เทคนิคเรียนเก่ง เกรด 4 ไม่ยากอย่างที่คิด
ในการเรียนเก่งนั้นไม่ยากเลยคะ โดยเทคนิคจะผ่านออกมาเป็นตัวหนังสือโดยประสบการณ์ที่สั่งสมมาของแอดมิน คนนี้!!!!!!......
ผู้เข้าชมรวม
681
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เรื่อง เทคนิคเรียนเก่ง เกรด 4 ไม่ยากอย่างที่คิด
นำเรื่อง: ในการเรียนเก่งนั้นไม่ยากเลยคะ โดยเทคนิคจะผ่านออกมาเป็นตัวหนังสือโดยประสบการณ์ที่สั่งสมมาของแอดมิน คนนี้!!!!!!......
เนื้อเรื่อง:
โอ๊ยยยยย!!!!~ ผลการเรียนแย่มากเลยทามยางงายดี~~~ ToT
เพื่อนๆคงจะมีปัญหาอย่างตัวอย่างข้างบนใช่มั้ยล่ะ จึงคลิกเขช้ากระทู้นี้มา เร่เข้ามา.... เร่เข้ามา โปรดมาฟัง(อ่าน)เทคนิคในการเรียนนะ
การอ่านหนังสือ
เทคนิคเรียนเก่งนั้นอย่างที่ทุกคนรู้กันก็คือ... การอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือเป็นปัจจัยแรกของคนที่อยากเรียนเก่งขึ้น ซึ่งเราก็ต้องรู้จักวิธีการอ่านที่ถูกต้องด้วยเช่นกันจึงจะทำให้การเรียนเราประสบผลสัมฤทธิ์ตามประสงค์
โดยการอ่านนั้น เราจะต้องอ่านเป็นประจำอย่างต่อเนื่องจึงจะดีที่สุดค่ะ! ไม่มีใครที่จะอ่านหนังสือก่อนสอบแค่วันเดียวแล้วสอบได้เต็มหรอกค่ะ นักเรียนที่เรียนกันนั้น เขาก็เริ่มอ่านตั้งแต่เปิดเทอม! และอ่านทบทวนเป็นประจำเสียด้วย
มาเข้าเรื่องของเราต่อ
ของเรา ขอแค่มีสมุดเล่มเล็กๆซักเล่ม ปากกาซักด้าม และปากกาเน้นข้อความ(ปากกาไฮไลต์) ก็พอแล้วล่ะค่ะ
เอามาทำไมน่ะเหรอ?
>>> ก็เอามาสรุปเนื้อหาที่เราเรียนน่ะซิค่ะ วิธีการนะค่ะ ก็ให้เราอ่านเนื้อหาของวิชานั้นๆจนเข้าใจหนึ่งรอบ แล้วก็ลงมือเขียนได้เลยค่ะระหว่างที่เขียนเปิดหนังสือดูก็ได้นะคะ ซึ่งเนื้อหาที่สรุปเราก็ควรสรุปให้จบเรื่องนะค่ะไม่ควรค้างไว้ เมื่อเราได้เนื้อหาสรุปแล้ว เราก็อ่านน่ะซิค่ะ
ซึ่งให้เราอ่านทั้งสองอย่างไปพร้อมๆกับทำความเข้าใจใหม่อีกครั้งในเนื้อหา ซึ่งเราก็ทำสรุปย่อของทุกๆวิชาไว้แล้ววิธีแบบนี้ดูค่ะ
ถ้าใครที่เบื่อกับการอ่านหนังสือ หรือง่วงนอนมาก หรืออ่านหนังสือเรียนอย่างเดียวจนเครียด เราก็ควรทำอะไรซักอย่างแทนการอ่านหนังสือเรียน เช่น
-อ่านหนังสือการ์ตูน หรือ นิยายรักหวานแหว๋ว สืบสวน ก็แล้วแต่ตามที่คุณชอบ
-ออกไปร้านค้าเพื่อซื้อขนมทานเล็กน้อย
-นอนพักนิดหน่อย (เพราะเหนื่อยมากแล้ว)
-เล่นเกมซักเดี๋ยว
-ฟังเพลงสักพัก
หรือไม่ก็ลองออกไปเดินเที่ยวบ้าง แต่การเที่ยวของเราไม่ใช้ว่าเที่ยวสับเพเหระอย่างงั้น แต่จะเป็นการเดินเที่ยวเพื่อหาหนังสือในฝัน... ที่เราต้องการต่างหาก
เพื่อนคงสังเกตเห็นกันว่า เพื่อนๆที่เรียนเก่งนั้น มักจะชอบอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะการ์ตูน นิยาย นิตยสาร สารคดี ละคร หนังสือพิมพ์ ธรรมมะ(?) และมีสาระหรือไร้สาระโดยทั่วไป เพราะพวกเขาชอบอ่านน่ะซิ
เราก็ควรฝึกอุปนิสัยให้เป็นคนรักการอ่าน
อ่านให้บ่อย
อ่านให้เป็นประจำ
เราอ่านมากก็ไม่ได้เสียประโยชน์อะไรไปนี่
ดังสำนวน รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม เรามีความรู้ในเรื่องมากมายเราก็ไม่ได้นำความรู้มาไว้บนตัวจนตัวหนักซักหน่อย ตรงกันข้าม เราควรหาความรู้มาป้อนให้สมองจะดีกว่า
หนังสือที่จะอ่าน
อันดับแรกเลย... ก็เป็นหนังสือที่เราเรียนนี่แหละ เพราะเนื้อหาที่อาจาย์สอน ออกสอบก็มาจากหนังสือพวกนี้ ควรอ่านแบบฝึก การบ้าน สมุดของวิชานั้นๆ หรือใบความรู้ที่อาจารย์แจกด้วย เพราะว่ามันมีออกสอบแน่นอน
เห็นมั้ย ว่าเด็กที่เรียนเก่งกันทุกคนใช่ว่าจะอ่านแต่หนังสือเรียนซักหน่อย
ที่นั่ง
ที่นั่ง ก็มีส่วนนะ สำหรับนักเรียนทั่วไปก็จะบอกเป็นเสียงเดียกันว่า ต้องเป็นโต๊ะด้านหน้าอยู่แล้ว!
ทำไมน่ะหรอ?
>>> ก็จะได้ฟังอาจารย์ได้อย่างชัดเจน เห็นอาจารย์สอนอย่างชัดเจน ถามคำถามได้ง่ายกว่านั่งด้านหลัง หรือกลัวว่านั่งด้านหลังจะหลับเลยจำฝืนนั่งหน้าเมื่อเคลิ้มจะหลับ ก็นึกกลัวอาจารย์ดุ หลับไม่ลงล่ะทีนี้
แต่... ยังมีนักเรียนที่เรียนดีบางกลุ่มก็บอกว่า นั่งด้านหลังห้องดีกว่า
>>> เพราะจะเป็นสมาธิไปในตัวยังไงล่ะ ถ้าเรานั่งด้านหลังเมื่อพูดคุยเพียงนิดเดียว ก็กลบเสียงอาจารย์ที่สอนไปหมดแล้ว! แล้วเสียงอาจารย์ที่สอนก็จะเบามาก จึงทำให้เราใช่สมาธิอย่างมากเลยทีเดียวล่ะ
ส่วนใหญ่ การนั่ง ก็มีเรื่องของความสะอาดของโต๊ะ เก้าอี้ด้วย
โต๊ะที่เละเทะ ก็คงไม่มีใครอยากนั่ง
ซึ่งเราก็ไม่ควรเขียนโต๊ะเล่นนะ มันเป็นสมบัติโรงเรียน
เห็นมั้ย? ทุกๆคน เขาก็มีมุมมองที่แตกต่างกันไปนั่นแหละ
ในชั่วโมงเรียน
เมื่อเราเลือกที่นั่งได้แล้ว ทีนี้ก็เข้าสู่การเรียนในชั่วโมงกัน สำหรับการเรียนนั้น เราก็ต้องตั้งใจ(ที่จะ)เรียน เวลาครูสอนก็ไม่ควรพูดคุยกัน แล้วหันมาฟังครูที่สอนอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อมีเนื้อหาที่ไม่มีอยู่ในหนังสือนั้นเราก็ควรจดใส่หนังสือไว้ ไม่ควรใช้ปากกานะ ใช้ดินสอดีกว่า เป็นการรักษาสมบัติโรงเรียน
อย่าลืมสนุกกับการเรียนล่ะ เพราะเด็กที่เรียนเก่งส่วนใหญ่ ก็สนุกกับการเรียนทั้งนั้น จึงเป็นแรงขับทำให้ขยันอ่านหนังสือยังไงล่ะ
การบ้าน หรืองานอะไรที่อาจารย์ให้ทำก็ควรทำด้วยโดยเฉพาะแบบฝึก
เพราะว่าการสอบส่วนใหญ่ ข้อสอบอาจารย์ก็เอามาจากแบบฝึกที่ให้เราทำนี่แหละ
เมื่อเรียนก็ควรเขียนเนื้อหาคร่าวๆลงสมุดทีเราใช้สรุปเนื้อหา หรือจะเป็นสมุดของวิชานั้นๆ อาจารย์เขาไม่ว่าหรอก เพราะมันจะทำให้เราเรียนเก่งขึ้น อาจารย์ก็จะยิ่งเอ็นดูเราเท่านั้น
ถ้าเราเรียนไม่รู้เรื่อง หรือไม่เข้าใจตรงไหน
ขอให้ถามอาจารย์เขาเลย
กล้าๆหน่อยนะ แต่ถ้าไม่อยากถามในชั่วโมง ก็ถามนอกชั่วโมงเรียนก็ได้
การแบ่งเวลา
ไม่ว่างซักที เลยไม่ได้อ่านหนังสือเลยเรา
หลายคนคงเคยพูดแบบนี้ ขอบอกว่านี่เป็นข้อแก้ตัวของคุณ ถ้าเรารู้แบ่งเวลาให้เหมาะสมก็คงไม่เป็นแบบนี้
โดยเด็กเรียนนั้น เมื่อมีการบ้าน พอกลับมาถึงบ้านพวกเขาจะรีบทำทันที เพื่อไม่เป็นการ “ดินพอกหางหมู” เพราะถ้าเป็นแบบนี้แทนที่ช่วงสอบเราจะเอาเวลามาอ่านหนังสือ กลับต้องมาทำการบ้านซะนี่!
เวลาในการอ่านหนังสือ ควรเป็น ตอนเช้า ตอนเย็นหรือกลางคืนก็ได้ ตามสะดวก เมื่อมีเวลาว่างก็ควรอ่าน อาจเป็นตอนเข้าห้องน้ำ(!) หรือรอรถโดยสาร ก็ได้
ในการอ่านหนังสือ เราไม่ควรหักโหมอ่านจนข้ามวันข้ามคืนนะ แทนที่จะจำเนื้อหาได้ ก็จำไม่ได้ และง่วงนอนอีกตะหาก โดยเด็กเรียนเนี่ยเมื่อคืนก่อนวันสอบ พวกเขาจะรีบนอนกันเร็วๆ แล้วขึ้นมาอ่านหนังสือยังไงล่ะ
บางคนอาจอ่านหนังสือไปด้วยดูทีวีไปด้วย แบบนี้ไม่ควรนะค่ะ เพราะสมาธิของเราจะไม่ได้จดจ่ออยู่หนังสือเพียงอย่างเดียว และยังทำให้เราสับสนกับข้อมูลก็เป็นได้
หากเราง่วงนอนในตอนกลางคืน ก็ขอแนะนำให้ไปนอนซะ เพราะวินาทีนับต่อจากนี้ถึงจะอ่านไปได้หลายเล่มก็จำไม่ได้อยู่แล้ว สู้นอนเลยดีกว่า แล้วอ่านตอนเช้าเอา
การแบ่งเวลา เราอาจจะทำตารางที่แสดงถึงว่า ในช่วงเวลานั้นๆเราจะทำอะไร
ซึ่งมันก็ไม่ควรเคร่งรัดเกินไป เพราะจะไม่ได้อย่างเขียน แล้วพาลเลิกทำนี่น่ะซิ
การนอน
ถ้าถามเด็กเรียน
... เขาจะบอกว่า นอนเร็วดีกว่า แล้วตื่นมาแต่เช้าอ่านหนังสือ
แต่ถ้าถามเด็กทั่วไป
... เขาจะบอกว่า นอนดึกๆซิ จะได้มีเวลาอ่านหนังสือเยอะ
คำตอบทั้งสองใช่ว่าจะผิด เพราะคนเราต่างมีมุมมองที่แตกต่างกันไป เรื่องอย่างไม่มีคนผิด คนถูกหรอกนะ
การนอนนั้นเป็นเรื่องที่ดีมากๆเลย อย่างถ้าวันไหนเรานอนดึก พอตื่นเช้ามา วันทั้งวัน จะหาวนอนมันอย่างเดียว เป็นเพราะเราได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอน่ะซิ
แต่ถ้านอนพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม ตื่นเช้ามาวันทั่ง ร่างกายจะสดชื่น เพราะได้พักผ่อน
เราควรนอนวันละกี่ชั่วโมงล่ะ?
สำหรับเด็กในวัยเรียนหรือวัยรุ่น ก็ควรนอนวันละ 8 – 10 ชั่วโมง อย่างน้อยก็ไม่ควรเกิน 6 ชั่วโมง
ที่นอน ควรจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาด เพราะมันเป็นพักผ่อนของเราตอนหลับ
ขอแนะเลยว่า เราควรนอนให้เร็วจะดีกว่า แล้วตื่นมาตอนเช้ามืด มาอ่านหนังสือ เวลานี้แหละ เป็นเวลาแห่งการจำของเรา เราอาจจะนอนสามทุ่ม แล้วตื่นตอนตีห้าก็ได้ อ่านหนังสือ ซัก สามสิบนาทีหรือหนึ่งชั่วโมง ก็ยังได้ ถ้าไม่ต้องออกไปโรงเรียนแต่เช้าน่ะนะ
สมมติว่า เราอ่านตอนเช้า วันละ 30 นาที
ถ้าเราเริ่มอ่านตั้งแต่เปิดเทอมจนถึงวันสอบปลายภาค ซึ่งมีอยู่200วัน
เราจะได้อ่าน 200x30 = 6000นาที หรือ 100 ชั่วโมง!
เห็นมั้ย? ถึงจะมีเวลาน้อยนิด ถ้าอ่านบ่อยๆเป็นประจำมันจะเป็นเวลาที่มีค่ามากๆ
ก่อนสอบ
เมื่อเราทำตามข้อข้างบนได้อย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ
การสอบก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วล่ะ
ก็เราทบทวนอยู่ทุกวันนี้
สำหรับที่เพิ่งมาอ่านสองวันก่อนสอบ เป็นต้องอ่านเร่งเพื่อให้จบเนื้อหาในหนังสือ แทนที่เราจะจำได้ กลับแย่ลงกว่าเดิมอีก
ในช่วงเวลาก่อนสอบ 2 สัปดาห์
เราควรที่จะไปดูตารางสอบก่อนว่ามีวิชาอะไร
แล้วเราก็เริ่มอ่านวิชาที่จะสอบวันแรก ซึ่งก็อ่านหนังสือ สรุปย่อของเรา สมุด แบบฝึก ใบความรู้ ใน 3-4วัน จะเป็นอ่านอย่างละเอียด
ต่อจากนั้นก็อ่านวิชาที่จะสอบวันที่สอง ซึ่งก็เหมือนกัน ภายใน 3-4 วัน
แล้วอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อจากนั้น
5 วันแรกให้อ่านในสมุด สรุปย่อเนื้อหาที่เราทำไว้ เป็นเนื้อหาของทุกวิชา
อีก 2 วันสุดท้าย นี้ก็ไม่ต้องคร่ำเคร่งมาก อ่านจนไม่ได้นอนกันน่ะ ตรงข้าม สองวันนี้ควรจะนอนให้เร็วขึ้นแล้วตื่นแต่เช้ามาอ่านหนังสือดีกว่า โดยให้อ่านหนังสือเรียนของตนอย่างคร่าวๆและรวดเร็วเพื่อทบทวน
ในช่วงวันสอบก็ควรอ่านส่วนวิชาที่เราไม่เข้าใจนะค่ะ
เวลาสอบ
ควรอ่านคำถามให้ละเอียดถี่ถ้วน รู้จักแบ่งเวลาในการทำข้อสอบแต่ละข้อ
ซึ่งในการตอบ เราก็ควรตัวเลือกให้หมดก่อนตอบเพราะนั่นอาจเป็นข้อที่ผิดก็ได้
ถ้าข้อไหนไม่แน่ใจ หรือลังเลก็ให้ข้ามไปทำข้อที่ทำได้ก่อน แล้วค่อยกลับมาทำทีหลัง
ข้อสอบอัตนัยนั้น ถ้าเราไม่ได้ก็ไม่ควรว่างเอาไว้ รู้ไม่รู้ให้ตอบไว้ก่อน เผื่อครูสงสารจะให้คะแนน(อ้าว!) ข้อสอบปรนัยก็เช่นไม่รู้ก็เดาเลยค่ะ เผื่อถูก (อิอิ)
ไม่ควรลอกข้อสอบด้วยนะ เพราะมันจะเป็นผลเสียทางะแนนความประพฤติ ถึงจะได้คะแนนที่ดี แต่ไม่น่าภูมิใจเอาเสียเลย เพราะเราไม่ได้ทำเองน่ะซิ
เราควรทำข้อสอบอย่างรวดเร็ว เพราะว่าความรู้มันจะหายไปหมด ล้อเล่น ที่ควรทำเสร็จเร็วๆนั้น เพราะอีกเวลาที่เหลือเราจะทบทวนข้อสอบต่างหาก โดยให้ทบทวนอย่างละเอียด แล้วจะพบว่า
เรากาข้อผิดนี่หว่า?
เราทำข้อนี้ผิดนี่หว่า?
เราลืมทำข้อนี้นี่หว่า?
ฯลฯ
มันจะทำให้เราไม่เสียคะแนน ถึงคะแนนมันจะน้อยนิด แต่ถ้านำมารวมกัน ก็มีผลต่อการสอบของเรานะ
ลองดูแบงค์ร้อย มันก็เกิดแบงค์ห้าสิบสองใบ มารวมตัวกัน
แบงค์ห้าสิบ เกิดจากแบงค์ยี่สิบสองใบและเหรียญสิบรวมกัน
แบงค์ยี่สิบเกิดจาก เหรียญสิบสองเหรียญ มารวมกัน
เหรียญสิบ เกิดจากเหรียญห้าสองเหรียญ มารวมกัน
เหรียญห้า เกิดจากเหรียญบาทมารวมกันห้าเหรียญ
ถ้าไม่มีเงินบาท ก็ไม่มีทางมีแบงค์ร้อยหรอกนะ
และก็.... ไม่ต้องเคร่งเครียดในการสอบนะค่ะ ทำใจให้สบายๆเข้าไว้ดีกว่า
ข้อสอบ/การบ้าน
ข้อนี้เราทำผิดอ่ะ ผิดตรงเนี่ย?
เมื่อเราทำข้อสอบผิด เราก็ควรมีสมุดจดข้อผิดนะค่ะ เอาไว้จดข้อที่ผิดแล้วเขียนแสดงคำตอบที่ถูกต้องของมัน และก็อ่าน เราก็จะไม่ทำข้อนี้ผิดอีกซ้ำสองค่ะ
อาหาร
สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจาก อาหารที่ดี
การเรียนที่ดี ก็เริ่มจากอาหารเช่นกัน
การบำรุงสมองให้ดีนั้น ก็มีส่วนในเรื่องของการเรียนเช่นกัน โดยอาหารเพิ่มความจำนี้ จะอยู่ในกลุ่ม
>>> กลุ่มธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล นม เป็นต้น มีผลต่อไอคิว ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้าย ที่เกี่ยวความคิด
>>> ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บำรุงเซลล์สมอง
>>> ปลาที่มีโอเมก้า3สูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล เป็นต้น ป้องกันความจำเสื่อม
>>> วิตามินบีสูง เช่น นมพร่องมันเนย นม ข้าวกล้อง กีวี ตับ งา กระเทียม สับปะรด กล้วย ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่างๆ ผัก ผลไม้ เป็นต้น จะช่วยป้องกันสมองเสื่อมความจำเลอะเลือน
>>> เซเลเนียมสูง เช่น ปลาทูน่า เนื้อวัว เนื้อแกะ หัวหอม กระเทียม ถั่ว ปลาซาร์ดีน หอยลาย หอยเชลล์ ฯลฯ มีประโยชน์ในการรักษาการทำงานของสมองให้เป็นปกติและต้านอนุมูลอิสระ
>>> วิตามินอีสูง เช่น ฟักทอง กวางตุ้ง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ หากทานพรอมเซเลเนียมทำให้การไหลเวียนเลือดในสมองดีขึ้น
รางวัลแด่ความพยายาม
เมื่อสอบเสร็จแล้ว เราก็ควรหารางวัลให้ตัวเองบ้าง โดยรางวัลแรกนี้เราไม่ต้องหาเพราะเราได้พยายามมาตลอดเพื่อสิ่งนี้ คือ คะแนนสอบที่ดีขึ้นจนต้องตกใจของตัวเอง
รางวัลที่ให้หาให้ตัวเอง อาจจะเป็นของกิน หนังสือ สิ่งของต่างๆเช่น อุปกรณ์การเรียน ซีดีเพลง ซื้อเกมส์ ซื้อซีดีการ์ตูนหรืออะไรที่ตัวเองต้องการ แต่ต้องไม่แพงเกินไป หรืออาจจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หรือครอบครัวก็ได้ค่ะ
มันจะทำให้เรามีความพยายามมากและมีความสุขในการเรียนมากยิ่งขึ้น
หวังว่าเพื่อนที่อยากเรียนเก่งคงจะถูกใจนะค่ะ ^^
และขอให้เพื่อนที่มีความตั้งใจที่เรียนเก่งขึ้นสู้ๆนะ
จะเอาใจช่วยค่ะ ^O^////~~~
สุดท้ายขอแจกภาพนิดหน่อยนะค่ะ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
โอ๊ยยยยย!!!!~ ผลการเรียนแย่มากเลยทามยางงายดี~~~ ToT
เพื่อนๆคงจะมีปัญหาอย่างตัวอย่างข้างบนใช่มั้ยล่ะ จึงคลิกเขช้ากระทู้นี้มา เร่เข้ามา.... เร่เข้ามา โปรดมาฟัง(อ่าน)เทคนิคในการเรียนนะ
การอ่านหนังสือ
เทคนิคเรียนเก่งนั้นอย่างที่ทุกคนรู้กันก็คือ... การอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือเป็นปัจจัยแรกของคนที่อยากเรียนเก่งขึ้น ซึ่งเราก็ต้องรู้จักวิธีการอ่านที่ถูกต้องด้วยเช่นกันจึงจะทำให้การเรียนเราประสบผลสัมฤทธิ์ตามประสงค์
โดยการอ่านนั้น เราจะต้องอ่านเป็นประจำอย่างต่อเนื่องจึงจะดีที่สุดค่ะ! ไม่มีใครที่จะอ่านหนังสือก่อนสอบแค่วันเดียวแล้วสอบได้เต็มหรอกค่ะ นักเรียนที่เรียนกันนั้น เขาก็เริ่มอ่านตั้งแต่เปิดเทอม! และอ่านทบทวนเป็นประจำเสียด้วย
มาเข้าเรื่องของเราต่อ
ของเรา ขอแค่มีสมุดเล่มเล็กๆซักเล่ม ปากกาซักด้าม และปากกาเน้นข้อความ(ปากกาไฮไลต์) ก็พอแล้วล่ะค่ะ
เอามาทำไมน่ะเหรอ?
>>> ก็เอามาสรุปเนื้อหาที่เราเรียนน่ะซิค่ะ วิธีการนะค่ะ ก็ให้เราอ่านเนื้อหาของวิชานั้นๆจนเข้าใจหนึ่งรอบ แล้วก็ลงมือเขียนได้เลยค่ะระหว่างที่เขียนเปิดหนังสือดูก็ได้นะคะ ซึ่งเนื้อหาที่สรุปเราก็ควรสรุปให้จบเรื่องนะค่ะไม่ควรค้างไว้ เมื่อเราได้เนื้อหาสรุปแล้ว เราก็อ่านน่ะซิค่ะ
ซึ่งให้เราอ่านทั้งสองอย่างไปพร้อมๆกับทำความเข้าใจใหม่อีกครั้งในเนื้อหา ซึ่งเราก็ทำสรุปย่อของทุกๆวิชาไว้แล้ววิธีแบบนี้ดูค่ะ
ถ้าใครที่เบื่อกับการอ่านหนังสือ หรือง่วงนอนมาก หรืออ่านหนังสือเรียนอย่างเดียวจนเครียด เราก็ควรทำอะไรซักอย่างแทนการอ่านหนังสือเรียน เช่น
-อ่านหนังสือการ์ตูน หรือ นิยายรักหวานแหว๋ว สืบสวน ก็แล้วแต่ตามที่คุณชอบ
-ออกไปร้านค้าเพื่อซื้อขนมทานเล็กน้อย
-นอนพักนิดหน่อย (เพราะเหนื่อยมากแล้ว)
-เล่นเกมซักเดี๋ยว
-ฟังเพลงสักพัก
หรือไม่ก็ลองออกไปเดินเที่ยวบ้าง แต่การเที่ยวของเราไม่ใช้ว่าเที่ยวสับเพเหระอย่างงั้น แต่จะเป็นการเดินเที่ยวเพื่อหาหนังสือในฝัน... ที่เราต้องการต่างหาก
เพื่อนคงสังเกตเห็นกันว่า เพื่อนๆที่เรียนเก่งนั้น มักจะชอบอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะการ์ตูน นิยาย นิตยสาร สารคดี ละคร หนังสือพิมพ์ ธรรมมะ(?) และมีสาระหรือไร้สาระโดยทั่วไป เพราะพวกเขาชอบอ่านน่ะซิ
เราก็ควรฝึกอุปนิสัยให้เป็นคนรักการอ่าน
อ่านให้บ่อย
อ่านให้เป็นประจำ
เราอ่านมากก็ไม่ได้เสียประโยชน์อะไรไปนี่
ดังสำนวน รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม เรามีความรู้ในเรื่องมากมายเราก็ไม่ได้นำความรู้มาไว้บนตัวจนตัวหนักซักหน่อย ตรงกันข้าม เราควรหาความรู้มาป้อนให้สมองจะดีกว่า
หนังสือที่จะอ่าน
อันดับแรกเลย... ก็เป็นหนังสือที่เราเรียนนี่แหละ เพราะเนื้อหาที่อาจาย์สอน ออกสอบก็มาจากหนังสือพวกนี้ ควรอ่านแบบฝึก การบ้าน สมุดของวิชานั้นๆ หรือใบความรู้ที่อาจารย์แจกด้วย เพราะว่ามันมีออกสอบแน่นอน
เห็นมั้ย ว่าเด็กที่เรียนเก่งกันทุกคนใช่ว่าจะอ่านแต่หนังสือเรียนซักหน่อย
ที่นั่ง
ที่นั่ง ก็มีส่วนนะ สำหรับนักเรียนทั่วไปก็จะบอกเป็นเสียงเดียกันว่า ต้องเป็นโต๊ะด้านหน้าอยู่แล้ว!
ทำไมน่ะหรอ?
>>> ก็จะได้ฟังอาจารย์ได้อย่างชัดเจน เห็นอาจารย์สอนอย่างชัดเจน ถามคำถามได้ง่ายกว่านั่งด้านหลัง หรือกลัวว่านั่งด้านหลังจะหลับเลยจำฝืนนั่งหน้าเมื่อเคลิ้มจะหลับ ก็นึกกลัวอาจารย์ดุ หลับไม่ลงล่ะทีนี้
แต่... ยังมีนักเรียนที่เรียนดีบางกลุ่มก็บอกว่า นั่งด้านหลังห้องดีกว่า
>>> เพราะจะเป็นสมาธิไปในตัวยังไงล่ะ ถ้าเรานั่งด้านหลังเมื่อพูดคุยเพียงนิดเดียว ก็กลบเสียงอาจารย์ที่สอนไปหมดแล้ว! แล้วเสียงอาจารย์ที่สอนก็จะเบามาก จึงทำให้เราใช่สมาธิอย่างมากเลยทีเดียวล่ะ
ส่วนใหญ่ การนั่ง ก็มีเรื่องของความสะอาดของโต๊ะ เก้าอี้ด้วย
โต๊ะที่เละเทะ ก็คงไม่มีใครอยากนั่ง
ซึ่งเราก็ไม่ควรเขียนโต๊ะเล่นนะ มันเป็นสมบัติโรงเรียน
เห็นมั้ย? ทุกๆคน เขาก็มีมุมมองที่แตกต่างกันไปนั่นแหละ
ในชั่วโมงเรียน
เมื่อเราเลือกที่นั่งได้แล้ว ทีนี้ก็เข้าสู่การเรียนในชั่วโมงกัน สำหรับการเรียนนั้น เราก็ต้องตั้งใจ(ที่จะ)เรียน เวลาครูสอนก็ไม่ควรพูดคุยกัน แล้วหันมาฟังครูที่สอนอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อมีเนื้อหาที่ไม่มีอยู่ในหนังสือนั้นเราก็ควรจดใส่หนังสือไว้ ไม่ควรใช้ปากกานะ ใช้ดินสอดีกว่า เป็นการรักษาสมบัติโรงเรียน
อย่าลืมสนุกกับการเรียนล่ะ เพราะเด็กที่เรียนเก่งส่วนใหญ่ ก็สนุกกับการเรียนทั้งนั้น จึงเป็นแรงขับทำให้ขยันอ่านหนังสือยังไงล่ะ
การบ้าน หรืองานอะไรที่อาจารย์ให้ทำก็ควรทำด้วยโดยเฉพาะแบบฝึก
เพราะว่าการสอบส่วนใหญ่ ข้อสอบอาจารย์ก็เอามาจากแบบฝึกที่ให้เราทำนี่แหละ
เมื่อเรียนก็ควรเขียนเนื้อหาคร่าวๆลงสมุดทีเราใช้สรุปเนื้อหา หรือจะเป็นสมุดของวิชานั้นๆ อาจารย์เขาไม่ว่าหรอก เพราะมันจะทำให้เราเรียนเก่งขึ้น อาจารย์ก็จะยิ่งเอ็นดูเราเท่านั้น
ถ้าเราเรียนไม่รู้เรื่อง หรือไม่เข้าใจตรงไหน
ขอให้ถามอาจารย์เขาเลย
กล้าๆหน่อยนะ แต่ถ้าไม่อยากถามในชั่วโมง ก็ถามนอกชั่วโมงเรียนก็ได้
การแบ่งเวลา
ไม่ว่างซักที เลยไม่ได้อ่านหนังสือเลยเรา
หลายคนคงเคยพูดแบบนี้ ขอบอกว่านี่เป็นข้อแก้ตัวของคุณ ถ้าเรารู้แบ่งเวลาให้เหมาะสมก็คงไม่เป็นแบบนี้
โดยเด็กเรียนนั้น เมื่อมีการบ้าน พอกลับมาถึงบ้านพวกเขาจะรีบทำทันที เพื่อไม่เป็นการ “ดินพอกหางหมู” เพราะถ้าเป็นแบบนี้แทนที่ช่วงสอบเราจะเอาเวลามาอ่านหนังสือ กลับต้องมาทำการบ้านซะนี่!
เวลาในการอ่านหนังสือ ควรเป็น ตอนเช้า ตอนเย็นหรือกลางคืนก็ได้ ตามสะดวก เมื่อมีเวลาว่างก็ควรอ่าน อาจเป็นตอนเข้าห้องน้ำ(!) หรือรอรถโดยสาร ก็ได้
ในการอ่านหนังสือ เราไม่ควรหักโหมอ่านจนข้ามวันข้ามคืนนะ แทนที่จะจำเนื้อหาได้ ก็จำไม่ได้ และง่วงนอนอีกตะหาก โดยเด็กเรียนเนี่ยเมื่อคืนก่อนวันสอบ พวกเขาจะรีบนอนกันเร็วๆ แล้วขึ้นมาอ่านหนังสือยังไงล่ะ
บางคนอาจอ่านหนังสือไปด้วยดูทีวีไปด้วย แบบนี้ไม่ควรนะค่ะ เพราะสมาธิของเราจะไม่ได้จดจ่ออยู่หนังสือเพียงอย่างเดียว และยังทำให้เราสับสนกับข้อมูลก็เป็นได้
หากเราง่วงนอนในตอนกลางคืน ก็ขอแนะนำให้ไปนอนซะ เพราะวินาทีนับต่อจากนี้ถึงจะอ่านไปได้หลายเล่มก็จำไม่ได้อยู่แล้ว สู้นอนเลยดีกว่า แล้วอ่านตอนเช้าเอา
การแบ่งเวลา เราอาจจะทำตารางที่แสดงถึงว่า ในช่วงเวลานั้นๆเราจะทำอะไร
ซึ่งมันก็ไม่ควรเคร่งรัดเกินไป เพราะจะไม่ได้อย่างเขียน แล้วพาลเลิกทำนี่น่ะซิ
การนอน
ถ้าถามเด็กเรียน
... เขาจะบอกว่า นอนเร็วดีกว่า แล้วตื่นมาแต่เช้าอ่านหนังสือ
แต่ถ้าถามเด็กทั่วไป
... เขาจะบอกว่า นอนดึกๆซิ จะได้มีเวลาอ่านหนังสือเยอะ
คำตอบทั้งสองใช่ว่าจะผิด เพราะคนเราต่างมีมุมมองที่แตกต่างกันไป เรื่องอย่างไม่มีคนผิด คนถูกหรอกนะ
การนอนนั้นเป็นเรื่องที่ดีมากๆเลย อย่างถ้าวันไหนเรานอนดึก พอตื่นเช้ามา วันทั้งวัน จะหาวนอนมันอย่างเดียว เป็นเพราะเราได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอน่ะซิ
แต่ถ้านอนพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม ตื่นเช้ามาวันทั่ง ร่างกายจะสดชื่น เพราะได้พักผ่อน
เราควรนอนวันละกี่ชั่วโมงล่ะ?
สำหรับเด็กในวัยเรียนหรือวัยรุ่น ก็ควรนอนวันละ 8 – 10 ชั่วโมง อย่างน้อยก็ไม่ควรเกิน 6 ชั่วโมง
ที่นอน ควรจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาด เพราะมันเป็นพักผ่อนของเราตอนหลับ
ขอแนะเลยว่า เราควรนอนให้เร็วจะดีกว่า แล้วตื่นมาตอนเช้ามืด มาอ่านหนังสือ เวลานี้แหละ เป็นเวลาแห่งการจำของเรา เราอาจจะนอนสามทุ่ม แล้วตื่นตอนตีห้าก็ได้ อ่านหนังสือ ซัก สามสิบนาทีหรือหนึ่งชั่วโมง ก็ยังได้ ถ้าไม่ต้องออกไปโรงเรียนแต่เช้าน่ะนะ
สมมติว่า เราอ่านตอนเช้า วันละ 30 นาที
ถ้าเราเริ่มอ่านตั้งแต่เปิดเทอมจนถึงวันสอบปลายภาค ซึ่งมีอยู่200วัน
เราจะได้อ่าน 200x30 = 6000นาที หรือ 100 ชั่วโมง!
เห็นมั้ย? ถึงจะมีเวลาน้อยนิด ถ้าอ่านบ่อยๆเป็นประจำมันจะเป็นเวลาที่มีค่ามากๆ
ก่อนสอบ
เมื่อเราทำตามข้อข้างบนได้อย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ
การสอบก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วล่ะ
ก็เราทบทวนอยู่ทุกวันนี้
สำหรับที่เพิ่งมาอ่านสองวันก่อนสอบ เป็นต้องอ่านเร่งเพื่อให้จบเนื้อหาในหนังสือ แทนที่เราจะจำได้ กลับแย่ลงกว่าเดิมอีก
ในช่วงเวลาก่อนสอบ 2 สัปดาห์
เราควรที่จะไปดูตารางสอบก่อนว่ามีวิชาอะไร
แล้วเราก็เริ่มอ่านวิชาที่จะสอบวันแรก ซึ่งก็อ่านหนังสือ สรุปย่อของเรา สมุด แบบฝึก ใบความรู้ ใน 3-4วัน จะเป็นอ่านอย่างละเอียด
ต่อจากนั้นก็อ่านวิชาที่จะสอบวันที่สอง ซึ่งก็เหมือนกัน ภายใน 3-4 วัน
แล้วอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อจากนั้น
5 วันแรกให้อ่านในสมุด สรุปย่อเนื้อหาที่เราทำไว้ เป็นเนื้อหาของทุกวิชา
อีก 2 วันสุดท้าย นี้ก็ไม่ต้องคร่ำเคร่งมาก อ่านจนไม่ได้นอนกันน่ะ ตรงข้าม สองวันนี้ควรจะนอนให้เร็วขึ้นแล้วตื่นแต่เช้ามาอ่านหนังสือดีกว่า โดยให้อ่านหนังสือเรียนของตนอย่างคร่าวๆและรวดเร็วเพื่อทบทวน
ในช่วงวันสอบก็ควรอ่านส่วนวิชาที่เราไม่เข้าใจนะค่ะ
เวลาสอบ
ควรอ่านคำถามให้ละเอียดถี่ถ้วน รู้จักแบ่งเวลาในการทำข้อสอบแต่ละข้อ
ซึ่งในการตอบ เราก็ควรตัวเลือกให้หมดก่อนตอบเพราะนั่นอาจเป็นข้อที่ผิดก็ได้
ถ้าข้อไหนไม่แน่ใจ หรือลังเลก็ให้ข้ามไปทำข้อที่ทำได้ก่อน แล้วค่อยกลับมาทำทีหลัง
ข้อสอบอัตนัยนั้น ถ้าเราไม่ได้ก็ไม่ควรว่างเอาไว้ รู้ไม่รู้ให้ตอบไว้ก่อน เผื่อครูสงสารจะให้คะแนน(อ้าว!) ข้อสอบปรนัยก็เช่นไม่รู้ก็เดาเลยค่ะ เผื่อถูก (อิอิ)
ไม่ควรลอกข้อสอบด้วยนะ เพราะมันจะเป็นผลเสียทางะแนนความประพฤติ ถึงจะได้คะแนนที่ดี แต่ไม่น่าภูมิใจเอาเสียเลย เพราะเราไม่ได้ทำเองน่ะซิ
เราควรทำข้อสอบอย่างรวดเร็ว เพราะว่าความรู้มันจะหายไปหมด ล้อเล่น ที่ควรทำเสร็จเร็วๆนั้น เพราะอีกเวลาที่เหลือเราจะทบทวนข้อสอบต่างหาก โดยให้ทบทวนอย่างละเอียด แล้วจะพบว่า
เรากาข้อผิดนี่หว่า?
เราทำข้อนี้ผิดนี่หว่า?
เราลืมทำข้อนี้นี่หว่า?
ฯลฯ
มันจะทำให้เราไม่เสียคะแนน ถึงคะแนนมันจะน้อยนิด แต่ถ้านำมารวมกัน ก็มีผลต่อการสอบของเรานะ
ลองดูแบงค์ร้อย มันก็เกิดแบงค์ห้าสิบสองใบ มารวมตัวกัน
แบงค์ห้าสิบ เกิดจากแบงค์ยี่สิบสองใบและเหรียญสิบรวมกัน
แบงค์ยี่สิบเกิดจาก เหรียญสิบสองเหรียญ มารวมกัน
เหรียญสิบ เกิดจากเหรียญห้าสองเหรียญ มารวมกัน
เหรียญห้า เกิดจากเหรียญบาทมารวมกันห้าเหรียญ
ถ้าไม่มีเงินบาท ก็ไม่มีทางมีแบงค์ร้อยหรอกนะ
และก็.... ไม่ต้องเคร่งเครียดในการสอบนะค่ะ ทำใจให้สบายๆเข้าไว้ดีกว่า
ข้อสอบ/การบ้าน
ข้อนี้เราทำผิดอ่ะ ผิดตรงเนี่ย?
เมื่อเราทำข้อสอบผิด เราก็ควรมีสมุดจดข้อผิดนะค่ะ เอาไว้จดข้อที่ผิดแล้วเขียนแสดงคำตอบที่ถูกต้องของมัน และก็อ่าน เราก็จะไม่ทำข้อนี้ผิดอีกซ้ำสองค่ะ
อาหาร
สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจาก อาหารที่ดี
การเรียนที่ดี ก็เริ่มจากอาหารเช่นกัน
การบำรุงสมองให้ดีนั้น ก็มีส่วนในเรื่องของการเรียนเช่นกัน โดยอาหารเพิ่มความจำนี้ จะอยู่ในกลุ่ม
>>> กลุ่มธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล นม เป็นต้น มีผลต่อไอคิว ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้าย ที่เกี่ยวความคิด
>>> ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บำรุงเซลล์สมอง
>>> ปลาที่มีโอเมก้า3สูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล เป็นต้น ป้องกันความจำเสื่อม
>>> วิตามินบีสูง เช่น นมพร่องมันเนย นม ข้าวกล้อง กีวี ตับ งา กระเทียม สับปะรด กล้วย ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่างๆ ผัก ผลไม้ เป็นต้น จะช่วยป้องกันสมองเสื่อมความจำเลอะเลือน
>>> เซเลเนียมสูง เช่น ปลาทูน่า เนื้อวัว เนื้อแกะ หัวหอม กระเทียม ถั่ว ปลาซาร์ดีน หอยลาย หอยเชลล์ ฯลฯ มีประโยชน์ในการรักษาการทำงานของสมองให้เป็นปกติและต้านอนุมูลอิสระ
>>> วิตามินอีสูง เช่น ฟักทอง กวางตุ้ง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ หากทานพรอมเซเลเนียมทำให้การไหลเวียนเลือดในสมองดีขึ้น
รางวัลแด่ความพยายาม
เมื่อสอบเสร็จแล้ว เราก็ควรหารางวัลให้ตัวเองบ้าง โดยรางวัลแรกนี้เราไม่ต้องหาเพราะเราได้พยายามมาตลอดเพื่อสิ่งนี้ คือ คะแนนสอบที่ดีขึ้นจนต้องตกใจของตัวเอง
รางวัลที่ให้หาให้ตัวเอง อาจจะเป็นของกิน หนังสือ สิ่งของต่างๆเช่น อุปกรณ์การเรียน ซีดีเพลง ซื้อเกมส์ ซื้อซีดีการ์ตูนหรืออะไรที่ตัวเองต้องการ แต่ต้องไม่แพงเกินไป หรืออาจจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หรือครอบครัวก็ได้ค่ะ
มันจะทำให้เรามีความพยายามมากและมีความสุขในการเรียนมากยิ่งขึ้น
หวังว่าเพื่อนที่อยากเรียนเก่งคงจะถูกใจนะค่ะ ^^
และขอให้เพื่อนที่มีความตั้งใจที่เรียนเก่งขึ้นสู้ๆนะ
จะเอาใจช่วยค่ะ ^O^////~~~
ผลงานอื่นๆ ของ Pete'chan ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Pete'chan
ความคิดเห็น