คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #37 : Release 34 [ เรียงอดีตร้อยความหวังสู่อนาคต ] - New -
Release 34
เหตุการณ์สลับพรรคพวกกันระหว่างแบคซิคกับโอดราฟเหมือนกันไม่สร้างที่ท่าตื่นตระหนกให้ฝ่ายเกียรานอสแม้แต่น้อย ในทางกลับกับทั้งลีน ชาน่อน และราเฟรเซียต่างงงกันเป็นไก่ตาแตก จะมีก็แต่ดรีมเท่านั้นที่เหมือนจะรอเวลานี้มาตลอด
ใช่...
สำหรับเขามันคือ 'ปัจจัยสำคัญ'
ทั้งสองคนแอบลอบพบกันหลายครา มีบ้างที่แลกเปลี่ยนข้อมูลกันแต่ก็ทั้งชิงไหวชิงพริบฟาดฟันกันมาตลอด มิหนำซ้ำดรีมเองก็เกือบจะเคยฆ่าโอดราฟไปแล้วเหนือพื้นสมุทรของพวกปีศาจ และโอดราฟเองก็ถึงขั้นจับดรีมกับลีนด้วยพลังทั้งหมดที่มีอยู่ ทำร้ายชาน่อน หลอกลวงสารพัดอีกต่างหาก
แต่ก่อนหน้านั้นทั้งคู่แอบตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่า "เพื่อเป้าหมายของตน จะไม่มีวันออมมือ และลงมือไปตามทางของตน ใครมายุ่งหรือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ... กำจัดได้โดยไม่ต้องลังเล"
เป้าหมายของดรีมกับลีนในขณะนั้นมันยังไม่แน่ชัดจึงต้องตกลงกันเช่นว่าไว้ก่อน
แต่สำหรับโอดราฟคือ...
การจะทำลายองค์กรลับของพวกเอลฟ์ให้จงได้ ทั้งหมดเพื่อล้างแค้นในฐานะเงาของโอเดีย
อย่างน้อยหมอนั่นก็เชื่อเช่นนั้นมาตลอด ตั้งแต่วันที่ลงมือปลิดชีวิตของพี่ตนด้วยตัวเอง...
"ข้าว่าความจริงถ้าเจ้าร่วมลงมือฆ่าพวกนี้ แทนที่จะไปเข้าข้าง พวกข้าคงยอมเชื่อเจ้าสนิทใจไปแล้ว"
เกียรานอสพูดเชิงดูหมิ่นและเยาะเย้ยให้กับความพยายามที่ผ่านมาของโอดราฟ แต่ตัวโอดราฟเองกลับไม่คิดจะใส่ใจ
"นั่นคือหน้าที่จริงของพวกเจ้าสินะ" เขาตอบกลับ
"ของตายเจ้าเองก็รู้ดีอยู่แล้วนี่ ทั้งเหตุที่เจ้าไม่ถูกบรรจุอยู่ในหน่วยหนึ่ง และเหตุที่พวกข้าต้องดักดานอยู่หน่วยสามกับเจ้า!" ฮาซตะแบงเสียงพูดให้ดูน่าเกรงขาม แต่โอดราฟยิ่งมองยิ่งยิ้มกรุ่มกริ่มจนเกือบจะหัวเราะออกมากลางสนามรบ
"ฮาซ ข้าว่าเจ้าควรเช็ดเลือดกำเดา..." ชายผมเทาท่าทางเนือยพูดเรื่อยเอื่อย แต่กลับทำให้คนอารมณ์ร้อนตัวสั่น ไฟโทโสระเบิดออกมาพร้อมกับเสียงร้องอันบ้าคลั่ง สภาพของพวกเกียรานอสไม่มีความคิดเหลือเลยว่าจะต้องแพ้ศึกในครานี้มิหนำซ้ำยังล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน
"แล้วคุณโบรมีเนนล่ะครับจะเอายังไงดี?" แบคซิคพูดด้วยน้ำเสียงยั่วยวนชวนให้สั่งสอนสักหลายสิบตื้บ โบรมีเนนเหล่กลับหลังด้วยความเคียดแค้น ก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวซึ่งหลับตาพริ้มปล่อยแสงสีนวลอันอบอุ่นคบคบร่างของราล... เธอดูทั้งเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดจนเขาต้องเบือนหน้าหลบ
"เขาจะรอดไหม?" โบรมีเนนถามเสียงค่อย
"รอด... รอดอยู่แล้วล่ะเชื่อมือเถอะ" ลีนตอบกลับขาดช่วงเพราะหายใจไม่ทัน โบรมีเนนได้ยินแล้วก็ยกแขนปาดน้ำตาเม็ดน้อยของตน ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนเคียงข้างโอดราฟและมองตรงไปยังจุดเดียวกับโอดราฟเป็นครั้งแรกตั้งแต่ร่วมงานกันมา
"ที่ผ่านมาข้าทนทำงานนี้เพราะเชื่อว่ามันจะทำให้ราลมีอนาคตที่ดีได้ สำหรับข้าหมอนั่นคือคนสำคัญที่สุดเพียงคนเดียว เมื่อเขาเลือกทางนี้ ข้าจะอยู่ฝ่ายไหนได้?"
โบรมีเนนพูดแล้วมองโอดราฟกับดรีมสลับกันไปมาด้วยสีหน้าเหนื่อยใจอย่างรุนแรง
"พวกเจ้าคงไม่ได้วางแผนไว้ให้เป็นแบบนี้แต่แรกหรอกนะถึงได้ช่วยข้าออกมาในตอนนั้นน่ะ"
ทั้งคู่ยักไหล่แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะพูดออกมาพร้อมๆกันว่า
"ใครจะไปคำนวณได้ขนาดนั้นวะ! ไอ้บ้า!!"
"สำหรับฉัน... ก็แค่รู้สึกว่าจิตของนายมันอบอุ่นเกินกว่าจะเป็นนักฆ่าเท่านั้นแหละ" ดรีมพูดเสริม
"ส่วนข้าก็รู้แค่ เจ้าไม่ได้ส่งมาจับตาข้าเช่นเจ้าสามคนนั่น ถึงเจ้าจะเขม่นข้าแต่มันก็เพราะเรื่องบ้าๆบอๆทั้งนั้น" โอดราฟเอ่ยต่อเป็นชุด
สนามรบชี้ขาดกลับกลายเป็นศูนย์รวมความขบขันไปในพริบตา
"ผมสงสัยอยู่อย่างครับ เราไม่รีบไปจะดีเหรอ แล้วทำไมพวกนั้นไม่บุกเข้ามาเสียทีล่ะครับ?" ชาน่อนประเมินสถานการณ์ไม่ออกจึงถามขึ้นมาซื่อๆ ทั้งดรีมทั้งโอดราฟหันมองด้วยสีหน้าเบื่อโลกเต็มทน คล้ายอยากจะบอกว่า "หัดคิดเองเสียบ้างเรื่องแค่นี้" แต่ดูเหมือนคนรอฟังจะมีมากกว่าที่คิด โอดราฟจึงเกาหัวด้วยความเซ็งและเปิดปากอธิบายขึ้น
"เรารีบไปน่ะดีเพราะพิธีกรรมนั่นเริ่มมาสักพักแล้ว หากพลังอำนาจแห่งผลึกนั้นถูกปลดปล่อยออกมาใช้ได้จริง เราก็จบกัน ส่วนทำไมพวกนั้นไม่ยอมโจมตีคำตอบมันง่ายมาก... พวกนั้นยังกลัวเวทมนตร์อันร้ายกาจของลีนอยู่ และการใช้เวทรักษาภายในข่ายสะกดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายจึงต้องใช้พลังมากกว่าปกติ พวกมันอยากให้พลังเวทของลีนลดลงจนไม่มีค่าอะไร ต่อให้แลกด้วยเด็กคนหนึ่งฟื้นขึ้นมาค่าก็ต่างกันเยอะ ที่สำคัญ... ยิ่งถ่วงเวลาได้มากพวกมาสมทบก็ยิ่งมาก..."
"ถ้าอย่างนั้นฉันขอรักษาให้คุณราลแทนเองค่ะ" มีร่าพูดสอดขึ้นทั้งที่ยังตัวงอเป็นกุ้งเพราะความเจ็บปวด แต่เธอก็พยายามฝืนทนคลานเข่าเข้ามาอยู่ข้างลีน และกัดฟันคลายผนึกพลังของตนออกโดยไม่มีความลังเลเหลือแม้แต่น้อย ความเจ็บปวดซึ่งแล่นพล่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้เธอยิ่งหน้าซีดกว่าที่เคยจนลีนยังต้องแอบมองด้วยหางตา
"มีร่า! นี่เธอจะฆ่าตัวตายหรือไง คลายผนึกด้วยร่างกายแบบนี้น่ะ!!" ราเฟรเซียรีบเข้ามาห้ามแต่มีร่าก็ยังยิ้มได้ทั้งที่ยังกัดฟันอยู่แล้วผลักลีนลงไปนั่งจ้ำเบ้าเพื่อสายต่อด้วยตนเอง แม้จะต้องใช้กำลังบังคับก็ตาม
"นี่คือเรื่องที่ฉันจะสามารถทำได้ค่ะคุณราเฟรเซีย ในเวลาที่ทุกคนก็ต้องเสี่ยงชีวิตอย่างนี้ไม่ใช่เวลาเกี่ยงแล้วนะคะ คุณเองก็มีสิ่งที่ทำได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?" มีร่ามองแบคซิคด้วยหางตา สายตานั้นไม่มีแววขึ้งโกรธอะไร แต่เธอแค่อยากขอร้อง... เป็นครั้งแรกในชีวิต เพื่อยุติเรื่องราวทั้งหมดให้จงได้
ราเฟรเซียเข้าใจดีและยอมรับความมาดมั่นนั้นเอาไว้กับตัวและพร้อมจะทำให้สำเร็จให้ได้ จึงเดินตรงไปยืนข้างโอดราฟเรียกอาวุธดาบสั้นคู่กายออกมาควงเป็นวงตั้งท่าพร้อมรบ ชาน่อนเองก็ทำท่าจะเข้าร่วมด้วยแต่กลับโดนโอดราฟเขม่น ซ้ำดรีมก็ยังไม่ปล่อยคอเสื้ออีกต่างหาก
"เจ้าอย่ามาเสียพลังโดยใช่เหตุเลย คนที่จะหยุดยั้งความทะยานอยากของพวกตาแก่ได้มีแต่เจ้าเท่านั้นชาน่อน"
โอดราฟพูดจริงจริงกับชาน่อนเป็นครั้งแรก และนับเป็นการส่งต่อเจตนารมณ์จากรุ่นสู่รุ่น จากพี่สู่น้อง... นี่คือภาระอันหนักอึ้งที่สุดของเขาตั้งแต่เกิดมา มิหนำซ้ำ...
อะไรคือสิ่งที่ผมเท่านั้นถึงจะทำได้เหรอ?
เรื่องพรรณนั้นผมเองยังไม่รู้เล้ย! หวังว่ามันคงไม่ใช่วิธีไล่ตัวเกะกะไปให้พ้นทางหรอกนะ!!
ดรีมมองโอดราฟด้วยสีหน้าสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มให้แล้วโอบทั้งลีนกับชาน่อนออกตัววิ่งเลาะมุมกำแพงไป พริบตานั้นวินาศกรรมอันยิ่งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ในห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ราเฟรเซียลากคอแบคซิคไปซัดกันตัวต่อตัวในห้องข้างๆเพื่อไม่ให้มีร่าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยได้สำเร็จ พวกเกียรานอสพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้กลุ่มดรีมผ่านไปโดยง่าย แต่ทว่าถ้ามัวแต่ขัดขวางก็จะโดนโอดราฟและโบรมีเนนเล่นงานเอา จึงจำใจต้องปล่อยให้ทั้งสามหลุดรอดไปอย่างน่าเสียดาย การจู่โจมและรุกรับของทั้งห้าแทบจะทำลายห้องทั้งห้องและทางเดินทั้งเส้นให้พลังทลายลงโดยง่าย และมันทำให้ทั้งโอดราฟและโบรมีเนนตกเป็นเบี้ยล่างตั้งแต่เริ่ม เพราะจำเป็นต้องคอยปกป้องหญิงสาวผู้ไม่สามารถขยับตัวได้ตรงมุมห้องหนึ่งนั้น
"นี่โอดราฟรู้ไหม ข้าน่ะชื่นชมพี่ชายของเจ้ามาตลอด ข้าถึงเกลียดขี้หน้าเจ้า" โบรมีเนนพูดพลางถีบโอดราฟให้หลบไปจากวิถีการโจมตีจากของมีคม ส่วนตัวเองกัดฟันรับมีดดาบทั้งสามเล่มเอาไว้ด้วยทวนเล่นโปรดอย่างหวุดหวิด ก่อนจะควงทวงแห่งแสงสะท้อนการโจมตีกลับ
ฮาซและเวย์นโยนดาบของตนให้เกียรานอส เมื่อดาบทั้งสามเล่มประกอบกันด้วยทีท่าอันฉับไว ก็กลายเป็นอาวุธสุดโปรดของเกียรานอส ‘ดาบแห่งการผันแปร’ ฮาซเปลี่ยนอาวุธของตนเป็นดาบโค้งยาว ส่วนเวย์นจอมเวทประจำกลุ่มเลือกธนูไร้ดอกมาเพื่อปิดฉากงานนี้โดยเฉพาะ บ่งบอกถึงความเอาจริงเอาจังซึ่งกำลังเริ่มต่อจากนี้...
ระหว่างที่เวย์นคอยยิงเวทมนตร์สนับสนุนให้โบรมีเนนเสียจังหวะ เกียรานอสก็ชิงฟาดดาบยักษ์ลงกลางกระหม่อม โบรมีเนนแค่รับก็แทบจะกระเด็นร่วงลงพื้นตามแรงไปแล้ว จังหวะนั้นฮาซก็พุ่งเข้าแทงฉับพลัน แต่สิ่งที่ถึงใบหน้าของโบรมีเนนก่อนกลับเป็นรองเท้าของโอดราฟที่ยันคืนจนเขากระเด็นกลิ้งไปกับพื้น
"ใครบอกข้าชอบขี้หน้าเจ้าเล่าโบรมีเนน!"
โอดราฟตะคอกกลับขณะยืนอยู่บนปลายดาบของฮาซด้วยปลายเท้าและถีบตัวกลับหลังใส่ แต่ฮาซก็ยังหลบได้อย่างทันท่วงที ดาบโค้งเปลี่ยนมุมกะทันหันตวัดตัดชายกางเกงสีขาวไปได้นิดหนึ่ง และตามจองล้างจองผลาญไม่หยุดหย่อน เวย์นและเกียรานอสฉวยโอกาสโจมตีโอดราฟจากด้านหลังโดยไม่ทันระวัง แต่เท้าคู่ของโบรมีเนนก็บรรจงถีบอัดท้ายทอยของโอดราฟจนต้องลงไปคลุกฝุ่นกับพื้น ก่อนจะฉากหลบมายืนข้างโอดราฟหน้าตาเฉย
"โดยเฉพาะตอนที่พบเจอกันครั้งแรก เจ้าบอกว่าเกลียดพี่ชายของเจ้า ข้าฉุนขาดไปเลยว่ะ"
โบรมีเนนพูดแล้วหัวเราะ แต่โอดราฟกลับนิ่งเหม่อไปครู่หนึ่งจึงโดนถีบชายโครงให้กลิ้งหลบไปอย่างงดงามอีกรอบ
"ฮ่า ฮ่า นั่นเหรอการต่อสู้เป็นทีมของพวกเจ้า เห็นทีพวกเจ้าคงจะตายก่อนโดนดาบของพวกข้าแน่"
ฮาซตะโกนลั่นหัวเราะเยาะ แต่ก็โดนเกียรานอสเขกกะโหลกบอกห้ามไม่ให้ประมาทโดยเด็ดขาด... หมอนั่นช่างเยือกเย็นและมีความเป็นผู้นำสูงอย่างเห็นได้ชัด ขนาดว่าได้เปรียบอยู่ก็ยังมองหาทางที่ดีที่สุด เวลานี้ก็คงยังงงอยู่ว่าสองหน่อเคลื่อนไหวกันอีท่าไหนจึงยืนดูท่าทีอยู่ห่างๆก่อน
โอดราฟเองก็ยังคงติดใจกับคำพูดของโบรมีเนนจึงไม่รีบบุกเข้าไป เมื่อโบรมีเนนเห็นก็เกาหัวอย่างรำคาญแก่จิต
"ข้าขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะไม่ว่าเจ้าจะคิดยังไง แต่พี่ชายของเจ้าต้องการให้เจ้าอยู่ในแสงสว่าง ส่วนตัวเขาจะอยู่ในความมืดช่วยเสริมส่งเสมอ ข้าหงุดหงิดที่เจ้าถูกเรียกว่าอัจฉริยะแต่กลับโง่เง่าไม่เข้าใจแม้ความรู้สึกของพี่ชายตัวเอง... นั่นล่ะเหตุผล!!"
"ไม่.. ไม่จริง! พี่ข้า... รอยยิ้มของพี่ข้าในตอนนั้นยังติดตาข้า สายตาของท่านพี่ยังไม่จางไปจากสายตาของข้าเลยด้วยซ้ำ เวลาของข้าหยุดลง ณ เวลานั้นหากข้าไม่แก้แค้นข้าไม่มีทางก้าวเดินต่อไปได้แน่"
โอดราฟแย้งด้วยจิตใจอันว้าวุ่น เขายอมรับไม่ได้ ที่ผ่านมาเขามีชีวิตอยู่เพื่อเป็นเงาให้ท่านพี่เพื่อจะแก้แค้นเท่านั้น ทุกสิ่งเป็นเครื่องมือเพื่อการนั้น!!
โบรมีเนนถอนใจอย่างเอือมระอา ทีท่าเหมือนกำลังหงุดหงิดถึงขีดสุด
"ไอ้-งั่ง-เอ้ย!!" โอดราฟช็อคสนิทกับคำพูดฟาดหัวกบาลแยกนั้น และแม้แต่พวกเกียรานอสก็ยังอดตะลึงไม่ได้กับละครบทนี้ คนไร้ความคิดที่สุดในกลุ่มด่าอัจฉริยะว่า "โง่" ได้เต็มปากเต็มคำมาก!!
"งั้นข้าขอถามหน่อยว่าเจ้ายอมเสี่ยงปล่อยสามคนนั้นไปทำไม แทนที่จะให้พวกมันถ่วงเวลาให้เจ้า หน้าที่ฆ่าตัวตายอย่างนี้น่ะเจ้ารับมาทำไม อารมณ์มันคงไม่ต่างจากตอนที่พี่ชายของเจ้ากระโดดเข้ารับดาบของเจ้าสักเท่าไหร่หรอก!!"
คำพูดนั้นมันช่างหนวกหู
แต่มันกลับอื้ออึงไม่ยอมจางหายไปง่ายๆ
โอดราฟระเบิดเสียงร้องอย่างดุดันและกุมขมับอย่างเจ็บปวด พวกเกียรานอสมีหรือจะปล่อยให้โอกาสสุดแสนงามต้องสลายไป ทั้งสามคนเฮกันจู่โจมไม่รอให้โอดราฟฟื้นตัว หรือพูดให้ถูกก็คือรอจังหวะนี้ โบรมีเนนไม่เคยคิดเสียใจที่ได้พูดออกไป และก่อนจะชิงออกไปต้อนรับทั้งสามคนด้วยตัวเองเขาก็ทิ้งคำพูดอีกประโยคไว้ให้โอดราฟว่า
"แค่เห็นอาวุธนั่นข้าก็รู้แล้วว่าคุณโอเดียต้องการจะเป็นเงา เพื่อคอยต่อกรกับความมืดของโลกนี้น่ะ..."
สิ้นเสียงนั้นโลหะอาวุธก็กระทบกันเกิดทั้งประกายไฟและเปลวเพลิงอย่างบ้าคลั่ง โบรมีเนนคิดจะทิ้งชีวิตไว้ตรงนี้เพื่อจะเตือนสติของโอดราฟ... ไม่ใช่ว่าเพราะความชอบ แต่เพราะความเกลียด...
เกลียดที่จะเห็นสิ่งเดียวของคนที่เขานับถือต้องหมดอาลัยตายอยาก และสูญสิ้นไปทั้งไม่รับรู้ถึงความรู้สึกซึ่งสืบทอดมาจากจิตวิญญาณรุ่นก่อนๆ
โอดราฟเหมือนเผชิญหน้าอยู่กับฝันร้ายอย่างถอนตัวไม่ขึ้น อดีตซึ่งซ้อนทับกับปัจจุบันมันช่างหนักหนาจนยากจะทำใจ
เขา
เคยแทงพี่ของตนด้วยมือของตน ด้วยมืออันสั่นระริกเมื่อสัมผัสกับเลือดอุ่นๆ
นั่นคือเหตุผลที่ตัวเขายืนหยัดอยู่ตรงนี้โดยไม่ยอมถือของมีคมอีกเลย...
ประกอบกับแววตาอบอุ่นเหมือนรับรู้อนาคตของตนก่อนหน้าจะเผชิญหน้าเป็นศัตรูกัน...
ท่านพี่ก็รู้ว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องดาบ แต่กลับสร้างอาวุธรูปร่างพิสดารออกมาให้เขาเป็นที่ระลึก
อาจจะเพราะเข้าใจว่าสักวันหนึ่ง เขาคงจะต้องสูญเสียอะไรบางอย่างเพราะดาบ และมันอาจจะฝังแน่นอยู่ในจิตใจ อาวุธนี้จะเป็นกำลังให้เขาเมื่อยามจำเป็นโดยไม่ต้องแตะสิ่งที่พรากสิ่งสำคัญนั้นไปก็เป็นได้
พี่อยู่กับเขามาตลอด แต่เขากลับไม่เคยสังเกต ซ้ำต้องให้คนนอกมาตักเตือน
แล้วสิ่งที่เขาทำมาตลอดมันคืออะไรกันเล่า!!
เขา
ไม่อาจทำใจยอมรับได้
แต่
ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน...
ร่างทั้งร่างไร้จุดยึดเหนี่ยวนั่งลงกองกับพื้นทั้งยังคงกุมขมับแน่นไม่ไหวติง ปล่อยให้เพียงแค่น้ำตาเท่านั้นที่ร่วงหล่นลงสู่พื้น และเป็นเวลาเดียวกันกับที่โบรมีเนนโดนฟาดกระเด็นมานอนแผ่อยู่ด้านข้างเขาอย่างบรรจง
ช่วงเวลานั้นสายตาของโอดราฟเหมือนเห็นแสงสว่างแรกหลังจากแสงมืดสลัวจนลายตาไปหมด
เขาตบแก้มทั้งสองของตนอย่างแรงและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สายตาสีทองซึ่งมองตรงไปข้างหน้ามันช่างหนักแน่นและมั่นคง อีกทั้ง... เจิดจรัสยิ่งกว่าจันทราเต็มดวงบนฟากฟ้ายามราตรี
"ข้าว่าเจ้าควรพักผ่อนสักนิดโบรมีเนน"
โอดราฟพูดด้วยน้ำเสียงโอนอ่อน มิหนำซ้ำยังแฝงไว้ด้วยความหยาบกระด้างเอาไว้อย่างไม่เคยมีมาก่อน...
"เจ้าพูดเหมือนเจ้าจะจัดการเราได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นแหละโอดราฟ!!" ฮาซไม่คิดจะรอให้ใครถ่วงเวลาอีกดาบใหญ่พุ่งทะลวงแทงเข้ากลางอกของโอดราฟท่ามกลางความตกใจของเกียรานอส เพราะไม่คิดว่ามันจะง่ายปานนั้น
"เวย์นสนับสนุนที! หลบไปฮาซ!!" เกียรานอสเพิ่งสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติพูดตะโกนเตือนน้องชาย แต่มันสายไปเสียแล้ว โอดราฟที่ถูกแทงเป็นเพียงเส้นด้าย ส่วนตัวจริงหลบฉากมาอยู่ข้างหลัง มือขวานั้นถือปืนทรงปากกว้างไว้ ส่วนอีกมือขยับนิ้วไปมาเหมือนกำลังเชิดหุ่น พริบตาเดียวกันนั้นทั้งด้าย ทั้งความมืดเพียงเศษเสี้ยวของด้ายนั้นก็เกาะกลุ่มกัน กลายเป็น "เขี้ยว" ขย้ำร่างทั้งร่างของผู้ทะเล่อทะล่าเข้ามาอย่างไม่ไว้หน้าใครหน้าไหน เสียงแผดร้องโหยหวนดังลั่นทำให้ทั้งเกียรานอสและเวย์นตะลึงตาโต ก่อนจะกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น
"ข้าคนเดียวคงไม่ชนะพวกเจ้าแน่ เกียรานอส
แต่เมื่อข้าอยู่กับท่านพี่ พวกเจ้าจักจบสิ้นในชั่วพริบตา..."
โอดราฟเอ่ยเสียงค่อยแล้วสะบักข้อมือตัดด้ายทิ้ง สลายทั้งเงาซึ่งสร้างไว้สิ้น ร่างบึกบึนของเอลฟ์หนุ่มในความมืดโทรมไปด้วยเลือดแต่ยังกระดิกได้อยู่บ้าง แสดงถึงพลังชีวิตซึ่งเหลือน้อยเต็มทน
"ขอถามว่าจะยอมเลิกราแต่โดยดีไหม"
"หุบปาก!! ใครจะไปฟังเจ้ากัน!!" เกียรานอสตวาดกลับ ส่วนโอดราฟเพียงแค่ถอนใจเบาๆ ความคิดอยากฆ่าฟันมันหายไปสิ้น อาวุธนี้แม้จะร้ายกาจแต่ก็มีความสามารถในการควบคุมคู่ต่อสู้มากที่สุดด้วยเช่นกัน ความอบอุ่นจากผู้สร้างถูกส่งผ่านมายังผู้ใช้เป็นครั้งแรก...
พี่ของเขาไม่อยากฆ่าใคร แม้แต่ศัตรูของตน
เขาขอเป็นเพียงคนที่สดใสและเริงร่าอยู่ทุกวี่วันเช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว...
ถ้าความมืดคือเงา ภายใต้แสงสลัวนี้ก็มีความมืดกระจายอยู่เต็มไปหมดจริงไหม?
ทุกแห่งหนในเวลานี้คือพลังของเขาทั้งหมด เกียรานอสกับเวย์นไม่ทันคิดจึงถูกจับไว้โดยง่ายด้วยมือสีดำขนาดยักษ์ซึ่งโผล่มาจากเงาของตน โอดราฟเลือกจับทั้งสองฟาดกับพื้นอย่างจังจนพื้นร้าวและสลบเหมือดไป
"อะไรเนี่ย อย่างนี้ผมจะช่วยใครแล้วใครจะช่วยผมได้อีกล่ะ?"
เสียงกวนประสาทนั้นโผล่มาพร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มชุดเสื้อผ้าเยินก็ยิ่งขาดยุ่ยหนักกว่าเก่า บ่งบอกว่าไปรบมาอย่างสูสีเอาการ... แต่กลับไม่เห็นหญิงสาวที่ตามไปกลับมาด้วยแม้แต่น้อย...
"ราเฟรเซียล่ะ...?" โอดราฟถามกลับ
"ยัยนั่นนอนรอเพื่อนใหม่ที่ชื่อ ยม-มะ-บาล มารับตัวไปอยู่น่ะ!" แบคซิคตอบด้วยสีหน้าระรื่น ทำให้โบรมีเนนที่แค้นอยู่ก่อนแล้วตรงรี่ไปกระชากคอเสื้อเจ้าตัวแสบเอาไว้ แต่ก็ต้องกระโดดหลบเมื่อดาบแห่งเวทกว่าสิบเล่มพุ่งลิ่วปักลงตรงหน้าของเขาและสลายไปพร้อมกับการปรากฏตัวของหน่วยพิเศษสวมผ้าคลุมสีเทาสลับดำเกินกว่าสี่สิบคนล้อมเข้ามาจากทั้งสามแยกเหมือนรอท่าอยู่แล้ว...
แบคซิคเมื่อเห็นปืนในมือโอดราฟก็ใช้เวทแสงสว่างปกคลุมไปทั่วบริเวณ
"ท่านอาจารย์ท่านจะหลบอยู่ถึงเมื่อไหร่เล่า ไม่มาพบศิษย์ท่านอีกคนหรือ?"
สิ้นเสียงนั้นโอดราฟรู้สึกสังหรณ์ใจพิกล และเมื่อชายชราผู้นั้นเดินฝ่าฝูงคนมายืนอยู่ตรงหน้า โอดราฟถึงกับตัวแข็งเกร็งไปหมด ชายชราเคราสีขาวจ้องตาโอดราฟอย่างโหยหา แต่เขากลับไม่รู้สึกดีใจแม้แต่น้อย ซ้ำยัง... เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้...
ชายผู้นี้เขานับถือประดุจพ่อแท้ของตนเอง และแม้กระทั่งโอเดียเองก็เช่นกัน
สายตาเศร้าสร้อยของโอเดียนั้น เขาค่อนข้างมั่นใจว่า... ไม่ต่างอะไรกับที่เขาเป็นในเวลานี้นัก
"ท่าน..."
"เจ้าไม่ควรถามหรอกนะโอดราฟ เพราะข้าไม่อยากทำให้เจ้าเสียใจ..." ผู้อาวุโสตอบเสียงค่อยและหัวเราะเบาๆพลางดึงปลายหมวกลงมาปิดตา
เพียงแค่นั้นโอดราฟก็รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว
"ข้าขอให้เจ้าตายในฐานะลูกศิษย์ที่ข้าภาคภูมิใจเถิด เช่นเดียวกับโอเดียไงเล่า!"
สิ้นเสียงนั้นกองทัพเทาดำก็เปิดฉากกรูกันเข้าถล่มอย่างบ้าคลั่ง โอดราฟที่สูญเสียตัวเองไปยังไงก็ไม่ใช่คู่มือ โบรมีเนนถึงจะห่วงราลแต่ว่าเขาก็จำใจลากคอโอดราฟหนีเข้าไปทางเดียวที่ยังเหลืออยู่นั่นเอง...
ในห้องนั้นเหลือเพียงแค่แบคซิคกับตาแก่เคราเฟิ้มไม่ปรากฏสัญชาติที่ไม่ได้เล่นไล่จับไปกับเขาด้วย ตาแก่เพิ่งสังเกตเห็นหญิงสาวซึ่งกำลังพยายามรักษาเด็กหนุ่มอีกคนอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ยังทำได้แค่ประคองอาการเอาไว้ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น...
"แบคซิคนั่นเพื่อนเจ้านี่?" ตาแก่ถามด้วยความประหลาดใจ
"ใช่แน่นอนครับ" แบคซิคตอบทีเล่นทีจริง
"น่าแปลกที่ยังรอดอยู่ได้ ฆ่าเลยไหม?"
คำพูดนั้นประดุจเข็มทิ่มแทงหัวใจของหญิงสาว เธอออกอาการคิ้วกระตุกนิดหนึ่ง เหงื่อที่มากอยู่แล้วก็พรั่งพรูออกมามากยิ่งขึ้นไปอีก
"ยังไงก็ไม่รอดหรอกครับ ปล่อยให้ได้เผชิญกับความสิ้นหวังก่อนตายดีกว่า"
แบคซิคพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบแล้วจ้องตากับอาจารย์ของเขาโดยตรง ทั้งคู่หัวเราะกันเหมือนรู้ใจ ก่อนที่ตาแก่จะเดินต๊อกแต๊กตามพวกโอดราฟไปช้าๆ โดยทิ้งคำพูดไว้เพียงแค่ว่า
"เจ้าจะขี้เล่นก็ได้ แต่อย่าเล่นให้มันแผลงนัก"
แบคซิคโน้มรับคำสอนสั่งแต่โดยดีก่อนจะไปแบกบางสิ่งบางอย่างมาจากห้องข้างๆ น้ำหนักของสิ่งนั้นทำให้ฝีเท้าของเขาหนักขึ้นกว่าเท่าตัว
"หนักเป็นบ้า"
เขาโยนสิ่งนั้นลงข้างมีร่า และร่างนั้นก็ร้องโอ้ยขึ้นนิดหนึ่ง เสียงนั้นมีร่าจำได้ชัดเจน... มันคือเสียงของราเฟรเซีย...
"นายจะทำอะไร..." มีร่าเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
"ไม่รู้สินะ แล้วเราจะเล่นอะไรกันดีก่อนที่พวกเธอทั้งหมดจะต้องตาย"
แบคซิคพูดเสียงเรื่อยเอื่อยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งพิงกำแพงและหนุนแขนของตนอยู่ด้านข้างของมีร่า...
"ท่าจะบ้าแฮะเรา โดนยัยราเฟรเซียด่าจนสมองเพี้ยนหรือไงเนี่ย"
คำพูดนั้นเหมือนเขาจะพูดกับตัวเอง ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายและหลับไปง่ายๆ โดยไม่ระแวงหญิงสาวซึ่งเขาเพิ่งคิดจะฆ่าก่อนหน้านี้สักนิด...
ในขณะเดียวกันพวกดรีมก็เพิ่งจะวนมาถึงหน้าประตูสีดำทมิฬขนาดใหญ่ เพราะ... เขาลืมคิดไปเสียสนิทว่า แม้จิตที่สัมผัสจะอยู่ใกล้แต่ทางก็อาจจะคดเคี้ยวไม่ใช่ย่อย ถ้าจะให้พังถล่มดะก็กินพลังมากจนเกินไป แถมพวกเขาไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าจะมีใครรออยู่บ้าง หรือไปเชื่อมเส้นทางไหนให้คนตามตัวได้ง่ายขึ้นหรือไม่
ลงท้ายจึงเสียเวลาหลงไปครู่ใหญ่ ดรีมพยายามจับจิตของโอดราฟก็พบว่าพวกนั้นกำลังวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นมาทางเดียวกับที่พวกเขาผ่านมาเมื่อครู่
"นะ หนอยเปิดสิว้อย!!" ดรีมใช้จิตก็แล้วประตูบ้าก็ยังไม่ขยับ ไม่วายจะพาลกระโดดถีบจนขาชา
"อีกแปบนึงจ้ะ พลังเวทของฉันมันร่อยมากเกินไปแล้วล่ะ!!" สาวเจ้าเองก็ง่วนกับการคลายสะกดเวทมนตร์ไม่หยุด แต่ทั้งที่มีคทาผลึกในมือมันก็ยังไม่กระเตื้องสักเท่าไหร่ และยิ่งร้อนใจ มันยิ่งทำให้ช้ามากยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ
ชาน่อนเห็นสภาพของทั้งคู่แล้วก็ดึงกริชเล่มเล็กของตนแทงเข้าไปในร่องประตูอย่างจัง หมายจะช่วยผ่อนแรงสักหน่อย ถึงไม่อยากจะเชื่อแต่มีดนั้นก็มีปฏิกิริยากับเวทมนตร์ของทั้งสองซึ่งกำลังพยายามคลายสะกดมั่วๆซั่วๆ อักขระจำนวนมากแผ่ออกมาเป็นรูปพายุ ในที่สุดประตูนั้นก็เปิดอ้าออก
ดรีมรับรู้ถึงอันตรายที่แผ่ออกมาได้ทันท่วงที เขาจับหัวลีนและชาน่อนหมอบลงหลบคมมีดจากเอลฟ์สองคนซึ่งพุ่งถลาออกมาทักทาย แล้วใช้สายลมบังคับให้ทั้งคู่ม้วนตัวเข้าห้องไปพร้อมกับตนอย่างว่องไว มือสังหารทั้งสองแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็รีบกระโจนเข้ามาก่อนประตูปิดตายลงอีกครั้ง
เมื่อยามเผชิญหน้ากับสองนักฆ่าโดยตรงแล้วทั้งดรีมและลีนต่างรู้สึกตึงเปรียะเพราะความกดดันฉับพลัน แม้จะมาถึงสถานที่แห่งพิธีกรรมแล้วแต่เขาและเธอไม่แม้แต่สามารถหันมองไปทางอื่นเพียงชั่วประเดี๋ยว... นักฆ่าทั้งสองเหมือนจะเป็นเอลฟ์แต่ไม่ใช่ และเหมือนจะมีชีวิตแต่คล้ายจะไม่มีจนดรีมไม่สามารถจับจิตได้ พวกนั้นสวมชุดดำทั้งร่างใบหน้าใช้ผ้ามัดเอาไว้จนเห็นแต่ดวงตาดุร้ายยิ่งกว่าสัตว์ป่า ไร้ซึ่งสมองและไม่มีเหตุผลในตัวสักนิด!
ณ เวลานั้นมีเพียงชาน่อนที่สามารถขยับตัวได้โดยอิสระ สายตาของเขาเลื่อนมองจากสองนักฆ่าไล่มาจนเจอเสาสีเขียวเรียงรายให้แสงสว่างทึมๆทั้งสองฝั่ง ครึ่งห้องถูกขวางกันไว้ด้วยผนังมนตราใสมองทะลุสบตากับพวกตาแก่ ผู้อาวุโสสูงสุดซึ่งกำลังร่ายมนตร์ใส่ผนังนั้นอย่าใจจดใจจ่อ แต่นั่นไม่ทำให้ชาน่อนตกใจเท่าหญิงสาวในชุดสีขาวสะอาด มีร่องรอยการฝังผลึกมาน่าไว้ถึงห้าจุดตั้งแต่ไหล่ขาวนวลทั้งสองข้าง ต้นขาซึ่งเลยเข่ามานิดทั้งสองข้าง แล้วจุดที่ใหญ่สุดคือช่วงท้องซึ่งไร้อาภรณ์ปกคลุม วงอักขระเวทตรงนั้นใหญ่ยิ่งกว่าจุดใด อาจจะเพื่อรองรับผลึกสีฟ้าจางใหญ่เท่าก้อนไฟฉายลอยหมุน... โดดเด่นเป็นสง่าเหนือนั้นเพียงไม่กี่นิ้ว เธอคนนั้นนอนอยู่ใจกลางห้องพอดิบพอดี
"ไอลา!!" ชาน่อนเผลอตะโกนเรียกอย่างสุดเสียง ดรีมกับลีนเผยอาการลังเลในแววตาเพียงแว่บเดียว สองนักฆ่าก็กระโจนทะยานเข้าฟาดฟันทันทีด้วยสัญชาตญาณ สำหรับลีนยังพอใช้ดีเวนัสขึ้นกันได้บ้าง แต่ดรีมทำได้แต่หลบเพราะไม่มีอาวุธใดในมือเลย ลีนจะเข้ามาสมทบนักฆ่าข้างหลังไม่รอช้าพุ่งเข้าแทงอย่างไม่ลังเล ดรีมเห็นก็รีบพุ่งเข้าขวาง เขาใช้ข้อมือกระแทกส่วนตัวดาบให้มันเบี่ยงวิธีเฉียดสีข้างของตนไปและเข้าประชิดหมายจะซัดด้วยหมัดให้เต็มหน้า แต่พริบตาก่อนที่เขาจะสัมผัสโดน นักฆ่าผู้นั้นก็กระโดดถอยหลังชิ่งกำแพงแล้วเกาะเพดานมองลงมาเหมือนเจอเหยื่อที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว ส่วนลีนก็เพิ่งผละมาจากอีกตนหนึ่งได้ และพยายามเข้าประชิดดรีม ทว่าเจ้าตัวข้างบนก็กระโดดลงมาขวางและล้มเอาไว้ ก่อนจะหันมาทางดรีมเอียงคอนิดหนึ่งซ้ำเกาหัวด้วยท่าทางเหมือนลิงกำลังคิด!
สติปัญญามันคงไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ตอนนี้เขาและเธอรู้แค่ว่ามันล่าเหยื่อแบบหนึ่งต่อหนึ่ง เคลื่อนไหวได้ไวมากเท่านั้น ซึ่งมันคงเป็นผลมาจากผลิตภัณฑ์น่ารังเกียจของพวกผู้หลักผู้ใหญ่อีกฝั่งหนึ่งของห้องอย่างแน่นอน..
"หึหึหึ"
พวกผู้หลักผู้ใหญ่ที่ว่าแสยะยิ้มแล้วหัวเราะกันด้วยน้ำเสียงทุ้มน่าหมั่นไส้
"พวกเจ้าได้เห็นทหารลับของพวกเราแล้วเป็นอย่างไรบ้าง... จงภูมิใจเถอะ พวกเจ้าเป็นเหยื่อกลุ่มแรกของพวกมัน" ชายคนหนึ่งให้ข้อมูลด้วยความภูมิใจ เสียงแหบๆแก่ๆนั้นดรีมเดาว่าเป็นตาแก่คนตรงกลางแน่
"พวกเจ้าอย่าเกรงใจมันล่ะ พวกมันก็แค่ซากที่โดนผลึกแห่งมาน่าครอบงำเท่านั้น"
"กองทัพไม่มีวันตาย... ซื่อสัตย์ต่อคำสั่ง นี่ล่ะหน่วยลับในยุคต่อไป"
พวกน่าหมั่นไส้... พวกไม่เคยลงแรงทำอะไรด้วยตัวเองคอยแต่มองโลกในทิศทางที่ตนอยากพูดจากันไม่สนใจเลยว่าใครจะฟังอยู่บ้าง
ดรีมหมั่นไส้เกินเยียวยาจนควันแทบจะออกหัว ความเจ็บปวดซึ่งเคยมีอยู่อันตรธานหายสิ้น
"พวกกระจอกไร้ความคิดอย่างนี้น่ะเหรอดูถูกกันไปแล้ว! แน่จริงก็ลองให้มันมาลองรุมฉันสิ แล้วดูกันว่าใครจะอยู่หรือจะไป!!" ดรีมเผยมือทั้งสองข้างออกตะโกนท้าอำนาจของผู้สามารถกุมชะตาของมวลเอลฟ์ซึ่งหน้า และทันใดนั้นสองอสูรก็พุ่งเข้าซัดคนไม่ระวังตัวหมายปิดฉากในชั่วพริบตา ท่ามกลางเสียงหัวเราะสะใจของพวกนั่งอยู่หลังโล่ รวมทั้งลีนกับชาน่อนไม่น้อย
แต่...
จู่ๆเสียงหัวเราะกวนประสาทก็ดังขึ้นจากบุคคลที่น่าจะเป็นเหยื่อไปเรียบร้อย เมื่อมองให้ชัดดาบซามูไรยาวทั้งสองเล่มถูกดาบแห่งจิตสีดำสนิทเพียงเล่มเดียวป้องกันเอาไว้ได้ทั้งที่ท้ายทอยและสีข้าง มือซ้ายอีกข้างไหวไปมาเหมือนกำลังร่ายรำ เขาโน้มตัวลงนิดหนึ่งตวัดดาบจงใจตัดผ้าคลุมหน้าของทั้งสองด้วยการตัดเพียงวูบเดียวไม่ช้าไม่เร็ว
ผืนผ้าที่ร่วงหล่นเผยให้ให้ใบหน้าอัปลักษณ์หัวล้านเลี่ยนมีแผลเหวอะหวะ ริมฝีปากไม่มี แยกเขี้ยวขู่อยู่ตลอดเวลา ดรีมยิ้มอย่างผู้อยู่เหนือกว่าชี้ดาบตรงไปบ่งบอกว่านี่คือคำเตือน
"ขอร้องล่ะ... เอาจริงหน่อยเหอะ น่าเบื่อว่ะ" ดรีมไม่วายหย่อนทีท่ากวนประสาทจนเหล่าผู้ปกครองทั้งหลายเดือดปุดๆ ตะโกนสั่งให้อสูรกายทั้งสองจัดการกำจัดเด็กไร้สัมมาคารวะให้เร็วที่สุด
ซึ่งหลังจากนั้นไม่ว่าใครก็ต้องทึ่งกับภาพที่เห็นจนสงบสติอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ เด็กหนุ่มปีศาจผมยาวหลับตาพริ้ม ใบหน้ายังคงยิ้มเยาะไม่จาง เดินไหวตัวอย่างเชื่องช้าแต่กลับหลบดาบอันบ้าคลั่งได้ทั้งหมด เขาคนนั้นไม่ได้ตั้งท่าเตรียมต่อสู้อะไรเลย หากแต่ขยับดักทางจังหวะของพวกไร้หัวคิดไว้แต่ต้น เคลื่อนดาบเบี่ยงทิศดาบศัตรูพร้อมฟาดฟันกลับในพริบตา มือซ้ายเองก็คอยเคาะตัวดาบให้เบี่ยงวิถีเพื่อจะขยับตัวให้น้อยที่สุด และออมแรงไว้ให้ได้มากที่สุด จนดาบซามูไรทั้งสองหันไปฟาดฟันกันเองก็บ่อยครั้ง
ทั้งหมดที่ทำไปก็เพื่อรอเวลา... รอเวลาให้ดาบทั้งสองปะทะกันอย่างแรง เพื่อเป็นเป้านิ่ง "การทำลาย" เพียงการตวัดดาบครั้งเดียวจากล่างขึ้นบน ดาบเหล็กของอสูรกายทั้งสองก็แตกละเอียด เศษร่วงกราวลงกับพื้นอย่างกับภาพบรรจงวาด พริบตาเดียวกันนั้นดรีมหมุนตัวฟันสีข้างของทั้งสองจนเลือดพุ่งอาบเศษเหล็กเจิ่งนองไปทั่วพื้น
ทั้งห้องเงียบกริบก่อนจะมีเสียงปรบมือกันเกรียวกราวให้กับการโชว์อันงดงาม
ทว่า...
จู่ๆร่างของหญิงสาวตรงใจกลางห้องก็กระตุกและลอยขึ้นอย่างช้าๆ ทุกจุดที่มีอักขระโบราณวาดไว้ส่องแสงเรืองรองราวกับจะดึงดูดผลึกก้อนยักษ์เข้าไปในร่างบางของหญิงสาว ถ้าชาน่อนมองไม่ผิดเขาเห็นหยาดน้ำตาซึมออกมาจากขอบตาอิดโรย เขารีบวิ่งตรงไปเงื้อดาบแทงกำแพงแสงอย่างจัง แต่กำแพงนั้นกลับดีดเขากระเด็นมากองอยู่กับพื้น ดรีมจะวิ่งเข้าไปช่วยแหวกกำแพงแต่ทันใดนั้นเขาก็สะดุ้งขึ้นเพราะจิตสังหารอันก่อตัวจากข้างหลัง...
เมื่อเขาหันกลับไปปรากฏว่าเจ้าสองตัวที่ควรจะตายไปแล้วกลับลุกขึ้นมาหน้าตาเฉย บาดแผลใหญ่ที่เปิดออกก็ปิดลงอย่างง่ายดายแม้จะยังอยู่ในขอบข่ายสะกดเวทมนตร์รักษาเช่นนี้ มิหนำซ้ำแขนทั้งสองข้างของมันยังขยายใหญ่อย่างกับเสากรงเล็บครูดพื้นคมกริบไม่แพ้ดาบที่หักไปแม้แต่น้อย
ดรีมยิ้มแหยด้วยความเซ็ง สบถออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ...
"บัดซบ"
และมันคงไม่มีคำบรรยายอื่นใดดีกว่านั้นอีกแล้ว ลีนมองมือของตนที่กำลังสั่นระริก... มันไม่ใช่ความกลัวแต่พลังเวทของเธอมันเกือบจะหมดสิ้นไปแล้วต่างหาก ดรีมรู้ดีถึงได้ลากเจ้าสองตัวนั้นไปสู้ตัวคนเดียว แต่นี่ไม่ใช่เวลาห่วงใครและห่วงตัวเองอีกแล้ว!!
ลีนเอามือทั้งสองข้างสัมผัสเข้ากับกำแพงเวทเพื่อเชื่อมต่อกับพลังมหาศาลนั้นและควบคุมมันให้ได้ โดยมีดีเวนัสคอยแหวกทางให้ได้มากยิ่งขึ้น ในที่สุดกำแพงสุดแกร่งก็เปิดเป็นช่องสำเร็จ พวกตาแก่อีกฝั่งถึงกับนั่งไม่ติดพื้นโดยเฉพาะกลุ่มผู้สร้างกำแพงนี้ขึ้นมาตรงรี่มารวมพลังกันเพื่อปิดช่องว่าง ลีนกรีดร้องลั่นแต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือ ปล่อยช่องให้หายไป
"คุณลีน!!"
"อย่าพูดมากชาน่อน ตอนนี้ไม่มีใครแล้วนายต้องทำลายพิธีกรรมนั่น!!" ดรีมตวาดเสียงสั่นพลางสู้กับสองอสูรกายแขนโตอย่างระทึก ด้วยสภาพห้องที่เล็กเกินกว่าจะฉากหลบได้ง่ายๆ จนถึงตอนนี้แม้แต่ดรีมก็ร่างกายโชกเลือดอีกครั้ง ผ้าพันแผลทั้งหลายหลุดลุ่ยไม่เป็นท่าจนเจ้าตัวต้องดึงมันทิ้งไปเอง
ตอนนี้ไม่มีใครแล้ว....
ตอนนี้ไม่มีใครอีกแล้ว....
คำพูดเหล่านั้นดังสะท้อนอยู่ในหัวของเด็กหนุ่มไม่หยุด
ตอนแรกเขานึกว่ามากับสองคนนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วแท้ๆ แต่คำพูดของโอดราฟเป็นจริงขึ้นมาจนได้...
แม้เขาจะเตรียมใจเอาไว้ตั้งแต่ต้น แต่เมื่อถึงเวลาทั้งแขนขากลับแข็งเป็นหินไม่ยอมขยับตัวโดยง่าย ชาน่อนส่ายหน้าไปมาเพื่อจะสลัดความกลัวทิ้งไปทว่ามันกลับยิ่งทำให้เขากลัวมากยิ่งขึ้น แต่จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังแว่วเรียกเขาให้กลับมาอยู่ในสภาวะที่เป็นอยู่
เสียงนั้นเรียกชื่อเขา
และเสียงนั้นมันช่างคุ้นเคย เป็นเสียงหนึ่งซึ่งเขาแสวงหาตั้งแต่หลุดมาโลกนี้ ชาน่อนเหม่อมองตรงไปข้างหน้าเธอคนนั้นกำลังร้องไห้... เขาไม่รู้ว่าทำไมความกลัวทั้งหมดถึงได้หายไปสิ้น
มันก็เป็นอย่างนี้มาเสมอนั่นแหละ...!!
ชาน่อนฟันธงในใจกลืนน้ำลายหนึ่งอึกแล้วกระโจนฝ่าวงกำแพงเวทเข้าไป สายฟ้าแปลบปลาบซึ่งหมุนวนไล่ช็อตเขาไม่ให้ทันตั้งเนื้อตั้งตัว มันทั้งปวดทั้งแสบเข้าถึงกระดูกแต่เขาก็ยังฝืนแทงกริชในมือใส่ผลึกก้อนเล็กซึ่งลอยเคว้งอยู่นั้นอย่างจัง ผลึกครางคำรามราวกับมีชีวิตดีดร่างเขากระเด็นกระแทกผนังอย่างจัง เวลานั้นสติแทบจะหลุดลอยไปในชั่วพริบตาเพราะความร้อนซึ่งแผ่ซ่านไปทั่วประกอบกับสายฟ้าซึ่งไม่เลิกวอแวกับเขาเสียที
'เรื่องนี้มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้...'
คำพูดนั้นดังก้องในหัวของเขาอีกครั้ง
นั่นมันเรื่องบ้าอะไรกันโอดราฟ... มีเรื่องอะไรที่ผมเท่านั้นถึงจะทำได้ด้วยหรือ...
อะไรเล่าที่ผมเท่านั้นถึงจะมี...
ชาน่อนหลับตาแล้วก็คิดออกอยู่เรื่องหนึ่งจนหัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ และมันเกี่ยวพันกับชีวิตของเขาอย่างแท้จริงอีกด้วย...
เขาฉีกแขนเสื้อตรงข้อมือซ้ายทิ้ง ตรงหลังมือนั้นมีสัญลักษณ์ประหลาดที่ตัวเขาเองก็เกือบลืมไปเสียสนิท...
"นี่สินะของสิ่งเดียวที่คนอื่นไม่มีแต่ผมมี"
ความสามารถของมันก็คือ "สะกด" และ "คลายสะกด" ถ้าใช้มันก็อาจจะ...อาจจะทำอะไรบางอย่างได้... แต่สุดท้ายตัวของเขาก็จะกลับเป็นมนุษย์ ในกำแพงเก้าอี้ไฟฟ้าพรรณนี้...
มันจะเป็นการตายที่ทุเรศไปไหมสำหรับเด็กอายุน้อยๆอย่างเขา
แต่ช่าง... เถอะ
เด็กหนุ่มยิ้มอย่างนุ่มนวลให้หญิงสาว... เขาลูบน้ำตาออกจากแก้มของเธออย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองก้อนผลึกด้วยสายตามุ่งมั่นพร้อมเอื้อมมือตรงไปข้างหน้า โดยหันหลังมือข้างที่มีสัญลักษณ์ประหลาดประทับเข้ากับผลึกและดูดกลืนมันเอาไว้ท่ามกลางความตกตะลึงจนตาแทบถลนของพวกกลุ่มตาแก่ผู้หมายจะใช้พลังในนี้ "เปลี่ยนโลก" ปฏิกิริยาทั้งหลายของพิธีกรรมหายวับไปกับตา เหลือแต่เพียงปฏิกิริยาตกค้างกับชาน่อนที่เส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ในไม่ช้าผลึกสีฟ้าครามทั้งเล็กเป็นขี้ฝุ่นทั้งก้อนใหญ่ก็ถูกดีดออกจากร่างของชาน่อน ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศและผลิกลีบออกมาคล้ายดอกไม้ นั่นเป็นภาพสุดท้ายก่อนเขาจะหมดสติไป และก่อนจะเกิดระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติกาล ณ ใต้ดินแห่งเมืองเอลฟ์
ครึ่ก...
ตึง!
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงผลักก้อนหินที่ทับร่างของเขาและเพื่อนผมทองออกไป เขา... เหม่อมองขึ้นไปบนฟ้า ดวงอาทิตย์ดวงโตอยู่กลางศีรษะพอดี
อ้าว... กลางวันนี่หว่า ทำไมมันมืดสลัวอย่างนี้วะ
เขาคิดแล้วสำรวจร่างกายของตัวเองบ้างก็พบว่าหินก้อนหนึ่งคมกริบดุจอาวุธยุคเก่าแทงทะลุท้องของเขาอย่างจัง
"อุ๊บ"
เขาไอออกมาเป็นสีแดงข้น... สีเดียวกับที่เจิ่งนองบนพื้น...
แต่เขาก็ไม่ใส่ใจมันสักเท่าไหร่เอาเวลามองไปรอบๆแทนและเขาก็พบสิ่งที่เขาตามหา สองสาวนอนเกาะกันแน่นแถมยังหลับไปอีท่านั้นอีก...
ทนเป็นแมลงสาบทั้งคู่เลยนะ...
เขายังจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเขานั่งอยู่ข้างมีร่ากำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่แสนสำคัญออกไปแต่จู่ๆแสงก็สว่างวาบระเบิดทุกอย่างสิ้น โชคยังดีที่พวกเขาหลบทัน แต่ก็ยังต้องหลบและปีนป่ายซากปรักหักพังซึ่งร่วงหล่นลงมาราวกับห่าฝน... มีร่าพยายามช่วยราเฟรเซียสุดชีวิต และตัวเขาเองไม่รู้ว่าคิดยังไงถึงได้ตะเกียกตะกายลากคนที่เขาพยายามจะฆ่าก่อนหน้าขึ้นมาด้วย...?
เขามองเพื่อนผมทองของตนที่กำลังหายใจรวยรินใกล้จะอยู่ใกล้จะไปแล้วก็ต้องถอนใจเกาหัวแกรกๆเขาอยากจะบอกลาเพื่อนของเขาที่อยู่ตรงนี้เสียก่อนแต่ก็ไม่มีใครตื่นขึ้นมาเลยสักคน ปากหนักนั้นขยับขึ้นอย่างเชื่องช้า..
ลาก่อนไอ้เกลอราล ยัยบ้าพลังราเฟรเซีย...
แล้วก็รักแรก...รักสุดท้าย...
หญิงสาวผมน้ำตาลสะดุ้งตัวตื่นขึ้นแล้วหน้าแดงก่ำมองหาต้นเสียงที่ตนได้ยินแว่วมาในห้วงสำนึก แต่พอพบเธอถึงกับเอามือทั้งสองข้างประกบอยู่ตรงใบหน้า น้ำตาหลั่งรินไม่ยอมหยุด... ชายคนนั้นนั่งคุกเข่าเหมือนสวดอ้อนวอนกับอะไรสักอย่างด้วยใบหน้ายินดีอย่างเหลือล้น วงเวทดาวหกแฉกบรรจงวาดไว้บนบริเวณรอบปากแผลของเพื่อนอีกคนของเธอ อักขระโบราณมีความหมายว่า "แลกเปลี่ยน"
นั่นมันเวทมนตร์ต้องห้าม...
"แบค..."
หญิงสาวพยุงตัวลุกขึ้นแล้วลากขาซ้ายที่บาดเจ็บไปจับไหล่ของเด็กหนุ่ม แต่เขาก็ไม่มีวี่แววว่าจะไหวติงอีกแต่อย่างใด
"นาย... นายแกล้งหลอกฉันเหรอ?"
"นี่..."
มีร่าพูดไปพลางเขย่าตัวของเขาช้าๆ แต่ร่างอันไร้วิญญาณก็ล้มตึงกับพื้น
"แบค..."
"ตอบฉันนะ"
"แบคซิค!!!"
เสียงร้องอันเต็มไปด้วยความหม่นหมองนั้นดังกระจายไปทั่วบริเวณ โดยไม่มีใครสามารถหยุดยั้ง
นั่นคือ "หนึ่ง" การสูญเสีย...
และเมื่อแต่ละคนลืมตาตื่นพบกับความเป็นจริง
นั่นก็คือความหมายของชีวิต...
ทุกสิ่งคละเคล้ากันไปในพื้นที่แห่งความเจ็บปวดรวดร้าว
ทั้งของผู้ยังคงเหลือบางสิ่งหรือสูญมันไปหมดสิ้นแล้ว
การเติมเต็มมิใช่ง่ายและต้องค่อยๆเริ่ม จะหยุดหรือจะสานต่อคือทางเลือกของคุณผู้นั้น
แต่ทุกอย่างก็จะหมุนวนไป
ภายในโลกกว้างอันแสนสวยใบนี้...
.
. .
==================================
to be continued. . . .
เหลืออีกบทครับ บทสุดท้ายของท้ายที่สุด...
ความคิดเห็น