คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ✴ ประกายพรึก || ๐๓ : เอาตัวรอด
ป
ร ะ ก า ย พ รึ ก
๐๓
องคตไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าตัวเองจะต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
เขา...ยุพราชแห่งขีดขิน
และหนึ่งในวานรทหารเอกที่มีสายเลือดเทพไหลเวียนอยู่ในกาย...กำลังถูกขังอยู่ในกรงเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานทั่วไป
ต้องเท้าความไปเมื่อสองสามวันก่อน
ชมพูพานเพิ่งปรุงยากลบกลิ่นอายขณะแปลงร่างเป็นสัตว์อื่นเสร็จ
ด้วยความที่ตอนนั้นหนุมานกำลังไปเก็บผลไม้กับท่านอาสุครีพอยู่
หนูทดลองของเจ้านั่นจึงกลายเป็นเขาไปโดยปริยาย
แต่ก่อนที่จะได้กินยาเข้าไปนั้น
ก็มีคำสั่งเรียกตัวจากพระรามมาถึงเขาพอดี
คำสั่งที่ว่าก็คือการไปสอดแนมเมืองยักษ์ที่อยู่ไกลจากลงกาออกมาหน่อย
อารามรีบร้อน
เขาเลยแปลงร่างแล้วออกไปโดยที่ไม่ลืมกระดกยานั่นลงไปทั้งขวด
และแล้วสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น
ยานั่นไม่สมบูรณ์
และนอกจากการกลบกลิ่นอายจนมิดแล้ว
เขาก็ยังไม่สามารถกลับร่างเดิมได้อีกด้วย
ชมพูพานกับหนุมานที่ตามมาดูต่างก็ขำกลิ้งจนท้องแข็ง
“ให้ตายเถอะ
ไอ้ลิงเขียวเอ๊ย”
ไอ้ลิงขาวคางหักนั่นปาดน้ำตาออกจากหางตาแล้วพูดด้วยเสียงอู้อี้อย่างพยายามกลั้นหัวเราะสุดความสามารถ
“อยู่แบบนี้ก็น่ารักดีนะเนี่ย”
ก่อนที่เจ้าตัวจะร้องจุกตัวงอเมื่อถูกเขาถีบเข้าที่ท้องเต็มรัก
องคตตะเกียกตะกายไปที่ลำธาร
ชะโงกหัวเข้าไปอย่างรวดเร็วเพื่อดูสารรูปน่ารักของตัวเองที่ลูกพี่ลูกน้องปากเสียมันว่ามา
ลูกลิงขนสีเขียวนวลจ้องกลับมาด้วยดวงตาสีทองกลมแป๋ว
ยังดีที่สีตาไม่เปลี่ยนมาก
เขาพ่นคำสบถออกมาเป็นชุด
ก่อนจะถูกชมพูพานปิดปากไว้
“เดี๋ยวเถอะ
คำหยาบพวกนั้นมันไม่เหมาะกับรูปลักษณ์น่าฟัดน่ากอดของเจ้าเลยนะ”
“หุบปากโว้ย!!” องคตดิ้นพราด
ปีนขึ้นไปดึงผมยาวเลยบ่าที่รวบเป็นหางม้าต่ำเสียบปิ่นครอบไม้ไว้จนหลุดลุ่ย
“ทำให้ข้ากลับเป็นเหมือนเดิมเดี๋ยวนี้
ไอ้ลิงสีเจ็บ!!”
“โอ๊ย! โอ๊ยๆๆ!!” คนโดนกระทำดึงคอเขาออกมาหิ้วไว้
“ใจเย็นสิวะ
ใจเย็น!”
โธ่เอ๊ย
ตัวก็เล็ก แรงก็น้อย จะไปทำอะไรได้บ้างเนี่ย?
“เอาน่า
เดี๋ยวอยู่ๆไปก็หายเองแหละ”
หนุมานลูบขนหัวฟูๆสีเขียวของเขาพลางหลบฟันลูกพี่ลูกน้องไปด้วย
“เออ
ชมพู ยามันมีฤทธิ์นานเท่าไหร่วะ?”
คนโดนถามนิ่งไป
ก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้นมาเกาแก้ม
องคตเคยเห็นท่าทางแบบนั้นมาก่อน
...ตอนที่ไอ้ชมพูมันโป๊ะแตก
“เฮ้ย...”
“ก็...”
เจ้าตัวหัวเราะแห้งๆแล้วหันมาส่งยิ้มที่แห้งพอกันให้เขา
“นะ...”
...อยากจะเอาตีนมาก่ายหน้าผาก
“ชมพู!!”
“ก็มันยังปรับสูตรไม่เสร็จนี่หว่า”
ใบหน้าเกลี้ยงเกลาจัดอยู่ในระดับน่ามองใช้ได้ของน้องชายนอกไส้เอียงหลบลูกเตะของร่างเล็กที่ถูกหิ้วอยู่ข้างตัว
“ข้าจะไปฟ้องท่านอา!!”
“อย่า
ไม่เอา” ทันทีที่ได้ยินชื่อของพ่อบุญธรรมอย่างสุครีพ ไอ้ตัวดีก็รีบปล่อยเขาลงแล้วแทบจะหมอบกราบแทบเท้า
“ท่านพ่อไม่เอาข้าไว้แน่”
“แค่ที่เจ้าเอาพวกข้ากับพี่น้องนิลสามคนนั่นเป็นหนูทดลองหลายต่อหลายรอบนั่นก็พอจะทำให้เจ้าถูกเฉ่งกลับขีดขินแล้ว”
หนุมานโน้มตัวเข้ามาเท้าแขนลงกับหน้าขา
“จะบอกเรื่องไหนบ้างดีนะ?
สนุกจังเลย”
“เอ็งแหละตัวปั่นเลยไอ้นุ”
องคตแยกเขี้ยว
“ให้ตายเถอะ
พอจะมีทางแก้มั้ยเนี่ย?”
“เรื่องระยะเวลา
น่าจะไม่เกินหนึ่งปีแน่ๆ...แต่เอาเวลาแน่นอนไม่ได้
ข้ายังพอมียาตัวอย่างเหลืออยู่ในหม้อที่ห้องปรุงยา ถ้ากลับไปแล้วจะลองศึกษาดูอีกที”
“ไอ้บ้าเอ๊ย
หายดีเมื่อไหร่ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตาย”
“โห
จะตั้งตารอเลยล่ะ” วานรกายสีชมพูเล่นหางที่ฟูนุ่มของคู่สนทนา
“ระหว่างนี้เพื่อไม่ให้เวลาเสียเปล่า
เจ้าไปทำภารกิจก่อนแล้วกันนะ”
“นี่หาเรื่องจะทิ้งข้าในสภาพนี้ไว้เรอะ
ไอ้ลิงสติเฟื่อง?”
“ไม่ได้ทิ้งๆ
ไม่ทิ้งอย่างแน่นอน...ใครจะไปกล้าทิ้งท่านพี่องคตกันล่ะ?”
ได้ยินเสียงพึมพำคำว่าตอแหลเบาๆมาจากบุตรพระพาย
“เงียบปากไปเลยไอ้คางหัก!” คนตอแหลหันไปแหว ก่อนจะล้วงหยิบหลอดยาออกมาจากเป้หนังข้างเอวแล้วยื่นให้
“นี่จะทำให้เจ้าพูดได้แต่ภาษาของลิงทั่วไป
คนอื่นจะไม่เข้าใจยกเว้นว่าจะเป็นลิงเหมือนกัน แบบนี้จะได้ปลอมตัวเนียนขึ้น...ไม่โป๊ะแตกด้วย”
“อ่า
ขอบใจแล้วกัน” เขาเบะปากเบาๆแล้วรับมากระดกพรวดเดียว
“เจ้าจะไปไหนต่อล่ะ?
พอข้าหายาแก้ได้แล้วจะได้ไปหาตัวเจอ”
“แหม”
องคตบิดคิ้ว
“กว่าจะจัดการเสร็จ
ข้าไม่กลับไปที่ค่ายนานแล้วหรอกรึ?”
“เผื่อเสร็จเร็วไง”
ชมพูพานทอดเสียงอ่อน
เขามองน้องชายนิ่ง
แล้วถอนหายใจแรงๆ
“โรมคัล...อยู่ห่างจากนี่ไม่มาก
ข้ากะจะไปดูสักหน่อยแล้วค่อยเลยไปมัชวารีแล้วก็ปางตาล”
“โรมคัล?
พญาขรน่ะเหรอ?”
“ไม่ใช่แล้ว
พญาขรสิ้นไปแล้ว” บุตรพาลีเอนกายพิงขาของวานรกายสีชมพู
“ตอนนี้เจ้านครคือมังกรกัณฐ์”
“พญาขรสิ้น...”
หนุมานกดคิ้วลงเบาๆ
“เพราะอะไรนะ?
ข้าจำได้แค่ว่าก่อนที่เราจะมาร่วมกับกองทัพ เขาเคยรบกับองค์รามมาก่อน”
“รอบนั้นไม่ได้ตายนี่นา?”
วานรสติเฟื่องแห่งขีดขินเกาขมับ
“แต่ว่าตอนไปถึงเมืองก็ได้ข่าวว่าสิ้นไปแล้ว”
ดวงตาสีทองขององคตเย็นเยียบ
“...นั่นก็เป็นเรื่องที่อยากจะรู้เหมือนกัน”
“เอาเป็นว่า”
ความขี้เล่นบนใบหน้าของหนุมานหายไปขณะที่เขาวางมือลงบนหัวที่เล็กลงมากของลูกพี่ลูกน้อง
“อย่าตายแล้วกันนะ”
ยุพราชแห่งขีดขินเบนสายตาไปมองชมพูพานที่แค่ยิ้มบางๆแล้วก็ตบไหล่เขาเบาๆ
“...เออ”
ยากแน่ๆ...รอดในสภาพลิงน้อยแบบนี้เนี่ย...
ใช่
เป็นเรื่องยากจริงๆนั่นแหละ
เข้าเขตป่ารอบโรมคัลได้ไม่เท่าไหร่ก็ดันไปเหยียบกับดักสัตว์ป่าเข้า
ถ้าเป็นปกติ
กับดักแบบนี้แค่สะบัดมือทีเดียวก็เอาเขาไม่อยู่แล้ว
แต่ตอนนี้เขาติดอยู่ในร่างของลูกลิง
เรี่ยวแรงที่เคยมีมากมายหดหายลงไปเหลือเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น
เพราะอย่างนั้นเลยถูกพวกลักลอบค้าสัตว์จับยัดใส่กรงแล้วหิ้วเข้ามาทางคูน้ำหลังเมือง
ได้แต่โวยวายเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในร่างเล็กๆของลิงน้อยพลางพยายามมองหาทางหนี
ให้ตายเถอะ...
เขาพ่นคำสบถที่ไม่มีใครเข้าใจยกเว้นวานรด้วยกันออกมายาวเหยียด
พิงกรงเหล็กอย่างหมดแรง
“เจอแล้ว”
ห๊ะ?
ใคร? เจออะไร?
แล้วทำไมเสียงนั่นใกล้จัง?
เขากะพริบตาปริบๆแล้วหันไปทางต้นเสียงเพียงเพื่อจะสบกับดวงตาสีดำถ่านที่จ้องมองมา
เหมือนนิลน้ำงามที่ส่องประกายวาววับเมื่อกระทบแสง
ลึกล้ำไปด้วยพลังที่เขาไม่เข้าใจ...ไม่อาจเข้าใจ
ทำให้เขาดำดิ่ง
รู้สึกราวกับจมลงไปในสีดำราวกับความมืดอันไพศาลนั้นจนหายใจแทบไม่ทัน
ใบหน้าหมดจดนั้นมองเขานิ่ง
บนริมฝีปากอิ่มคือรอยยิ้มเบาบาง
ใครกัน?
“ตัวนี้ขายเท่าไหร่รึ
พ่อค้า?”
พื้นดินสั่นสะเทือนจนหูลิงที่ไวต่อเสียงของเขากระตุกเมื่อยักษ์เจ้าของร้าน(และคนที่รับเขามาขายต่อ)เดินมาหยุดยืนข้างๆด้วยรอยยิ้มเอาใจ
“สิบชั่งขอรับ”
นางเลิกคิ้ว
“มากเพียงนั้น?”
“นายหญิงขอรับ
ท่านต้องไม่เชื่อแ-”
ก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น
เจ้าของดวงตาสีถ่านก็ยืดตัวขึ้น สูดหายใจลึกแล้วสะบัดมือไปที่อีกมุมหนึ่งของร้าน
กระแสพลังบางอย่างถูกซัดออกไป
องคตมองเห็นเงาสีเงินเรืองเบาบางในอากาศอย่างชัดเจน
เหล่าสินค้าในหีบและชั้นวางที่ตั้งสูงอยู่ในทางของมันพังครืนลงในทันทีที่ถูกแตะโดยพลังนั้นพร้อมๆกับที่เงาสายหนึ่งกระโจนออกมาจากด้านหลัง
อสุรีกายสีดอกเลาหน้ากรงของเขาเอียงคอมอง
ดวงตายังคงนิ่งเรียบ
“เอ้า
โดนจับได้แล้วก็รีบๆสะสางให้ภารกิจลุล่วงสิ”
เสียงที่เคยเย็นเรื่อยราวกับลำธารนั้นบัดนี้ราบเรียบไร้กระแสอารมณ์ราวกับช่วงเวลาที่ลมหยุดพัดก่อนที่พายุจะเข้า
เงานั้นกระชับอาวุธสีดำบางอย่างในมือแล้วพุ่งเข้าใส่ทันที
นางพ่นลมหายใจเบาๆ
แล้วร่างนั้นก็นิ่งค้างในอากาศพร้อมกับมือเรียวที่กระดิกขึ้นน้อยๆ
ยักษีตนนั้นเหวี่ยงมันออกไปกระแทกกับเศษซากชั้นวางแล้วจึงกดมือลงกับต้นคอตนเองเบาๆ
“อา...”
ดวงตาคู่นั้นหรี่ลง ราวกับกำลังผิดหวัง
“นึกว่าจะเก่งกว่านี้ซะอีก”
คู่ต่อสู้ลุกขึ้นมาพร้อมกับเสียงหอบหนักๆ
มันสะบัดอะไรบางอย่างออกจากอาวุธ เผยให้เห็นกระบี่วาววับในความมืด
ร่างเพรียวนั้นเพียงขยับถอยหลังครึ่งก้าวแล้วยกมือขึ้นปิดจมูก
“อาคมดำสินะ...คาวจริงๆ”
นางเหน็บชายสไบเข้าที่ใต้เขนให้เรียบร้อย
แล้วจึงเท้าเอวด้วยท่าทางที่ทำให้องคตนึกถึงนักเลงกวนบาทาที่ชื่อนิลพัท(แน่นอนว่าในแบบที่ดูใจร้อนน้อยกว่า)
“เอาเถอะ
จะยอมเล่นด้วยแล้วกัน”
คราวนี้นางเป็นฝ่ายดีดตัวเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
ขยับหลบคมดาบเพียงไม่กี่ครั้งก็เข้าถึงตัวอีกฝ่ายได้
มือเรียวข้างหนึ่งฉวยข้อมือข้างที่ถือดาบ
อีกข้างคว้าบ่าแล้วเหวี่ยงร่างนั้นลอยข้ามหัวไป
พื้นดินสั่นสะเทือนอีกครั้งเมื่อนางทุ่มหลังมันลงพื้นจนได้ยินเสียงอั่ก
“ของอันตรายแบบนี้ไม่ควรให้เด็กเล่นนะ”
มุมปากนั้นยกเป็นรอยยิ้มที่ไม่ถึงดวงตาขณะที่บีบท่อนแขนในมือจนหักแล้วดึงดาบออก
อีกฝ่ายมองนางด้วยดวงตาแดงฉานอย่างพยาบาทแล้วผิวปาก
“โอ๊ะ”
อสุรีเลิกคิ้ว
“อืม
แย่แล้วสินะ”
ร่วงในชุดดำอีกเกือบสิบพุ่งเข้ามาล้อม
องคตแทบจะกุมขมับ
เออ
ก็แย่สิวะ!
นางลุกขึ้นโดยไม่ลืมเหยียบบนท่อนขาของร่างข้างใต้จนได้ยินเสียงกระดูกหักดังลั่น
บนใบหน้าหมดจดนั้นยังมีรอยยิ้มอยู่ ดวงตาสีดำถ่านปรากฎประกายวาบ
“มาเล่นกัน”
แล้วความวิบัติทั้งหมดก็ระเบิดออกมา
ยุพราชแห่งขีดขินมองฉากต่อสู้ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
นางเคลื่อนไหวกระชับฉับไว
แต่จะว่าเร็วก็ไม่ใช่...แน่นอนว่ายังไงหนุมานก็ไวกว่า
เรื่องขนาดตัวและกำลังคน
แน่นอนว่านางเป็นรอง
ส่วนกลยุทธ์ในการสู้นั้นคล้ายจะมีแผน
แต่ก็ไม่มี
รวมๆก็...ไม่โดดเด่นเลยสักนิด
แต่ทำไมกัน...
สิบคนนั้นกลับโดนนางซัดหมอบได้ภายในไม่กี่อึดใจ
นางจิ๊ปากเบาๆขณะที่ปลดสไบกลับออกมาห่มไหล่
“น่าผิดหวัง...มากันตั้งสิบคนทำได้แค่นี้”
“ค-คือว่านายหญิง...”
เจ้าของร้านขายสัตว์เยี่ยมหน้าออกมาจากหลังชั้นวางอีกฝั่ง
“ค-ค่าเสียหาย...”
“พ่อค้ารู้หรือไม่”
นางหมุนตัวกลับไปตัดบทเขา
“สัตว์ที่อยู่ในหิมพานต์นั้นเป็นสายพันธุ์สงวน
ไม่ว่าชนิดใดๆก็ตาม...มันเป็นกฎสากลของทั้งอสุรจักรวรรดิและอาณาจักรมนุษย์
หากจะซื้อขายต้องมีบัตรอนุญาต”
“เอ่อ...”
“เท่าที่ข้าดูมา
ที่ขายอยู่ที่นี่ล้วนเป็นสิ่งจากในป่านั่นทั้งนั้นเลยนี่?”
“นายหญิงขอรับ
ข้าอธิบายได้” เขาลนลานตอบ แม้จะว่าอย่างนั้นแต่ดวงตาก็หลุกหลิกไปมา
“สัตว์พวกนี้ล้วนแล้วถูกจับจากนอกหิมพานต์
ข้ารับรองท่านได้จริงๆ”
“อ้อ
งั้นรึ?” รอยยิ้มเย็นเยียบนั้นกดลึกขึ้น
“เช่นนั้น
นกอรหันพวกนั้นก็คงจะหลงออกมาตั้งฝูงนอกเขตเขาไกรลาสสินะ”
“ข-ขอรับ”
“อืมๆๆ”
มือเรียวลากไปตามกรงต่างๆ
“หลงออกมาเยอะเชียวนะ
พ่อค้า?”
“แน่...แน่นอนขอรับ
หมู่นี้พวกมันไม่รู้ว่าเป็นอะไร มาอยู่ข้างนอกกันตั้งเยอะขนาดนี้”
“อา
เข้าใจแล้วล่ะ” นางก้มตัวลงที่หน้ากรงเขา เปิดสลักกลอนออกอย่างง่ายดายแล้วอุ้มเขาที่ทั้งฝืนตัวทั้งขยับหนีออกมาอย่างง่ายดาย
ไอ้ชมพู
ตัวกระจ้อยแค่นี้ข้าจะอยู่อย่างไรให้รอดวะ?
กลับไปได้จะจับมันต้มโคล้งกินให้หายแค้น
“แต่ว่านะ
พ่อค้าเจ้าคะ” อสุรีนั่นวางเขาลงบนแขนตัวเองแล้วประคองไว้อย่างมั่นคงจนไม่น่าเชื่อ
“ลูกลิงตัวนี้น่ะ...ไม่น่าจะใช่ของถูกจับมาจากนอกหิมพานต์ล่ะกระมังเจ้าคะ?”
“นายหญิงกล่าวอะไร...”
“ท่านดูขนมันสิ
สีแปลกเช่นนี้หากไม่ใช่สัตว์หิมพานต์...ก็ต้องเป็นสัตว์เทพ”
องคตมองดูสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกปนตื่นตระหนกของพ่อค้า
สัตว์เทพเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
อยู่ในการปกครองของเหล่าเทพบดีและเทพชั้นสูงต่างๆเท่านั้น จะซื้อขายก็ต้องมีระเบียบการเข้มงวดกว่าหิมพานต์เยอะ
หากบอกว่าโทษของการลักลอบจับสัตว์มาจากหิมพานต์นั้นหนักแล้วล่ะก็
โทษของการลักลอบจับสัตว์เทพนั้นหนักหนากว่าหลายเท่า
“อืม...ดวงตาสีทองแบบนี้ก็ยิ่งดูแปลกเหมือนสัตว์เทพเข้าไปใหญ่”
ดวงตาสีดำถ่านคมกริบขณะชายไปหาเขา
“พ่อค้าเอง
ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีใบอนุญาตนี่นา?”
“น-นายหญิง”
อีกฝ่ายอ้าปากพะงาบๆราวปลาขาดน้ำ สุดท้ายก็ขบกรามแน่น
“นายหญิงจะเรียกกี่ชั่งขอรับ?”
“โฮ่”
คิ้วเรียวนั้นบิดลงมา
“จะติดสินบนข้างั้นเหรอ?”
เขาไม่ตอบ
แต่เหงื่อกาฬที่ไหลลงมานั้นเป็นตัวบ่งบอกความเครียดอย่างดี
นางยกยิ้ม
“ข้าไม่ขออะไรมากหรอกเจ้าค่ะ”
มือเรียวที่ประคองเขาอยู่ดันเขเข้ามาแนบกับร่างนางอีกหน่อย
“เอาเป็นลูกลิงตัวนี้แทน...ดีไหม?”
“นายหญิงขอรับ...”
“เอ้า
ก็อยากให้ข้าเก็บเงียบเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ?” นางเอียงคอ ดวงตามีประกายขบขัน
“ข้าได้ลูกลิง
ความลับท่านไม่ถึงหูทหาร...ถ้าพวกนั้นไม่เข้ามาในนี้ก็ไม่มีทางรู้ถึงร้านของท่าน
แบบนี้ว่าไงเจ้าคะ?”
อีกฝ่ายกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
แล้วจึงพยักหน้าช้าๆ
“ดีมาก”
อสุรีสาวยกยิ้มจนตาหยี แต่ในดวงตาคู่นั้นไม่มีความอ่อนโยนอยู่เลย
“เป็นอันตกลง
ไปล่ะนะเจ้าคะ”
ร่างเพรียวหมุนตัวอุ้มเขาออกจากร้านที่พังยับเยินจากการต่อสู้และการบุกรุกของกลุ่มคนชุดดำ
“...ไว้จะมาอุดหนุนใหม่แล้วกันเนอะ”
องคตเบิกตากว้าง
ห้ามไม่ให้ตัวเองสะดุ้งโหยงหรือตัวสั่นสุดใจ
เสียงนั่น
น่ากลัวเหลือเกิน...
เขาทำใจดีสู้เสือ
เหลือบมองดวงตาคู่นั้นเพียงแว้บเดียว
มันเย็นเยียบ
คมกริบเปี่ยมอันตรายราวกับมีดชั้นดีที่พร้อมแทงทะลุหัวใจทันที่เผลอตัว
แม้แต่รอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆหายไป
“เอาล่ะ...”
นางสูดหายใจ หลับตาลงชั่วครู่
แล้วเมื่อเจ้าของผิวกายสีดอกเลานั่นมองเขาอีกครั้ง
ดวงตาสีดำถ่านก็มีความอ่อนโยนเจือปนอยู่
“ไปทางไหนกันต่อดีนะ?”
นางเล่นกับขนฟูๆบนหัวของเขา
“กระเตงเจ้าไปด้วยก็หนีไม่ถนัดแล้วน่ะสิ...แต่จะกลับตอนนี้ก็ไม่ได้
ข้ายังเที่ยวไม่ครบเลย”
เที่ยว?
เขากะพริบตาปริบๆ
อยากยกมือขึ้นทึ้งหัว
นี่มาเที่ยวตลาดมืดเรอะ?!
นางหัวเราะในลำคอกับสีหน้าของเขา
“อะไรกันเล่า
อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”
ร่างเพรียวดันเขาขึ้นไปบนไหล่แล้วเดินเล่นไปตามถนนอย่างสบายใจเฉิบต่อ
ทำเอาเขาแทบจะตั้งตัวไม่ทัน
สตรีเมืองยักษ์นี่...เป็นอย่างนี้ทุกตนรึเปล่าเนี่ย?
ก่อนจะได้ปวดหัวตาย
เสียงควบม้ากุบกับที่ตรงมาก็ดึงความสนใจเขาอย่างรวดเร็ว
เหมือนว่าอสุรีตนนั้นก็รู้สึกได้
รอยยิ้มสบายใจจางลงเล็กน้อยขณะที่ขาเรียวหยุดนิ่ง
“ไม่ได้ไปเที่ยวต่อแล้วล่ะนะเจ้าหนูน้อย”
ดวงตาสีดำถ่านมองกลุ่มคนบนหลังม้าที่ตรงมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“มีคนมาตามแล้ว”
องคตได้แต่มองด้วยความงุนงงขณะที่ม้านำขบวนหยุดลงตรงหน้านาง
ตามด้วยม้าตัวอื่นๆ
ยักษ์กายสีม่วงบนนั้นเมื่อเห็นนางก็รีบลงจากม้าแล้วตรงมาคุกเข่าข้างหน้า
“ท่านเจ้า”
นางยกยิ้ม(เหมือนแสยะยิ้มมากกว่าในความคิดของเขา)
“มาแล้วหรืออนล”
ก่อนจะก้มลง
แล้วพูดด้วยเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคน...แต่รวมเขาที่อยู่บนบ่าเข้าไปด้วยอีกหนึ่ง
“ไม่มาพรุ่งนี้ล่ะ
คงจะสนุกนะ?”
“ก็ใครล่ะที่ออกมาไม่บอกไม่กล่าว”
คู่สนทนาลอบแยกเขี้ยวใส่
“ให้ตายเถอะ
นิสัยเจ้าไม่เปลี่ยนไปเลย”
“อา
ขอบใจ” นางอมยิ้ม
“ในที่สุดข้าก็ทำให้เจ้าคุยกับข้าเหมือนเมื่อตอนเด็กๆได้แล้ว”
อนลกรอกตา
ลุกขึ้นแล้วมองมาที่องคต
“ตัวนี้ไปได้มาจากไหน?”
“ก็...แถวๆนี้แหละ”
“ตรงไหน?”
อีกฝ่ายถามย้ำ
“เจ้ามานี่เพื่อสร้างเรื่อง
ทำไมข้าจะไม่รู้?”
“ไปดูเอาเองเถอะ
ท้ายตรอกนั่นน่ะ” นางปัดๆมือไปด้านหลัง
“ร้านที่พังๆนั่นสินะ?”
ยักษากายม่วงปากกระตุก
“มีใครตายไหม?”
“ยัง”
นางกอดอก
“ถ้ามาช้ากว่านี้สักหน่อยได้มีแน่”
“งั้นก็ดีที่ข้ามาเร็ว”
เขาหันไปหากลุ่มทหาร
“เจ้าสามคนตามข้ามา
ที่เหลือนำเสด็จท่านเจ้ากลับวัง”
“ขอรับ!”
อนลขึ้นม้าแล้วควบขับออกไป
เหลือแต่นาง, องคตที่ยังเกาะอยู่บนบ่าและกลุ่มทหารอีกสี่ห้าคน
“โย่”
เสียงทะเล้นๆนั่นทำให้ทั้งนางและบุตรพาลีหันขวับขึ้นไปมอง
“เจ้าคือเนมิธาสินะ?”
ยักษาตรงหน้ามีกายสีแสด
เส้นผมสีเทาเข้มยาวถึงเอวเกล้ามัดเป็นหางม้าทรงสูงอยู่บนหัว
เสื้อที่อยู่บนกายนั้นมีรูปร่างประหลาดแต่ก็ไม่ได้ขัดตาเกินไป
มันมีขอบที่สูงเหนือเอวจนเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่เรียงตัวสวยบนหน้าท้อง สาบเสื้อทั้งสองถูกมัดเข้าด้วยกันด้วยเชือกที่เย็บติดชายทั้งสองด้าน
แขนเสื้อก็กุดจนเห็นท่อนแขนทั้งสองข้างจนถึงหัวไหล่ ขอบเขนเสื้อนั้นเย็บดันให้ตั้งสูงเป็นปลายแหลมขึ้นมาเล็กน้อย
อสุรีสาว(ที่ตอนนี้รู้แล้วว่าชื่อเนมิธา)มองเขาขึ้นๆลงๆ
ก่อนจะทำเสียงอ้อ
“ส่วนเจ้าก็สิสิระแห่งปางตาลสินะ?”
อีกฝ่ายยิ้ม
เผยให้เห็นฟันขาวและเขี้ยวตามแบบยักษา
“ยินดีที่ได้เจอนะเจ้านางน้อย”
เนมิธาหัวเราะเหอะออกมาคำหนึ่ง
“พอได้ยินแสงอาทิตย์บ่นเรื่องเจ้ามาบ้าง
แต่ก็ไม่ได้แปลกขนาดนั้นนี่”
สิสิระเลิกคิ้วขณะที่นางดึงตัวเองขึ้นไปบนม้าที่ทหารตนหนึ่งลงมาแล้วจูงให้
“มันบอกเจ้าแต่งตัวประหลาด”
“แล้วเจ้าว่ายังไงล่ะ?”
“...ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร”
นางดึงบังเหียนแล้วจับเขามานั่งข้างหน้า
“แปลกตาดีด้วยซ้ำ”
อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดัง
“ข้าชอบเจ้าจัง
เจ้านางน้อย”
นางยิ้มพลางกระตุกบังเหียน
“ขอบใจ”
สิสิระยิ้มชักม้ามาเคียงนาง
“กลับวังกันเถอะ
พี่ๆเจ้าแทบจะขย้ำคอข้าให้รีบพาเจ้ากลับไปอยู่แล้ว”
“อืม”
เนมิธาสะบัดบังเหียนในมือ
แล้วอาชาก็พุ่งฉิวไปด้านหน้า
ความคิดเห็น