แด่ " ความเป็นจริงที่สวนทางกับโฆษณาชวนเชื่อ "
อาจจะดูช้าไปนิดที่ผมเพิ่งจะเขียนบทความนี้ ทั้งๆ ที่เหตุการณ์มันผ่านไป และซาลงแล้ว เพราะช่วงที่ข่าวนี้กำลังดัง ผมติดภารกิจสอบ Summer ( ม.รามฯ สอบช่วงนั้นพอดี ) จึงไม่มีเวลาเขียน ดังนั้นคงไม่เป็นอะไรหากผมจะมาเขียนเอา ณ เวลานี้
" ชาวบ้านแห่กราบไหว้ Cool Fever ฮือฮาให้โชคลาภ "
หลังจากที่มีการพบวัตถุประหลาดรูปร่างเป็นแผ่นวุ้นสีขาวตามที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ตามมาด้วยกระแสฮือฮาว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง สิ่งมีชีวิตต่างดาวบ้าง จนเป็นข่าวอยู่พักนึง แน่นอนว่า ทุกครั้งที่มีสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้น ภาพที่เราพบเห็นกันชินตาในสังคมไทย โดยเฉพาะสังคมชนชั้นล่างหรือรากหญ้า ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด คือการกราบไหว้บูชาสิ่งนั้นๆ ราวกับว่ามันเป็นเทพเจ้า มิหนำซ้ำยังพากันไปบนบาน ตีความเป็นเลขต่างๆ เพื่อนำมาซื้อหวยทั้งบนดินและใต้ดิน
ผมเห็นสิ่งเหล่านี้นับตั้งแต่ผมจำความได้ ตัวผมไม่เล่นการพนัน ดังนั้นเวลาเห็นสิ่งเหล่านี้จึงมักจะอดสมเพชเวทนาไม่ได้ แต่มาพักหลังๆ ผมเริ่มรู้สึก " สงสาร " คนเหล่านี้เสียมากกว่า และคงจะไม่ว่าอะไร หากผมจะเอาไอ่ปรากฏการณ์เจลวุ้นนี่ไปโยงกับเรื่องของบ้านเมือง เพราะจากเรื่องนี้มันสะท้อนอะไรได้หลายอย่างในสังคมของเรา
- " เศรษฐกิจบ้านเราเข้มแข็ง คนจนจะหมดไป "
ผมกำลังงงอย่างที่สุดกับคำกล่าวนี้ และมิได้เจาะจงว่าเป็นรัฐบาลใด เพราะผมก็เห็นทุกๆ พรรคที่ได้เป็นรัฐบาล มักจะพูดทำนองนี้กันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริง เศรษฐกิจบ้านเรามันดีขึ้นจริงหรือ? ถ้ามันดีจริง เหตุใดถึงยังมีปรากฏการณ์เช่นนี้อีก! คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้นจริงๆ หรือ? ถ้าดีขึ้นจริงทำไมต้องมาหวังอะไรลมๆ แล้งๆ แบบนี้!
สำหรับผมแล้ว ผมไม่เคยคิดว่าเศรษฐกิจไทยดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะความเป็นจริงที่ผมเห็น ก็มีแต่นายทุนรายใหญ่เท่านั้นที่รวยขึ้น รวยขึ้น ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ขณะที่ร้านค้าทั่วไปเริ่มขาดทุน ไม่ต้องพูดถึงผู้ใช้แรงงานและเกษตรกรที่ปกติก็จนอยู่แล้ว ก็ยังคงจนต่อไป ขณะที่ค่าครองชีพทุกวันนี้สูงขึ้นทุกทีๆ
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ไอ่คำที่บอกว่าเศรษฐกิจดีขึ้น หมายถึงตัวเลขรายรับของนายทุนใช่หรือไม่ ถ้าใช่ ผมว่าเลิกพูดไปเลยจะดีกว่า เพราะในความเป็นจริงการที่นายทุนรวยขึ้นไม่ได้ทำให้คนทั่วไปดีขึ้น แต่กลับแย่ลงด้วยซ้ำ เพราะนายทุนซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรถูก กดค่าแรงผู้ใช้แรงงาน ทำให้ต้นทุนต่ำ ด้วยเหตุนี้จึงมีรายรับมาก และแน่นอน การหาทางเลี่ยงภาษีก็เป็นปกติของธุรกิจอยู่แล้ว
จริงอยู่ กม.คุ้มครองผู้บริโภค คุ้มครองแรงงานมันก็มี แต่จะมีสักกี่คนที่ลุกขึ้นสู้ เพราะว่าปกติผู้ใช้แรงงานความรู้ก็น้อยอยู่แล้ว แถมมีครอบครัวต้องดูแล ใครจะอยากเอาอนาคตไปเสี่ยงกับการตกงานเล่า?
- " คนไทยมีการศึกษาที่ดีขึ้น "
อันนี้ผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่ว่าเอาอะไรวัด เพราะถ้าการศึกษาดีขึ้นจริง คุณภาพชีวิตก็ย่อมดีขึ้นด้วย และถ้าประชาชนมีคุณภาพชีวิตดี เศรษฐกิจก็จะดีเอง แน่นอนถ้าเป็นเช่นนั้น ภาพของการกราบไหว้สิ่งแปลกๆ เพื่อความหวังลมๆ แล้งๆ ก็คงจะไม่มี
สังคมไทยนั้นแปลกอยู่อย่าง ในประเทศที่เขาเจริญแล้ว หวยหรือการพนันเขาเล่นกันสนุกๆ พอหอมปากหอมคอ แต่บ้านเราเล่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย สังเกตได้จากก่อนวันที่ 1 และ 16 โดยเฉพาะพวกหนังสือที่อ้างว่าเป็นหนังสือพระ หนังสือธรรมะ แต่ในเล่มกลับบอกแต่ว่าที่ไหน " เฮี้ยน " หรือ " พระไหนขลัง " เพื่อให้คนอ่านที่ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง - รากหญ้าพากันไปขอหวย อย่างกรณีของเจล Cool Fever นี้ก็เช่นกัน แม้ว่าตอนหลังรัฐบาลจะบอกแล้วว่าเป็นแค่แผ่นเจลลดไข้ไม่ใช่สิ่งประหลาด แต่พวกชาวบ้านก็ยังจะกราบไหว้กันไม่เลิกรา นี่หรือประเทศที่บอกว่าการศึกษาเฉลี่ยของประชากรอยู่ในเกณฑ์ดี?
ผมก็ได้แต่เศร้าใจที่เห็นภาพแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่หรอ? ที่พวกเขาจะหลุดจากวงจรเหล่านั้น และเพราะเหตุใด วงจรเช่นนี้ถึงไม่เคยถูกทำลายทั้งๆ ที่โลกเราก็กลายเป็นยุควิทยาศาสตร์เฟื่องฟูกันแล้ว
ไม่ใช่เพราะเรื่องการเมืองหรอกหรือ? ไม่ว่าจะพรรคไหนก็ตาม เมื่อเข้าไปแล้วก็ไม่เห็นทำอะไรเพื่อประชาชนจริงๆ สักที บางพรรคเข้าไปกินน้อยๆ บางพรรคเข้าไปกินมากๆ โดยเอาโครงการเล็กๆ มาปิดบัง แถมยังทำตัวเป็นเทพเจ้า ล้อเลียนก็ไม่ได้ ไปไหนก็ไปเป็นขบวนใหญ่โต ( เคยมีข่าวน่าเศร้าว่า รถนักการเมือง + ผู้ติดตามมีน้ำมันเต็มถัง แต่รถสายตรวจของตำรวจกลับมีน้ำมันสำรองไม่พอ )
มิหนำซ้ำ นักการเมืองพวกนี้ก็แทบจะเบ่งคับฟ้าคับแผ่นดิน ยิ่งในต่างจังหวัดแล้ว ถ้าใครเป็น " เด็ก " ของพวกนี้แล้วก็แทบจะกลายเป็นเทพเจ้าไปด้วย จะบงการ ตัดสินชีวิตใครก็ได้
บอกตามตรง ผมนั้นไม่เคยศรัทธาในระบบราชการของประเทศนี้มานานแล้ว ขนาดกฏหมายยังเข้าข้างคนมีเงินมีอำนาจ และผู้รักษากฏหมายก็ทำงานให้พวกมันเหล่านั้น หาได้เคยทำเพื่อประชาชนอย่างที่ปฏิญาณไม่!
จึงไม่แปลกใจเลย ที่ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ประชาชนจึงมักมุ่งเข้าหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบลมๆ แล้งๆ มากกว่าจะแก้ไขแบบเป็นขั้นเป็นตอน เพราะ " ระบบ " มันฝังหัวมานั่นเอง
ถ้าหากว่า Cool Fever เป็นของจากมนุษย์ต่างดาวจริงๆ ผมว่าชาวดาวนั้นคงขำพิลึก
ว่าในประเทศหนึ่งของมนุษย์โลก ที่ชอบพูดกันว่าไอ่โน่นดี ไอ่นี่ดี แต่คนในนั้นกลับยังลำบากตามเคย
น่าเศร้าครับ!
TonyMao_NK51 ( ชาวยุทธ์อกหัก )
Mail To :
tonymao_nk51@hotmail.com
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น