ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ☾รามเกียรติ์☽ ❖ ป ร ะ ก า ย พ รึ ก ❖ || oc

    ลำดับตอนที่ #4 : ✴ ประกายพรึก || ๐๓ : เอาตัวรอด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.56K
      196
      18 ก.พ. 64

    ป ร ะ ก า ย พ รึ ก

    ๐๓

     

     




           องคตไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าตัวเองจะต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้

     

           เขา...ยุพราชแห่งขีดขิน และหนึ่งในวานรทหารเอกที่มีสายเลือดเทพไหลเวียนอยู่ในกาย...กำลังถูกขังอยู่ในกรงเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานทั่วไป

     

           ต้องเท้าความไปเมื่อสองสามวันก่อน

           ชมพูพานเพิ่งปรุงยากลบกลิ่นอายขณะแปลงร่างเป็นสัตว์อื่นเสร็จ

     

           ด้วยความที่ตอนนั้นหนุมานกำลังไปเก็บผลไม้กับท่านอาสุครีพอยู่ หนูทดลองของเจ้านั่นจึงกลายเป็นเขาไปโดยปริยาย

     

           แต่ก่อนที่จะได้กินยาเข้าไปนั้น ก็มีคำสั่งเรียกตัวจากพระรามมาถึงเขาพอดี

     

           คำสั่งที่ว่าก็คือการไปสอดแนมเมืองยักษ์ที่อยู่ไกลจากลงกาออกมาหน่อย

     

           อารามรีบร้อน เขาเลยแปลงร่างแล้วออกไปโดยที่ไม่ลืมกระดกยานั่นลงไปทั้งขวด

     

           และแล้วสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น

     

           ยานั่นไม่สมบูรณ์

           และนอกจากการกลบกลิ่นอายจนมิดแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถกลับร่างเดิมได้อีกด้วย

     

           ชมพูพานกับหนุมานที่ตามมาดูต่างก็ขำกลิ้งจนท้องแข็ง

     

           “ให้ตายเถอะ ไอ้ลิงเขียวเอ๊ย” ไอ้ลิงขาวคางหักนั่นปาดน้ำตาออกจากหางตาแล้วพูดด้วยเสียงอู้อี้อย่างพยายามกลั้นหัวเราะสุดความสามารถ

           “อยู่แบบนี้ก็น่ารักดีนะเนี่ย”

     

           ก่อนที่เจ้าตัวจะร้องจุกตัวงอเมื่อถูกเขาถีบเข้าที่ท้องเต็มรัก

     

           องคตตะเกียกตะกายไปที่ลำธาร ชะโงกหัวเข้าไปอย่างรวดเร็วเพื่อดูสารรูปน่ารักของตัวเองที่ลูกพี่ลูกน้องปากเสียมันว่ามา

     

           ลูกลิงขนสีเขียวนวลจ้องกลับมาด้วยดวงตาสีทองกลมแป๋ว

     

           ยังดีที่สีตาไม่เปลี่ยนมาก

     

           เขาพ่นคำสบถออกมาเป็นชุด ก่อนจะถูกชมพูพานปิดปากไว้

           “เดี๋ยวเถอะ คำหยาบพวกนั้นมันไม่เหมาะกับรูปลักษณ์น่าฟัดน่ากอดของเจ้าเลยนะ”

     

           “หุบปากโว้ย!!” องคตดิ้นพราด ปีนขึ้นไปดึงผมยาวเลยบ่าที่รวบเป็นหางม้าต่ำเสียบปิ่นครอบไม้ไว้จนหลุดลุ่ย

     

           “ทำให้ข้ากลับเป็นเหมือนเดิมเดี๋ยวนี้ ไอ้ลิงสีเจ็บ!!

     

           “โอ๊ย! โอ๊ยๆๆ!!” คนโดนกระทำดึงคอเขาออกมาหิ้วไว้

           “ใจเย็นสิวะ ใจเย็น!

     

           โธ่เอ๊ย ตัวก็เล็ก แรงก็น้อย จะไปทำอะไรได้บ้างเนี่ย?

     

           “เอาน่า เดี๋ยวอยู่ๆไปก็หายเองแหละ” หนุมานลูบขนหัวฟูๆสีเขียวของเขาพลางหลบฟันลูกพี่ลูกน้องไปด้วย

           “เออ ชมพู ยามันมีฤทธิ์นานเท่าไหร่วะ?”

     

           คนโดนถามนิ่งไป ก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้นมาเกาแก้ม

     

           องคตเคยเห็นท่าทางแบบนั้นมาก่อน

           ...ตอนที่ไอ้ชมพูมันโป๊ะแตก

     

           “เฮ้ย...”

     

           “ก็...” เจ้าตัวหัวเราะแห้งๆแล้วหันมาส่งยิ้มที่แห้งพอกันให้เขา

           “นะ...”

     

           ...อยากจะเอาตีนมาก่ายหน้าผาก

     

           “ชมพู!!

     

           “ก็มันยังปรับสูตรไม่เสร็จนี่หว่า” ใบหน้าเกลี้ยงเกลาจัดอยู่ในระดับน่ามองใช้ได้ของน้องชายนอกไส้เอียงหลบลูกเตะของร่างเล็กที่ถูกหิ้วอยู่ข้างตัว

     

           “ข้าจะไปฟ้องท่านอา!!

     

           “อย่า ไม่เอา” ทันทีที่ได้ยินชื่อของพ่อบุญธรรมอย่างสุครีพ ไอ้ตัวดีก็รีบปล่อยเขาลงแล้วแทบจะหมอบกราบแทบเท้า

           “ท่านพ่อไม่เอาข้าไว้แน่”

     

           “แค่ที่เจ้าเอาพวกข้ากับพี่น้องนิลสามคนนั่นเป็นหนูทดลองหลายต่อหลายรอบนั่นก็พอจะทำให้เจ้าถูกเฉ่งกลับขีดขินแล้ว” หนุมานโน้มตัวเข้ามาเท้าแขนลงกับหน้าขา

           “จะบอกเรื่องไหนบ้างดีนะ? สนุกจังเลย”

     

           “เอ็งแหละตัวปั่นเลยไอ้นุ” องคตแยกเขี้ยว

           “ให้ตายเถอะ พอจะมีทางแก้มั้ยเนี่ย?”

     

           “เรื่องระยะเวลา น่าจะไม่เกินหนึ่งปีแน่ๆ...แต่เอาเวลาแน่นอนไม่ได้ ข้ายังพอมียาตัวอย่างเหลืออยู่ในหม้อที่ห้องปรุงยา ถ้ากลับไปแล้วจะลองศึกษาดูอีกที”

     

           “ไอ้บ้าเอ๊ย หายดีเมื่อไหร่ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตาย”

     

           “โห จะตั้งตารอเลยล่ะ” วานรกายสีชมพูเล่นหางที่ฟูนุ่มของคู่สนทนา

           “ระหว่างนี้เพื่อไม่ให้เวลาเสียเปล่า เจ้าไปทำภารกิจก่อนแล้วกันนะ”

     

           “นี่หาเรื่องจะทิ้งข้าในสภาพนี้ไว้เรอะ ไอ้ลิงสติเฟื่อง?”

     

           “ไม่ได้ทิ้งๆ ไม่ทิ้งอย่างแน่นอน...ใครจะไปกล้าทิ้งท่านพี่องคตกันล่ะ?”

     

           ได้ยินเสียงพึมพำคำว่าตอแหลเบาๆมาจากบุตรพระพาย

     

           “เงียบปากไปเลยไอ้คางหัก!” คนตอแหลหันไปแหว ก่อนจะล้วงหยิบหลอดยาออกมาจากเป้หนังข้างเอวแล้วยื่นให้

     

           “นี่จะทำให้เจ้าพูดได้แต่ภาษาของลิงทั่วไป คนอื่นจะไม่เข้าใจยกเว้นว่าจะเป็นลิงเหมือนกัน แบบนี้จะได้ปลอมตัวเนียนขึ้น...ไม่โป๊ะแตกด้วย”

     

          

           “อ่า ขอบใจแล้วกัน” เขาเบะปากเบาๆแล้วรับมากระดกพรวดเดียว

     

           “เจ้าจะไปไหนต่อล่ะ? พอข้าหายาแก้ได้แล้วจะได้ไปหาตัวเจอ”

     

           “แหม” องคตบิดคิ้ว

           “กว่าจะจัดการเสร็จ ข้าไม่กลับไปที่ค่ายนานแล้วหรอกรึ?”

     

           “เผื่อเสร็จเร็วไง” ชมพูพานทอดเสียงอ่อน

     

           เขามองน้องชายนิ่ง แล้วถอนหายใจแรงๆ

     

           “โรมคัล...อยู่ห่างจากนี่ไม่มาก ข้ากะจะไปดูสักหน่อยแล้วค่อยเลยไปมัชวารีแล้วก็ปางตาล”

     

           “โรมคัล? พญาขรน่ะเหรอ?”

     

           “ไม่ใช่แล้ว พญาขรสิ้นไปแล้ว” บุตรพาลีเอนกายพิงขาของวานรกายสีชมพู

           “ตอนนี้เจ้านครคือมังกรกัณฐ์”

     

           “พญาขรสิ้น...” หนุมานกดคิ้วลงเบาๆ

           “เพราะอะไรนะ? ข้าจำได้แค่ว่าก่อนที่เราจะมาร่วมกับกองทัพ เขาเคยรบกับองค์รามมาก่อน”

     

           “รอบนั้นไม่ได้ตายนี่นา?” วานรสติเฟื่องแห่งขีดขินเกาขมับ

           “แต่ว่าตอนไปถึงเมืองก็ได้ข่าวว่าสิ้นไปแล้ว”

     

           ดวงตาสีทองขององคตเย็นเยียบ

           “...นั่นก็เป็นเรื่องที่อยากจะรู้เหมือนกัน”

     

           “เอาเป็นว่า” ความขี้เล่นบนใบหน้าของหนุมานหายไปขณะที่เขาวางมือลงบนหัวที่เล็กลงมากของลูกพี่ลูกน้อง

           “อย่าตายแล้วกันนะ”

     

           ยุพราชแห่งขีดขินเบนสายตาไปมองชมพูพานที่แค่ยิ้มบางๆแล้วก็ตบไหล่เขาเบาๆ

     

           “...เออ”

     

           ยากแน่ๆ...รอดในสภาพลิงน้อยแบบนี้เนี่ย...

     

     

     







     


           ใช่ เป็นเรื่องยากจริงๆนั่นแหละ

     

           เข้าเขตป่ารอบโรมคัลได้ไม่เท่าไหร่ก็ดันไปเหยียบกับดักสัตว์ป่าเข้า

     

           ถ้าเป็นปกติ กับดักแบบนี้แค่สะบัดมือทีเดียวก็เอาเขาไม่อยู่แล้ว

           แต่ตอนนี้เขาติดอยู่ในร่างของลูกลิง เรี่ยวแรงที่เคยมีมากมายหดหายลงไปเหลือเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น

     

           เพราะอย่างนั้นเลยถูกพวกลักลอบค้าสัตว์จับยัดใส่กรงแล้วหิ้วเข้ามาทางคูน้ำหลังเมือง

     

           ได้แต่โวยวายเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในร่างเล็กๆของลิงน้อยพลางพยายามมองหาทางหนี

     

           ให้ตายเถอะ...

     

           เขาพ่นคำสบถที่ไม่มีใครเข้าใจยกเว้นวานรด้วยกันออกมายาวเหยียด พิงกรงเหล็กอย่างหมดแรง

     

           “เจอแล้ว”

     

           ห๊ะ? ใคร? เจออะไร?

     

           แล้วทำไมเสียงนั่นใกล้จัง?

     

           เขากะพริบตาปริบๆแล้วหันไปทางต้นเสียงเพียงเพื่อจะสบกับดวงตาสีดำถ่านที่จ้องมองมา

     

           เหมือนนิลน้ำงามที่ส่องประกายวาววับเมื่อกระทบแสง ลึกล้ำไปด้วยพลังที่เขาไม่เข้าใจ...ไม่อาจเข้าใจ

           ทำให้เขาดำดิ่ง รู้สึกราวกับจมลงไปในสีดำราวกับความมืดอันไพศาลนั้นจนหายใจแทบไม่ทัน

     

           ใบหน้าหมดจดนั้นมองเขานิ่ง บนริมฝีปากอิ่มคือรอยยิ้มเบาบาง

     

           ใครกัน?

     

           “ตัวนี้ขายเท่าไหร่รึ พ่อค้า?”

     

           พื้นดินสั่นสะเทือนจนหูลิงที่ไวต่อเสียงของเขากระตุกเมื่อยักษ์เจ้าของร้าน(และคนที่รับเขามาขายต่อ)เดินมาหยุดยืนข้างๆด้วยรอยยิ้มเอาใจ

     

           “สิบชั่งขอรับ”

     

           นางเลิกคิ้ว

           “มากเพียงนั้น?”

     

           “นายหญิงขอรับ ท่านต้องไม่เชื่อแ-”

     

           ก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น เจ้าของดวงตาสีถ่านก็ยืดตัวขึ้น สูดหายใจลึกแล้วสะบัดมือไปที่อีกมุมหนึ่งของร้าน

     

           กระแสพลังบางอย่างถูกซัดออกไป

     

           องคตมองเห็นเงาสีเงินเรืองเบาบางในอากาศอย่างชัดเจน

     

           เหล่าสินค้าในหีบและชั้นวางที่ตั้งสูงอยู่ในทางของมันพังครืนลงในทันทีที่ถูกแตะโดยพลังนั้นพร้อมๆกับที่เงาสายหนึ่งกระโจนออกมาจากด้านหลัง

     

           อสุรีกายสีดอกเลาหน้ากรงของเขาเอียงคอมอง ดวงตายังคงนิ่งเรียบ

     

           “เอ้า โดนจับได้แล้วก็รีบๆสะสางให้ภารกิจลุล่วงสิ” เสียงที่เคยเย็นเรื่อยราวกับลำธารนั้นบัดนี้ราบเรียบไร้กระแสอารมณ์ราวกับช่วงเวลาที่ลมหยุดพัดก่อนที่พายุจะเข้า

     

           เงานั้นกระชับอาวุธสีดำบางอย่างในมือแล้วพุ่งเข้าใส่ทันที

     

           นางพ่นลมหายใจเบาๆ

     

           แล้วร่างนั้นก็นิ่งค้างในอากาศพร้อมกับมือเรียวที่กระดิกขึ้นน้อยๆ

     

           ยักษีตนนั้นเหวี่ยงมันออกไปกระแทกกับเศษซากชั้นวางแล้วจึงกดมือลงกับต้นคอตนเองเบาๆ

     

           “อา...” ดวงตาคู่นั้นหรี่ลง ราวกับกำลังผิดหวัง

           “นึกว่าจะเก่งกว่านี้ซะอีก”

     

           คู่ต่อสู้ลุกขึ้นมาพร้อมกับเสียงหอบหนักๆ มันสะบัดอะไรบางอย่างออกจากอาวุธ เผยให้เห็นกระบี่วาววับในความมืด

     

           ร่างเพรียวนั้นเพียงขยับถอยหลังครึ่งก้าวแล้วยกมือขึ้นปิดจมูก

           “อาคมดำสินะ...คาวจริงๆ”

     

           นางเหน็บชายสไบเข้าที่ใต้เขนให้เรียบร้อย แล้วจึงเท้าเอวด้วยท่าทางที่ทำให้องคตนึกถึงนักเลงกวนบาทาที่ชื่อนิลพัท(แน่นอนว่าในแบบที่ดูใจร้อนน้อยกว่า)

     

           “เอาเถอะ จะยอมเล่นด้วยแล้วกัน”

     

           คราวนี้นางเป็นฝ่ายดีดตัวเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ขยับหลบคมดาบเพียงไม่กี่ครั้งก็เข้าถึงตัวอีกฝ่ายได้

     

           มือเรียวข้างหนึ่งฉวยข้อมือข้างที่ถือดาบ อีกข้างคว้าบ่าแล้วเหวี่ยงร่างนั้นลอยข้ามหัวไป

     

           พื้นดินสั่นสะเทือนอีกครั้งเมื่อนางทุ่มหลังมันลงพื้นจนได้ยินเสียงอั่ก

     

           “ของอันตรายแบบนี้ไม่ควรให้เด็กเล่นนะ” มุมปากนั้นยกเป็นรอยยิ้มที่ไม่ถึงดวงตาขณะที่บีบท่อนแขนในมือจนหักแล้วดึงดาบออก

     

           อีกฝ่ายมองนางด้วยดวงตาแดงฉานอย่างพยาบาทแล้วผิวปาก

     

           “โอ๊ะ” อสุรีเลิกคิ้ว

           “อืม แย่แล้วสินะ”

     

           ร่วงในชุดดำอีกเกือบสิบพุ่งเข้ามาล้อม

     

           องคตแทบจะกุมขมับ

           เออ ก็แย่สิวะ!

     

           นางลุกขึ้นโดยไม่ลืมเหยียบบนท่อนขาของร่างข้างใต้จนได้ยินเสียงกระดูกหักดังลั่น บนใบหน้าหมดจดนั้นยังมีรอยยิ้มอยู่ ดวงตาสีดำถ่านปรากฎประกายวาบ

     

           “มาเล่นกัน”

     

           แล้วความวิบัติทั้งหมดก็ระเบิดออกมา

     

           ยุพราชแห่งขีดขินมองฉากต่อสู้ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

     

           นางเคลื่อนไหวกระชับฉับไว แต่จะว่าเร็วก็ไม่ใช่...แน่นอนว่ายังไงหนุมานก็ไวกว่า

     

           เรื่องขนาดตัวและกำลังคน แน่นอนว่านางเป็นรอง

     

           ส่วนกลยุทธ์ในการสู้นั้นคล้ายจะมีแผน แต่ก็ไม่มี

     

           รวมๆก็...ไม่โดดเด่นเลยสักนิด

     

           แต่ทำไมกัน...

           สิบคนนั้นกลับโดนนางซัดหมอบได้ภายในไม่กี่อึดใจ

     

           นางจิ๊ปากเบาๆขณะที่ปลดสไบกลับออกมาห่มไหล่

           “น่าผิดหวัง...มากันตั้งสิบคนทำได้แค่นี้”

     

           “ค-คือว่านายหญิง...” เจ้าของร้านขายสัตว์เยี่ยมหน้าออกมาจากหลังชั้นวางอีกฝั่ง

           “ค-ค่าเสียหาย...”

     

           “พ่อค้ารู้หรือไม่” นางหมุนตัวกลับไปตัดบทเขา

           “สัตว์ที่อยู่ในหิมพานต์นั้นเป็นสายพันธุ์สงวน ไม่ว่าชนิดใดๆก็ตาม...มันเป็นกฎสากลของทั้งอสุรจักรวรรดิและอาณาจักรมนุษย์ หากจะซื้อขายต้องมีบัตรอนุญาต”

     

           “เอ่อ...”

     

           “เท่าที่ข้าดูมา ที่ขายอยู่ที่นี่ล้วนเป็นสิ่งจากในป่านั่นทั้งนั้นเลยนี่?”

     

           “นายหญิงขอรับ ข้าอธิบายได้” เขาลนลานตอบ แม้จะว่าอย่างนั้นแต่ดวงตาก็หลุกหลิกไปมา

           “สัตว์พวกนี้ล้วนแล้วถูกจับจากนอกหิมพานต์ ข้ารับรองท่านได้จริงๆ”

     

           “อ้อ งั้นรึ?” รอยยิ้มเย็นเยียบนั้นกดลึกขึ้น

     

           “เช่นนั้น นกอรหันพวกนั้นก็คงจะหลงออกมาตั้งฝูงนอกเขตเขาไกรลาสสินะ”

     

           “ข-ขอรับ”

     

           “อืมๆๆ” มือเรียวลากไปตามกรงต่างๆ

           “หลงออกมาเยอะเชียวนะ พ่อค้า?”

     

           “แน่...แน่นอนขอรับ หมู่นี้พวกมันไม่รู้ว่าเป็นอะไร มาอยู่ข้างนอกกันตั้งเยอะขนาดนี้”

     

           “อา เข้าใจแล้วล่ะ” นางก้มตัวลงที่หน้ากรงเขา เปิดสลักกลอนออกอย่างง่ายดายแล้วอุ้มเขาที่ทั้งฝืนตัวทั้งขยับหนีออกมาอย่างง่ายดาย

     

           ไอ้ชมพู ตัวกระจ้อยแค่นี้ข้าจะอยู่อย่างไรให้รอดวะ?

           กลับไปได้จะจับมันต้มโคล้งกินให้หายแค้น

     

           “แต่ว่านะ พ่อค้าเจ้าคะ” อสุรีนั่นวางเขาลงบนแขนตัวเองแล้วประคองไว้อย่างมั่นคงจนไม่น่าเชื่อ

     

           “ลูกลิงตัวนี้น่ะ...ไม่น่าจะใช่ของถูกจับมาจากนอกหิมพานต์ล่ะกระมังเจ้าคะ?”

     

           “นายหญิงกล่าวอะไร...”

     

           “ท่านดูขนมันสิ สีแปลกเช่นนี้หากไม่ใช่สัตว์หิมพานต์...ก็ต้องเป็นสัตว์เทพ”

     

           องคตมองดูสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกปนตื่นตระหนกของพ่อค้า

     

           สัตว์เทพเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในการปกครองของเหล่าเทพบดีและเทพชั้นสูงต่างๆเท่านั้น จะซื้อขายก็ต้องมีระเบียบการเข้มงวดกว่าหิมพานต์เยอะ

     

           หากบอกว่าโทษของการลักลอบจับสัตว์มาจากหิมพานต์นั้นหนักแล้วล่ะก็ โทษของการลักลอบจับสัตว์เทพนั้นหนักหนากว่าหลายเท่า

     

           “อืม...ดวงตาสีทองแบบนี้ก็ยิ่งดูแปลกเหมือนสัตว์เทพเข้าไปใหญ่”

     

           ดวงตาสีดำถ่านคมกริบขณะชายไปหาเขา

           “พ่อค้าเอง ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีใบอนุญาตนี่นา?”

     

           “น-นายหญิง” อีกฝ่ายอ้าปากพะงาบๆราวปลาขาดน้ำ สุดท้ายก็ขบกรามแน่น

           “นายหญิงจะเรียกกี่ชั่งขอรับ?”

     

           “โฮ่” คิ้วเรียวนั้นบิดลงมา

           “จะติดสินบนข้างั้นเหรอ?”

     

           เขาไม่ตอบ แต่เหงื่อกาฬที่ไหลลงมานั้นเป็นตัวบ่งบอกความเครียดอย่างดี

     

           นางยกยิ้ม

     

           “ข้าไม่ขออะไรมากหรอกเจ้าค่ะ” มือเรียวที่ประคองเขาอยู่ดันเขเข้ามาแนบกับร่างนางอีกหน่อย

     

           “เอาเป็นลูกลิงตัวนี้แทน...ดีไหม?”

     

           “นายหญิงขอรับ...”

     

           “เอ้า ก็อยากให้ข้าเก็บเงียบเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ?” นางเอียงคอ ดวงตามีประกายขบขัน

           “ข้าได้ลูกลิง ความลับท่านไม่ถึงหูทหาร...ถ้าพวกนั้นไม่เข้ามาในนี้ก็ไม่มีทางรู้ถึงร้านของท่าน แบบนี้ว่าไงเจ้าคะ?”

     

           อีกฝ่ายกลืนน้ำลายดังเอื๊อก แล้วจึงพยักหน้าช้าๆ

     

           “ดีมาก” อสุรีสาวยกยิ้มจนตาหยี แต่ในดวงตาคู่นั้นไม่มีความอ่อนโยนอยู่เลย

           “เป็นอันตกลง ไปล่ะนะเจ้าคะ”

     

           ร่างเพรียวหมุนตัวอุ้มเขาออกจากร้านที่พังยับเยินจากการต่อสู้และการบุกรุกของกลุ่มคนชุดดำ

     

           “...ไว้จะมาอุดหนุนใหม่แล้วกันเนอะ”

     

           องคตเบิกตากว้าง ห้ามไม่ให้ตัวเองสะดุ้งโหยงหรือตัวสั่นสุดใจ

     

           เสียงนั่น

           น่ากลัวเหลือเกิน...

     

           เขาทำใจดีสู้เสือ เหลือบมองดวงตาคู่นั้นเพียงแว้บเดียว

     

           มันเย็นเยียบ คมกริบเปี่ยมอันตรายราวกับมีดชั้นดีที่พร้อมแทงทะลุหัวใจทันที่เผลอตัว

     

           แม้แต่รอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆหายไป

     

           “เอาล่ะ...” นางสูดหายใจ หลับตาลงชั่วครู่

     

           แล้วเมื่อเจ้าของผิวกายสีดอกเลานั่นมองเขาอีกครั้ง ดวงตาสีดำถ่านก็มีความอ่อนโยนเจือปนอยู่

     

           “ไปทางไหนกันต่อดีนะ?” นางเล่นกับขนฟูๆบนหัวของเขา

           “กระเตงเจ้าไปด้วยก็หนีไม่ถนัดแล้วน่ะสิ...แต่จะกลับตอนนี้ก็ไม่ได้ ข้ายังเที่ยวไม่ครบเลย”

     

           เที่ยว?

     

           เขากะพริบตาปริบๆ อยากยกมือขึ้นทึ้งหัว

     

           นี่มาเที่ยวตลาดมืดเรอะ?!

     

           นางหัวเราะในลำคอกับสีหน้าของเขา

           “อะไรกันเล่า อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”

     

           ร่างเพรียวดันเขาขึ้นไปบนไหล่แล้วเดินเล่นไปตามถนนอย่างสบายใจเฉิบต่อ ทำเอาเขาแทบจะตั้งตัวไม่ทัน

     

           สตรีเมืองยักษ์นี่...เป็นอย่างนี้ทุกตนรึเปล่าเนี่ย?

     

           ก่อนจะได้ปวดหัวตาย เสียงควบม้ากุบกับที่ตรงมาก็ดึงความสนใจเขาอย่างรวดเร็ว

     

           เหมือนว่าอสุรีตนนั้นก็รู้สึกได้ รอยยิ้มสบายใจจางลงเล็กน้อยขณะที่ขาเรียวหยุดนิ่ง

     

           “ไม่ได้ไปเที่ยวต่อแล้วล่ะนะเจ้าหนูน้อย” ดวงตาสีดำถ่านมองกลุ่มคนบนหลังม้าที่ตรงมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน

     

           “มีคนมาตามแล้ว”

     

           องคตได้แต่มองด้วยความงุนงงขณะที่ม้านำขบวนหยุดลงตรงหน้านาง ตามด้วยม้าตัวอื่นๆ

     

           ยักษ์กายสีม่วงบนนั้นเมื่อเห็นนางก็รีบลงจากม้าแล้วตรงมาคุกเข่าข้างหน้า

     

           “ท่านเจ้า”

     

           นางยกยิ้ม(เหมือนแสยะยิ้มมากกว่าในความคิดของเขา)

           “มาแล้วหรืออนล”

     

           ก่อนจะก้มลง แล้วพูดด้วยเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคน...แต่รวมเขาที่อยู่บนบ่าเข้าไปด้วยอีกหนึ่ง

           “ไม่มาพรุ่งนี้ล่ะ คงจะสนุกนะ?”

     

           “ก็ใครล่ะที่ออกมาไม่บอกไม่กล่าว” คู่สนทนาลอบแยกเขี้ยวใส่

           “ให้ตายเถอะ นิสัยเจ้าไม่เปลี่ยนไปเลย”

     

           “อา ขอบใจ” นางอมยิ้ม

           “ในที่สุดข้าก็ทำให้เจ้าคุยกับข้าเหมือนเมื่อตอนเด็กๆได้แล้ว”

     

           อนลกรอกตา ลุกขึ้นแล้วมองมาที่องคต

           “ตัวนี้ไปได้มาจากไหน?”

     

           “ก็...แถวๆนี้แหละ”

     

           “ตรงไหน?” อีกฝ่ายถามย้ำ

           “เจ้ามานี่เพื่อสร้างเรื่อง ทำไมข้าจะไม่รู้?”

     

           “ไปดูเอาเองเถอะ ท้ายตรอกนั่นน่ะ” นางปัดๆมือไปด้านหลัง

     

           “ร้านที่พังๆนั่นสินะ?” ยักษากายม่วงปากกระตุก

           “มีใครตายไหม?”

     

           “ยัง” นางกอดอก

           “ถ้ามาช้ากว่านี้สักหน่อยได้มีแน่”

     

           “งั้นก็ดีที่ข้ามาเร็ว” เขาหันไปหากลุ่มทหาร

           “เจ้าสามคนตามข้ามา ที่เหลือนำเสด็จท่านเจ้ากลับวัง”

     

           “ขอรับ!

     

           อนลขึ้นม้าแล้วควบขับออกไป เหลือแต่นาง, องคตที่ยังเกาะอยู่บนบ่าและกลุ่มทหารอีกสี่ห้าคน

     

           “โย่” เสียงทะเล้นๆนั่นทำให้ทั้งนางและบุตรพาลีหันขวับขึ้นไปมอง

           “เจ้าคือเนมิธาสินะ?”

     

           ยักษาตรงหน้ามีกายสีแสด เส้นผมสีเทาเข้มยาวถึงเอวเกล้ามัดเป็นหางม้าทรงสูงอยู่บนหัว เสื้อที่อยู่บนกายนั้นมีรูปร่างประหลาดแต่ก็ไม่ได้ขัดตาเกินไป มันมีขอบที่สูงเหนือเอวจนเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่เรียงตัวสวยบนหน้าท้อง สาบเสื้อทั้งสองถูกมัดเข้าด้วยกันด้วยเชือกที่เย็บติดชายทั้งสองด้าน แขนเสื้อก็กุดจนเห็นท่อนแขนทั้งสองข้างจนถึงหัวไหล่ ขอบเขนเสื้อนั้นเย็บดันให้ตั้งสูงเป็นปลายแหลมขึ้นมาเล็กน้อย

     

           อสุรีสาว(ที่ตอนนี้รู้แล้วว่าชื่อเนมิธา)มองเขาขึ้นๆลงๆ ก่อนจะทำเสียงอ้อ

           “ส่วนเจ้าก็สิสิระแห่งปางตาลสินะ?”

     

           อีกฝ่ายยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวและเขี้ยวตามแบบยักษา

           “ยินดีที่ได้เจอนะเจ้านางน้อย”

     

           เนมิธาหัวเราะเหอะออกมาคำหนึ่ง

     

           “พอได้ยินแสงอาทิตย์บ่นเรื่องเจ้ามาบ้าง แต่ก็ไม่ได้แปลกขนาดนั้นนี่”

     

           สิสิระเลิกคิ้วขณะที่นางดึงตัวเองขึ้นไปบนม้าที่ทหารตนหนึ่งลงมาแล้วจูงให้

     

           “มันบอกเจ้าแต่งตัวประหลาด”

     

           “แล้วเจ้าว่ายังไงล่ะ?”

     

           “...ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร” นางดึงบังเหียนแล้วจับเขามานั่งข้างหน้า

           “แปลกตาดีด้วยซ้ำ”

     

           อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดัง

     

           “ข้าชอบเจ้าจัง เจ้านางน้อย”

     

           นางยิ้มพลางกระตุกบังเหียน

           “ขอบใจ”

     

           สิสิระยิ้มชักม้ามาเคียงนาง

     

           “กลับวังกันเถอะ พี่ๆเจ้าแทบจะขย้ำคอข้าให้รีบพาเจ้ากลับไปอยู่แล้ว”

     

           “อืม”

     

           เนมิธาสะบัดบังเหียนในมือ แล้วอาชาก็พุ่งฉิวไปด้านหน้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×