ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เอก
ตอนที่ ๓ - เอก
ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่กว้างขวาง แต่เต็มไปด้วยเตียงคนเจ็บ ที่แขวนน้ำเกลือ อุปกรณ์ช่วยเหลือคนป่วยบางชนิดที่ติดตั้งริมเตียงผู้ป่วยบางเตียง มีกลิ่นยาผสมความอับชื้นที่เกิดจากความเก่าแก่ของตัวตึก และบรรยากาศครึ้มซึมเซาหลังฝนตกหนัก เอกหรือเอกศักดิ์ ใจสุข นอนนิ่งอยู่บนเตียงชิดฝาห้องด้านหนึ่ง สายตาจับจ้องอยู่ที่ฝ้าเพดาน มีใยแมงมุมขนาดย่อมอยู่ที่นั่นใกล้ๆหลอดไฟ แมงมุมตัวหนึ่งกำลังชักใยอยู่อย่างขะมักเขม้น มันทิ้งตัวลงมาตามเส้นใย จะเหนื่อย จะพลาดหรือจะเป็นวิธีการปล่อยเส้นใยเอกไม่รู้ แต่ไม่นานนักมันก็จะไต่เส้นใยของมันขึ้นไปใหม่ แล้วเริ่มถักทอข่ายดักเหยื่อของมันอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า
น้ำตารื้นขึ้นมาปริ่มๆจะล้นตาออกมาให้ได้อยู่ครู่หนึ่ง เอกรีบสะกดมันเข้าไว้ ตามองแมงมุมเขม็ง "เราต้องไม่ยอมแพ้" เอกบอกตนเองอย่างมุ่งมั่น "เหลือขาเดียว ก็ยังดีกว่าไม่เหลือเลย"
เอกรู้ดีว่าขาข้างขวาของเขาขณะนี้เหลือเพียงแค่เหนือเข่าเล็กน้อยเท่านั้น "แขนเราก็ยังมี ถึงมันจะใส่เฝือก มันก็จะต้องหายดีสักวัน มือเราก็ใช้งานได้นี่นา"
เอกก็เหมือนวัยรุ่นหนุ่มคะนองทั่วๆไป ที่ชอบอะไรในทางโลดโผน เขาอายุสิบเก้าปีเต็มแล้ว กำลังเรียนวิชาเครื่องยนต์ระดับ ปวส.ปีแรกก็เกิดเรื่อง แม้จะตั้งใจดีที่จะเล่าเรียนให้จบแล้วหางานดีๆทำ แต่เอกก็มีเพื่อนวัยคะนองทั้งนั้น แก๊งมอเตอร์ไซค์ของเอกที่มีกันอยู่ห้าคน เพิ่งจะเริ่มกิจกรรมอันน่าตื่นเต้นไม่นาน อุบัติเหตุสยดสยองก็เกิดขึ้น เพื่อนสนิทผู้ขับขี่สิ้นชีวิตคาที่ ส่วนเอกผู้ซ้อนสลบเหมือด ไปฟื้นที่โรงพยาบาลจังหวัดในวันรุ่งขึ้น และเพียงสองวันให้หลังคณะแพทย์ก็ลงความเห็นว่าขาขวานั้นหากเก็บไว้จะเป็นอันตรายมากขึ้น จึงตัดออกเลยเข่าขึ้นมาร่วมห้านิ้ว เมื่อรู้ตัวแน่ชัดว่าเหลือขาเพียงข้างเดียว เอกร้องไห้อย่างไม่อายใคร เพื่อนอีกสามคนร่วมแก๊งถึงกับพลอยน้ำตาไหลไปด้วย พวกเขาคงเข็ดไปอีกนานหรืออาจจะตลอดชีวิตก็ได้ กับการสูญเสียเพื่อนไปหนึ่งคนและพิการอีกหนึ่งคน
หลายครั้งที่เอกหลับตาลงแล้ว ภาพโหดร้ายก็ปรากฏขึ้นซ้ำๆจนเอกสะดุ้งผวาจนแทบไม่อยากหลับตานอน รถบรรทุกขนาดใหญ่ที่แซงตะบึงสวนทางมานั้นคงมิได้เจตนาจะบดขยี้รถมอเตอร์ไซด์ดอก แม้ว่าจะมีมอเตอร์ไซค์สามคันซิ่งตามกันมาติดๆ คงจะเป็นคราวเคราะห์ร้ายของเอกและเพื่อนเองที่มิได้ระมัดระวัง เร่งรถสวนทางเฉียดใกล้รถบรรทุกจนถูกแรงลมดูดวูบเข้าไปหาปะทะตัวรถ เพื่อนที่เป็นผู้ขี่กระเด็นฟาดถนนกะโหลก ศีรษะยุบสิ้นชีวิตทันที ส่วนเอกขาขวาถูกล้อหลังรถบรรทุกบดเละจนต้องตัดมันทิ้ง วันแรกๆแม้จะได้สติแล้ว เอกก็ยังผวาร้องโวยวายด้วยความเจ็บปวด เสียใจ และเสียดายความสมบูรณ์ของร่างกายอย่างบอกไม่ถูก กลางคืนก็นอนน้ำตาไหล เมื่อมีใครมาเยี่ยมเอกไม่อยากพูด คุย หรือตอบคำถามใดๆ อยากให้ตนเองหลุดพ้นไปจากโลกนี้ "ทำไมเราถึงไม่ตายไปกับโชคเลยหนอ" เอกรำพึงด้วยความปวดร้าว คุณนำชัยพ่อของโชคชัยเพื่อนเอก มาเยี่ยมพร้อมทั้งออกปากที่จะช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลและรวมทั้งการใส่ขาเทียมหลังจากการรักษาบาดแผลหายดีแล้วด้วย คุณนำชัยเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัด ฐานะดีพอสมควร ท่านเองก็เสียใจไม่น้อย โชคชัยเป็นบุตรคนเล็ก ได้รับการตามใจอยู่เสมอ ทั้งๆที่รู้ว่าอาจมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นได้แต่คุณนำชัยก็ไม่ค่อยเข้มงวด เพราะเชื่อว่าสักวันบุตรชายก็คงเข้าใจชีวิตดีขึ้น เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร อาจจะคะนองไปตามประสาวัยรุ่นเท่านั้น
" ลุงเสียใจนะเอก" คุณนำชัยมาเยี่ยมเอกในวันหนึ่ง หลังจากจัดงานศพบุตรชายเสร็จสิ้นแล้ว
" โชคสบายไปแล้ว แต่เอกยังอยู่ เอกอย่าท้อนะ หายเมื่อไรลุงจะใส่ขาเทียมให้ มีอะไรขอให้บอกลุง ไม่ต้องเกรงใจ"
คุณนำชัยจะให้เอกอยู่ห้องพิเศษ แต่พ่อและเอกยืนยันที่จะอยู่ห้องรวมของคนไข้ธรรมดา ค่าใช้จ่ายคนไข้พิเศษคงจะเป็นเงินจำนวนมาก พ่อให้เหตุผลกับคุณนำชัยว่า
" เราคงไม่มีคนมาเฝ้า เอกก็ต้องอยู่โรงพยาบาลนาน เบิกจ่ายไม่ได้จะทำให้คุณนำชัยสิ้นเปลืองเกินกว่าเหตุ ขอบคุณมากครับ ไว้ผมมีปัญหาต้องขอความช่วยเหลือ ผมจะรีบขอความกรุณาคุณนำชัยเลยครับ"
" ผมอยู่ได้จริงๆครับ คุณลุง ขอบพระคุณมากครับ" เอกรับรอง
คุณนำชัยยังคงมาเยี่ยมโดยสม่ำเสมอ จนเอกมีความรู้สึกเหมือนมีที่พึ่ง ทำให้ชีวิตไม่ทุกข์ท้อจนเกินไปนัก
มีคนไข้ชายรายใหม่ถูกจัดมาอยู่เตียงข้างๆเตียงของเอกซึ่งว่างมาหลายวันแล้ว เพื่อนข้างเตียงรายใหม่เป็นชายหนุ่มผิวคล้ำ ท่าทางแกร่ง อายุประมาณยี่สิบปีเศษ ศีรษะถูกพันด้วยผ้าพันแผล มีรอยเลือดและยาซึมออกมาจากบริเวณเหนือใบหูด้านซ้าย เขานอนลืมตาตั้งแต่แรกที่ถูกเข็นเตียงเข้ามาแล้ว เอกชำเลืองมองตอนแรกแล้วก็ถอนสายตากลับมาดูใยแมงมุมต่อ ไม่ได้นึกสนใจที่จะสนทนาด้วยและไม่นึกอยากคาดเดาด้วยว่าเขาโดนอะไรมา
เสียงถอนหายใจอึดอัดของชายหนุ่มเตียงข้างๆดังเป็นระยะๆ จนเอกชักเอะใจจึงหันไปดู แล้วก็ต้องตกใจ ชายหนุ่มผู้นั้นกำลังหลับตาแน่น กัดฟัน หายใจหอบจนตัวโยน สองมือจับขอบเตียงแน่น
" พี่ พี่ เป็นอะไร เป็นอะไรไปครับ" เอกยันตัวลุกขึ้นนั่ง
" พี่พยาบาลครับ พี่พยาบาล หมอครับ หมอ หมอคร้าบ...คนไข้เป็นอะไรไม่รู้คร้าบ" เอกตะโกนเรียกพยาบาล เรียกหมอที่อยู่ห่างออกไป มีพยาบาลวิ่งมาดูแล้วเรียกกันวุ่นวาย
" ตามหมอ ตามหมอ" พยาบาลสาวคนหนึ่งส่งเสียง แต่ก็มีอีกเสียงหนึ่งขัดขึ้นว่า " ไม่ต้อง เอาช้อนมางัดปากเร็ว เอาผ้ามาด้วย เขาเป็นลมบ้าหมู"
เอกนั่งมองความชุลมุนนั้นเงียบๆ พอทุกสิ่งสงบจึงค่อย ๆเอนกายลงนอน หลับตาลง กำลังจะเคลิ้มก็พอดีได้ยินเสียงกุกกัก ๆ ที่หัวเตียงจึงลืมตาขึ้น "แม่" เอกร้องเรียกด้วยความดีใจ
แม่วางปิ่นโตเถาเล็กลงบนโต๊ะหัวเตียง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้
" เอก เป็นไงมั่งลูก"
เอกยิ้มให้แม่ ยกมือไหว้ แล้วเลยจับมือแม่มากุมไว้
" ดีขึ้นเยอะเลยฮะ หมอนัดลองใส่ขาเทียมวันนี้ ให้ลองขนาดดูว่าจะเหมาะแล้วก็พอดีไหม คงจะเป็นตอนบ่ายๆหลังกายภาพบำบัดฮะ"
" เท่าไรลูก ค่าขาน่ะ"
" ยังไม่รู้เลยฮะ แม่ แต่คุณลุงนำชัยท่านติดต่อและรับรองว่าเป็นผู้จ่ายไว้แล้ว"
" แล้วหมอบอกหรือเปล่าว่า จะออกจากโรงหมอได้เมื่อไร"
" คงจะอีกสักไม่เกินสองอาทิตย์ฮะแม่ ฝึกใส่ขา ลองเดิน แล้วก็เช็คแผล เช็คกระดูก แล้วก็คงออกได้ ที่จริงถ้าจะออกช่วงนี้ก็คงได้แต่ต้องใช้ไม้ค้ำ แผลสนิทแล้วก็หายเจ็บแล้วค่อยมาใส่ขาก็ได้ แต่คุณลุงบอกให้อยู่ก่อนเพราะไปมาจะไม่สะดวก ส่วนแขนนี่อีกสองวันก็ตัดเฝือกได้แล้ว ก็จะได้ฝึกทำกายภาพบำบัดแขนไปด้วยฮะ"
แม่พยักหน้ารับรู้ ชักมือออกจากมือบุตรชาย เริ่มจัดเตรียมถอดเถาปิ่นโต
" แม่ทำอะไรมาเหรอ" เอกถามถึงอาหาร
" น้ำพริกปู ออมเขาดักปูนามาได้เยอะ แม่เลยต้มตำมากับพริกปิ้ง แม่ใส่มะดันสับนะไม่ได้ใช้มะนาวหรอก ผักนี่ก็ยอดอ่อนๆเชียว แล้วนี่ก็ต้มส้มปลาหมอ ออมเขาได้มาพร้อมปู เห็นว่าทิ้งตัวเล็กๆไปเสียหลายตัว พอเจอตัวใหญ่ก็เลยเอามา " แม่เล่าถึงออม
เอกกินข้าวด้วยความเอร็ดอร่อย หลายวันแล้วที่พึ่งพาอาหารโรงพยาบาล แม้บางมื้อจะมีอาหารดี มีรสชาติพอใช้ได้ แต่ก็อุปาทานว่าเป็นของที่ทำมากและไม่ได้ทำเป็นพิเศษ จึงไม่รู้สึกว่าเป็นของอร่อยเหมือนที่มารดาทำมาให้
" เอื้อยเป็นไงมั่ง แม่ สอบได้ไหม"
" ไม่ได้" แม่ตอบเบาๆ " แต่เอื้อยเขาอยากเรียน เขาขอพ่อเรียนโรงเรียนราษฎร์"
" แล้วพ่อว่าไง" แม่มองหน้าเอกครู่หนึ่งจึงตอบ
" พ่อเขาก็ให้เรียนน่ะนะ แต่คงจะลำบากอยู่เหมือนกันเรื่องค่าใช้จ่าย"
" แม่ ค่าโรงพยาบาลนี่ ค่าขา แล้วก็ส่วนที่จะต้องจ่ายที่นี่ คุณลุงนำชัยเขาจะจ่ายให้หมดนะฮะ"
" แม่รู้ พ่อก็รู้ แต่เราก็เกรงใจเขา ลูกเขาตายทั้งคน ยังจะต้องมาจับจ่ายใช้สอยให้เราอีก"
เอกนิ่งอึ้ง เขานึกถึงความคะนองของตนเองและเพื่อนๆ แล้วก็ได้แต่นึกเสียใจ ถึงแม้โชคชัยจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นชักชวน แต่เอกก็มักจะสนองตอบด้วยความเต็มใจ พึงพอใจ แทนที่จะห้ามปราม แล้วคุณนำชัยยังจะต้องมารับผิดชอบต่อการรักษาความเจ็บป่วยของเขาอีก จริง ๆแล้วเอกก็นึกละอาย แต่เขาก็ปลอบมารดาว่า
" ไม่เป็นไรหรอกแม่ เอกจะหาทางทำงานใช้คืนทีหลัง แม่อย่าห่วงเลย คุณลุงนำชัยฐานะดี ท่านไม่ลำบากหรอก และท่านก็เต็มใจด้วย"
แม่พยักหน้า จากนั้นสองแม่ลูกก็คุยกันถึงเรื่องต่าง ๆที่เกิดขึ้นทางบ้าน แม่เตรียมตัวกลับเมื่อเวลาประมาณบ่ายสองโมง
" จะไปแวะตลาดเสียหน่อย" แม่บอกเมื่อลุกขึ้นหยิบปิ่นโต
" พรุ่งนี้พ่อกับออมจะมา" แม่บอกก่อนเดินจากไป
เอกสวัสดีมารดาแล้วล้มตัวลงนอน แหงนหน้ามองเพดาน แมงมุมและใยตาข่ายของมันยังอยู่ที่นั่น ตัวแมงมุมก็ยังคงถักทอใยต่ออย่างขะมักเขม้น
***********************************
ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่กว้างขวาง แต่เต็มไปด้วยเตียงคนเจ็บ ที่แขวนน้ำเกลือ อุปกรณ์ช่วยเหลือคนป่วยบางชนิดที่ติดตั้งริมเตียงผู้ป่วยบางเตียง มีกลิ่นยาผสมความอับชื้นที่เกิดจากความเก่าแก่ของตัวตึก และบรรยากาศครึ้มซึมเซาหลังฝนตกหนัก เอกหรือเอกศักดิ์ ใจสุข นอนนิ่งอยู่บนเตียงชิดฝาห้องด้านหนึ่ง สายตาจับจ้องอยู่ที่ฝ้าเพดาน มีใยแมงมุมขนาดย่อมอยู่ที่นั่นใกล้ๆหลอดไฟ แมงมุมตัวหนึ่งกำลังชักใยอยู่อย่างขะมักเขม้น มันทิ้งตัวลงมาตามเส้นใย จะเหนื่อย จะพลาดหรือจะเป็นวิธีการปล่อยเส้นใยเอกไม่รู้ แต่ไม่นานนักมันก็จะไต่เส้นใยของมันขึ้นไปใหม่ แล้วเริ่มถักทอข่ายดักเหยื่อของมันอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า
น้ำตารื้นขึ้นมาปริ่มๆจะล้นตาออกมาให้ได้อยู่ครู่หนึ่ง เอกรีบสะกดมันเข้าไว้ ตามองแมงมุมเขม็ง "เราต้องไม่ยอมแพ้" เอกบอกตนเองอย่างมุ่งมั่น "เหลือขาเดียว ก็ยังดีกว่าไม่เหลือเลย"
เอกรู้ดีว่าขาข้างขวาของเขาขณะนี้เหลือเพียงแค่เหนือเข่าเล็กน้อยเท่านั้น "แขนเราก็ยังมี ถึงมันจะใส่เฝือก มันก็จะต้องหายดีสักวัน มือเราก็ใช้งานได้นี่นา"
เอกก็เหมือนวัยรุ่นหนุ่มคะนองทั่วๆไป ที่ชอบอะไรในทางโลดโผน เขาอายุสิบเก้าปีเต็มแล้ว กำลังเรียนวิชาเครื่องยนต์ระดับ ปวส.ปีแรกก็เกิดเรื่อง แม้จะตั้งใจดีที่จะเล่าเรียนให้จบแล้วหางานดีๆทำ แต่เอกก็มีเพื่อนวัยคะนองทั้งนั้น แก๊งมอเตอร์ไซค์ของเอกที่มีกันอยู่ห้าคน เพิ่งจะเริ่มกิจกรรมอันน่าตื่นเต้นไม่นาน อุบัติเหตุสยดสยองก็เกิดขึ้น เพื่อนสนิทผู้ขับขี่สิ้นชีวิตคาที่ ส่วนเอกผู้ซ้อนสลบเหมือด ไปฟื้นที่โรงพยาบาลจังหวัดในวันรุ่งขึ้น และเพียงสองวันให้หลังคณะแพทย์ก็ลงความเห็นว่าขาขวานั้นหากเก็บไว้จะเป็นอันตรายมากขึ้น จึงตัดออกเลยเข่าขึ้นมาร่วมห้านิ้ว เมื่อรู้ตัวแน่ชัดว่าเหลือขาเพียงข้างเดียว เอกร้องไห้อย่างไม่อายใคร เพื่อนอีกสามคนร่วมแก๊งถึงกับพลอยน้ำตาไหลไปด้วย พวกเขาคงเข็ดไปอีกนานหรืออาจจะตลอดชีวิตก็ได้ กับการสูญเสียเพื่อนไปหนึ่งคนและพิการอีกหนึ่งคน
หลายครั้งที่เอกหลับตาลงแล้ว ภาพโหดร้ายก็ปรากฏขึ้นซ้ำๆจนเอกสะดุ้งผวาจนแทบไม่อยากหลับตานอน รถบรรทุกขนาดใหญ่ที่แซงตะบึงสวนทางมานั้นคงมิได้เจตนาจะบดขยี้รถมอเตอร์ไซด์ดอก แม้ว่าจะมีมอเตอร์ไซค์สามคันซิ่งตามกันมาติดๆ คงจะเป็นคราวเคราะห์ร้ายของเอกและเพื่อนเองที่มิได้ระมัดระวัง เร่งรถสวนทางเฉียดใกล้รถบรรทุกจนถูกแรงลมดูดวูบเข้าไปหาปะทะตัวรถ เพื่อนที่เป็นผู้ขี่กระเด็นฟาดถนนกะโหลก ศีรษะยุบสิ้นชีวิตทันที ส่วนเอกขาขวาถูกล้อหลังรถบรรทุกบดเละจนต้องตัดมันทิ้ง วันแรกๆแม้จะได้สติแล้ว เอกก็ยังผวาร้องโวยวายด้วยความเจ็บปวด เสียใจ และเสียดายความสมบูรณ์ของร่างกายอย่างบอกไม่ถูก กลางคืนก็นอนน้ำตาไหล เมื่อมีใครมาเยี่ยมเอกไม่อยากพูด คุย หรือตอบคำถามใดๆ อยากให้ตนเองหลุดพ้นไปจากโลกนี้ "ทำไมเราถึงไม่ตายไปกับโชคเลยหนอ" เอกรำพึงด้วยความปวดร้าว คุณนำชัยพ่อของโชคชัยเพื่อนเอก มาเยี่ยมพร้อมทั้งออกปากที่จะช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลและรวมทั้งการใส่ขาเทียมหลังจากการรักษาบาดแผลหายดีแล้วด้วย คุณนำชัยเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัด ฐานะดีพอสมควร ท่านเองก็เสียใจไม่น้อย โชคชัยเป็นบุตรคนเล็ก ได้รับการตามใจอยู่เสมอ ทั้งๆที่รู้ว่าอาจมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นได้แต่คุณนำชัยก็ไม่ค่อยเข้มงวด เพราะเชื่อว่าสักวันบุตรชายก็คงเข้าใจชีวิตดีขึ้น เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร อาจจะคะนองไปตามประสาวัยรุ่นเท่านั้น
" ลุงเสียใจนะเอก" คุณนำชัยมาเยี่ยมเอกในวันหนึ่ง หลังจากจัดงานศพบุตรชายเสร็จสิ้นแล้ว
" โชคสบายไปแล้ว แต่เอกยังอยู่ เอกอย่าท้อนะ หายเมื่อไรลุงจะใส่ขาเทียมให้ มีอะไรขอให้บอกลุง ไม่ต้องเกรงใจ"
คุณนำชัยจะให้เอกอยู่ห้องพิเศษ แต่พ่อและเอกยืนยันที่จะอยู่ห้องรวมของคนไข้ธรรมดา ค่าใช้จ่ายคนไข้พิเศษคงจะเป็นเงินจำนวนมาก พ่อให้เหตุผลกับคุณนำชัยว่า
" เราคงไม่มีคนมาเฝ้า เอกก็ต้องอยู่โรงพยาบาลนาน เบิกจ่ายไม่ได้จะทำให้คุณนำชัยสิ้นเปลืองเกินกว่าเหตุ ขอบคุณมากครับ ไว้ผมมีปัญหาต้องขอความช่วยเหลือ ผมจะรีบขอความกรุณาคุณนำชัยเลยครับ"
" ผมอยู่ได้จริงๆครับ คุณลุง ขอบพระคุณมากครับ" เอกรับรอง
คุณนำชัยยังคงมาเยี่ยมโดยสม่ำเสมอ จนเอกมีความรู้สึกเหมือนมีที่พึ่ง ทำให้ชีวิตไม่ทุกข์ท้อจนเกินไปนัก
มีคนไข้ชายรายใหม่ถูกจัดมาอยู่เตียงข้างๆเตียงของเอกซึ่งว่างมาหลายวันแล้ว เพื่อนข้างเตียงรายใหม่เป็นชายหนุ่มผิวคล้ำ ท่าทางแกร่ง อายุประมาณยี่สิบปีเศษ ศีรษะถูกพันด้วยผ้าพันแผล มีรอยเลือดและยาซึมออกมาจากบริเวณเหนือใบหูด้านซ้าย เขานอนลืมตาตั้งแต่แรกที่ถูกเข็นเตียงเข้ามาแล้ว เอกชำเลืองมองตอนแรกแล้วก็ถอนสายตากลับมาดูใยแมงมุมต่อ ไม่ได้นึกสนใจที่จะสนทนาด้วยและไม่นึกอยากคาดเดาด้วยว่าเขาโดนอะไรมา
เสียงถอนหายใจอึดอัดของชายหนุ่มเตียงข้างๆดังเป็นระยะๆ จนเอกชักเอะใจจึงหันไปดู แล้วก็ต้องตกใจ ชายหนุ่มผู้นั้นกำลังหลับตาแน่น กัดฟัน หายใจหอบจนตัวโยน สองมือจับขอบเตียงแน่น
" พี่ พี่ เป็นอะไร เป็นอะไรไปครับ" เอกยันตัวลุกขึ้นนั่ง
" พี่พยาบาลครับ พี่พยาบาล หมอครับ หมอ หมอคร้าบ...คนไข้เป็นอะไรไม่รู้คร้าบ" เอกตะโกนเรียกพยาบาล เรียกหมอที่อยู่ห่างออกไป มีพยาบาลวิ่งมาดูแล้วเรียกกันวุ่นวาย
" ตามหมอ ตามหมอ" พยาบาลสาวคนหนึ่งส่งเสียง แต่ก็มีอีกเสียงหนึ่งขัดขึ้นว่า " ไม่ต้อง เอาช้อนมางัดปากเร็ว เอาผ้ามาด้วย เขาเป็นลมบ้าหมู"
เอกนั่งมองความชุลมุนนั้นเงียบๆ พอทุกสิ่งสงบจึงค่อย ๆเอนกายลงนอน หลับตาลง กำลังจะเคลิ้มก็พอดีได้ยินเสียงกุกกัก ๆ ที่หัวเตียงจึงลืมตาขึ้น "แม่" เอกร้องเรียกด้วยความดีใจ
แม่วางปิ่นโตเถาเล็กลงบนโต๊ะหัวเตียง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้
" เอก เป็นไงมั่งลูก"
เอกยิ้มให้แม่ ยกมือไหว้ แล้วเลยจับมือแม่มากุมไว้
" ดีขึ้นเยอะเลยฮะ หมอนัดลองใส่ขาเทียมวันนี้ ให้ลองขนาดดูว่าจะเหมาะแล้วก็พอดีไหม คงจะเป็นตอนบ่ายๆหลังกายภาพบำบัดฮะ"
" เท่าไรลูก ค่าขาน่ะ"
" ยังไม่รู้เลยฮะ แม่ แต่คุณลุงนำชัยท่านติดต่อและรับรองว่าเป็นผู้จ่ายไว้แล้ว"
" แล้วหมอบอกหรือเปล่าว่า จะออกจากโรงหมอได้เมื่อไร"
" คงจะอีกสักไม่เกินสองอาทิตย์ฮะแม่ ฝึกใส่ขา ลองเดิน แล้วก็เช็คแผล เช็คกระดูก แล้วก็คงออกได้ ที่จริงถ้าจะออกช่วงนี้ก็คงได้แต่ต้องใช้ไม้ค้ำ แผลสนิทแล้วก็หายเจ็บแล้วค่อยมาใส่ขาก็ได้ แต่คุณลุงบอกให้อยู่ก่อนเพราะไปมาจะไม่สะดวก ส่วนแขนนี่อีกสองวันก็ตัดเฝือกได้แล้ว ก็จะได้ฝึกทำกายภาพบำบัดแขนไปด้วยฮะ"
แม่พยักหน้ารับรู้ ชักมือออกจากมือบุตรชาย เริ่มจัดเตรียมถอดเถาปิ่นโต
" แม่ทำอะไรมาเหรอ" เอกถามถึงอาหาร
" น้ำพริกปู ออมเขาดักปูนามาได้เยอะ แม่เลยต้มตำมากับพริกปิ้ง แม่ใส่มะดันสับนะไม่ได้ใช้มะนาวหรอก ผักนี่ก็ยอดอ่อนๆเชียว แล้วนี่ก็ต้มส้มปลาหมอ ออมเขาได้มาพร้อมปู เห็นว่าทิ้งตัวเล็กๆไปเสียหลายตัว พอเจอตัวใหญ่ก็เลยเอามา " แม่เล่าถึงออม
เอกกินข้าวด้วยความเอร็ดอร่อย หลายวันแล้วที่พึ่งพาอาหารโรงพยาบาล แม้บางมื้อจะมีอาหารดี มีรสชาติพอใช้ได้ แต่ก็อุปาทานว่าเป็นของที่ทำมากและไม่ได้ทำเป็นพิเศษ จึงไม่รู้สึกว่าเป็นของอร่อยเหมือนที่มารดาทำมาให้
" เอื้อยเป็นไงมั่ง แม่ สอบได้ไหม"
" ไม่ได้" แม่ตอบเบาๆ " แต่เอื้อยเขาอยากเรียน เขาขอพ่อเรียนโรงเรียนราษฎร์"
" แล้วพ่อว่าไง" แม่มองหน้าเอกครู่หนึ่งจึงตอบ
" พ่อเขาก็ให้เรียนน่ะนะ แต่คงจะลำบากอยู่เหมือนกันเรื่องค่าใช้จ่าย"
" แม่ ค่าโรงพยาบาลนี่ ค่าขา แล้วก็ส่วนที่จะต้องจ่ายที่นี่ คุณลุงนำชัยเขาจะจ่ายให้หมดนะฮะ"
" แม่รู้ พ่อก็รู้ แต่เราก็เกรงใจเขา ลูกเขาตายทั้งคน ยังจะต้องมาจับจ่ายใช้สอยให้เราอีก"
เอกนิ่งอึ้ง เขานึกถึงความคะนองของตนเองและเพื่อนๆ แล้วก็ได้แต่นึกเสียใจ ถึงแม้โชคชัยจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นชักชวน แต่เอกก็มักจะสนองตอบด้วยความเต็มใจ พึงพอใจ แทนที่จะห้ามปราม แล้วคุณนำชัยยังจะต้องมารับผิดชอบต่อการรักษาความเจ็บป่วยของเขาอีก จริง ๆแล้วเอกก็นึกละอาย แต่เขาก็ปลอบมารดาว่า
" ไม่เป็นไรหรอกแม่ เอกจะหาทางทำงานใช้คืนทีหลัง แม่อย่าห่วงเลย คุณลุงนำชัยฐานะดี ท่านไม่ลำบากหรอก และท่านก็เต็มใจด้วย"
แม่พยักหน้า จากนั้นสองแม่ลูกก็คุยกันถึงเรื่องต่าง ๆที่เกิดขึ้นทางบ้าน แม่เตรียมตัวกลับเมื่อเวลาประมาณบ่ายสองโมง
" จะไปแวะตลาดเสียหน่อย" แม่บอกเมื่อลุกขึ้นหยิบปิ่นโต
" พรุ่งนี้พ่อกับออมจะมา" แม่บอกก่อนเดินจากไป
เอกสวัสดีมารดาแล้วล้มตัวลงนอน แหงนหน้ามองเพดาน แมงมุมและใยตาข่ายของมันยังอยู่ที่นั่น ตัวแมงมุมก็ยังคงถักทอใยต่ออย่างขะมักเขม้น
***********************************
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น