ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Wing of Release

    ลำดับตอนที่ #36 : Release 33 [ ทรยศ - หักหลัง ]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 502
      0
      2 พ.ค. 51




    เสร็จไวกว่ากำหนดเยอะตอนนี้...


    โอย มันเขียนแล้วสะเทือนใจคนเขียนชะมัด วางคีย์บอร์ดไม่ได้ต้องพิมพ์ต่อจนจบกลัวอารมณ์จะขาดช่วง T-T


    เชิญอ่านตามสบายครับ ~~



    Release 33





    "อย่า... อย่ามาพูดบ้าๆน่าฟาร์!! มาห้ามบ้าบออะไร ถ้าจะห้ามก็ทำให้พ้นจากสถานการณ์พรรณนี้ก่อนสิ!!"


    ดรีมเผลอตัวขึ้นเสียงดังลั่น และเสียงนั้นทำให้แต่ละคนเริ่มตั้งสติได้ ชื่อว่าฟาร์นั้นมันช่างคุ้นหูมาก... คุ้นเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะกับชาน่อนรวมทั้งหน่วยหนึ่งทั้งหมด...


    "ฉันขอบอกก่อนก็แล้วกันว่าฉันไม่ใช่ฉัน... ไม่สิพูดอย่างนี้ฟังยากไป นี่คือร่างจิตซึ่งฉันตั้งให้ผสานอยู่กับจิตของนายตั้งแต่ตอนศึกษากับฟรุตของฉัน เพื่อวันใดจิตของนายมีทีท่าว่าจะใช้วิชานั้น ฉันในตอนนี้ก็จะออกมาเตือนนาย" ฟาร์ร่างเก๊พูดจาต่อไปโดยไม่สนว่าจะมีใครฟังอยู่บ้าง ทั้งมิตรและศัตรู "วิชานั้นแม้แต่ฉันเองก็ยังคุมไม่อยู่และหยุดไม่ได้จนกว่าสิ่งข้างหน้าจะพินาศสิ้น แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่ใช่ 'สายลมที่แท้จริง' นายจะถูกทำลายเป็นสิ่งแรก ไม่ใช่มิตรหรือศัตรู หรืออะไรทั้งนั้น..."


    "ลีนหันมาหน่อย"


    หญิงสาวหันตามเสียงนั้นแต่โดยดี ไม่ใช่เพราะเชื่อฟังแต่ทำเพราะความสงสัย แต่เพียงแค่หันกลับไปพันธนาการที่ข้อมือก็ถูกทำลายสิ้นท่ามกลางความเงียบงันรอฟังคำพูดจากร่างจิตของใครบางคน...
    ฟาร์ถอนใจเหมือนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


    ใช่แม้แต่ลีนยังรู้สึกถึงความกดดันอันบีบรัดทุกอณูของร่างกาย เหงื่อพรั่งพรูออกมาทั้งที่กระดูกทั่งร่างลั่นเปรียะเพราะความเย็นยะเยือกซึ่งแผ่ปกคลุมไปทั่ว... ชายตรงหน้าของเธอก้มลงจนผมสีน้ำตาลแซมม่วงเลื่อนมาปรกใบหน้า เสื้อผ้าซึ่งสวมใส่สะบัดพรึ่บพรั่บตามลมหวนรายรอบร่างกาย ลม... ที่ลุกไหม้เป็นสีแดงเพลิง กลางหลังมีบางอย่างลักษณะคล้ายใบไม้หลากหลายชนิดซ้อนทับกันแบบไม่สนิทนัก แต่มันบางเฉียบจนมองทะลุไปถึงข้างหลัง ทั้งหมดนั้นหมุนวนไปมาอย่างกราดเกรี้ยวดุจดั่งพายุ...


    ฟาร์ยิ้มเล็กๆขึ้นที่มุมปาก และแม้จะไม่ได้มองดรีมก็ยิ้มตอบให้ดุจเดียวกัน


    "ดูเหมือนจะไม่ฟังคำพูดฉันเลยนี่หว่า ช่วยไม่ได้..."


    เขาพูดแค่นั้นแล้วหายวับไปกับตา


    'The Wing of Chaos'


    เสียงนั้นกระแทกกระทั้นขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจ และสติก็แทบจะดับวูบไปในเวลาเดียวกัน




    "ฆ่า... ฆ่ามันเร็วเข้า มันจะทำบ้าอะไรไม่รู้!!!"


    พวกหน่วยหนึ่งลั่นวาจาหมายกำจัดสิ้นซึ่งศัตรูที่อันตรายเกินหยั่งถึง สายเวทมนตร์นับสิบแห่กันเดินขบวนอัดห้องขังโดยไม่ใส่ใจความปลอดภัยของใครทั้งสิ้น ลีนเกือบจะติดร่างแหไปด้วยแต่ก็ตอบโต้ได้ทันทำลายผนังกันห้องทะลุไปด้านข้างได้ทันท่วงที ซึ่งก็ไม่วายโดนสะเกิดหินกระแทกศีรษะจนเลือดไหลอาบใบหน้าด้านขวา ระหว่างที่เช็ดอยู่นั้นหน่วยหนึ่งล่ำหน้าบากก็พังประตูห้องขังเข้ามาล็อคคอลีนเอาไว้แน่นทั้งร่างกายอันสั่นระริกด้วยความกลัว


    "จะทำอะไรปล่อยฉันนะ!!"


    ลีนโวยวายแต่ดูเหมือนว่าชายผู้นั้นจะไม่ฟังแม้แต่น้อย เมื่อเธอลืมตามองตรงไปข้างหน้า... ณ ที่นั้นมีปีศาจอยู่หนึ่งตน ทั้งร่างถูกปกคลุมด้วยออร่าสีแดงจาง ปีกสายลมซึ่งพัดใบไม้สีเลือดปลิวไปมาข้างหลังยิ่งน่าขนลุก และเขาคนนั้นแยกเขี้ยวยิ้ม มองตรงมาทางเธอด้วยดวงตาสีเดียวกับปีก... วูบหนึ่งเธอรู้สึกเหมือนกับว่าดวงตานั้นเปลี่ยนกลับเป็นสีน้ำตาล และพริบตาเดียวกันนั้นเธอได้ยินเสียงในใจบอกว่า


    "หลบ"


    โดยไม่ทันให้ตั้งตัวมือเล็กๆก็ชูขึ้น เพดานหินแกร่งระเบิดออกจนฝุ่นคลุ้ง ร่องรอยเหมือนโดนกรงเล็บขนาดยักษ์แทงจนทะลุ และกรงเล็บนั้นก็ขูดครืดไปกับผนังราวกับหินนั้นเป็นเต้าหู้ไร้น้ำหนัก เป้าหมายคือเอลฟ์ร่างโตและเธอ


    "ดะ ดีเวนัส!!"


    เส้นผมสีน้ำตาลนุ่มของเธอสยายออกบ้างเหมือนมือจับไม้คทาดอกไม้ผลึกเอาไว้แน่นเพื่อรับการจู่โจมอันรุนแรงค้างเอาไว้ ประกอบกับแรงรัดที่คอของเธอก็ลดลงเพราะความตกใจของเอลฟ์ข้างหลัง เธอเอี้ยวตัวเล็กน้อยและยันเท้าเข้าเต็มพุงกะทิจนชายร่างใหญ่ลอยละลิ่วไปติดกำแพง ส่วนตัวเธอกลิ้งตัวหลบกรงเล็บอันหนักอึ้งจนต้านทานเอาไว้ไม่ไหวแทนการปะทะโดยตรง แต่ก็ไม่พ้นเสียทีเดียวกระโปรงของเธอตั้งแต่เข่าลงไปขาดลุ่ยอย่างกับผ้าขี้ริ้ว ขาขวาเองก็มีเลือดไหลออกมาชุ่ม ย้อมความขาวของผ้าจนมีสี... พวกกลุ่มเด็กได้ทีช่วงเวลาที่หน่วยลับทั้งหลายนิ่งตะลึงงันกับศัตรูข้างหน้าวิ่งเข้ามาสมทบลีนด้วยท่าทางตื่นตระหนก


    "คะ คุณลีนขา...!! คิดถึงจังไม่เป็นอะไรนะคะ!!"  ดีเวนัสร้องไห้โฮไม่ดูสถานการณ์แต่สาวไครม์เองก็สวมกอดเข้าอย่างจัง เป็นเหตุให้พวกกลุ่มไม่เคยพบอาวุธมีชีวิตถอยกรูดแทบไม่ทัน



    "ตูม!!! โครมมมมมม!!!!"


    เสียงระเบิดดังสนั่นเรียกให้สติแต่ละคนกลับมาเข้าที่อีกครั้งหนึ่ง และแล้วคุกปิดก็กลายเป็นคุกเปิด ดรีมทำลายผนังด้านหลังของตัวเองทิ้งเพียงแค่สะบัดมือก่อนจะวิ่งทะลุไปตามนั้น


    "บัดซบ ข้างหลังนั่นมัน.... ห้องบูชานี่หว่า!!"


    ชายคนหนึ่งตะโกนลั่น แต่ละคนตีหน้าเหรอหรา หันมามองกลุ่มเด็กน้อยทั้งหลายราวกับคาดโทษเอาไว้ก่อนเดี๋ยวจะมาจัดการ และวิ่งตามปีศาจร้ายไปหมายจัดการให้สิ้นซากในทันใด




    ลีนกับกลุ่มชาน่อนรีบวิ่งตามแรงสั่นสะเทือนไปจนกระทั่งพบห้องโถงกว้างอย่างน่าอัศจรรย์ใต้ดินแห่งนี้ แต่ความน่าอัศจรรย์ดังว่ากำลังจะย่อยยับลง ผู้เอลฟ์ตามโต๊ะที่นั่งพากันเอ็ดตะโรวิ่งหนีภัยกันเป็นการใหญ่ มีบ้างที่คอยช่วยสนับสนุนพวกหน่วยหนึ่งซึ่งกำลังต้านกันเต็มที่ รูปปั้นเทพบุตรเทพธิดาองค์โตหัวแตกปีกหักแขนขาขาดไม่เหลือความสมประกอบสักองค์


    ช่างเป็นการเปิดฉากทำลายล้างที่อลังการมาก....


    "เอ่อ... ฉันว่านะพวกเธอหนีออกไปก่อนจะดีกว่าไหม?" ลีนพูดกับกลุ่มเด็กพลางเสยผมที่พันกันวุ่นเพราะลมกรรโชก แต่ทุกคนส่ายหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ในเวลานี้ต่อให้หนีไปก็คงต้องชนกับศัตรูอีกมากคงไม่มีอะไรปลอดภัยไปกว่าอยู่กับจอมโหด... ที่สำคัญเป้าหมายสำคัญอย่างการช่วยไอลาออกมาก็ยังไม่สำเร็จเสียหน่อย...


    "เฮ้ย!!! หลบเร็ว!!!!" แบคซิคร้องลั่นเมื่อเห็นกรงเล็บขนาดยักษ์เงื้อมาทางพวกตน แต่ละคนกระโดดหลบกันจ้าละหวั่นยกเว้นก็แต่ลีนที่ยังคงจ้องตรงไปข้างหน้าอย่างมั่นคง กรงเล็บทั้งสองนิ้วฟาดฟันลงสู่พื้นข้างลำตัวของเธออย่างฉิวเฉียดและตวัดจู่โจมศัตรูข้างหน้าจนกระเด้งกระดอนกันไปคนละทิศ


    ราเฟรเซียรู้สึกถึงกลิ่นคาวติดอยู่ตรงหน้า เธอรีบเอามือเช็ดแล้วมองให้ชัด... ของเหลวนั้นทั้งข้นและมีสีน่ากลัว...


    "เลือดนี่นา!"


    "คุณลีน!!" ชาน่อนร้องเรียกหญิงสาวผู้ยืนอยู่ใจกลางความบ้าคลั่งไม่หนีไปไหนทั้งที่พื้นบริเวณนั้นถูกตวัดสับจนป่นหินเป็นฝุ่นคละคลุ้งเละเทะด้วยสายลมอันคมกริบซ้ำยังมองไม่เห็น เธอหันกลับมายิ้มให้อย่างอ่อนหวาน


    "นั่นไม่ใช่เลือดของฉันหรอก ของเขาต่างหาก"


    ลีนเอ่ยเสียงค่อยประกอบกับเสียงของความวุ่นวายก็เข้าแทรกจนหูเอลฟ์แทบไม่ได้ยิน เสียงนั้นช่างฟังเศร้าจนทุกคนเงียบไปและมองตามสายตาอันเหม่อลอยของสาวไครม์... ปีศาจร้ายปีกสีเลือดยังคงแยกเขี้ยวยิ้มท่ามกลางสายลมอันปั่นป่วนและบ้าคลั่ง...




    ปัดโธ่.... ไอ้พวกนี้มันหลบกันเก่งจริงๆ!!


    เสียงจากส่วนลึกดังสะท้อนไปมาในหัวไม่หยุดหย่อน ตัวเขาเหมือนค่อยๆจมลึกไกลจากดวงตาของตนและเข้าสู่ก้นบึ้งของจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงสายลมทั้งหลายหัวเราะต่อกระซิกวนเวียนไม่จางจากความคิด บ้างก็หัวเราะเยาะอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เขา... สายลมพวกนั้นทั้งบาด ทั้งเสียดสีและกอดรัดจนอึดอัดไปหมด น่าแปลกที่ร่างกายชุ่มเลือดนั้นยังคงเคลื่อนไหวต่อได้อย่างฉับไวเช่นเดิม อีกทั้งไม่สามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดภายนอกได้เลย... แต่ภายในกลับปวดร้าวแสนสาหัส...


    ซ้าย


    เขาสั่ง


    ซ้ายสิฟระ!!


    แต่สายลมก็ยังหัวเราะคิกคัก มือขวาตวัดส่งสายลมซัดใส่เอลฟ์ผู้โชคร้ายเข้าอย่างจังจนกระเด็นไปชนรูปปั้นด้านหลังเป็นตายไม่ปรากฏ ส่วนเจ้าพวกเด็กที่ลอบมาช่วยเขาก็มิวายจะโดนลูกหลงหนีตายกันสนุกสนาน


    นะ หนอย... อีกแล้ว!! นี่มันร่างฉันนะว้อย!!


    มัวแต่โจมตี "เหยื่อ" ไอ้พวกตัวจริงมันหลบได้หลบดี... มันจงใจถ่วงเวลาชัดๆ เห็นไหมเนี่ย!!


    ดรีมตะโกนลั่นในจิตใจของตัวเอง แต่ก็เหมือนจะไม่มีใครรับฟังสักคน หรือแม้กระทั่งสายลมสักสาย


    'ฉันบอกแล้วไม่เชื่อ ลมก็เป็นลมวันยังค่ำอย่างที่เห็นใครจะไปสั่งอะไรได้'


    เสียงอันคุ้นเคยปรากฏขึ้น และร่างของชายหน้าตาสวยก็ตามมา... เขายืนอยู่ตรงหน้าพอดิพอดี
    หนวกหูน่าภาพหลอนไปไกลๆ!!


    ดรีมขับไล่ภาพตกค้างนั้นทิ้งและพยายามรวบรวมสายลมทั้งมวลให้เข้ามารวมกัน แต่แทนที่จะทำตามพวกนั้นก็ยังรักอิสระเหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีใครยอม มิหนำซ้ำยังเรียกพรรคพวกมาเพิ่มเสียอีก... มาถึงขั้นนี้มันไม่มีทางหยุดได้อีกแล้ว ไม่ทุกอย่างพังราบเขาก็ตายก่อน...


    แล้วตอนนี้เวลามัน... สงสัยจะยังไม่เกินนาที.. ฉันท่าจะอยู่ได้อีกไม่เกินสองนาทีแหง!


    'ดรีม'


    เสียงเรียกอีกหนึ่งเสียงดังแว่วมาแต่ไกล เสียงนั้นช่างคุ้นเคย... คุ้นมาก...


    ยัยลีน... ทำไมไม่รีบออกไปจากแถบนี้นะ!!


    'ดรีม!'


    ฉันได้ยิน...


    'ดรีมมมม!!!'




    "ฉันบอกว่าได้ยินแล้วไงยัยบ้า!!!"


    ในที่สุดเสียงที่ตะโกนก็ออกไปถึงโลกภายนอกได้ ดรีมเหลือบมองไปรอบๆ ทั้งศัตรูท่าทางทรุดโทรมกันถ้วนหน้ากับหญิงสาวซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางพายุ... ปีกสายลมสีเลือดกระพือเบาลง สายลมรอบด้านก็เลิกถาโถม ทั้งโต๊ะเก้าอี้ เศษชิ้นส่วนรูปปั้นซึ่งลอยวนไปวนมาเป็นจานบินก็ร่วงลงสู่พื้นเสียงโครมครามตามที่ควรจะเป็น... อันว่าห้องอันเลิศหรูอลังการพินาศสิ้นแล้ว ณ บัดนี้ ส่วนพวกหน่วยหนึ่งเองก็ร่อยไปไม่น้อย เหลือยืนหอบตะลึงงันกันอยู่ไม่ถึงสิบ


    "อุ๊บ!"


    ดรีมอุทานเสียงค่อยซ้ำยังหลับตาปี๋เมื่ออาการบาดเจ็บทั่วร่างแสดงผลออกมา


    "ดรีม? กลับมาได้แล้วเหรอ?"


    เขาไม่ตอบ...


    ดูเหมือนจะใช่แต่เสียงหัวร่อของสายลมยังไม่หยุดและยังไม่น้อยลงสักนิด... มันเหมือนลมสงบก่อนพายุใหญ่กำลังจะมา...


    "ไม่ หลบไปซะ หนีไปให้ไกลเลย!"


    "อะไรนะ? เราร่วมมือกันก็พอแล้ว ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้พลังบ้าๆนั่นอีกแล้วนะ ดรีม!!"


    "มัน... หยุดไม่ได้แล้วต่างหากเล่า..."


    ดรีมพูดไม่ทันจบก็เงียบไป ฝ่ายเอลฟ์ซึ่งยังลังเลอยู่เห็นทีได้โอกาสก็หยิบอาวุธติดไม้ติดมือกันคนละชิ้นรุมกระหน่ำแทงเป้านิ่งด้วยความสะใจ พวกกลุ่มเด็กร้องลั่นเมื่อเห็นสภาพอย่างนั้น แต่ลีนกลับน้ำตาซึมยืนนิ่งเงียบอยู่คนเดียว และในไม่ช้าพวกเอลฟ์กลุ่มนั้นก็ขวัญผวาจนต้องถอยออกมาเอง ผู้ถูกแทงยับไม่ใช่เป้าหมายแต่เป็นหัวหน้าผู้สั่งการของพวกตัว ส่วนเป้าหมายนั้นยืนกอดอกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่บนศีรษะของชายผู้โชคร้ายอีกทีหนึ่ง


    นั่นมิใช่ปีศาจ แต่เป็นจอมมารร้ายจากห้วงนรกอเวจีชัดๆ


    มืออันสั่นระริกของพวกหน่วยหนึ่งปล่อยอาวุธที่กำไว้เสียสิ้น ร่างอันไร้ชีวิตก็ร่วงหล่นตามอาวุธพวกนั้นไป... ประกอบกับเป็นช่วงเวลาที่พวกหน่วยสองบางหน่วยในชุดคลุมสีเทามาถึงพอดิบพอดี และเห็นภาพอันน่าสะเทือนขวัญดุจดั่งฝันร้าย พวกเขาพยายามเข้าสมทบกับพวกหน่วยหนึ่งที่เสียขวัญไปก่อนจะโดนปีศาจคลั่งดีดกระเด็นแล้วถอยหนีไปตามๆกัน พวกที่ยังมีสติออกคำสั่งให้ "ถ่วงเวลา"


    "คุณลีนหลบก่อนเถอะ แบบนี้ไม่ไหวแล้วนะครับ!!" ชาน่อนตะโกนแข่งกับสายลมซ้ำพยายามจะลากหญิงสาวจอมรั้นออกจากเขตอันตราย


    "ชะ ใช่ค่ะ มันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะทำอะไรได้แล้วนะคะ!" ราเฟรเซียสนับสนุนแล้วช่วยกันดึงอีกคน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย แม้ราเฟรเซียเองจะขึ้นชื่อว่าอยู่ในระดับสูงของโรงเรียนแต่เมื่อเทียบชั้นกับผู้คนแถบนี้ก็น่าเศร้าใจไม่น้อย


    ลีนเหมือนเพิ่งสังเกตสองหน่อที่พยายามจะช่วยตนก็ยิ้มให้ ก่อนจะสะบัดแขนเล็กๆนั่นจนทั้งสองคนกระเด็นไปไกลต้องให้ราลกับแบคซิคมาพยุงเอาไว้


    "ฉันจะหยุดตาบ้านั่นให้ได้"


    "คุณลีนคะ!! อย่าบ้าระห่ำให้มากนักเลย!!" ดีเวนัสช่วยเสริมแต่ไม่ทันแล้ว คุณเธอไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก หากแต่พุ่งตรงเข้าไปใจกลางพายุโดยไม่กลัวเกรง มีเพียงคทาคู่ใจแหกปากเตือนไม่หยุดและคอยสนับสนุนไปตลอดเวลาที่พูด พอเข้าถึงช่วงแนวรบจริงแม้ดีเวนัสจะช่วยป้องกันอีกแรงหนึ่งอย่างเต็มอัตรา ถึงอย่างนั้นสายลมที่เล็ดลอดก็กรีดผิวจนรู้สึกแปลบปลาบไปทั่ว



    นั่น...



    นั่นคือสิ่งที่เธอแบกรับไว้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหรอ...



    ลีนน้ำตาซึมแต่ก็พยายามแข็งใจเข้าไปจนอยู่เคียงข้างอสูรกายร้ายผู้น่าสะพรึงกลัว... ร่างนั้นเมื่อมองใกล้ๆมันเต็มไปด้วยบาดแผล ถึงตัวเขาอาจจะกำลังพยายามเบี่ยงมันออกไปอย่างเต็มที่ก็ยังคงหลงเหลือทำร้ายเขาอยู่ร่ำไป


    "ยะ ยัย... ดื้อ เอ้ย... หลบไปเซ่..." ดรีมพยายามเค้นคอพูดเต็มแรงแต่เสียงกลับออกมาเพียงแค่ตะกุกตะกักขาดๆหายๆ


    "ไม่" เธอตอบทื่อๆ ทำเอาทั้งคทาทั้งปีศาจข้างหน้าใจหายใจคว่ำไปตามๆกัน


    เวลานี้ทั้งสองยืนนิ่งไม่ขยับ แต่ก็ไม่มีใครสามารถย่างกรายเข้ามาในบริเวณนั้นได้เช่นกัน... พวกหน่วยหนึ่งหน่วยสองทั้งหลายพยายามจะทำลายกำแพงที่ขวางกั้นซึ่งมันก็ไร้ผล...


    "เธอน่ะพอถึงคราวคับขันก็คิดแต่จะจัดการทุกอย่างเองทุกที คราวนี้ฉันจะร่วมด้วยไม่ปล่อยให้เป็นแบบคราวก่อนนั้นอีกแล้ว"


    "บ้า...น่า ถ้าเธอไม่อยู่... ใครจะสานต่อ..."


    "เพี๊ยะ!!"


    ลีนตบหน้าดรีมเข้าอย่างจัง แต่มือของเธอก็โดนสายลมซึ่งห้อมล้อมบาดเอาจนเลือดโชก


    "ฉันจะรอด และเธอก็ต้องรอด ไม่มีแต่ ไหนบอกจิตวิญญาณของเธอเป็นของฉันไงเล่า เชื่อสิ!!"


    ดรีมสังเกตเห็นแหวนวงหนึ่งในมือซ้ายของเธอ... ใช่มันเป็นแหวนที่เขาให้เธอไปเอง


    หญิงสาวยิ้มให้แล้วอ้อมไปอยู่ข้างหลังของดรีมโอบกอดเขาเอาไว้ทั้งร่างราวกับไม่ยอมจะให้ดิ้นหลุดไปไหนได้อีก โดยไม่รอให้ใครมาทักท้วง ใบไม้ซึ่งวนกันจนกลายรูปเป็นปีกแตกกระจายออกก่อนจะก่อตัวรัดร่างกายของหญิงสาวเข้าไปด้วย เธอรู้สึกเหมือนร่างกายส่วนหนึ่งกำลังโดนแผดเผาจากสายลมจากภูเขาไฟ และส่วนหนึ่งแทบจะกลายเป็นน้ำแข็งด้วยสายลมจากขั้วโลกทั้งสอง...


    ฉึก


    ไหล่ขวาโดนสายลมฉีกผ้าผืนขาวขาดสะบั้น ลมที่คมประดุจดั่งดาบแทงเข้าใส่ไหล่นวลนั้นอย่างจังจนเลือดอาบเขนเป็นทาง เธอกรีดร้องลั่นแต่ก็กัดฟันอดทนเอาไว้ ภายในจิตใจของดรีมไขว่คว้าหาหญิงสาวอย่างบ้าคลั่ง ทุกครั้งที่มีเสียงร้องของเธอ ร่างกายของเขาก็ยิ่งสั่นสะท้าน บ่วงโซ่ซึ่งสายลมรัดเขาเอาไว้ก็ค่อยๆคลายออก คำว่าเป็นไปไม่ได้นั้นไม่มีอยู่ในหัวอีกต่อไป


    ตอนนี้ไม่ใช่ความรู้สึกแค่หลังชนกำแพง แต่เป็น "หลังชนสิ่งมีค่าที่สุดของเขา"



    รอนานไหมจ๊ะ?



    เสียงหนึ่งดังแว่วมาจากข้างหลังแต่เขาไม่ได้หันกลับไป ได้เพียงแค่ยิ้มกับตัวเอง แบนนวลเรียบของสาวเจ้าในที่สุดก็กอดรวบเข้ามาถึงจิตใจ สัมผัสนั้นอย่างกับของจริงไม่มีผิดเพี้ยน... แม้กระทั่งเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนซึ่งคลุมไหล่เขา...


    "ยัยบ้าเอ๊ย..."


    "อย่าทำเหมือนมีเวลาเยอะนักนะยะ ดีเวนัสช่วยเอาไว้ได้ฉิวเฉียดเลย"


    "ฮื่อ"


    ดรีมหลับตาตอบ แม้จะมีคนมาเกาะคอเพิ่มอีกคนแต่ร่างกายเขากลับรู้สึกเบาขึ้นเรื่อยๆ เสียงอื้ออึงของสายลมก็เลิกหัวเราะเยาะ ซ้ำยังเหมือนช่วยนำทางให้เขากลับสู่ประสาทสัมผัสซึ่งควรจะมี หนึ่งการกระพริบตาเป็นช่วงเวลาที่นานที่สุดสำหรับชีวิตของเขา


    หลังจากกลับมานั้นสภาพแวดล้อมดูแปลกไป เขาสามารถเห็นทุกสายลมที่โหมกระหน่ำว่ากำลังจะไปในทิศทางใด เขามองเห็นทุกอย่างกำลังเคลื่อนไหวแต่มันช้าจนเหมือนหยุดนิ่งสนิท เขามองเห็นแม้กระทั่งเส้นทางซึ่งสายลมพยายามแหวกเอาไว้ให้...



    ทางนั้นมีอยู่แล้วแทบทั้งสิ้นแต่เขาไม่อาจรับรู้เพราะมัวแต่คิดจะบังคับสายลมทั้งหมด... ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้...



    สายลมไม่อาจบังคับกันเองได้ แต่คอยหนุนกันอยู่เสมอแม้มันจะบ้าคลั่งเพียงใด ชั่วพริบตานั้นเขาเพียงแค่เลือกหนุนให้สายลมที่พร้อมจะขย้ำศัตรูข้างหน้า และเลือกสายลมซึ่งหนุนให้ถาโถมเข้าซัดศัตรูอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะมองเห็นและหลบทัน



    การต่อสู้จบลงในชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น ทั้งหน่วยหนึ่งหน่วยสองถูกทำลายอาวุธในมือสิ้น สติทั้งหมดก็ถูกฟาดกระจุยกระจายสลบเหมือดไปตามกัน ก่อนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรพวกชาน่อนก็เห็นเพียงแค่ คู่ไครม์ปีศาจโดยสายลมขี้เล่นดีดกระเด็นกลิ้งแยกกันไปตามพื้น ตามมาด้วยเสียงโลหะแตกกระจาย และเสียงโครมครามจากการกระแทกพื้น ถล่มเก้าอี้ ทลายผนัง พังรูปปั้นของพวกหน่วยพิเศษ สายลมสุดท้ายหอบฝุ่นกระจุยไปทั่วห้องยักษ์ที่พินาศย่อยยับสิ้นเป็นการปิดฉากอย่างงดงาม... ถ้าที่โปรยปรายลงมาเป็นผงเพชร ซึ่งไม่ทำให้ระบบหายใจของผู้คนผิดปกติไอจามกันไปตามๆกัน นี่คงจะได้เป็นหนึ่งประวัติศาสตร์ใหม่ของหน่วยลับอีกครั้ง... หน่วยหนึ่งทั้งหมด และหน่วยลับที่สองซึ่งมาสมทบโดนทำลายสิ้นด้วยคนที่ตนจับมาเอง ซ้ำยังผนึกเวทมนตร์เอาไว้อย่างแน่นหนา ด้วยเวลาเพียงแค่สองนาทีเศษ...





    ห้องเล็กใกล้นั้นถูกโกยกองหนังสือตู้โต๊ะไปทับถมกันตรงมุมห้องเพื่อจะมีที่ทางให้คนเจ็ดคนอยู่กันได้สะดวกหน่อย หลังจากจบเรื่อง ณ ห้องโถง ดรีมรีบวิ่งไปอุ้มลีนพาดบ่าหยิบคทาจอมโวยใส่ชายเสื้อ แล้วพาพวกชาน่อนวิ่งหลบซ้ายหลบขวาตามกันมาจนได้แหล่งซ่อนตัวพักยก โดยไม่พบใครเลยอย่างน่าอัศจรรย์


    และเมื่อจัดห้องสำเร็จด้วยการโกยทับกันจนเป็นขยะพี่แกก็หอบตัวโยน ทิ้งร่างลงนั่งพิงกองหนังสือเงยหน้ามองเพดานทั้งยังหลับตาอยู่ พลางหยิบไม้เท้าเจ้าปัญหาออกมาโยนให้ราเฟรเซียอย่างแม่นยำโดยไม่ต้องหันมอง ความจริงแล้วราเฟรเซียกำลังข้องใจคิดจะเปิดปากถาม แต่เจ้าไม้เท้าผลึกนั่นกลับบ่นเหม็นเหงื่อซ้ำโวยวายไม่เลิกจนไม่มีช่องถาม


    เวลานั้นคำถามใหม่ก็บังเกิด... อันว่าคทานี้มีจมูกด้วยหรือ


    ดรีมเงื้อมือขึ้นกลางอากาศใช้นิ้วชี้วาดวงกลมก่อนจะเอามือผลักซะอากาศเป็นรูโบ๋ปล่อยให้กลุ่มเด็กทั้งหลายตะลึงตาค้างไปตามๆกันพูดจาไม่เป็นภาษา เขาล้วงมือเข้าไปในความมืดลากใบไม้ยาวยืดออกมาใบหนึ่งและโยนลงตรงหน้าตักของมีร่าซึ่งนั่งพับเพียบได้อย่างบรรจงวางโดยไม่ได้มองเช่นเคย


    "ดีเวนัสแถบนี้มีเขตผนึกป้องกันเวทรักษา ช่วยสนับสนุนยัยเด็กนั่นที แล้วก็เธอ... ช่วยเอาใบไม้นั่นพันแผลให้ลีนที" ดรีมสั่งมาเป็นชุด ไม่ว่าใครก็นึกว่าต้องทนกับเสียงโวยวายทะเลาะกันอีกรอบแต่ผิดคาดเมื่อ ราเฟรเซียลุกลี้ลุกลนสั่งพวกผู้ชายหันไปทางอื่น และทำตามแต่โดยดีทั้งที่โดนเจ้าไม้เท้าปากเสียนั่นแขวะเอาตั้งแต่ต้น


    "หลบอยู่อย่างนี้เดี๋ยวพวกนั้นก็ตามเจอหรอกครับ คุณ..."


    "ฉันชื่อดรีมน่ะ นายคงจะชื่อราลใช่ไหม?" ดรีมเติมเต็มประโยคของราลให้ ราลสะดุ้งตัวขึ้นนิดหนึ่งพลางนึกย้อนไปวันที่ไปเยี่ยมไอลา...


    "พวกเอลฟ์ไม่ถนัดพลังจิต ฉันกางม่านมายาไว้แล้วไม่มีหน้าไหนหาเจอแน่นอนรับประกัน" เขาตอบซื่อๆ แล้วก็หอบต่อไป...


    ราลกลืนน้ำลากหนึ่งอึกและกัดฟันเพื่อรวบรวมความกล้าถามชายข้างหน้าไปตามที่สงสัย


    "คุณคือคนที่ปลอมตัวเป็นราเฟรเซียกับมีร่าในวันนั้นใช่ไหมครับ..."


    คำถามนั้นทำให้ทั้งแบคซิค มีร่า ราเฟรเซียหันมามองยังคุณปีศาจเป็นทางเดียวกัน ดรีมเผยรอยยิ้มบางขึ้นบ้าง


    "ตอนนั้นยัยลีนทำฉันอายเป็นบ้า ต้องก้มหัวงุดๆตลอดทาง"


    "ผมอยากถามว่าตอนนั้นคุณอาศัยพวกเราทำอะไร และติดต่อกับชาน่อนเพื่ออะไรมากกว่าครับ"


    ประโยคนั้นต้องอาศัยความกล้าทั้งมวลถามออกมาทั้งตัวสั่นระริก และดรีมเองก็แปลกใจจนลืมตามาจ้องหน้าราลโดยตรง ร่างของเด็กหนุ่มที่แม้จะกลัวแต่ก็ยังซื่อตรงแก่ความรู้สึกมันทำให้รู้สึกว่า... เด็กคนนี้ตรงกันข้ามกับเขาลิบเลยทีเดียว...


    "คราวนั้นไม่มีเหตุผลพิเศษอะไรเลย มีเพียงแค่ให้ฉันได้พบกับไอลาชัดๆ เพื่อจำจิตให้ได้เท่านั้น"
    ดรีมตอบตามตรงแล้วทั้งห้องก็เงียบลงอีกครั้ง โดยมีสองสาวช่วยกันปฐมพยาบาลให้ลีน... ราเฟรเซียแอบมองดรีมอยู่เป็นพักๆ


    "แล้วคุณไม่รักษาตัวสักหน่อยหรือไงคะ?"


    ปีศาจดรีมได้ฟังแค่นั้นก็ลืมตาตื่นฉับพลันพลางสำรวจร่างกายตัวเอง ตั้งแต่แขนขาซึ่งโชกเลือด สีข้างทั้งสองก็โดนใบมีดอันคมกริบของสายลมบาดไปไม่น้อย กระทั่งคอเองก็มีรอยบาดแผลอยู่ถึงจะไม่ลึกอะไรมากแต่ก็น่าหวาดเสียวใช่เล่น


    "ละ ลืมไปเลยแฮะ" ว่าแล้วพี่แกก็หัวเราะกลบเกลื่อน


    ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ


    คนลืมตนเป็นฉะนี้น่ะเอง!!



    แต่แล้วดรีมก็ไม่รอให้เสียเวลาอีกต่อไป แขนเสื้อที่โดนเฉือนจนขาดนั้นพี่แกดึงออกทั้งสองข้างจนกลายเป็นเสื้อแขนด้วน ก่อนจะเลาะตะเข็บแล้วฉีกซ้ำทำเป็นผืนเพื่อเอามามัดเฉพาะบาดแผลใหญ่ตรงลำตัว และพันคอเอาไว้อย่างคล่องแคล่วและฉับไว ซ้ำทิ้งตัวลงนั่งพิงกองขยะเงยหน้ามองเพดานหลับตาลงพักผ่อนไป ทางสองสาวจะแบ่งใบไม้จากช่องลับให้ก็ไม่เอา


    "วิชาเมื่อครู่ประทับใจมากเลยนะครับ!" แบคซิคเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าห้องชักเริ่มเงียบ.. แน่นอนว่าคนอย่างหมอนี่เกลียดความเงียบเป็นที่สุด.. "พวกหน่วยพิเศษนั่นกระจุยในพริบตาเลย แบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวใครแล้วสิ" แบคซิคว่า แต่ดรีมกลับขมวดคิ้วมุ่นเป็นปม


    "ตัวปัญหาใหญ่คือกลุ่มของโอดราฟมากกว่า หมอนั่นอยู่หน่วยสามก็จริงแต่ฉันว่ามันต้องมีเหตุผลเชิงลึกอะไรสักอย่างแน่... ทีมนั้นทั้งทีมฝีมือเหนือกว่าพวกหน่วยหนึ่งเสียอีก..."


    คำพูดนั้นทำให้ทุกคนเสียวสันหลังวาบ ไม่เว้นแม้แต่คนพูด...


    "คุณดรีมเองก็มีวันอ่อนไหวเหมือนกันนะคะเนี่ยผิดคาด!"


    ดีเวนัสแกล้งแซวเล่นหมายหาเรื่อง ดรีมถอนใจเหมือนไม่อยากใส่ใจ แต่...


    "หุบปากดีเวนัส ฉันยังคิดอยู่เลยว่าจะจัดการพวกนั้นยังไง"


    คำพูดต่อจากถอนใจนั้นช่างเย็นเฉียบจับขั้วกระดูก หนาวสั่นไปทั่วกายาผู้ได้รับฟังทั้งหมด หลังจากนั้นทั้งห้องก็เงียบกริบมีแต่เสียงปีศาจร้ายพึมพำกับตัวเอง จนกระทั่งถึงประโยคว่า


    "สงสัยต้องใช้ Chaos Wing อีกรอบ..."


    หญิงสาวซึ่งหลับตาอยู่จนเมื่อครู่ลืมตาคู่สวยขึ้นทันใดแล้วกระพริบปริบๆ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก มองหน้าปีศาจผู้กำลังโดนคาดโทษจนเหงื่อแตกพลั่ก


    "ตาบ้าดรีม หยุดความคิดงี่เง่านั่นเดี๋ยวนี้เลยนะ ขืนเธอลองใช้วิชานั้นอีกสิฉันจะฟาดหัวเธอให้ลงไปนอนกองก่อนที่คุณฟาร์จะโผล่ออกมาเตือนอีกแน่"


    ดรีมเปลี่ยนไปมองเพื่อนร่วมทีมทั้งหมดอีกรอบ แล้วนึกไปถึงสภาพยามเจอกับโอดราฟ...


    เจ้าพวกเด็กที่ยืนแข้งขาสั่นกับแค่หน่วยหนึ่งเนี่ยนะ...


    ถ้าปัจจัยสำคัญไม่เกิด... ไม่ใช้วิชานั่นก็รอความตายชัดๆ


    ดรีมคิดแล้วแอบมองลีนด้วยหางตา เขาสะดุ้งขึ้นฉับพลันแววตานั้นเหมือนอ่านใจเขาได้ทะลุปรุโปร่ง ไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจเอาเสียเลย!


    "เอาล่ะจะไปกันได้ยัง!" ดรีมเปลี่ยนเรื่องได้ทันใจทั้งเหงื่อยังชุ่มเพราะโดนกดดัน


    "เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งหนีนะ!!" ลีนตวาดเสียงดัง แต่คราวนี้ดรีมกลับยืนขึ้นตีสีหน้าเหมือนผู้เหนือกว่าเป็นครั้งแรก


    "ไม่รีบอาจจะไม่ทันแล้วก็ได้ เพราะพวกบ้านั่นคงระแวงพวกเรามากจนเร่งทำพิธีมาสักครู่ล่ะ"


    "ว่าไงนะ ทำไมไม่รีบบอกเล่า"


    "ถ้ารีบบอกเธอก็ไม่ได้พัก ผลก็คงไม่ต่างอะไรกับไปตายเปล่าหรอก พวกโอดราฟมันสงบนิ่งอยู่จุดเดียวมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วเหมือนกัน ใกล้กับพวกที่กำลังทำพิธีทีเดียวยังไงก็ต้อง... ชนให้ยับไปข้างตรงนั้นแหละ"


    เขาเว้นระยะคำพูดเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยต่อไป "มีปัญหาอะไรอีกไหม?"


    แต่ละคนส่ายหน้ากันไปคนละทิศแสดงความสามัคคีอันเหลือเกินจะกล่าว



    "เธอจะใช้ปีกนั้นอีกก็ได้นะ" ลีนพูดเสียงค่อยแกล้งทำเป็นกอดอกเบนหน้าไปทางอื่นก่อนจะเอ่ยเสริมต่อไปอีกว่า



    "แล้วฉันก็จะทะยานไปช่วยอย่างแน่นอน" ประโยคหลังนี้แทบจะทำให้ดรีมสะดุดขาตัวเองหน้าคะมำ



    สำหรับเขาแล้ว คนที่จับจุดอ่อนของเขาได้มากที่สุดไม่ใช่โอดราฟหรือใครหน้าไหนทั้งนั้น แต่เธอคือหญิงสาวซึ่งกำลังวิ่งหัวเราะคิกคักตามหลังเขามานี่ต่างหากเล่า!!





    ในขณะกลุ่มชายห้าคนซึ่งนั่งรออยู่นั้น บ้างก็กำลังหาวหวอด บ้างก็ยืนยืดเส้นยืดสายบิดขี้เกียจ มีเพียงคนเดียวซึ่งไม่ยอมวอกแวกแม้แต่น้อย สายตามองตรงไปข้างหน้า.. ห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสนี้เป็นเพียงเส้นทางเดียวหากจะตรงดิ่งไปสู่ห้องพิธีกรรม ในที่สุดสิ่งที่เขารอคอยมันก็มาถึง... มันคือลูกไฟดวงโตสว่างจ้าพุ่งตรงมาจากห้องทางซ้าย ลอยดุ่ยๆเหมือนจะสิ้นลมแต่อันที่จริงมันคือการหักเลี้ยวและพุ่งตรงเข้าใส่พวกเขาทั้งทีมโดยไม่มีคำเตือนใดล่วงหน้า



    ขนาดคนซึ่งนั่งกอดอกมองไม่ละสายตาอย่างโอดราฟยังคาดไม่ถึง พวกที่ไม่ได้เตรียมตัวโดยเฉพาะคนกำลังยืนหาวอย่างฮาซจะไปหลบได้ยังไง โอดราฟไม่มีแม้แต่เวลาเตือนอาศัยฮาซเป็นฐานรองเท้ายันโครมไปติดผนังส่วนขาของตนก็ไฟลุกพรึ่บทั้งที่มันเพียงแค่เฉี่ยว ลูกไฟยักษ์ระเบิดตูมกลางอากาศสะเก็ดไฟสร้างความสับสนอลหม่านได้ไม่ใช่น้อย ช่วงเวลาเดียวกันพวกที่แอบซ่อนอยู่ก็โผล่พรวดออกมาจู่โจมพร้อมกัน ทั้งไฟ น้ำ น้ำแข็ง และสายลม ตามถนัดของแต่ละคน ทว่าความปั่นป่วนคล้ายปาหี่หลอกเด็กก็คงไม่มีทางทำอะไรพวกกลุ่มของแท้ได้..



    ทั้งห้าคนนั้นเลือกหลบแค่เวทของลีน ส่วนที่เหลือไม่มีค่าให้ใส่ใจเพียงสะบัดชุดคลุมนิดเดียวเวททั้งหลายนั้นก็กระดอนกระทบกันเองสลายไปสิ้นทั้งหมด ซ้ำยังทำหน้าระรื่นสบายอารมณ์เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น... ยกเว้นกับชายผมสั้นสีดำหน้าตาป่าเถื่อนซึ่งเลือดกำเดาไหลพรากไม่หยุดเพราะจูบผนังเมื่อครู่ด้วยฝีมือของโอดราฟ



    ทันทีที่กลุ่มควันจากการปะทะนั้นจางลง ราเฟรเซียกับราลพบบุคคลซึ่งเขาไม่คิดว่าจะได้เจออีก และชายผู้นั้นก็ยิ้มรับอาการตกใจเอาไว้ราวกับบอกว่า "นั่นคือความเป็นจริงอย่าได้สงสัยไปอีกเลย.."


    "อาจารย์เกียรานอส... ทำไมล่ะ... คะ?"


    ชายผมดำยาวประบ่าดูน่าเกรงขามผู้นั้นยักไหล่นิดหนึ่ง


    "แหมคุณราล คุณราเฟรเซีย คุณแบคซิค และคุณมีร่า มากันครบทีมเลยนะครับ น่าเสียดายว่านี่คือทางที่คุณเลือก เราเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกำจัดพวกคุณเท่านั้น"


    เกียรานอสผู้พี่เอ่ยอย่างชัดเจน ทำให้แม้แต่หญิงเหล็กอย่างราเฟรเซียตัวสั่นเทา... ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นเพราะความเกรงกลัวเท่านั้น หากแต่เกียรานอสเองก็เป็นคนหนึ่งซึ่งเธอให้ความเชื่อมั่นและเชื่อถือไม่ใช่น้อย เวลานี้กลับต้องมายืนเผชิญหน้ากันชนิดตัดเยื่อใยขาดสะบั้น


    แต่ความหวั่นใจของเธอไม่มีวันเท่ากับราลซึ่งต้องเผชิญหน้ากับโบรมีเนน


    "ราล ข้าว่าเจ้าเคยสัญญาว่าจะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวังมิใช่หรือ?"


    "คุณ... บัล"


    ราลเรียกชื่อจริงของโบรมีเนนให้เป็นที่ประจักษ์กันเป็นครั้งแรก ทั้งดรีมกับลีนเองก็ไม่เคยคาดคิดว่าสองคนนี้จะรู้จักกัน จากเตรียมลอบโจมตีก็กลับกลายเป็นเลือกยืนรอดูท่าอยู่ข้างหน้ามากกว่า


    "เจ้ายังมีทางเลือก จะข้ามมาอยู่ข้างเดียวกับข้าหรือไม่"


    โบรมีเนนยื่นคำขาด แต่ราลก็ไม่ตอบเอาแต่ก้มหน้าก้มตาลงพื้นไม่กล้าสู้สายตาอันแข็งกร้าวของโบรมีเนน


    "ราล!"


    เสียงเรียกของแบคซิคพร้อมกับแตะบ่าอย่างอ่อนโยนนั้นทำให้ราลสะดุ้งตัวขึ้นมามองหน้าเพื่อนๆอีกครั้งหนึ่ง มันน่าแปลกที่ความกังวลใจต่างหายไปอย่างง่ายดายราวกับโกหก...


    เขามาที่นี่อย่างมีจุดหมาย


    สิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่เขาคิดว่าจะไม่มีวันเสียใจเป็นอันขาดแต่แรกแล้ว มิเช่นนั้นคนคิดมากอย่างเขาคงไม่ทำ



    "ไม่ครับคุณบัล คุณเป็นคนสอนให้ผมรู้จักความสำคัญของเพื่อนพ้องเอง สิ่งที่ผมทำก็เป็นไปตามคำสั่งสอนของคุณ คุณบัลคงไม่ผิดหวังหรอกจริงไหมครับ?"


    "ชิ"


    "ถ้านั่นเป็นทางที่เจ้าเลือกแล้วล่ะก็... มันก็ช่วยไม่ได้..."


    โบรมีเนนยังพูดไม่ทันจบเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น มันคือเสียงของมีคมแทงทะลุร่างของใครสักคน


    "อะ อั่ก..?" ราลเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่ท้องของตนมีอะไรบางอย่างเสียบคาอยู่ ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วร่าง น่าแปลกว่าเขามิได้โดนจู่โจมจากข้างหน้า หากแต่เป็นข้างหลัง และข้างหลังของเขาจะมีใครอีกหากไม่ใช่เพื่อนรักที่มาแตะบ่าของเขาเมื่อครู่


    "บะ แบคซิค" ราลหันกลับไปมองเมื่อพลังเวทอันดันแน่นจนกลายเป็นดาบนั้นค่อยๆถูกดึงออกอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของเพื่อนสนิท... เพื่อนที่รู้จักกันมานานกลับกลายเป็นมารร้ายยิ้มให้เขาอย่างสะใจ ความเจ็บปวดภายในใจนั้นยิ่งกว่าความรู้สึกของร่างกายมากนัก ฟันล่างบนของเขาขบกันแน่นและเผลอกัดริมฝีปากจนเลือดไหล ดวงตาอันพร่ามัวดับลงเพราะไม่ต้องการเห็นอะไรไปมากกว่านั้นอีกแล้ว...


    เวลานั้นทุกคนลืมหายใจไปชั่วขณะ ยกเว้นเพียงจอมเจ้าเล่ห์ซึ่งกระโดดหลบฉากไปก่อนจะโดนจับตัวเอาไว้


    คนที่ตั้งสติได้ก่อนใครไม่พ้นโอดราฟ เขาเบิกรอยยิ้มบางขึ้นเมื่อความจริงทั้งหมดปะติดปะต่อกันสมบูรณ์แล้ว


    "อย่างนั้นเองสินะ ข้าเองก็สงสัยอยู่ว่าใครเป็นผู้คอยตามสังเกตการณ์ชาน่อน เจ้านี่เอง"


    "ฮะ ฮะ ฮะ สมเป็นคุณโอดราฟ หัวหน้าหน่วยสองอย่างผมกลับต้องมาทำงานงี่เง่าพรรณนี้ช่างน่าเบื่อเสียจริง คุณว่าจริงไหม?" แบคซิคเล่นเผยเปลือกและธาตุแท้ออกมาเองเสียทั้งหมดก่อนที่ราเฟรเซียจะตวาดด่าเข้าให้ เธอจึงไม่มีอะไรจะพูดได้แต่กัดฟันมองทั้งราลและแบคซิคสลับกันไปมาอย่างโกรธแค้น ในวันนี้เธอเองก็เจอเรื่องเลวร้ายมามากพอแล้ว... มันมากเกินไป หัวใจอันอัดแน่นไปด้วยความชิงชัง และเสียใจกลั่นเลือดให้กลายเป็นน้ำใสไหลลงจากดวงตาทั้งสองข้าง


    โบรมีเนนเป็นอีกคนหนึ่งที่ยังไม่หายตกใจ ภาพเด็กน้อยซึ่งคอยเคียงข้างเขามาตั้งแต่เด็กถูกแทงและล้มลงไปนอนอาบกองเลือดยังฝังแน่นอยู่ติดตา และตรึงใจไม่ยอมหาย


    เจ็บ


    เขาเจ็บใจจนต้องเอามือกดที่อกเอาไว้แน่น สองขาเดินเหมือนลอยตามแรงดึงดูดของอะไรบางอย่างผ่านดรีมกับลีนไปง่ายๆ และคุกเข่าลงกองกับพื้นไม่ใส่ใจว่าใครจะทำอะไรหรือเป็นอะไรอีกต่อไป ในสายตาของเขามีแค่เด็กคนหนึ่ง.. คนเดียวตรงหน้านี้ แขนทั้งสองข้างยันพื้นไว้แล้วค่อยๆบรรจงโน้มตัวลงกอดร่างอันไร้สติเอาไว้อย่างอ่อนโยน เสียงสะอื้นของชายผู้แสนเข้มแข็งมันสะท้อนใจแทบทุกคนในบริเวณ ยกเว้นก็เพียงแค่พวกใจหินซึ่งยืนกอดอกเรียงรายกันอยู่ราวกับกำลังดูละครชั้นยอด...



    "เฮ้ มีร่า ดับชีวิตสองคนนั่นทีสิ" แบคซิคตะโกนสั่ง คราวนี้ราเฟรเซียสะดุ้งขึ้นทันใด เมื่อหันไปสบตากับหญิงสาวซึ่งอยู่ข้างกายตนมาตลอด และเธอผู้นั้นก็หลบสายตาไป...



    "มีร่านี่เธอเองก็..." ชาน่อนโพล่งขึ้นเสียงค่อยแต่ก็ไม่พยายามพูดให้จบ


    "มีร่า บอกฉันมานะว่ามันไม่ใช่ความจริงน่ะ" ราเฟรเซียจับไหล่ทั้งสองข้างของมีร่าเขย่าเพื่อคาดคั้น


    "ฉัน..."


    มีร่าสะอื้นไห้ส่ายหน้าไปมาจนผมฟูฟ่องยุ่งเหยิงไปหมด


    "มีร่า ฉันสั่งเธอ ไม่ได้ขอร้อง ด้วยฐานะของหัวหน้าหน่วยสอง"


    "นี่พวกแกจะเลวกันไปถึงไหนวะ" ดรีมอดเดือดไม่ได้ตั้งท่าจะลุยเข้าไปซึ่งหน้าเพื่อกระชากเด็กจอมตีสองหน้าฟาดลงพื้นให้หนำใจ แต่หมอนั่นกลับหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง ของสิ่งนั้นทำให้ใบหน้าของมีร่าซีดลงยิ่งกว่าเก่า


    แบคซิคดีดผลึกแก้วนั่นอย่างแรง มีร่าเอามือกุมหน้าอกทรุดร่างลงกับพื้น ฟันขบกันแน่นน้ำตาไหลพราก ราเฟรเซียไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และไม่คิดจะหาสาเหตุอีกเธอทุ่มพลังทั้งหมดซัดเข้าใส่แบคซิคโดยไม่ลังเล แต่แบคซิคกลับเอาผลึกนั้นป้องกันเอาไว้ มีร่าแผดเสียงกรีดร้องลงไปดิ้นพราดอยู่บนพื้นอย่างฉับพลัน ในเวลานั้นไม่มีใครคิดอะไรออกอีก ในเมื่อตัวประกันก็อยู่ในมือของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน



    "ตกใจสินะ แต่นี่คือผลึกมาน่าอีกส่วนซึ่งเชื่อมต่อกับที่มีในร่างของยัยนั่น แต่ราเฟรเซียเธอนี่ไม่มีแรงเอาเสียเลยเรานึกว่ามันจะแตกไปแล้วเสียอีก" ว่าแล้วแบคซิคก็หัวเราะลั่นอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า "มีร่าโอกาสสุดท้ายของเธอคือฆ่าราเฟรเซียซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะขยี้หินนี่ให้เละเลย"



    ราเฟรเซียปล่อยโฮออกมาเต็มเสียง ทิ้งมาดองค์หญิงผู้สูงศักดิ์สิ้นกระโดดเข้าสวมกอดเพื่อนสนิทของเธอโดยคิดว่า แม้ตอนนี้เธอจะต้องตายด้วยเงื้อมมือของมีร่าเธอก็ไม่คิดจะขัดขืนด้วยซ้ำ ส่วนมีร่าเองก็เข้าใจมือที่เงื้อออกเล็งตรงหัวใจของสาวผมเขียวยังคงไม่ขยับ หากแต่สั่นเทิ้มไม่มีวี่แววว่าจะลงมือแต่อย่างใด



    "แบคซิค นายทำบ้าอะไรของนายเนี่ย ที่ผ่านมาฉันเชื่อเสมอนะว่านายคือเพื่อน... เพื่อนคนแรกของฉันบนโลกใบนี้!!"


    "นั่นมันการแสดงชาน่อน ไม่อย่างนั้นเราไม่มีทางคบกับไอ้ห่วยอย่างนายแน่"


    แบคซิคพูดจบก็เริ่มนับถอยหลังและขยี้ผลึกในมือทีละน้อย มีร่าทนความเจ็บปวดไม่ไหวอีกต่อไป เธอลงไปดิ้นพล่านด้วยความทรมานโดยมีหญิงสาวผมเขียวคุกเข่าร้องเรียกชื่อของเธอไม่หยุด


    "พอกันสักที เธอขัดคำสั่งฉันมามากพอขอลาล่ะ" แบคซิคพูดด้วยเสียงเหนื่อยหน่าย นิ้วชี้ข้างขวามีไฟฟ้าแลบแปลบปลาบอย่างน่าสะพรึงกลัวและนิ้วนั้นจี้เข้าใกล้ผลึกซึ่งเป็นแก่นของชีวิตของมีร่าเต็มทน แต่ในวินาทีเดียวกันนั้นผลึกดังกล่าวก็หายวับไปกับตาท่ามกลางความตกตะลึงของกลุ่มผู้อยู่เหนือกว่า แบคซิคหันหาสิ่งของในมือตนไปทั่ว แต่เมื่อสบตากับโอดราฟเขาก็เข้าใจทันทีว่ามันหายไปไหน...


    โอดราฟเดินเข้าหาดรีมอย่างช้าๆแล้วกลับหลังหันเพื่อเผชิญหน้ากับ กลุ่มผู้เป็นพรรคพวกของตน หรืออาจจะเรียกได้ว่าเคยเป็นจนกระทั่งเมื่อครู่นี้...


    "ขอโทษดรีม แต่ข้าหาจังหวะไม่ได้เอาเสียเลย แถมตอนนี้ข้าหมดความอดทนเสียแล้วเราคงต้องลำบากกันหน่อย"


    "อย่ามาตีซี้ง่ายๆโอดราฟ ฉันไม่ลืมเรื่องที่นายช่วยหักไทม์หรอกนะ จบเรื่องฉันคิดบัญชีกับนายแน่"




    โดยไม่ต้องสบตาและไม่ต้องมองหน้า ทั้งคู่เบิกรอยยิ้มกว้างขึ้นมาพร้อมๆกัน




    "ลีน เธอช่วยรักษาเด็กนั่นก่อนเถอะ ปล่อยให้โบรมีเนนมันจัดการท่าจะไม่รอด" ทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกันจนคนมองไม่รู้จะเรียกว่าในเวลานั้น.."
    มีโอดราฟสองคน" หรือ "มีดรีมสองคน" ดี...







    ================================


    เวลาเขียนมีพรุ่งนี้อีกวันสินะ จะจบลงไม๊ จะจบลงไม๊นะ ลุ้น!!!

    อย่าว่าแต่คนอ่านเลยครับ คนเขียนก็อยากจะต่อให้จบมากๆๆๆๆๆๆ

    ป.ล. ไม่รู้หรอกนะว่าคนอ่านจะอินไหม แต่สำหรับไอ้ท้อง... "อินมาก" สำหรับตอนนี้ แงๆๆๆ (บ้าไปแล้วคนเรา)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×