ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไม้ชายเมือง

    ลำดับตอนที่ #1 : เอื้อย

    • อัปเดตล่าสุด 1 ธ.ค. 55


             
    ตอน ๑ - เอื้อย
                ฝนตกหนักในเช้าวันหนึ่ง แล้วจู่ๆฝนก็หยุดตก  ท้องฟ้าสว่างไสว ทางทิศตะวันตกมีรุ้งตัวสวยพาดเป็นวงกว้าง   ละอองฝนในอากาศยังมีหลงเหลือดูระยิบระยับในแสงแดดยามสาย  ต้นไม้ใหญ่น้อยใบเขียวสะพรั่งดูชุ่มชื่นด้วยหยาดน้ำฝน และเมื่อมีลมพัดมาเบาๆ ใบก็สั่นพลิ้วจนหยดน้ำร่วงกราวลงสู่พื้นดิน
              ที่ถนนลูกรังเส้นเล็กซึ่งทอดตรงมาสู่หมูบ้านจากถนนใหญ่นั้น  มีร่างเล็กๆใส่เสื้อกันฝน หมวกคลุมจนแทบมิดหน้า สองมือจูงจักรยานคันเก่าไถมาตามพื้นถนน  ที่ล้อจักรยานเต็มไปด้วยดินโคลนเปรอะเปื้อนไม่ต่างจากเท้าทั้งคู่ของผู้จับจูง เท้าทั้งสองข้างนั้นถูกพอกหนาด้วยดินโคลนปนลูกรัง  ส่วนรองเท้าที่เปียกแฉะทั้งคู่นั้นอยู่ในตะกร้าหน้ารถจักรยาน
              ร่างนั้นจูงจักรยานมาตามถนนจนกระทั่งถึงทางเลี้ยวเข้าบ้านหลังหนึ่งจึงจอดรถไว้ที่เชิงบันได  ถอดเสื้อกันฝนออกพาดจักรยานไว้แล้วเดินไปที่โอ่งน้ำบนที่พักบันไดขั้นแรก หยิบขันตักน้ำขึ้นมาราดลงบนเท้าทั้งสองข้าง  หล่อนเป็นเด็กหญิงกำลังรุ่น ผมตัดสั้นแค่หู รูปร่างค่อนข้างผอมออกเก้งก้างเล็กน้อย ผิวขาว เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งและกางเกงขาสามส่วนทำให้หล่อนมองดูเหมือนเด็กผู้ชายแก่นๆคนหนึ่ง
              " เอื้อย  มาแล้วหรือลูก เจอฝนเข้าตรงไหนล่ะ "  
               หญิงกลางคนวัยสี่สิบต้นๆโผล่มาที่หัวบันได  ยืนมองลูกสาวอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากออกปากถามแล้วไม่ได้ยินคำตอบก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน  หลังจากนั้นไม่นานเด็กสาวที่แม่เรียกว่าเอื้อยก็เดินขึ้นมาบนบ้าน  พ่อกับแม่นั่งรออยู่แล้ว หล่อนคุกเข่าลงใกล้ๆพ่อกับแม่
              " พ่อ...แม่... หนู..หนู..หนูสอบไม่ได้หรอกจ้ะ " เอื้อยมองหน้าพ่อกับแม่แล้วก็ก้มหน้า น้ำตาร่วงพรู สะอึกสะอื้น เพราะรู้สึกอัดอั้นมาเป็นเวลานานตั้งแต่เห็นและแน่ใจว่าบนกระดานที่เขาติดประกาศผลการสอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนในเมืองนั้นไม่มีชื่อของหล่อน นางสาวดวงกมล  ใจสุข
              " ไม่เป็นไร  ไม่เป็นไรลูก" พ่อปลอบ เสียงห้าวๆลึกๆนั้นมีความอ่อนโยน พ่อพูดเสียงอย่างนี้เสมอเวลาเอื้อยร้องไห้ตั้งแต่เอื้อยจำความได้ " เอื้อยอย่าเพิ่งคิดมากเลยลูก  ไปกินข้าวกันก่อน พ่อกับแม่รออยู่ ยังไม่ได้กินเหมือนกัน"   
              พ่อจับแขนลูกสาวลุกขึ้น  ส่วนแม่ลุกนำเข้าครัวไปก่อนแล้ว
              เอื้อยรู้สึกตื้นตัน  เสียใจไม่หาย คงจะกินข้าวไม่ลงหรอกแต่ไม่รู้จะบ่ายเบี่ยงอย่างไร พ่อกับแม่อุตส่าห์รอ สายจนป่านนี้แล้ว ยังรอฟังข่าวหล่อนอยู่  นี่ถ้าข่าวที่หล่อนนำมาเป็นข่าวดี ข้าวมื้อนี้คงอร่อยกว่ามื้อใดๆ
              " ออมล่ะพ่อ  ออมไปไหน" เอื้อยถามถึงน้องชาย
              " ออมออกไปนาตั้งแต่เช้า  เห็นว่าวางลอบดักปูเข้าไว้  แต่ออมเขากินข้าวไปแล้วละ"
              " พ่อ หนูไปเรียนโรงเรียนราษฎร์ได้ไหม" เอื้อยจับแขนพ่อพูดเสียงเบา
              แม่กำลังยกสำรับกับข้าววางลงบนพื้น  คงจะได้ยินแว่วๆ นางเหลือบตามองแต่ก็มิได้พูดอะไร คงหยิบจานมาตักข้าวแล้ววางลงข้างๆสำรับ
              " กินข้าวก่อนลูก  เดี๋ยวค่อยคุยกัน" พ่อบอก แล้วทรุดตัวลงนั่ง เลื่อนชามข้าวให้ลูกสาวอย่างเอาใจ
              เอื้อยตักข้าวเข้าปากอย่างช้าๆ สมองไม่หยุดนิ่ง  หล่อนจะทำอย่างไรดีหนอหากพ่อและแม่ไม่เห็นด้วยที่จะให้เรียนต่อในโรงเรียนเอกชนเพราะค่าเล่าเรียนค่อนข้างแพง  ถึงทางบ้านจะไม่ขัดสนแต่รายจ่ายที่ต้องดูแลพี่ชายที่บาดเจ็บอยู่โรงพยาบาล และค่าเล่าเรียนของน้องชายที่กำลังจะขึ้นชั้นมัธยม แล้วยังการลงทุนใหม่กับไร่นาสวนผสมที่พ่อตัดสินใจปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงจากการทำนาเพียงอย่างเดียวอีก นึกแล้วเอื้อยก็หวั่นใจ น้ำตาปริ่มๆจะไหลออกมาอีก
              พ่อลุกไปล้างปากหลังกินข้าวอิ่ม  ขณะที่แม่เก็บสำรับเอื้อยก็หมดความอดทน หล่อนสะอื้นเฮือกตรงเข้าไปกอดแขนแม่ ซบศีรษะลงกับบ่านาง
              " แม่  หนูคงไม่ได้เรียนแล้วใช่ไหมจ๊ะ"
              นางลูบศีรษะของบุตรสาวด้วยความสงสาร ปลอบเบาๆว่า
              " ฟังพ่อเขาก่อนนะเอื้อย  พ่อเขายังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย  เขาอาจให้เอื้อยเรียนก็ได้"
              " แม่ล่ะ"  เอื้อยอ้อน " แม่จะยอมให้เอื้อยเรียนไหม" เอื้อยฝากความหวังไว้กับมารดาทั้งๆที่ไม่สู้แน่ใจในตัวมารดานัก
              " แม่ไม่รู้หรอก  แล้วแต่พ่อเขาเถอะ  ถ้าพ่อให้เรียนแม่ก็ไม่ว่า" นางได้แต่โอบบุตรสาวไว้  อยากช่วยลูกมากกว่านี้ แต่นางก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรสักเท่าไร  สามีว่าอย่างไรนางก็ว่าอย่างนั้นมาตั้งแต่เริ่มมีชีวิตคู่อยู่ด้วยกันโน่นแล้ว
              " เอื้อย" เสียงพ่อเรียกมาจากมุมหนึ่งของบ้าน  เอื้อยผละจากแม่ไปหาพ่อที่ยืนพิงหน้าต่างที่เปิดออกสู่ทางทิศตะวันตก  เมื่อเอื้อยเดินไปถึง พ่อก็ขยับแบ่งที่ให้เอื้อยยืนอยู่ริมหน้าต่างด้วย
              " เอื้อย  หนูสอบเรียนต่อไม่ได้นี่ หนูรู้สึกยังไง แล้วคิดยังไง" 
              เอื้อยงงงันกับคำถามของพ่อ  แต่หล่อนก็พยายามตอบ
              " หนู  หนูเสียใจจ้ะพ่อ  หนูกลัวไม่ได้เรียนต่อ  หนูอยากเรียนต่อ"
              " ถ้าหนูได้เรียนต่อ  หนูจะเรียนไปถึงไหน แล้วจะเป็นอะไร" พ่อคงหมายถึงการประกอบอาชีพ  เอื้อยคิด
              มีความฝันมากมาย ที่เอื้อยมักคิดไปเรื่อยเปื่อยตามอารมณ์ บางครั้งหล่อนอยากเรียนเก่งๆเพื่อสอบเข้าเป็นนักเรียนแพทย์ตามความนิยมของวัยรุ่นที่เรียนเก่งๆทั่วไป  บางคราวหล่อนอยากเรียนภาษาเก่งๆเพื่อจะเป็นแอร์โฮสเตส  เป็นไกด์ หรือทำงานเป็นเลขาในบริษัทใหญ่ๆระดับชาติ ไม่ว่าความอยากมีอยากเป็นของหล่อนจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแค่ไหน ภาพความฝันเหล่านั้นจะดูฟุ้งเฟื่อง หรูหรา อยู่ในเมืองใหญ่ ได้แต่งตัวสวยและเงินเดือนแพงๆทั้งนั้น  เอื้อยนึกอายที่จะบอกพ่อตามตรง จึงอ้ำอึ้ง แล้วก็บอกพ่อเหมือนทุกครั้งที่พ่อเคยถาม
              " เอื้อยอยากเรียนสูงๆไว้ก่อนน่ะจ้ะพ่อ"
              " เอื้อยอยากเรียนสูงแค่ไหนล่ะลูก"
              " เอื้อย  เอื้อยอยากจบปริญญา .. ปริญญาตรีน่ะจ้ะ"
              " จบแล้วจะเป็นอะไรล่ะ  ทำอาชีพอะไร"
              เอื้อยนิ่งเงียบ  หล่อนเรียนไม่เก่งเลย  วิชาที่พอจะได้คะแนนดีอยู่บ้างคือพวกวิชาที่ต้องลงมือปฏิบัติ  ส่วนวิชาสามัญที่เป็นหลักการและทฤษฎีหล่อนมักจะได้คะแนนต่ำหรืออย่างดีก็คาบเส้นแค่นั้น
              " ว่าไงเอื้อย  ถ้าเอื้อยเรียนจบ  เอื้อยคิดว่าจะทำงานอะไร"
              " ไม่รู้จ้ะ หนูยังไม่รู้  หนูต้องดูก่อนว่าถ้าได้เรียนจบ ม.ปลายแล้ว ถ้าหนูจบแล้วสอบเรียนต่ออะไรได้ ก็  ก็คงประกอบอาชีพนั้น"
              พ่อชี้แถบรุ้งสีสวยที่ขอบฟ้าที่ยังแจ่มชัดให้เอื้อยดู
              " เอื้อย  ดูรุ้งซิลูก  สวยไหม" เอื้อยมองดูสายรุ้งอย่างงงๆ แต่ก็ตอบคำถามของพ่อตามความรู้สึก
              " สวยจ้ะพ่อ  สวยมาก  มีอีกตัวนึงด้วย ดูบางๆ เห็นแต่ปลายๆโน่น" หล่อนชี้เลยไปยังรุ้งตัวที่สองที่อยู่ไกลออกไป
              " ความฝันของคนเราน่ะนะเอื้อย บางครั้งก็เหมือนรุ้ง มันสวย สดใสแต่เอื้อมไม่ถึง จับต้องไม่ได้  บางทีมันแจ่มชัด บางทีมันเห็นเป็นเงาๆ แต่มันก็สวย เห็นทีไรมองทีไรก็สดชื่น  ไม่เหมือนต้นไม้ใบหญ้าที่บางทีก็สดชื่น บางทีก็แห้งเหี่ยว แต่เราจับต้องมันได้" พ่อหยุดนิ่ง  มองดูลูกสาวว่า หล่อนฟังไปอย่างนั้นเอง หรือว่าคิดตาม
              เอื้อยก้มหน้า  น้ำตาหยดเผาะลงมาอีก  หล่อนเกาะแขนพ่อแน่น
              " พ่อหมายความว่า จะไม่ให้หนูเรียนหรือจ๊ะ"
              พ่อลูบศีรษะบุตรสาวด้วยความปรานี
              " พ่อยังไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย  เอาเถอะ  พ่อจะให้เอื้อยเรียน  แต่เอื้อยต้องรู้นะว่า เอื้อยควรจะมีความหวังความฝันแค่ไหน  ถ้าเอื้อยไม่รู้จักตัวเองความฝันของเอื้อยก็เหมือนรุ้งที่เอื้อยอาจไม่มีโอกาสสัมผัสมันเลย  แต่ถ้าเอื้อยรู้จักตัวเองความฝันของเอื้อยก็คงจะเหมือนใบไม้ใบหญ้าที่อยู่แค่เอื้อมนี่เอง  เอาเถอะ วันนี้ลูกอาจไม่เข้าใจ  สักวันลูกคงเข้าใจ" หวังว่ามันคงไม่นานจนเกินไปนักผู้เป็นบิดารำพึงต่อในใจ
              " พ่อจ๋า  ขอบคุณพ่อมากจ้ะ  หนูรักพ่อมากที่สุดในโลกเลย"
              พ่อเดินจากไปนานแล้ว  เอื้อยยังคงยืนมองรุ้งสองตัวไกลโพ้นอยู่ต่อไปด้วยใบหน้าที่สดใสขึ้น
              " สวยจริงๆจ้ะ รุ้งสวยจริงๆ" เอื้อยยิ้มกริ่มกับรุ้งสีทองในความคิด
                              
                                                     ************************



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×