เรื่องสั้นพิเศษ : นครแห่งความปวดร้าว - เรื่องสั้นพิเศษ : นครแห่งความปวดร้าว นิยาย เรื่องสั้นพิเศษ : นครแห่งความปวดร้าว : Dek-D.com - Writer

    เรื่องสั้นพิเศษ : นครแห่งความปวดร้าว

    โดย TonyMao_NK51

    สะท้อนสังคมที่เจ็บปวดครับ

    ผู้เข้าชมรวม

    637

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    637

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 ก.พ. 50 / 19:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      สวัสดีครับ :

      นานแล้วที่ผมไม่ได้เขียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราว ( DP III ดองไปแล้ว ) เพราะมีธุระมากมาย แต่ในวันนี้ผมว่างพอที่จะเขียน และสมองผมมันก็แล่นพอดี เรื่องสั้นเรื่องนี้จึงออกมาได้ สำหรับเรื่องสั้นเรื่องนี้ ผมได้แรงบันดาลใจมาจากข่าวๆ หนึ่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ว่า " สาวใจเด็ดชกหน้าชายหื่นกามแล้วจับส่งตำรวจ " โดยข้อสังเกตก็คือ ทำไมไม่มีใครคิดจะช่วยเธอเลย ทุกคนมองแล้วก็ผ่านไป

      ผมจึงขออนุญาตมองในมุมของคนไม่เอาไหนอย่างผมบ้าง หวังว่าเมื่อได้อ่านแล้ว คงจะเข้าใจคนที่ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือมากขึ้นครับ

      -----------------------------

      สถานีรถไฟหัวลำโพง เวลา 19.30 น.

      สถานีรถไฟที่ผู้คนแน่นขนัดตลอดไม่ว่าจะช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืนเพราะเป็นจุดใหญ่ที่ผู้ใดต้องการจะโดยสารรถไฟไปยังที่ใดในประเทศไทยจะต้องมาที่นี่ บรรยากาศที่วุ่นวายของผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งผู้ที่มาใช้บริการรถไฟเพื่อเดินทาง เจ้าหน้าที่ประจำสถานีและขบวนรถ ตลอดจนพ่อค้าแม่ค้ารวมไปถึงคนจรจัดไร้ที่อยู่ที่ต้องนอนอยู่บริเวณรอบๆ อาคารพักผู้โดยสาร ภาพเหล่านี้เป็นที่ชินตาเป็นอย่างดีสำหรับผู้ที่เดินทางผ่านไปมาในย่านนี้อยู่บ่อยๆ

      ผมนั่งรออยู่บนขบวนรถชั้นสามที่จะมุ่งหน้าขึ้นสู่จังหวัดทางภาคเหนือของประเทศด้วยสภาพที่อ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ข้างกายผมมีเพียงกระเป๋าสะพายข้างใบเก่งของผมกับเบียร์สิงห์ขวดเล็กในมือเท่านั้น สายตามองออกไปนอกหน้าต่างราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก ผมสังเกตเห็นสายตาของเด็กน้อยบางคนที่เดินทางกับครอบครัวมองผมด้วยสายตาแปลกๆ

      " แม่ๆ ลุงคนนั้นเขาเป็นอะไรน่ะ "

      ผมดูราวกับเป็นคนชราที่เสื่อมสมรรถภาพในสายตาของเด็กพวกนั้นที่บ่นพึมพำกับแม่ของเขาทั้งๆ ที่ผมอายุแค่เพียง 25 ปีเท่านั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะตลอดสองเดือนมานี้ ผมดื่มจัดและใช้ชีวิตราวกับคนเสียสติ เพื่อนๆ ผมในละแวกบ้านเองก็ไม่ค่อยเข้าใจผมมากนัก ในที่สุด ผมก็ต้องเดินทางจากพวกเขามาด้วยความทุกข์ทรมานในใจ

      " ก็ใครเล่า! จะมาแบกรับความทุกข์ที่กุประสบมาวะ พวกเมิงไม่เข้าใจหรอก คนอย่างกุ....คนอย่างกุ... "

      ผมบ่นไปพลางมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความอาลัยว่าไม่รู้เมื่อไรจึงมีโอกาสได้กลับมายังกรุงเทพฯ นครหลวงที่ผมเกิดและเติบโต ความทรงจำของผมมากมายอยู่ที่นี่ แต่ผมเองก็ไม่อาจจะอยู่ได้ท่ามกลางสายตาและคำพูดที่ดูถูกของใครหลายคนรอบตัวได้เลย

      " วู้นนนนนนนนนน! เคร้งๆ เคร้งๆ "

      รถไฟค่อยๆ แล่นออกจากชานชาลาในเวลาเกือบสองทุ่ม ผมมองย้อนกลับไปยังสถานีด้วยความหดหู่ใจ น้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลรินออกมาจากดวงตาของผมอย่างช้าๆ โดยที่ผมไม่รู้สึกตัว ผมไม่รู้เลยว่ามันออกมาเมื่อไร รู้แต่ว่าในความทรงจำของผม เรื่องบางเรื่องมันตามมาหลอกหลอนคนอย่างผมตลอด คนที่ได้ชื่อว่าเป็น " พ่อพิมพ์ของชาติ " แต่ไม่อาจจะเป็นตัวอย่างหรือแรงบันดาลใจให้กับต้นกล้าน้อยๆ ที่กำลังเติบโตได้เลย ผมหลับตาลงอีกครั้งหวังจะงีบหลับให้ลืมเรื่องบางเรื่องนั้นเสีย แต่ทว่า.....

      " พ่อหนุ่ม! ลุงนั่งด้วยได้ไหม? "

      " เชิญครับ! "

      ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินหาที่นั่งมาจากโบกี้ด้านหน้าของขบวนรถ ดูจากอายุแล้วน่าจะราวๆ ห้าสิบเจ็ดถึงหกสิบปี แต่งกายง่ายๆ เหมือนกับชาวบ้านทั่วๆ ไป และแม้ว่าจะดูมีอายุหากมองที่ใบหน้าและผิวพรรณที่มีรอยย่นตามสังขารที่ไม่เที่ยง แต่ท่าทางการเคลื่อนไหวที่กระฉับกระเฉงนั้นก็ทำให้ผมอดทึ่งได้ไม่น้อย บางทีผมอาจจะมีสิทธิ์โดนลุงคนนี้ชกหน้าลงไปกองกับพื้นได้หากผมคิดจะมีเรื่องกับแก แต่ตอนนี้ลุงแกคงอยากหาที่นั่ง ซึ่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผมก็ว่างอยู่แล้ว จึงเรียกให้ลุงแกนั่งเพราะเห็นแกเดินหาที่นั่งมาครู่ใหญ่แล้ว

      ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง ทั้งผมและชายวัยกลางคนไม่พูดจาโต้ตอบกันแม้สักประโยคเดียว ผมยังคงนั่งดื่มเบียร์ทั้งแบบขวดและแบบกระป๋องที่มีคนนำขึ้นมาขายบนรถ สายตาก็ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างที่ตอนนี้มีแต่ความมืดมิดเพราะออกนอกเขตกรุงเทพฯ มาแล้ว ทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยป่าและเสียงของหริ่งหรีดเรไรที่ดังระงมพอๆ กับเสียงเครื่องกลที่ทำให้รถไฟแล่นไปตามรางทางของมัน ขณะที่ลุงคนนั้นยังคงนั่งหลับอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามอย่างสบาย

      " พ่อหนุ่ม! เอ็งจะดื่มไปถึงเมื่อไรกัน? " ชายวัยกลางคนถามผมทั้งที่ยังหลับตาอยู่

      " ........ ดื่ม...ดื่มจนกว่าจะตายมั้งลุง ว่าแต่เอาเบียร์ไหม เดี๋ยวผมเลี้ยง มาดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อย "

      " ไม่ล่ะ! ถ้าข้าดื่ม เอ็งก็จะต้องดื่มไปมากกว่านี้ สุดท้ายเอ็งคงเมาตาย ไม่ได้ไปถึงจุดหมายที่เอ็งจะไปแน่นอน " ชายชราปฏิเสธผมด้วยน้ำเสียงที่เรียบๆ แต่แฝงด้วยความจริงใจที่แผ่รัศมีออกมาจนผมสัมผัสได้

      " ไม่เกี่ยวกับลุงหรอก ผมจะดื่มให้ตายมันก็เรื่องของผม ลุงม่ายดื่มม่ายเปนราย โผมดื่มเองก้อล่าย "

      " ถ้างั้นพอเถอะพ่อหนุ่ม เอ็งเมามากแล้ว ......มั่บ! "

      ความจริงผมควรจะเมาจนหลับไปหลังจากที่ผมพูดจบด้วยซ้ำ สติสัมปชัญญะผมยังพอมีหากแต่ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ ผมพูดจาแบบคนเมาเสียงลากๆ ตาลอยๆ แต่ผมก็ตกใจจนลืมตาได้เต็มที่ทันทีที่มือซ้ายของลุงเอื้อมมาจับข้อมือผมจนผมเผลอปล่อยขวดเบียร์หลุดมือ ทว่าลุงคนนี้กลับใช้มือขวาเลื่อนมาคว้าขวดไว้ได้อย่างแม่นยำก่อนจะเก็บไว้ข้างตัวของแกเองแล้วปล่อยมือซ้ายออกจากข้อมือขวาของผม

      " ลุงต้องการอะไรจากผม เงินหรือ? เอาไปเลย " ผมยื่นธนบัตรใบลำร้อย ใบละห้าสิบ และใบละยี่สิบบาทจำนวนหนึ่งในกระเป๋าผมจะให้แกไปด้วยความกลัว แต่ลุงกลับไม่รับและจ้องตาผมจนผมต้องมองหน้าแกด้วยสภาพที่ตื่นตัว

      " พ่อหนุ่ม! อายุยังน้อย หนำซ้ำยังเป็นลูกผู้ชาย ไม่น่าตาขาวกระทั่งลุงแก่ๆ คนนึงเลย เอ็งเอาเงินเก็บไปเถอะ ข้าไม่ใช่โจรหรอกนะ "

      " ลุงจะเข้าใจอะไรกับคนอย่างผม แล้วใครบอกว่าผมเป็นลูกผู้ชาย ลุงฟังผมนะ ยี่สิบกว่าปีมานี้ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายเต็มตัวกับเขาซะที ไม่เคยสักครั้ง " ผมพูดพร้อมกับจะหยิบเบียร์กระป๋องมาเปิดดื่มอีกแต่ชายวัยกลางคนจ้องหน้าผม ผมจึงเก็บมันใส่กระเป๋าไปด้วยความกลัว

      " งั้นหรือ! อายุก็ยังน้อย ท่าทางการศึกษาก็สูง ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เป็นปัญญาชนจะมีความคิดได้แค่นี้ น่าเสียดายจริงๆ "

      " ลุงไม่เข้าใจผมหรอกน่า คนอย่างผมมันน่าจะตายๆ ไปซะด้วยซ้ำ "

      " งั้นหรือ....เอ็งพูดว่าอยากตาย แต่แค่เอ็งจะเอาเบียร์มากินต่อหน้าข้า เอ็งยังไม่กล้าเลย ข้าว่าเอ็งมันกลัวตาย ดีแต่ปากมากกว่ามั้ง หุๆๆ "

      คำพูดของลุงผู้นั้นเสียดแทงเข้ากลางใจของผมอย่างจัง ใช่สิ! คนอย่างผมแม้แต่จะตายยังไม่กล้า นับประสาอะไรกับความเจ็บปวดที่ได้รับมาตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมานี้ สติผมมันเตลิดอีกครั้ง ผมลุกขึ้นและกำลังจะพุ่งออกไปนอกหน้าต่างแต่ลุงผู้นั้นกลับดึงแขนผมไว้แค่เพียงเมื่อผมยื่นศีรษะออกไปเท่านั้น

      " ดูท่าเอ็งจะมีเรื่องไม่สบายใจมากมาย ถ้าไม่คิดว่าข้าเป็นคนนอกก็ช่วยเล่าให้ฟังได้ไหม? " ลุงพูดกับผมด้วยใบหน้าที่ยิ้มน้อยๆ แบบเป็นมิตร ทำให้ผมใจเย็นลงได้บ้าง แต่น้ำตาของผมจะยังไหลไม่หยุด แม้ว่าผมจะพยายามควบคุมความเศร้าในใจก็ตาม

      " ครับ! " ผมตอบสั้นๆ ก่อนที่จะเริ่มต้นนิทานที่แสนธรรมดาหากแต่ทำให้ผมต้องหลบลี้หนีหน้าคนได้ นิทานที่คนอื่นคงว่าไร้สาระ แต่ใครไม่เป็นแบบผมคงยากจะเข้าใจ

      3 เดือนก่อน

      " รู้ไหม? คนเราเนี่ย! ถ้าเห็นคนอื่นเดือดร้อนแล้วเราช่วยได้ต้องช่วยรู้ไหม? "

      " ครับ! "

      หลังจากที่ผมเรียนจบในระดับปริญญาตรีแล้ว ผมก็สมัครสอบเข้าบรรจุเป็นครูบาอาจารย์ในโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ในเวลานั้นผมอายุได้ยี่สิบสี่ปีเศษ ทุกวันที่ผมไปทำงาน ผมถือว่ามันเป็นหน้าที่ๆ สำคัญมาก ผมตั้งใจอยากจะเห็นคุณภาพของเด็กไทยดีขึ้นกว่านี้ ดังนั้นไม่ว่าจะด้านวิชาการก็ดี หรือปัญหาชีวิตส่วนตัวก็ดี ผมพยายามเข้าไปให้คำแนะนำเท่าที่ผมพึงจะมีสติปัญญาที่จะกระทำ เพราะนิยามความสำเร็จในหน้าที่การงานของผม คือการเห็นผู้ที่จะเติบโตไปเป็นผู้รู้และผู้กล้าในอนาคต และผมควรจะได้ทำหน้าที่นี้ไปตลอดจนกว่าผมจะเกษียณอายุราชการ หากเหตุการณ์บางอย่างที่ชักนำผมไปสู่ " ปม " ที่ไม่เคยลืมเลือนและตามหลอกหลอนผมมาตลอดไม่เกิดขึ้นกับผมและนักเรียนคนหนึ่งของผม

      2 สัปดาห์ต่อมา

      " อาจารย์! หวัดดีครับ "

      ในเวลาหัวค่ำ ผมได้ไปทำธุระในย่านอนุสาวรีย์ชัย บังเอิญได้พบกับนักเรียนคนหนึ่ง เขายกมือไหว้ผมด้วยความเคารพ ผมก็ยิ้มให้เขาเช่นกัน เด็กคนนี้ก็มาทำธุระส่วนตัวแถวนี้เช่นกันและก็กำลังจะกลับบ้านกันทั้งคู่ แต่โชคชะตาเหมือนต้องการให้เด็กคนนี้ถึงฆาต เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นบริเวณนั้น

      " ว่างายยยจ๊า...คนสวย พี่ขอเบอร์หน่อยได้ไหม "

      วัยรุ่นท่าทางเหมือนพวกกุ๊ยจำนวน 2 คนยืนขวางหญิงสาววัย 18 ปีหน้าตาดีคนหนึ่งในชุดนักศึกษา พวกมันใช้สายตาลวนลามไปยังส่วนต่างๆ ทั่วเรือนร่างของเธอโดยเฉพาะส่วนที่นูนและเว้าเป็นร่อง ทั้งคู่ค่อยๆ เดินกดดันต้อนเธอเข้าไปในมุมที่เริ่มลับตาคน

      " เฮ้ย! อย่ายุ่งโว้ย! เรื่องผัวเมียเขาเคลียร์กัน คนอื่นอย่าเสือ.....ก " หนึ่งในสองคนนั้นถือมีดสปาต้าชี้ไปรอบๆ ข่มขู่ผู้คนที่ผ่านไปมาจนไม่มีใครกล้ามอง ไม่ช้าสองคนนั้นพอไล่ต้อนหญิงสาวเข้าไปในตรอกเล็กๆ แถบนั้น

      " รถเมล์มาแล้ว เราไปกันเถอะ "

      " ครูครับ! แต่ผู้หญิงคนนั้นร้องขอความช่วยเหลือนะครับครู "

      " เงียบน่า! คิดว่านายเป็นเฉินหลง เจ็ตลี หรือโทนี่จารึไง ชั้นโทรแจ้งตำรวจไปแล้ว เดี๋ยวเขาก็มาเอง "

      " แต่กว่าตำรวจจะมา.... "

      ในตอนนั้นสิ่งที่ผมทำได้คือการโทรศัพท์ไปยังหมายเลข 191 เพื่อให้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ให้มาช่วยเหลือ แต่กับสถานการณ์เฉพาะหน้านั้น ผมทำได้แค่มองดูและภาวนาว่าขอให้ตำรวจมาเร็วๆ สิ่งที่ผมทำนั้นก็เฉกเช่นเดียวกับคนอื่นที่เดินผ่านไปมา ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่าผมทำถูกแล้ว อย่างน้อยก็ยังดีกว่าพวกที่ไม่ทำอะไรเลย

      " ผมไม่ไหวแล้วนะครับ "

      " เฮ้ย! อย่านะ เฮ้ย! "

      นักเรียนของผมคนนั้นวิ่งออกจากป้ายรถเมล์ตามพวกวัยรุ่นสองคนนั้นหายเข้าไปในตรอกเล็กๆ ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงด่าทอกันดังออกมาจากภายในนั้น ผมก็ยังทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ รอ และรอ จนเวลาผ่านไปเกือบห้านาที วัยรุ่นทรชนสองคนนั้นวิ่งหนีออกมาจากซอยในสภาพเสื้อผ้ารุ่งริ่ง ผมสังเกตเห็นรอยเลือดตามตัวของพวกมัน แต่ผมไม่เห็นหญิงสาวและนักเรียนของผมเดินออกมาดังนั้นผมจึงเดินเข้าไปดู

      " ไม่จริง...ไม่...ไม่จริง "

      ภาพที่ผมเห็นอยู่เบื้องหน้าทำเอาผมเข่าทรุด น้ำตาไหลอาบแก้มเมื่อเห็นลูกศิษย์ของผมนอนจมกองเลือด เสื้อผ้าขาดวิ่นและตามเนื้อตัวของเขามีแต่รอยถูกของมีคมฟันและแทงเต็มไปหมด ข้างๆ นั้นหญิงสาวอยู่ในสภาพตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก สักพักตำรวจก็มาถึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธินำตัวลูกศิษย์ผมส่งโรงพยาบาล แต่ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะมีโอกาสได้ " ทำความดี " แต่เพียงเท่านี้เสียแล้ว

      " ทำไม...ทำไมต้องทำแบบนี้ " ผมถามเขาทั้งน้ำตา

      " ครู...สอน...ผม...เอง...ไม่ใช่...หรือ...ครับ "

      นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของเด็กหนุ่มก่อนที่เขาจะสิ้นใจ แม้ว่าร่างกายของเขาจะเต็มไปด้วยเลือด แต่ใบหน้าของเขานั้นกลับอิ่มเอิบราวกับได้เดินทางไปสู่ภพภูมิสุขาวดี ผมไม่รู้หรอกว่าก่อนตายเขาเห็นอะไร แต่หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่เคยกินอิ่มนอนหลับอีกเลย ภาพและเสียงของลูกศิษย์คนนี้ตามหลอกหลอน " มโนสำนึก " ของผมตลอด จนในที่สุด ผมก็ตัดสินใจลาออกจากการเป็นครู และเดินทางอย่างไร้จุดหมายเช่นวันนี้

      " พ่อหนุ่ม! แล้วทำไมเอ็งถึงไม่เข้าไปช่วยลูกศิษย์เอ็งล่ะ อย่างน้อยสองก็ดีกว่าหนึ่งนะ " ชายวัยกลางคนถามผมอีกครั้ง

      " ลุงไม่เข้าใจหรอกครับ ก็อย่างที่ผมบอก ผมไม่ใช่ลูกผู้ชายเต็มตัว ชั่วชีวิตผมนับแต่วัยเด็ก ผมไม่เคยชกต่อยวิวาทกับใครแล้วชนะสักครั้ง ผมอยากเป็นคนดีนะครับ แต่....แต่ "

      " เอาเถอะน่า อยากร้องก็ร้องให้เต็มที่เถอะนะ "

      ท่านลุงแปลกหน้าผู้นี้ไม่โกรธผม กลับบอกให้ผมร้องไห้ต่อหน้าแกก่อนที่แกจะเอามือมาลูบหัวผมและยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดู ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของเขาที่ดังมาจากคนที่อยู่รอบข้างเพราะเหตุการณ์นี้เป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์และออกโทรทัศน์อยู่พักใหญ่ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ผมไม่อาจจะทนอยู่ท่ามกลางเสียงก่นด่าและนินทาได้จนต้องหลบลี้หนีหน้าในที่สุด

      " แล้วเอ็งจะไปไหนรึ? "

      " เชียงรายครับ! บนยอดดอยที่นั่น ผมหวังว่าจะมีสักที่หนึ่งที่สามารถลบอดีตที่เจ็บปวดของผมได้ และถ้าวันนั้นมีจริง ผมคงได้หวนคืนสู่เมืองหลวงอีก "

      " บนดอยงั้นหรือ? ถ้าหากนั่นคือความปรารถนาของเอ็ง ข้าก็ขอให้เอ็งโชคดี บางทีที่นั่นอาจจะมีใครที่ช่วยให้เอ็งลบอดีตที่เจ็บปวดนี้ได้จริงๆ "

      " ขอบคุณครับ ว่าแต่ผมขอถามลุงหน่อยนะครับ จากเรื่องนี้ ลุงว่าผมผิดไหมครับ? "

      " ....... "

      ไม่มีคำตอบจากชายวัยกลางคนนอกจากรอยยิ้ม สักพักเขาก็เดินจากไปพร้อมกับขวดเบียร์ที่ยึดไปจากผม ในเวลานั้นผมรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย โชคชะตากำลังเล่นอะไรกับผมอยู่หรือ? ถึงส่งชายแก่แปลกหน้าผู้นี้มาพบกับผม แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คำถามนี้ผมก็อยากจะถามกับทุกคน

      " ผมผิดไหมครับที่ไม่เข้าไปช่วย? "

      --------------------------

      TonyMao_NK51 ( Mr.Buncha Chansomboon )


      Mail To : tonymao_nk51  hotmail.com

      ปล.ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×