ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนาน Ragnarok

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่10 เหตุแห่งความเกลียดชัง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.34K
      0
      2 ธ.ค. 49

    บทที่10เหตุแห่งความเกลียดชัง
    ความชิงชังในสวรรค์เริ่มก่อตัวมากขึ้น ไม่ใช่ในระหว่างชาวสวรรค์ด้วยกันเองหรอกนะครับ แต่เป็นระหว่างเทพส่วนใหญ่กับโลกิเพียงคนเดียว ถึงกระนั้นโลกิก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจว่าจะมีใครเกลียดมากมายขนาดไหน โลกิเสียอย่างอยากจะทำแต่ความชั่วเพื่อสะใจอย่างเดียวอยู่แล้ว ชาวแอสการ์ดก็ได้แต่นิ่งละครับ ยุ่งกับโลกิก็มีแต่ความรำคาญใจ
    ส่วนโลกิ เมื่อไม่มีใครอยากยุ่งเขาก็ยิ่งสำราญหาทางก่อกวนไปเรื่อย จนกระทั่งมาถึงเหตุการณ์ที่โลกิเล่นแรงเกินเหตุจนทำให้ตัวเองต้องถูกเนรเทศ
    เรื่องมันเริ่มขึ้นที่บาลเดอร์ครับท่านผู้อ่าน

    บาลเดอร์และโฮเดอร์
    เรามาพูดถึงเขากันสักหน่อย
    บาลเดอร์เทพแห่งแสงสว่างและความจริง เป็นลูกของโอดินกับฟริกก้าครับ เขาคนนี้เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพรูปงามที่สุดในบรรดาทวยเทพทั้งหมดของแอสการ์ด บาลเดอร์มีผมสีบลอนด์ทอง ซึ่งเปรียบได้ดั่งรังสีแห่งดวงอาทิตย์ที่สาดส่องท้องทุ่งยามหน้าร้อน ใบหน้าของเขาได้รูปงดงามราวกับเป็นรูปสลัก ร่างกายก็สูงสมาร์ทสมส่วน รวมความแล้วหล่อบาดใจทั้งเทพีและยักษ์เชียวละครับ นอกเหนือจากความเป็นคนรูปหล่อแล้ว บาลเดอร์เป็นคนที่ทรงภูมิรู้มากองค์หนึ่ง เขารู้เรื่องอักษรรูนและเรื่องสมุนไพรเยียวยาความป่วยไข้ ทำให้เขากลายเป็นเทพหลักของมนุษย์ในช่วงที่มีโรคภัยเบียดเบียนมิดการ์ด
    ที่สุดของที่สุด บาลเดอร์เป็นเทพที่ใครๆ ก็รัก ซึ่งถ้าจะมีข้อยกเว้น ก็คงเป็นโลกิ คนเดียวเท่านั้น ก็เขาเป็นฝ่ายตรงข้ามกับความดีนี่ครับ
    วังของบาลเดอร์ชื่อว่า เบรดาบลิค-Breidablik เป็นที่ๆ เทพอยู่กับชายาชื่อนันนา-Nanna เทพีแห่งการเพาะปลูก วังเบรดาบลิคแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นวังที่สวยงามหลังคาบุด้วยทองคำและมีเสาค้ำทำด้วยเงิน ทรงความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งความเท็จใดๆ ก็ไม่อาจผ่านเข้าวังแห่งนี้ได้
    สิ่งเดียวที่ผิดพลาดในชีวิตของบาลเดอร์ก็คือน้องชายฝาแฝด โฮเดอร์-Hodur ผู้เป็นเงาบาปของพี่ เช่นเดียวกับการมองว่าทุกสิ่งมีสองด้าน หากบาลเดอร์เป็นเทพแห่งแสงสว่าง โฮเดอร์คือเทพแห่งความมืด หากบาลเดอร์เป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ โฮเดอร์คือก็เป็นตัวแทนของบาป บาลเดอร์สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน โฮเดอร์ก็ตาบอดสนิท และโฮเดอร์นี่ละครับที่เป็นชนวนหนึ่งของความเกลียดชังนำไปสู่ความพินาศในแร็กนาร็อค
    เรื่องมันเริ่มขึ้นจากการที่บาลเดอร์ฝัน เป็นฝันร้ายเห็นตัวเองเดินอยู่ในความมืด รอบข้างทางเดินเป็นศพคนตายและวิญญาณคนตายในรูปร่างน่าสยดสยองนับพันนับหมื่น ที่ต่างชูมือออกมาไขว่คว้ายื้อแย่งตัวเขา มันเป็นฝันที่ทำให้บาลเดอร์ตกใจตื่นทุกครั้ง บาลเดอร์เริ่มฝันแบบเดียวกันอย่างเดียวกันซ้ำๆ บ่อยขึ้นๆ กระทั่งเวลางีบหลับสั้นๆ ฝันร้ายก็เข้ามาจู่โจม จนเขากลายเป็นคนหวาดกลัวการนอน เทวาที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรื่นเริงมากที่สุดและสง่างามที่สุดกลับกลายเป็นเทวาที่มีแต่ความทุกข์ ใบหน้าของเขาอิดโรยกะปลกกะเปลี้ย เที่ยวเดินท่อมๆ ไปทั่วแอสการ์ดไม่พูดไม่จากับใคร
    ความเปลี่ยนแปลงของบาลเดอร์ไม่รอดสายตาผู้คนในสวรรค์ เมื่อถามเข้าบาลเดอร์ก็ว่าเขาฝันร้าย ความฝันที่บาลเดอร์เล่าให้ฟังพาให้ทวยเทพต่างวิตก เนื่องจากบาลเดอร์เป็นเทพแห่งความจริง ซ้ำในกำแพงวังเบรดาบบิคของเขาด้วยแล้ว ไม่มีใครเห็นเรื่องไม่จริง ความฝันของบาลเดอร์ทำท่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงขนบรรดาเทพตระหนักว่า ชีวิตของบาลเดอร์น่าจะตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว เห็นทีจะต้องหาทางรู้ให้ได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นกันแน่
    เทพเทวาต่างไปรวมตัวกันที่แกลดสไฮล์ม ทูลปรึกษากับโอดิน จอมเทพตกใจ ท่านรีบขึ้นม้าสไลป์เนอร์ลงไปหาเทพีนอร์นยังโลกบาดาล คำตอบที่ได้รับทำเอาโอดินแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ ท่านรู้ว่าบาลเดอร์กำลังจะตาย
    โอดินกลับสวรรค์ บอกกล่าวคำทำนายของเทพีนอร์น แต่ก็ตามประสาผู้เป็นแม่ละครับ ฟริกก้าไม่ยอมเชื่อ หล่อนไม่ยอมแพ้พาเอาเรื่องไปปรึกษาบรรดาเทพในแกลดสไฮล์มอีกครั้ง คราวนี้เทพเทวาทั้งหลายต่างช่วยกันคิดว่าทางใดบ้างที่จะทำให้บาลเดอร์ประสบชะตากรรม ต่างคนต่างช่วยกันสมมุติสถานการณ์ อาวุธ เชื้อโรค หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะสามารถฆ่าเทพอันเป็นที่รักที่สุดได้ เมื่อหารือกันเสร็จสรุปเนื้อความแล้ว ฟริกก้าก็ถือเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องออกเดินทางไปยังเก้าโลกขอคำสาบานจากทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่า ก้อนหิน กรวด ทราย คมหอกคมดาบ นุ่น ใบไม้ จากสิ่งที่แข็งที่สุดถึงสิ่งที่อ่อนที่สุดว่า จะไม่ทำร้ายลูกชายของนาง
    ฟริกก้าเสร็จภารกิจด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่นางก็เบาใจขึ้นมาหน่อยหนึ่งว่า อย่างน้อยไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลกจะทำร้ายบาลเดอร์ได้ การกลับมาของราชินีสวรรค์ทำให้ทวยเทพในแอสการ์ดมีความสุขขึ้นมาบ้าง ก็เลยจัดงานฉลองสามวันสามคืนไม่เลิกรา ยิ่งบาลเดอร์มีสีหน้าดีขึ้นเทพแอสการ์ดก็ยิ่งพากันยินดี เหล้าถูกนำมาเสิร์ฟกันทั่วๆ ดื่มไปคุยไป ลืมความทุกข์ไปได้ชั่วขณะ แต่พอเวลาผ่านไปพักใหญ่ เทพเริ่มเมา เมาแล้วห่าม เริ่มอยากทดลองว่าคำสาบานที่ฟริกก้าออกเดินทางไปขอมาจากสิ่งต่างๆ นั้นได้ผลจริงหรือไม่ เขาให้บาลเดอร์ยืนอยู่ตรงกลาง แล้วบรรดาเทพก็ทยอยเอาอะไรต่อมิอะไรมาปาใส่ เริ่มด้วยหินก้อนเล็กๆ ปาไปถูกหน้าผาก แต่บาลเดอร์ไม่เจ็บเพราะหินจำคำสาบาน มันยั้งน้ำหนักตัวเองก้อนถึงตัวเทพร่วงลงพื้นไปก่อน
    ชาวฟ้าแน่ใจมากขึ้น เริ่มทดลองด้วยอาวุธประเภทต่างๆ ของที่เอามาขว้างใส่บาลเดอร์กลายเป็นหินก้อนใหญ่ขึ้น มีดสั้น ดาบและเรื่อยๆไป จนกระทั่งธอร์เองก็เล่นกับเขาด้วย เอาขวานจามเทพแห่งแสงสว่าง แต่สิ่งเหลานี้กลับเด้งจากผิวของบาลเดอร์ ไม่ระคายเขาแม้แต่น้อย ทั่วทั้งห้องประชุมต่างเต็มไปด้วยความยินดี ยกเว้นที่ซอกมุมหนึ่งของท้องพระโรงที่โลกิหลบเร้นอยู่
    ความยินดีของเทพเป็นเหตุให้โลกิหมั่นไส้ กลายเป็นความหงุดหงิดตามประสาโลกิ แบบนี้ต้องมีการแกล้ง เทพจอมโกงพยายามนึก ๆ นึกว่ามันน่าจะต้องมีอะไรสักอย่างที่เล็ดรอดสายตาของฟริกก้า อะไรสักอย่างที่ไม่ได้กล่าวคำสาบาน ดวงตาของโลกิลุกโพลงด้วยความชั่วร้าย เขาหายตัวไปจากแกลดสไฮล์ม หาหนทางที่จะเป็นไปได้
    สองสามวันต่อมา โลกิคิดแผนออก เขาแปลงตัวเป็นหญิงแก่ผอมโซหน้าตาน่ารังเกียจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสกใบหน้าให้เ ่ยวย่นหนังยาน จมูกใหญ่ยื่นยาวเป็นปุ่มปมเพื่อให้เสียงพูดฟังเหมือนคำราม กระย่องกระแย่งเข้าไปในเฟนซาเลียร์วังของฟริกก้า เขารู้ว่าเธอหลบมานั่งพักหนีความวุ่นวายของท้องพระโรงอยู่ที่นี่ โลกิแปลงเดินเข้าไปหา ถามว่ามีงานอะไรในแกลดสไฮล์มจึงได้ส่งเสียงน่ารำคาญลอยลมมาเช่นนี้ ราชินีฟริกก้ามองผู้มาเยือนอย่างนึกรำคาญ เธอยังไม่หายเหนื่อยจากการเดินทางไกลทั่วเก้าโลก จึงตอบยายเฒ่าว่า
    "นั่นเป็นงานฉลองสวัสดิภาพของบาลเดอร์เทพแห่งสัจจะ"
    "เช่นนั้น เหตุใดเขาต้องทนมานด้วยการถูกอาวุธทำร้าย" ยายเฒ่าแสดงท่าฉงน
    ควีนฟริกก้าอธิบายว่า เธอได้เดินทางไปทั่วทั้ง 9 โลก ขอคำสาบานจากสิ่งต่างๆ ว่าจะไม่ทำร้ายลูกชายของนาง โลกิแปลงจี้ลงตรงจุด ถามว่าแน่ใจแล้วหรือว่าได้ถามมาแล้วทุกอย่างจริง เสียงของนางเฒ่า ตลอดจนความจู้จี้จุกจิกยิ่งทำให้พระนางฟริกก้ารำคาญมากขึ้นอยากให้ยายแก่ไปพ้นหูพ้นตา จึงตอบโดยไม่ทันคิด
    "ยังมีอีกอย่างหนึ่ง ต้นมิสเซิลโท-Mistletoe ตอนที่ข้าไปถึงมันยังเป็นไม้อ่อนเกินไป ข้าว่านอกจากมันจะฟังข้าไม่เข้าใจ มันคงไม่รู้จะทำอันตรายบาลเดอร์ได้ยังไงด้วย"
    คำตอบของฟริกก้าทำให้โลกิเห็นทางสว่าง แต่ยังแสร้งถามโน่นถามนี่จนนางรำคาญสุดขีดออกปากไล่ยายแก่
    โลกิเดินออกมาจากวังเฟนซาเลียร์ด้วยความลิงโลดที่เก็บไว้แทบไม่มิด เมื่อถึงราวป่าโลกิคืนร่าง เขามุ่งหน้าไปยังแถวที่ต้นมิสเซิลโทขึ้น หักกิ่งของมันขนาดพอเหมาะแล้วเสี้ยมปลาย เดินถือเข้าไปในท้องพระโรงแกลดสไฮล์มที่ยังเต็มไปด้วยความรื่นเริง
    โลกิมองหาคนที่จะยืมมือได้ ทันทีนั้นเขาเห็นโฮเดอร์เทพตาบอดซึ่งถูกกีดกันจากเทพด้วยกันเองเสมอๆ ซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง กำลังคลำงุ่มง่ามเปะปะไปตามผนัง เขาไม่ได้มีส่วนร่วมในเกมขว้างปาบาลเดอร์เพราะมองไม่เห็น โลกิเดินเข้าไปโอบไหล่โฮเดอร์ ทำเป็นมีความเมตตา แล้วเริ่มกล่อม
    "ทำไมเจ้าไม่หาอะไรมาขว้างปาร่วมงานฉลองกับเขาบ้างเล่า"
    "ก็ข้าข้ามองไม่เห็น แล้วก็ไม่รู้จะเอาของอะไรที่ไหนด้วย" โฮเดอร์ว่า
    โลกิเอาลูกศรไม้มิสเซิลโทใส่มือบาลเดอร์ "เอาของข้าก่อนก็ได้"
    "แต่ข้าก็ไม่เห็นอยู่ดีแหละ"
    "ไม่เป็นไร ข้าช่วย" โลกิจูงโฮเดอร์มาต่อแถว จับมือเทพตาบอดให้ถือศรเล็งตรงทาง "เอาละ ขว้าง" โลกิสั่ง เทพองค์นั้นขว้างออกไปเต็มกำลัง ไม้มิสเซิลโทวิ่งตรงแทงเข้าไปในอกบาลเดอร์ เขาชะงักค้าง ตาเหลือก ส่งเสียงกรนยาวออกมาแค่ครั้งเดียวก็ล้มลงกับพื้นสิ้นใจ
    ทั่วทั้งท้องพระโรงงงงัน เงียบเสียงในทันใด ต่างคนต่างช๊อกกับภาพตรงหน้า แต่วินาทีนั้นหลายคนหันไปทางตำแหน่งที่โฮเดอร์ยืน ทันได้เห็นโลกิยืนอยู่เบื้องหลังเทพตาบอด มือของเขาที่จับมือโฮเดอร์ช่วยเล็งยังค้างอยู่ เทพอีเซอร์รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น สายตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็นความแค้น รุมเข้ามาที่โลกิราวกับจะฉีกเนื้อ โลกิปล่อยเทพตาบอดแล้วหนีไปด้วยความกลัว
    ตอนนั้นความโทมนัสแผ่เข้าแทนที่ความรื่นเริง ไม่ว่าเทวาองค์ไหนก็ไม่สามารถเก็บความเศร้าไว้ได้ เสียงแห่งการเฉลิมฉลองเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นเสียงระงมแห่งความโศกเศร้า แต่ความเศร้าใดๆ ของใคร ก็ไม่อาจเปรียบเทียบได้กับความเศร้าของโอดิน นอกจากบาลเดอร์จะจากไป เขาเป็นคนเดียวที่รู้ล่วงหน้าแล้วว่า เมื่อไรก็ตามที่แสงสว่างและสัจจะธรรมหายไปจากโลก เวลาแร็กนาร็อคก็ใกล้เข้ามา ต่อแต่นี้ ความชั่วและความตายจะมีพลังมากจนสั่นสะเทือนความมั่นคงของจักรวาล โลกทั้งเก้าจะถูกทำลายราบเหลือเพียงกองขี้เถ้า
    ในท่ามกลางความเศร้านั้นเช่นกัน ฟริกก้าพยายามหาทางแก้ไข พระนางถามหาผู้กล้าที่สุดที่จะลงไปยังนรก ไปนำวิญญาณบาลเดอร์กลับขึ้นมาสู่โลกแห่งชีวิต ปรากฏว่าเฮอร์มอด-Hermod ลูกของนางอีกคนหนึ่งอาสา โอดินจึงให้นำม้าแปดขาของพระองค์ไปใช้
    ทันทีที่เสียงฝีเท้าม้าจากไป โอดินสั่งให้เตรียมงานศพ ร่างของบาลเดอร์ถูกนำไปชำระล้างยังเบรดาบลิควังของตน ขณะเดียวกันต้นไม้จำนวนมากถูกโค่นสำหรับเผาบาลเดอร์ (คนเหนือก่อนจะรับศาสนาคริสเตียน นิยมการเผาศพเหมือนเราครับ พิธีศพของชาวเหนือก็ดูได้จากงานศพบาลเดอร์นี่ละ) ไม้ฟืนเหล่านี้เอาไปกองเรียงกันไว้บนดาดฟ้าเรือริงฮอร์น-Ringhorn เรือหัวมังกรของเขาเอง จากนั้นร่างของเทพแห่งแสงสว่างก็ได้รับการแต่งตัวในชุดสงคราม ถูกนำไปวางไว้บนกองฟืนกองนั้น
    เทพต่างๆ ช่วยกันนำของมีค่าและสิ่งสวยงามของตน ไม่ว่าจะเป็นพรมสวยๆ อาวุธดีๆ หรือเครื่องทองสุกปลั่งมาวางไว้ข้างศพบาลเดอร์ในเรือเพื่อเป็นการเคารพครั้งสุดท้าย โอดินวางแหวนเดราป์เนียร์ แหวนแห่งพิภพไว้บนอกลูกชาย (แหวนวงนี้กลับมาอีกครั้งเมื่อบาลเดอร์ฟื้นหลังช่วงแร็กนาร็อค) ก้มลงกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูศพ จนทุกวันนี้ไม่มีใครรู้ว่าจอมเทพกระซิบอะไร แต่ก็คาดกันว่าน่าจะเป็นคำศักดิ์สิทธิ์สั่งให้บาลเดอร์"คืนชีพ" โอดินเป็นคนเดียวที่รู้ว่าลูกชายของตนจะกลับมาอีกครั้งหลังแร็คนาร็อคทำลายโลกไปหมดสิ้น
    นันนาเป็นคนสุดท้ายที่มาจูบลาสามีของหล่อน ความโศกเศร้าแล่นขึ้นมาจับหัวใจเธออีกครั้งหลังจากที่ร้องไห้คร่ำครวญจนเป็นลมไปหลายพับ แต่คราวนี้ความเสียใจที่พลุ่งขึ้นมาทำให้หัวใจของเธอแตกสลาย นันนาล้มลงขาดใจตายข้างศพสามี ร่างของเธอจึงถูกยกวางไว้ข้างเขาเพื่อจะทำพิธีเผาไปด้วยกัน
    เมื่อทุกอย่างตระเตรียมเสร็จสิ้น ขั้นตอนที่น่าเศร้าที่สุดก็คือปล่อยเรือลงน้ำ แต่ว่าริงฮอร์นในขณะนี้เพียบแปร้ไปด้วยน้ำหนักของฟืนและน้ำหนักของสมบัติจนขยับไม่ได้ โอดินสั่งคนสื่อสารไปโจตันไฮล์มขอความช่วยเหลือจากยักษีภูเขานาม เฮอร์โรคิน-Hyrrokin มาช่วยนำเรือลงน้ำ
    เฮอร์โรคินมาตามคำขอของโอดิน แต่การปรากฏตัวของนางเล่นเอาชาวแอสการ์ดขวัญหนีดีฝ่อ ก็นอกจากนางจะใหญ่โตมโหฬารยังดันขี่หลังหมาป่ายักษ์เดินทางมาเสียอีกนี่ครับ หนำซ้ำสายบังเ ยนของนางยังน่ากลัวพิลึก แทนที่จะเป็นหนังธรรมดาๆ กลับเป็นงูกำลังบิดรัดกันเป็นเกลียว เฮอร์โรคินมาถึงนางก็ลงจากหลังหมาร้องเรียกเทพให้ช่วยหาคนมาจับพาหนะระหว่างที่นางเข็นเรือลงน้ำ โอดินรีบเรียกเอนเฮเรียร์ที่เป็นนักรบเบอร์เซิค ซึ่งกล้าแข็งที่สุดสี่คนมาช่วยกันดึงบังเ ยนไว้ แต่นักรบทั้งสี่ก็ไม่อาจทานกำลังมหาศาลของหมาป่ายักษ์ได้พากันล้มระเนระนาด นางยักษ์ต้องมาจัดการผูกหมาเองด้วยความรำคาญ
    เฮอร์โรคินหันกลับไปสู่เรือของบาลเดอร์ นางใช้มือข้างเดียวดันเรือออกจากท่า เสียงเรือริงฮอร์นลั่นเอี๊ยดอ๊าดเสียดประสาทหูไปทั่วทั้ง 9 พิภพ กองไฟถูกจุดขึ้น ธอร์กระโดดขึ้นบนดาดฟ้าด้วยหัวใจที่เศร้าหนักหน่วง เขายกค้อนมจอลเนียร์ขึ้นสูงแล้วร่ายเวทย์ป้องกันให้บาลเดอร์เดินทางสู่นิฟล์ไฮล์ม
    ริงฮอร์นลอยไปสู่ขอบฟ้า เพลิงที่จุดกลางลำเรือเผาทั้งศพของบาลเดอร์และนันนาไปกับตัวเรือ ซากที่เหลือไม่มากจมลงใต้ท้องทะเลเวลาเดียวกับที่อาทิตย์ตก การจากไปของเทพทั้งสองทำให้ภาพตะวันตกดินเป็นภาพงามที่เศร้าที่สุดที่ชาวแอสการ์ดเคยเห็น
    ระหว่างที่เสียงร่ำไห้ระงมทั่วแอสการ์ด เฮอร์มอดก็เข้าใกล้นิฟล์ไฮล์มเข้าไปทุกที เขาขี่ม้าแปดขาข้ามสะพานจิอัลลา-Giallar สะพานที่ทอดข้าม จิอัล-Giall แม่น้ำแห่งความตาย ม้าพาคนขี่กระโดดไกลเข้าประตูนรกไปสู่วังของเฮล กลางใจแผ่นดินนิฟล์ไฮล์มอย่างรวดเร็ว
    ในการเข้าถึงโถงเลี้ยงอาหารของเฮลนี่เอง เฮอร์มอดเห็นบาลเดอร์และนันนานั่งพักอยู่บนเก้าอี้ อาหารเบื้องหน้าไม่ได้รับการแตะต้อง เช่นเดียวกับเหล้าที่วางไว้เคียงกัน วิญญาณของสองเทพดูจะตายเช่นเดียวกับร่าง เฮอร์มอดพยายามให้กำลังใจผลักดันบาลเดอร์ว่าเขาควรกลับไปอยู่แดนของสิ่งมีชีวิต แต่วิญญาณของเทพตอบด้วยความเศร้าว่า มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
    เฮอร์มอดพบเฮล บอกคำอ้อนวอนของพระนางฟริกก้า เฮลจ้องหน้าเทพด้วยดวงตาเย็นชา นางตอบว่า หากทุกสิ่งทุกอย่างในโลกทั้ง 9 ไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ร้องไห้ให้กับการจากไปของบาลเดอร์ นางจะยอมปล่อยให้เทพกลับไปมีชีวิตอีกครั้ง แค่เพียงนี้ก็เป็นการต่อรองที่ดูจะมีหวัง เฮอร์มอดรีบกลับแอสการ์ด แจ้งเรื่องที่เฮลบอกให้โอดินทราบ
    ข่าวของเทพบุตรหนุ่มสร้างความหวังริบหรี่ให้โอดิน เขาส่งทูตทั้งสี่ออกไปบอกข่าวแก่สิ่งต่างๆ ในโลกชนิดปูพรม แน่ใจว่า บาลเดอร์เป็นที่รักของทุกคนและทุกสิ่ง ไม่ยากเลยที่คนเหล่านั้นหรือสิ่งเหล่านั้นจะร่ำไห้ และทูตก็ทำงานได้ดีจริงๆ ครับกระทั่งฝุ่นและหินก็ยังหลั่งน้ำตาของมันแก่เทพผู้ล้มลงตาย
    ทูตทั้งสี่กลับแอสการ์ด ระหว่างทางกลับนั่นละครับ ที่พวกเขาบังเอิญเห็นถ้ำแห่งหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทูตสวรรค์ก็เลยลองเดินไปข้างใด พบนางยักษ์ธรอค-Thokk จึงแจ้งข่าวการตายของบาลเดอร์แก่นาง แต่นางยักษ์ธรอคฟังแล้วก็นิ่งเฉย ทูตถามย้ำว่าไม่เสียใจเรื่องความตายของเทพแห่งแสงสว่างบ้างเลยเชียวหรือ ยักษ์ธรอคมองหน้าทูตแล้วว่า นางไม่รู้สึกอะไรเลย
    คำตอบของยักษ์ตนนี้คนเดียวเท่านั้นละครับ ทำให้บาลเดอร์ตกอยู่ในเงื้อมมือของเฮลตลอดไป
    ทูตสวรรค์กลับแอสการ์ดพร้อมกับข่าวร้าย แจ้งแก่เทพว่าทุกสิ่งทุกอย่างร่ำไห้แก่บาลเดอร์ ยกเว้นสิ่งเดียวคือยักษ์ธรอค ยักษ์ที่ไม่เคยมีใครได้ยินชื่อมาก่อน ความนิ่งเฉยของยักษ์ตนนี้ทำให้บาลเดอร์ไม่มีทางฟื้นกลับมาสู่สวรรค์อีกแล้ว
    ท้องพระโรงแอสการ์ดเต็มไปด้วยความเศร้าอีกครั้ง ไม่มีใครทันสังเกตแววตาสะใจวะวับของโลกิ ที่ยังคงแกล้งทำเป็นเสียใจ มันเป็นแววตาเดียวกับนางยักษ์ผู้ไม่ร่ำไห้ ท่านผู้อ่านทายออกไหมครับว่ายักษ์ธรอคเป็นใคร ใช่แล้วละครับ ยักษ์ตนนี้ก็คือโลกิ เขาทำเรื่องชั่วสำเร็จไปอีกหนึ่ง

    ความตายของโฮเดอร์
    ความตายของบาลเดอร์นับเป็นต้นเหตุแห่งความเกลียดชังสำคัญระหว่างเทพและโลก แต่คนที่น่าสงสารที่สุดในเรื่องนี้น่าจะเป็นโฮเดอร์ ซึ่งถูกยืมมือมาฆ่าโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว ถึงอย่างนั้นเขาก็ตกที่นั่งกลายเป็นเทพที่ถูกชังมากเข้าไปอีก
    ครั้นเมื่อความโศกเศร้าจางหายไปจากแอสการ์ด เทพโอดินสมสู่กับรินด้า เมียคนที่สามให้กำเนิดวาลี-Vali ขึ้นเท่านั้น เทพองค์นี้ก็เป็นผู้ถามหาความยุติธรรมแก่บาลเดอร์ หลังจากเขาเกิดไม่กี่วัน วาลีถือคันศรและแล่งบรรจุลูกธนูติดตัวตลอดเวลาจนวันหนึ่งสบโอกาสก็ยิงโฮเดอร์ตาย ความตายของโฮเดอร์เป็นการแก้แค้นที่สาสมในความเห็นของคนเหนือ ทั้งๆ ที่ต้นเหตุจริงๆ คือโลกิ เลยกลายเป็นว่าทั้งบาลเดอร์และโฮเดอร์ต่างหนีตายไปก่อนจะเจอความพินาศในแร็กนาร็อค

    การคุมขังและความทรมานครั้งสุดท้ายอันนำไปสู่ความพินาศของสามภพ
    เล่ามาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านจะต้องคาใจแน่ใจเลยว่า แล้วชาวสวรรค์ไม่รู้สึกอะไรกับความร้ายกาจของโลกิบางหรือ อ๋อ อันนี้ของแน่ครับ ใครๆ บนแอสการ์ดไม่ได้คิดแต่จะอยากลงโทษโฮเดอร์ฝ่ายเดียว แผนชั่วของโลกิคราวนี้ทำให้ชาวสวรรค์เศร้าโศกเสียใจเกินกว่าจะอภัยแก่โลกิอีกต่อไป พวกเทพรวมตัวกันเนรเทศโลกิห้ามไม่ให้ย่างเหยียบเข้ามาในแอสการ์ดไม่ว่าส่วนไหนๆ ทั้งสิ้น
    โลกิไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำลงไปเป็นความผิดร้ายแรง เขาไม่เคยรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำอยู่แล้ว ตรงกันข้ามโลกิยิ่งโกรธเกรี้ยวหาหนทางแก้เผ็ด เรื่องการเนรเทศเข้านะหรือเมินเสียเถิดทำไมจะต้องสนใจด้วย
    สบโอกาสเหมาะเข้าวันหนึ่งขณะที่มีการเลี้ยงใหญ่ที่ท้องพระโรงแกลดสไฮล์ม โอดินและธอร์ไม่อยู่ โลกิก็เดินส่ายอาดๆ เข้าไปในห้องเลี้ยง เริ่มชี้หน้าด่าเทพแต่ละองค์รายตัว ขุดเอาความบกพร่องน่าอับอายของเทพองค์นั้นขึ้นมาประจาน ทวยเทพต่างอ้าปากค้าง ไม่มีใครห้ามโลกิอยู่ เขายังสามหาวต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงซิฟ โลกิขุดเอาเรื่องของเธอขึ้นมาพูด เสียงของเขาดังขึ้นๆ จึงไม่ทันสังเกตว่า ธอร์ซึ่งไม่ได้อยู่ในที่ประชุมเมื่อครู่ บัดนี้ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังจอมโกงอย่างเงียบๆ เขาย่อมต้องได้ยินคำพูดที่โลกิกำลังประจานเมียรักเต็มสองหู ความโกรธพุ่งจี๊ดขึ้นมาในหัวของธอร์ เทพแห่งสายฟ้าเหวี่ยงค้อนหมุนบนหัว คราวนี้กะว่าโลกิต้องตายคาห้องประชุม แต่เทพจอมโกงก็ไหวดี เขารู้สึกว่าเทพที่ส่งเสียงด่าทออยู่เมื่อครู่จู่ๆ ก็เงียบเสียง หันขวับไปเห็นธอร์อยู่เบื้องหลัง โลกิเผ่นแผล็วออกไปจากห้องทันก่อนที่ค้อนจะปลิวมาถึงตัว
    ความอดทนของเทพที่มีต่อโลกิขาดผึง แทนที่จะแค่เนรเทศแล้วเลิกสนใจเจ้าจอมแสบคนนี้ ทวยเทพต่างตกลงกันว่า เห็นท่าเขาจะต้องรับโทษให้สาสม โอดินสั่งให้จับโลกิเอาตัวมาทรมาน

    การจับกุม
    ฝ่ายโลกิ เมื่อออกมาจากห้องประชุมเทพ เขาก็รู้แล้วว่าครั้งนี้คงหนีถูกไล่ล่า เขาพยายามป้องกันตัวเองทุกวิถีทาง โลกิเลือกทำเลที่ซ่อนใหม่ เขาขึ้นไปสร้างกระท่อมสี่เหลี่ยมบนยอดเขา ฝาทั้งสี่ด้านของกระท่อมหลังนี้มีประตูเปิดไว้ตลอดเวลา เพื่อจะได้รู้หากมีใครสักคนมาถึง ต่อลงไปจากกระท่อมมีลำธารไหลแรง โลกิกะว่า ถ้าถูกตอนจนมุมเขาจะแปลงร่างเป็นปลาแซลมอนโดดหนีลงน้ำ
    ธอร์พยายามติดตามโลกิจนรู้ตำแหน่งแหล่งที่ซ่อน ด้วยความที่เขาเป็นคนรู้จักโลกิมากที่สุดจากการผจญภัยด้วยกันหลายครั้ง ธอร์พอจะเดาออกว่าโลกิคิดอะไร เมื่อวิเคราะห์ชัยภูมิที่โลกิซ่อน ธอร์เห็นจุดอ่อน เขารู้ทันความคิดของโลกิว่า ถ้าจวนตัวมีหวังเทพองค์นั้นจะแปลงตัวเป็นปลากระโดดลงน้ำหนีไปแน่ ธอร์จึงไปปรึกษาโอดินเตรียมแหวิเศษไปด้วย คราวนี้โอดินและธอร์ตามไปถึงรัง จับตัวโลกิมาได้
    เทวาอีเซอร์ช่วยกันคิดหาวิธีที่เหมาะสม แต่แน่ที่สุดคือโลกิต้องถูกจำไว้ที่มิดการ์ด พวกเขาไม่ต้องการให้สวรรค์ของพวกตนเปื้อนเลือดไปมากกว่านี้ เลือดของบาลเดอร์ที่นองพื้นสวรรค์น่าจะพอแล้ว แต่ก่อนที่จะพาโลกิลงไป เขาต้องการสร้างความเจ็บปวดให้โลกิมากที่สุดจึงตามล่าลูกชายสองคนของจอมแสบ วาลีและนาวี สาปวาลีให้กลายเป็นหมาป่าที่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธคลุ้มคลั่ง วาลีผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรกับพ่อต้องกลายร่างเป็นสัตว์ร้าย สมองของเขาขณะนั้นไม่มีความเป็นคนเหลืออยู่แถมยังตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง เหลียวซ้ายแลขวาเห็นนาวียืนตัวสั่นด้วยความตกใจก็เข้าทำร้าย หมาป่าแปลงกัดพี่ชายของตนจนไส้ไหลถึงแก่ความตาย ก่อนจะหนีเตลิดหายไปยังดินแดนโจตันไฮล์ม
    เทพเก็บเอาไส้ของนาวีมาทำโซ่มัดตรึงโลกิเข้ากับแผ่นหินใหญ่สามแผ่น สกาดียักษ์สาวที่ได้รับความอับอายเพราะโลกิอาสานำงูพิษมาสาปตรึงไว้เหนือหัว ให้งูนั้นพ่นพิษใส่หน้าจอมแสบตลอดเวลา แล้วเทพก็จากไป โชคที่เหลืออย่างเดียวของโลกิในเวลานั้นคือซิยินเมียยอดจงรักภักดี หล่อนแอบตามมา เมื่อเห็นบรรดาเทพไปกันหมดแล้วก็ออกจากที่ซ่อน นั่งเฝ้าสามีคอยเอาถ้วยรองพิษงูไว้ไม่ให้ถูกใบหน้าโลกิ นางนั่งเคียงข้างสามีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งถึงเวลาแร็คนาร็อค ช่วงเดียวที่หล่อนไม่อยู่กับเขา ก็คือตอนที่เอาถ้วยรองพิษงูไปทิ้ง เป็นตอนเดียวที่โลกิเจ็บแสบแปลบปวดกับน้ำพิษที่ร้อนเหมือนไฟ ความทุกข์ทรมานที่ถูกตรึงกับแผ่นหินด้วยไส้ของลูกตัวเอง กับความร้อนจากพิษทำให้ความฝังใจเจ็บกับเทพทวีขึ้นเรื่อยๆ มันหมักบ่มจนสุกงอม จนกระทั่งเมื่อถึงทีของเขา โลกิก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจบสิ้นสลายไปกับโทสะของเขา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×