยู่เคียงข้างท่าน องค์ราชันย์แห่งวอลเลซ”เทพอัศวินครีอุสกล่าวสดุดี
“ต้อง ขอขอบคุณท่านจริงๆ เพราะแคว้นวอลเลซมีวิหารเทพเจ้าแห่งแสงสว่างอยู่แน่ๆจึงทำให้ที่แห่งนี้สงบ สุขปราศจากเหล่าอมนุษย์มาเป็นเวลานาน เราในฐานะตัวแทนแห่งประชาชนขอขอบคุณท่านจากใจ”
“หาที่สุดมิได้ฝ่าบาท เป็นเพราะคำอำนวยพรของเทพเจ้าแห่งแสงสว่างต่างหากที่ทำให้แคว้นวอลเลซสงบสุข เป็นเวลาช้านาน หาใช่เพราะวิหารเทพแห่งแสงสว่างหรือพวกเราสิบสองเทพอัศวินไม่”
“...ท่านช่างถ่อมตนจริงๆเทพอัศวินครีอุส...”องค์ราชาทอดถอนใจอย่างชื่นชม
“เนื่อง เพราะข้าเป็นเพียงผู้แทนวจนะแห่งเทพ จึงเป็นได้เพียงผู้รับใช้ของเทพแห่งแสงสว่างเท่านั้นฝ่าบาท ข้าตระหนักในพระคุณของเทพเจ้าแห่งแสงสว่างเป็นล้นพ้น จึงได้อุทิศทั้งชีวิตนี้เพื่อเทพเจ้าแห่งแสงสว่างเท่านั้น ข้ามิกล้าบังอาจเอื้อมไปเทียบเคียงเทพเจ้าแห่งแสงสว่างได้เลยแม้ซักเล็กน้อย ได้แต่กระทำอย่างสุดความสามารถเพื่ออุทิศแก่เทพเจ้าแห่งแสงสว่างเท่านั้น”
“เป็น บุญของแคว้นเราจริงๆที่ได้รับการคุ้มครองจากเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง”องค์ราชา ยิ้มกว้าง “ท่านคงจะเหนื่อยแล้ว เช่นนั้นข้าจะไม่รั้งพวกท่านเอาไว้อีกแล้วล่ะ”
“...พวกข้าขอตัว ...”ครีอุสลุกขึ้น ก่อนจะหันหลังเดินออกจากท้องพระโรง โดยทีเทพอัศวินฝั่งเฮมิซเดินเรียงแถวตามเขาไป ส่วนเทพอัศวินฝั่งโคลด์บลัดด์ก็เดินเรียงแถวตามเทอร์มิสไปเช่นกัน
“เรายังมีงานอะไรอีกมั๊ยครีอุส”ไทรอนถาม
“ด้วยคำอำนวยพรของเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง ท่านไม่ปรารถนาให้พวกเราผู้รับใช้แห่งท่านต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำแน่นอน ข้ามั่นใจ”ครีอุสตอบ
“...เอ่อ...หมายความว่าวันนี้ไม่มีกำหนดการอะไรแล้ว...ใช่มั๊ย?”
ครีอุสถอนหายใจแล้วพยักหน้าครั้งหนึ่ง
“เฮอะ อะไรๆก็เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง”
“เทพอัศวินเอกอน”ครีอุสเอ่ยทักเอกอนที่เข้ามาขวางขบวนเดินของเหล่าเฮมิซ
“เจ้า มันเพี้ยนไปแล้วครีอุส หรือตอนลงจากแดนเทพจะลืมเอาวิญญาณมา ตั้งแต่ลงมาก็เอาแต่เทพเจ้าแห่งแสงสว่างๆๆๆ พูดมันเข้าไป วันนี้ดีแค่ไหนที่ข้าไม่ได้กินอาหารเช้าก่อนไป ไม่งั้นคงได้อ๊วกคาท้องพระโรงแน่”
“นั่นคงเป็นพระเมตตาของเทพแห่งแสงสว่างแล้ว”ครีอุสยิ้มอย่างอ่อนโยน
“แหวะ!”เอกอนพูดแค่นี้ก็สะบัดหน้าจากไป
“ข้าขอตัวไปอาบไล้แสงสว่าง ณ ที่พำนักอันต่ำต้อยของข้าก่อนจะได้หรือไม่?”ครีอุสหันมาถาม
“...เจ้าไปเถอะ...”เทมเพสถอนหายใจ
“...เฮ้อ...”เคเรสทำหน้าเศร้า
“เป็นอะไรไปเคเรส?”ไทรอนถาม
“ข้า ไม่เข้าใจ...นี่มันก็เจ็ดปีมาแล้วนะตั้งแต่ที่เราลงมาจากแดนเทพ...ทำไมครีอุ สถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้”เคเรสทำหน้าเหมือนเก็บกดมากจนอยากจะร้องไห้ “เอกอนพูดไม่ผิดหรอก เขาน่ะเพี้ยนไปแล้ว ข้าไม่ชอบเขาในตอนนี้เลย ตอนที่เขาอยู่แดนเทพยังดีกว่าตั้งเยอะ!!!”
“นี่ขนาดจะเรียกพวกเรา เขายังใช้คำว่า “เทพอัศวิน” นำหน้า ทำตัวห่างเหินแบบนี้มันไม่ใช่ครีอุสเลย!!!”เฮฟเฟตัสระบายอารมณ์บ้าง “หรือเขาจะกินยาไม่เขย่าขวดก่อนลงมา นิสัยถึงได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ ข้าไม่ชอบเลย! มันเหมือนกับเขาไม่ใช่คนที่ข้าเคยรู้จักซักนิด!!!”
“ข้ารู้...ข้าเอง ก็รู้สึกเหมือนกับพวกเจ้านั่นแหละ”ไทรอนส่ายหัว “ขนาดข้าที่เมื่อก่อนเขาชอบมาระบายอะไรๆให้ข้าฟัง เดี๋ยวนี้แค่จะเข้าไปคุยข้ายังรู้สึกเหือนคุยกับคนแปลกหน้า การพูดการจาและกริยาสง่างามตลอดเวลาแบบนั้นน่ะไม่ใช่ครีอุสเพื่อนสนิทของข้า หรอก ไม่ใช่แน่นอน”
“เขาทำเหมือนตัวเองเพียบพร้อม ถึงเขาจะเพียบพร้อมจริงๆก็เถอะ แต่ข้าว่า...นั่นไม่ใช่ตัวจริงของเขาเลย”เทมเพสถอนหายใจ “เหมือนเขาฝืนตัวเองมากๆที่ทำแบบนี้ แต่ข้าจะพูดอะไรได้ มีไอ้บ้าตัวไหนมันฝืนตัวเองได้ตั้งเจ็ดปีโดยไม่หลุดเลยซักครั้งบ้างล่ะ? ไม่แน่ก่อนจะลงมาเทพไลท์อาจล้างสมองครีอุสไปแล้วก็ได้”
“...ไม่มีใครชินได้หรอก...การเพียบพร้อมสง่างามน่ะมันไม่เหมาะกับครีอุส...”เนเฟลพึมพำ “...และจะไม่มีทางเหมาะด้วย...ไม่มีทาง...”
ปัง
ครีอุสปิดประตูห้องขงตัวเอง หลังจากที่แน่ใจว่าลงกลอนประตูเรียบร้อยแล้วร่างสูงก็ยืนพิงประตู ก่อนจะค่อยๆลื่นลงไปนั่งแปะกับพื้น
“...เจ็ดปี...”ครีอุสพึมพำ
......แค่เจ็ดปีเท่านั้น......
“แค่เจ็บปีก็ทำข้าทรมาณราวกับตกนรกทั้งเป็นแล้ว!”ครีอุสตวาดลั่น
“เจ้า ก็พูดได้สิเอกอน! แน่จริงเจ้าลองมารับหน้าที่แบบข้ามั๊ยเล่าเจ้าโง่! เพราะพวกเจ้าไม่ยอมรับไม่ใช่รึไงข้าถึงต้องมาทำแทน!!! แล้วยังมีหน้ามาว่าข้าอีกงั้นเหรอไอ้โง่นี่!!!”
ครีอุสลุกพรวดอย่างโกรธจัด
“พวก โง่ราชสำนักนั่นก็เหมือนกัน! โง่สิ้นดี! วันๆเอาแต่ประชุมไร้สาระ ไม่ได้รู้เลยรึไงว่าคนเขารำคาญ! เรียกไปทีไรมีแต่เรื่องไร้สาระ! ต้องให้ข้าพล่ามเรื่องคำพูดไร้สาระของท่านไลท์อีกรึไง! หนังสือมีไม่อ่านกันแล้วใช่มั๊ยถึงได้ไม่รู้เลยว่าที่ข้าพูดมันก็ท่องจำมา จากหนังสือบ้านั่นทั้งดุ้นนั่นแหละ! โว๊ย!!!!!!!!!!”
ครีอุสอาละวาดไปทั่วห้องจนหมดแรง ร่างสูงหอบแฮ่กแต่ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะ...
ก๊อก ก๊อก
“ไม่ ทราบว่าเทพอัศวินผู้ใดที่อยู่ภายใต้แสงอันอบอุ่นของเทพแห่งแสงสว่างต้องการ พบข้าหรือ”ครีอุสถาม แต่ยิ่งพูดก็เกือบหลุดอาการอารมณืค้างออกไป
“ท่านครีอุส พระสังฆราชเรียกพบขอรับ”
“...อีกห้านาที”ครีอุสตอบอย่างไม่ลังเลและไม่ยืนยาว
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าพระสังฆราชกับเทพอัศวินครีอุสเกลียดกันเข้ากระดูกดำ!!!
ดังนั้นเทพอัศวินครีอุสจึงไม่ต้องพูดอ้างความสว่างไสวให้เปลืองน้ำลาย!
นี่เป็นเหตุผลที่เทพอัศวินครีอุสชอบที่สุด!!!
“...ท่าน ผู้นั้นจะเรียกข้าทำไมนะ”ครีอุสหยิบเสื้อประจำตำแหน่งของตนมาสวม จริงอยู่ที่เขาออกปฏิบัติภารกิจบ่อยครั้ง แถมยังลงสถานที่เกือบทุกวัน แต่ผิวของเขาก็ไม่มีทางดำเด็ดขาด
เพราะเขาอยู่ภายใต้ตำหนักของเทพไลท์มาตั้งแต่สิบสองขวบ เรื่องแสงแดดน่ะจิ๊บๆไปเลย!
“เอาเถอะ ไปแล้วก็คงรู้เอง”ครีอุสยักไหล่ไม่ใส่ใจ
“เทพ อัศวินครีอุสคารวะพระสังฆราช”ครีอุสดค้งตัวลงเล็กน้อย แต่ใบหน้าที่มักมีรอยยิ้มประดับตลอดเวลากลับนิ่งเสียจนเหล่าเทพอัศวินและนัก บวชต่างรีบจรลีออกจากห้องโดยไม่ต้องไล่ด้วยซ้ำ!
“...อืม...”พระสังฆราชเอานิ้วเคาะโต๊ะรอเวลาที่คนออกไปจนหมด และ...
“ไม่ได้พบกันนาน...ครีอุส”พระสังฆราชยิ้มบางเบา
“รู้สึกเราจะพบกันอยู่ทุกวัน...ฮาเดส”ครีอุสถอนหายใจ
......ใช่แล้ว...ที่ตำนานเล่าไว้ว่าเทพอัศวินฮาเดสรุ่นแรกไม่มีตัวตนนั้นเป็นความจริง......
......เพราะฮาเดสตัวจริงต้องมารับตำแหน่งพระสังฆราชนั่นเอง!!!......
นี่ เป็นแผนการของเทพไลท์รวมกับเทพจัสติสและเทพชาโดว์ ที่ให้พวกเขาสองคนรับหน้าที่สามตำแหน่ง นั่นคือ “เทพอัศวินครีอุส” “เทพอัศวินฮาเดส” และ “พระสังฆราช” หรือให้พูดง่ายๆก็คือในยามที่ครีอุสจำต้องออกปฏิบัติภารกิจ ก็จะให้ใช้ชื่อของฮาเดส ส่วนฮาเดสตัวจริงก็จะแสดงตัวเป็นเทพอัศวินครีอุส หรือไม่ก็แสดงตัวเป็นพระสังฆราชเพื่อกลบเกลื่อน และในยามปรกติก็จะให้เทพอัศวินฮาเดส “ที่มีแต่ชื่อ” ออกไปเป็นสายลับตามคำสั่งของพระสังฆราชที่เป็น “ตัวจริง” นั่นเอง
......ท่านไลท์มักจะบอกว่า...เพราะการให้คนสองคนปลอมเป็นคนสามคน...ง่ายกว่าคนคนเดียวแปลงเป็นคนสองคน!......
......แล้วมันต่างกันตรงไหน!!!!!......
“เจ้ามีอะไรถึงเรียกข้ารึฮาเดส”ครีอุสถาม
ใน กลุ่มพวกเขาทั้งสิบสองคน มีแค่ฮาเดสคนเดียวเท่านั้นที่รู้ถึงความ “อัดอั้นตันใจ” ของครีอุส และรู้ว่าทำไมเขาถึงต้องทำแบบนี้ ดังนั้นบางครั้งก็จะใช้อำนาจ “โดยมิชอบ” ของพระสังฆราชให้ครีอุสออกไปหาอะไรระบายอารมณ์ก่อนที่เพื่อนร่วมรุ่นของตนจะ เป็นบ้าไปซะก่อน
“ได้ยินเอกอนบ่นอยู่ทุกครั้งว่าเจ้าน่ะบ้าไปแล้ว ครีอุส”ฮาเดสยิ้มอ่อนใจ “เจ้าคงไม่ถือสาเขานะ”
“แน่ น้อน~ ข้าไม่ถือสาเขาหรอก”ครีอุสพูดเสียงสูงชนิดฟังก็รู้ว่าประชดสุดฤทธิ์ “ข้าไม่ถือสาหรอกว่าเป็นเพราะเขาไม่ยอมแต่แรกข้าถึงต้องยื่นข้อเสนอที่เสีย เปรียบสุดๆแบบนี้ ข้าไม่ถือเล้ย~”
“...เจ้าถือสาแน่ๆ...”ฮาเดสกุมขมับ
“เข้าเรื่องเถอะฮาเดส เจ้ามีอะไรถึงเรียกข้ามาล่ะ?”ครีอุสถาม “รู้มั๊ยว่าข้ากำลังระบายอารมณ์กับห้องของข้าอยู่เชียว”
“...เทพไลท์เรียกพบเจ้า เขาบอกว่ามีภารกิจให้เจ้าน่ะ...”ฮาเดสทำสีหน้าสงสาร
“อีกแล้วเหรอ!”ครีอุสสบถ
“เฮ้อ ท่าทางดูจากอารมณ์ของเจ้า ตอนนี้ห้องของเจ้าคงไม่มีอะไรเหลือดีสินะ ข้าจะไปเก็บกวาดซากให้แล้วกัน”ฮาเดสยิ้ม เขาเอามือสัมผัสกับสร้อยที่หน้าอกตนเอง ก่อนที่ชุดเครื่องแบบของพระสังฆราชจะเปลี่ยนเป็นชุดสีขาวปักตราพระอาทิตย์ ของเทพอัศวินครีอุส
“งั้นฝากแสดงตัวเป็นข้าไปทั้งวันเลยแล้วกัน ท่าทางข้าคงยุ่งแน่”ครีอุสบอก
“ได้”ฮาเดสพยักหน้ารับ “เจ้าระวังตัวด้วยนะ”
ปัง
ฮาเดสก้าวออกจากห้องไป แต่ก็ไม่ลืมปิดประตูล็อคห้องให้ครีอุสด้วย
ฟิ้วๆๆๆๆๆๆ
แสงสว่างพุ่งเข้ามาจากหน้าต่างหลายสิบหลายร้อยเส้น มันค่อยๆรวมตัวกันตรงหน้าครีอุส และ...เปลี่ยนเป็นร่างที่แสนคุ้นตา
“สวัสดียามบ่าย ครีอุส”ร่างนั้นยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ไม่ทราบว่าท่านมีเรื่องอะไรถึงได้เรียกใช้ข้าอีกล่ะขอรับ...ท่านไลท์”ครีอุสเอ่ยเสียงเย็น
“เปล่านะ! ข้าแค่มาดูว่าเจ้ายังเรียบร้อยดีอยู่รึเปล่าเท่านั้นเอง!”เทพไลท์รีบแก้ตัว
“เรียบร้อยสิขอรับ...เรียบร้อยจนข้าแทบบ้า!”ครีอุสตวาดลั่น
“ก็เจ้าเสนอตัวเองนะ”เทพไลท์ยิ้มแหย
“แล้ว ข้าทำเพื่อปกป้องใครครับถ้าไม่ใช่ชื่อเสียงและความน่าเคารพนับถือของท่าน !!!”ครีอุสแทบจะชักดาบไปฟันเทพหนุ่มตรงหน้าให้เป็นชิ้นๆเพื่อระบายอารมณ์ เสียแล้ว แต่ก็ต้องชะงักเพราะอีกฝ่ายเป็นเทพ แภมยังเป็นผู้ดูแลของเขามาแต่เล็กแต่น้อยอีกต่างหาก
“น่า น่า”เทพไลท์เกาแก้มอย่างอับจนถ้อยคำ “ข้าเข้าเรื่องได้รึยัง?”
“นั่นขึ้นอยู่กับข้าด้วยรึไงครับ”ครีอุสกระแทกตัวลงกับเก้าอี้อย่างหัวเสีย
“จัสติสสั่งงานมา”แค่ชื่อแรกที่ออกจากปากก็ทำครีอุสหน้าซีดได้แล้ว ยิ่งเมื่อพูดถึง “งาน” ยิ่งทำให้ร่างสูงสบถในลำคออย่างหงุดหงิดใจ
“งานของเทพจัสติสไม่เคยธรรมดาซักครั้ง คราวนี้ท่านจะปลดให้ข้ากี่ขั้น”ครีอุสถาม
“...เจ็ด...”เทพไลท์หรี่ตาลง
จริง อยู่ ในด้านความสามารถนั้น ครีอุสไม่ถือว่าเก่งดาบมากนัก แค่พอถือฟาดฟันได้ในระดับนักดาบฝึกหัด [อย่างน้อยก็ดีกว่าเกรเซียส] แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือไอพลังของเขา เพราะลำแสงแห่งเทพของเขานั้นแทบจะถอดแบบมาจากเทพไลท์เป๊ะๆ พูดง่ายๆคือแค่เสกลำแสงแห่งเทพอย่างง่ายๆก็อาจพาอัศวินแห่งความตายสลายไป ทั้งร่างเลยก็ได้ แถมนอกจากนั้นเขายังมีวิชาที่เรียกว่า “พลังจิต” อันเป็นพรสวรรค์เฉพาะตัวที่ไม่ใช่เวทย์มนต์ แต่เป็นยิ่งกว่ามนต์สะกดชั้นเลิศ
ซึ่งเทพไลท์เองก็เล็งเห็นว่าพลัง ทั้งสองสิ่งนี้อันตรายเกินกว่าจะปล่อยออกมาเพ่นพ่านในโลกมนุษย์ จึงจำต้องตรวนพลังของครีอุสเอาไว้ทั้งหมด พูดง่ายๆคือในยามปรกติ เขาจะมีพลังแค่ส่วนเดียวเท่านั้นจากสิบส่วน และเรื่องนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดแม้แต่เทพองค์อื่นๆนอกจากเทพจัสติ สและเทพไลท์ก็ไม่รู้ ไม่งั้นมีหวังพวกลูกศิษย์ของพวกเขาคงช็อกตาตั้งแน่ที่พลังแห่งเทพแค่ส่วน เดียวของครีอุส...ยังมากกว่าพลังเต็มที่ในยามปรกติของพวกเขาเสียอีก...และ ที่พูดถึงนี่ยังไม่นับกลุ่มโคลด์บลัดด์ด้วยซ้ำไป!!!
“งานอะไรกันถึงต้องปลดตั้งเจ็ดส่วน ฆ่ามังกรรึไงท่าน”ครีอุสแบะปาก
“เปล่า”เทพไลท์ถอนหายใจ
- คืนนั้น -
แซ่ก แซ่ก
ตุบ!
“...ซักวันข้าจะได้เชือดเทพแทนที่จะตกปากรับคำจริงๆแน่...”ครีอุสสบถอย่างหัวเสีย
ร่าง ของผู้แทนวจนะแห่งเทพในตอนนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่มักจะใส่เสื้อสีขาวติดตรา เทพอัศวินครีอุส แต่กลับเป็นชุดนักฆ่าที่ปกปิดร่างกายอย่างมิดชิดแล้ว ผมสีทองถูกย้อมจนกลายเป็นสีดำสนิท ดวงตาแน่วแน่จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนคนเดียวกับเทพอัศวินครีอุสผู้อ่อนโยน
ฟิ้ว!
ร่างสูงกระโจนครั้งเดียวก็กระโดดข้ามกำแพงของวิหารเทพแห่งแสงสว่างได้ ครีอุสกระโดดมายืนบนหลังคาไม้ของร้านค้าแห่งหนึ่ง
“ภารกิจ...ขับไล่อัศวินแห่งความตาย....ฮึ!”ครีอุสแค่นเสียง
......วันนี้...เวรตรวจการของเทอร์มิสสินะ......
“ต้องระวังตัวเอาไว้ก่อน”ครีอุสกระโดดข้ามหลังคาต่างๆไปอย่างรวดเร็ว
ฟู่...
ไอเวทย์สีดำทมิฬลอยมาจางๆ มันจางมากจนถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ครีอุสเองยังจัมสัมผัสแทบไม่ได้
“ไม่แปลกใจเลยแฮะว่าทำไมไม่รู้สึกตัวแต่แรก”ครีอุสพึมพำ
......แต่แปลกใจที่ว่า ไอปิศาจจางขนาดนี้มันมีอะไรอันตราย???......
[โหมดภาค : ครีอุส]
ตึก...ตึก...
“ร้าน...เหล้า?”ข้าขมวดคิ้ว ไอปิศาจมันมาจากที่นี่แน่ๆ แต่...
ทำไม ต้องเป็นที่นี่ด้วยนะ! ข้าเกลียดเหล้า! แค่กินเข้าไปจอกแรกข้าก็หน้าแดงแล้วเพราะข้าแพ้เหล้าทุกชนิด! เพราะแบบนี้เจ้าไอซอท เอกอน แล้วก็เจ้าอาร์เมลถึงได้ชอบบอกว่าข้าไม่ใช่บุรุษเพราะกินเหล้าไม่เป็น...ให้ ตาย! กินเหล้าไม่ได้แล้วมันผิดตรงไหนกัน!!!
ฟิ้ว...
แต่ตอนที่ข้ากำลังหงุดหงิด ไอเวทย์จางๆของคนบางคนก็ลอยออกมาให้รู้สึกได้
“...ซวย...”ข้าเผลอคราง
ดี ที่ยังไม่เปิดประตูเข้าไป นี่ข้าขอผลัดไปเป็นวันพรุ่งนี้ได้มั๊ย!!! ทำไมต้องเป็นเจ้านี่ด้วยล่ะ! ไอเวทย์เมื่อครู่ ถึงอยากลืมให้ตายข้าก็ลืมไม่ลงหรอก!!!
......เพราะเจอหน้ากันแทบทุกวัน...เพราะทะเลาะกันแทบทุกเวลาที่เดินสวนทาง......
......เทอร์มิส!!!......
แต่ จะปล่อยไปก็ไม่ได้ เพราะไม่งั้นก็ต้องไปขอให้เทพไลท์ผนึกพลัง แล้วค่อยปลดออกอีกทีวันพรุ่งนี้ จากนั้นคืนพรุ่งนี้ค่อยปลดออก แค่คิดถึงความยุ่งยากพวกนี้ข้าก็ขนลุกแล้ว ไม่เอาด้วยหรอก! ยังไงก็ต้องทำวันนี้แหละ!!!
ฟิ้ว
ข้ากระโดดวูบขึ้นไปบนหลังคา จากนั้นใช้มีดสั้นเล่มเล็กๆเจาะหลังคาจนเป็นรูแล้วมองลงไป [พฤติกรรมคุ้นๆเนาะ คล้ายใครเอ่ย? เอ๊ะ หรือเขามาคล้ายท่านครีอุสรุ่นแรกของพวกเราเสียเอง อิๆๆๆ]
“แกสินะ...อัศวินแห่งความตายที่เพ่นพ่านมาในช่วงนี้”เทอร์มิสเอ่ยเสียงเย็นเยียบ
ช่วงนี้? ทำไมข้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย???
ข้า กวาดมองไปรอบๆก็พบว่าในร้านเหล้านี้ นอกจากเทอร์มิสกับหน่วยเทพอัศวินของเขาสี่ห้าคนและร่างในชุดคลุมสีขมุกขมัว นั้นแล้วก็ไม่มีใครอีก ท่าทางเทอร์มิสจะกันคนอื่นออกไปหมดแล้ว
“ยังรอบคอบเหมือนเดิม”ข้าอดทอดถอนใจชมเชยไม่ได้ เทอร์มิสช่างสมกับเป็นเทอร์มิสจริงๆ ทำอะไรรอบคอบตลอดเวลา
“...อัศวินแห่งความตาย?...”ร่างนั้นย้อน ก่อนจะถอนหายใจ “จริงๆเลย...ดูถูกกันเกินไปหน่อยนะ”
ตูม!!!
ใน ทันที ไอปิศาจของร่างใต้ผ้าคลุมนั้นก็ระเบิดออกมา มันเป็นไอมืดที่น่ากลัวมาก แรงกดดันของมันส่งผลให้เทพอัศวินที่มีลำแสงแห่งเทพน้อยเข่าอ่อนทรุดตัวลงไป กองเลยทีเดียว สำหรับข้ามันก็เหมือนลมกระชากตัวผ่านไปวูบหนึ่ง แต่กับเทอร์มิสมันคงสร้างแรงกดดันไม่น้อยเพราะข้าเห็นว่าใบหน้าของเขาเคร่ง เครียดมาก
“...บ้าน่า...ประมุขแห่งความตายงั้นเหรอ!!!...”เทอร์มิสพึมพำ แต่ข้าได้ยินชัดเจน
ท่านจัสติส! ท่านโยนงานอะไรมาให้ข้าเนี่ย!!! ไหนบอกอัศวินแห่งความตาย! ไหงมันกลายเป็นประมุขแห่งความตายไปซะงั้นล่ะ!!!!!
ข้ารู้สึกอยากวิ่งไปกระทืบเทพจัสติสบนแดนเทพในฉับพลันก็ตอนนี้แหละ!!!
ฟิ้ว...
ควันสีดำลอยวนรอบร่างของประมุขแห่งความตายตนนั้นเอาไว้ ก่อนที่มันจะถอดผ้าคลุมออก
ใต้ ผ้าคลุมนั้นประมุขแห่งความตายจริงๆอย่างที่เทอร์มิสเดา ลวดลายแปลกๆที่วิ่งไปทั่วร่างของมันดูน่ากลัวไม่น้อย ดวงตาสีแดงที่รวบกับเอาเปลวเพลิงเข้าไปใส่ไว้ข้างในนั่นก็น่ากลัวเช่นกัน แต่ที่น่ากลัวที่สุดในร่างนี้...คงจะเป็นปีกค้างคาวสีแดงที่ชุ่มโชกไปด้วย เลือดที่กลางหลังกระมัง
“เลือดพวกนั้น!”เทอร์มิสกัดฟันกรอด
“ก็เลือดของเหยื่อของข้าน่ะสิ คิกๆๆๆๆ”ประมุขแห่งความตายแสยะยิ้ม
“แก!!!”
“พลังเทพก็น้อยนิดยังมาต่อกรกับประมุขแห่งความตาย...ทำไมโง่อย่างนี้น้า”มันลอยหน้าลอยตา
เคร้ง!!!
ไม่ ต้องพูดพล่ามทำเพลง ดาบของเทอร์มิสก็พุ่งเข้าใส่ประมุขแห่งความตายแล้ว และมันก็ดูจะไม่ทันตั้งตัวกับการโจมตีกระทันหันทำให้ต้องกระโดดหลบ
“คนที่จะด่าเทพอัศวินว่าโง่ได้...มีแค่ครีอุสเท่านั้น”เทอร์มิสประกาศกร้าว
ข้า? ทำไมถึงเป็นข้าล่ะ???
แคร้ง! แคร้ง!
ประมุข แห่งความตายตนนั้นเรียกดาบขึ้นมาจากอากาศ มันอัดแน่นไปด้วยไอทมิฬน่ากลัว แต่ที่น่ากลัวกว่าคือเพลงดาบของทั้งสองคน นี่พวกเจ้ามีความแค้นกันมาแต่ชาติปานไหน หา!!!
“สมกับเป็นเทพอัศวิน...ฝีมือดาบไม่เลวเลย”ประมุขแห่งความตายหัวเราะแผ่วเบา
“หุบปาก”
แคร้ง แคร้ง แคร้ง
ดาบ ของทั้งสองคนทวีความรุนแรงขึ้นจนข้าเหมือนเห็นประกายไฟแล่นเปรี๊ยะๆเมื่อดาบ ทั้งสองปะทะกัน เทพอัศวินที่เหลือพวกนั้นต่างหน้าซีด แต่ไม่มีใครกล้าขยับ
เพราะพวกเขาขยับไม่ได้...หากพวกเขาขยับจะเท่ากับดึงความสนใจและอาจเกิดอันตรายขึ้นได้
...ข้าต้องลงมือแล้ว...
ข้า คว้าเศษใบไม้ที่ปลิวมาตามลม ก่อนจะรวบรวมไอพลังแห่งเทพเพียงน้อยนิดห่อหุ้มมันเอาไว้จนมันแข็งราวกับหิน จากนั้นก็บรรจงปาใส่หัวของหนึ่งในเทพอัศวินพวกนั้นอย่างแผ่วเบา
ป๊อก
“......”เทพอัศวินพวกนั้นทำหน้าเหวอไปเลยเมื่อเห็นข้า
เอ...หรือพวกเขาจะจำข้าได้? ไม่สิ ข้าอุตส่าห์ใส่ชุดของเทพอัศวินฮาเดสแล้ว เขาจำข้าไม่ได้หรอก!
“ท...ท่านหัวหน้าเทพอัศวิน...ฮาเดส”หนึ่งในพวกเขาคราง
เฮ้อ ข้าคิดว่าพวกเขาจำข้าได้ซะอีก
ข้าขยับนิ้วเป็นการเขียนตัวอักษรกลางอากาศ โดยใช้ลำแสงแห่งเทพเป็นตัวอักษรแทน
‘พวกเจ้าห้าคนออกไปจากที่นี่ซะ กลับตำหนักเทพอัศวินไป เรื่องเทอร์มิสข้าดูแลเขาเอง’
เมื่อ พวกเขาอ่านจบก็ทำสีหน้าซาบซึ้ง แน่ล่ะ พวกเขาคงคิดว่าเทพอัศวินถึงสององค์อยู่ร่วมกัน ถึงเป็นประมุขแห่งความตายก็ยากจะรอด แต่มันไม่จริงซักหน่อย! ถ้าคนที่มาเป็นฮาเดสตัวจริงล่ะก็เขาช่วยเทอร์มิสไม่ได้หรอก! มีแต่ลำแสงแห่งเทพที่รุนแรงจริงๆถึงทำอะไรประมุขแห่งความตายได้!!!
แคร้ง!!!!!
ในที่สุด แรงของมนุษย์ก็ยากจะชนะแรงของปิศาจ ดาบของเทอร์มิสถูกประมุขแห่งความตายตนนั้นปัดจนกระเด็น!
แกร็ก
“ถ้าเจ้าขยับล่ะก็...ตายแน่”ประมุขแห่งความตายส่งสายตาโหดเหี้ยมใส่เทอร์มิส
“ตำหนักเทพอัศวินจะไม่มีทางยอมแพ้ต่อความมืด”เทอร์มิสยังคงสงบนิ่งได้
“คำพูดนั้น...เอาไว้พูดกับเพื่อนของเจ้าดีกว่ามั๊ย”
“อะไรนะ?”
“จะออกมาได้รึยัง เจ้าคนที่ซ่อนตัวอยู่แต่แรกนั่นน่ะ!”ประมุขแห่งความตายตวาด
แต่...มันรู้สึกถึงตัวตนของข้าแต่แรกแล้วงั้นเหรอ!?!
“เจ้าแอบดูมาแต่แรกไม่ใช่รึไง! พลังแห่งเทพสูงส่งขนาดนั้นปิดข้าไม่มิดหรอกนะ!!!”ประมุขแห่งความตายคำราม
“มีคนอื่นงั้นเหรอ”เทอร์มิสขมวดคิ้ว
ข้า จะเอายังไงดีล่ะทีนี้ จะลงไปเดี๋ยวเทอร์มิสก็จับสังเกตอะไรได้หรอก ตลอดเจ็ดปีมานี้ข้ากับเขามักจะพบหน้ากันน้อยที่สุด เพราะข้าพยายามหลบหน้าเขามาตลอด
ข้ากลัว...กลัวสายตาของเทอร์มิส
สายตาที่ราวกับเข้าใจข้าทุกอย่าง...สายตาที่มักจะทอดมองข้ากับคนอื่นๆราวกับมองนิสัยของพวกเราออกจนปรุโปร่ง
ข้ากลัวสายตาแบบนั้น...มันทำให้ “การแสแสร้ง” ที่ข้าทำมาตลอดเจ็ดปีแทบจะไม่มีความหมาย
ดังนั้น...ข้าจึงหนีจากเขา ข้าพยายามหลบหน้าเขาเพราะไม่ต้องการให้เขามองไปถึง “จิตใจ” ของข้าได้
“ถ้าเจ้าไม่ออกมา ข้าจะฆ่าเจ้านี่ซะก่อนล่ะ!”
“ลองทำอะไรเทอร์มิสดูสิ!!!”
ฟิ้ว!
ซวยแล้ว! ข้าเปิดเผยที่ซ่อนของตัวเองออกไปซะแล้ว!
มีดสั้นที่ข้าปาออกไปเมื่อครู่ปักเข้าที่แขนของประมุขแห่งความตาย จริงๆข้าเงเข้าที่ร่างกายของมัน แต่มันกลับหลบทำให้โดนเข้าที่แขนแทน
“มีดคมดีนี่!”
ท่าทางมันจะโกรธจัด ประมุขแห่งความตายตนนั้นผละออกจากเทอร์มิส หันมาไล่กวดข้าทันที
ข้ารีบใช้ความเร็วสูงสุดที่ตัวเองจะมีได้ กระโดดข้ามกำแพงและหลังคาต่างๆอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องพามันออกไปให้ไกลที่สุด!
ข้าจะทำให้เทอร์มิสเดือดร้อนไม่ได้!!!
########################################
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น