ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marvel || Broken Throne (OC feat. Thorki, Stony, Spideypool, etc.)

    ลำดับตอนที่ #45 : Broken Throne S3 || Ch 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 129
      5
      19 เม.ย. 63

    || B R O K E N T H R O N E ||

    s e a s o n 3

    ----------------------------

    CHAPTER 4

     

     

           เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านไปเกือบสองเดือนแล้ว

     

           สคาดิอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคิดถึงแอสการ์ด

     

           เธอคิดถึงธอร์ รอยยิ้มบ้าบอของเขาคงจะช่วยทำให้เธอหายเหนื่อยขึ้นมาทันทีหลังจากกลับมาจากห้องทรงงานของเจ้าน้องชาย

     

           และใช่...ทุกเย็นเธอต้องไปจิบชา(ช่วยสะสางฎีกาต่างๆ)ที่ห้องทรงงานตามคำสั่งของเบรดิ

     

           ช่วยบอกทีว่าเขาไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการที่มีเจ้าหญิงแห่งแอสการ์ดอยู่ในอาณาจักร

     

           และตั้งแต่มานี่ แทบไม่มีคืนไหนเลยที่เธอไม่ฝันถึงท่านแม่ซึ่งตอนนี้ไปอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวแล้ว...และโลกิซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าศพถูกย่อยไปจนหมดแล้ว หรือแกล้งตายอีกรอบแล้วมุดหัวหายไปอยู่ไหนก็ไม่รู้

     

           แต่ใบหน้าที่โผล่มาบ่อยกว่าแม่บุญธรรมและพี่ชายนอกไส้ก็คือโซลเมตของเธอ...วีดาร์

     

           เธอพยายามคิดหาทางที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจว่าทำไมต้องปิดกั้นสายสัมพันธ์ทางจิตชั่วคราวขณะยกถ้วยชาอุ่นๆขึ้นวนบริเวณใต้จมูก

     

           หญิงสาวสะดุ้งเมื่อมือของน้องชายเอื้อมมากุมรอบข้อมือ

     

           “ท่านดมชานั่นมาเกือบห้านาทีแล้ว ท่านพี่”

     

           ตั้งแต่ที่เบรดิถูกวางยาในอาหาร เธอก็ต้องตรวจสอบอาหารเกือบทุกอย่างที่ส่งมาให้ทั้งเธอและน้อง

           แม้ว่าตลอดสองเดือนมานี้ ยังไม่มียาพิษปนเปื้อนในอะไร แต่เธอก็ไม่สามารถดูเบาเจ้าคนต้นคิดเรื่องนี้ได้

     

           ทำไปครั้งหนึ่งแล้วหยุดเป็นเวลานาน ไม่ได้แปลว่าจะล้มเลิกแผนการซะหน่อย

     

           เธอขมวดคิ้ว แล้วยื่นมันคืนให้เขา

          

           “หนักใจอะไร?” เด็กชายถาม

     

           “ไม่มีอะไร”

     

           “อย่าหลอกข้าน่า” เขาวางชาลงแล้วกอดอก

           “พูดมา”

     

           “เบรดิ” เธอถอนหายใจ

     

           “ก็แค่...เรื่องของผู้ใหญ่”

     

           “อือฮึ” น้องพยักหน้าเบาๆ

           “รู้มั้ย ท่านแม่ก็ชอบพูดแบบนี้ตอนที่แอบไปทำอะไรลับหลังข้า”

     

           “อ้าว” เธอทำหน้าเหรอหรา

     

           “ตอนนี้จะหาเรื่องระแวงข้าแล้วรึ น้องข้า?”

     

           “ขึ้นอยู่กับท่าน ว่าจะให้ข้าระแวงรึเปล่า” เขาตอบพลางจิบชา

     

           ทันใดนั้น ประตูก็ถูกเปิดออก

     

           สคาดิหันหัวไปอย่างรวดเร็ว มือแตะด้ามดาบสีเงินคู่ใจที่พกไว้ใต้กระโปรงเงียบๆ

     

           เมื่อเห็นว่าคนที่ก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามาคือเอลฟ์หญิงตนหนึ่งในชุดประโปรงเรียบๆของคนรับใช้ เธอก็ผ่อนลมหายใจออกแล้วค่อยๆชักมือจากใต้กระโปรงขึ้นมาวางบนตัก

     

           “พระกระยาหารเย็นเพคะ ฝ่าบาท องค์หญิง”

     

           “อืม วางเอาไว้ตรงนั้นล่ะ” น้องชายร่วมบิดาโบกมือไล่เธอเบาๆ

     

           สาวเจ้าถอนสายบัวแล้วเดินไปที่มุมห้องเพื่อวางถาดอาหารที่มีสองสำรับอยู่บนนั้นลง

     

           เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่เธอจะผละออก อะไรบางอย่างที่วาววับก็สะท้อนเข้าตาของรัชทายาทแห่งอาณาจักร

     

           ไวเท่าความคิด สคาดิผุดลุกขึ้นแล้วพุ่งไปหาน้องชายขณะที่หญิงรับใช้คนนั้นชักกริชออกมาแล้วกระโจนเข้าใส่เบรดิอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบปานฟ้าแลบ

     

           เสียงโลหะกระทบกันดังเปรื่องปร่างทำให้เด็กชายหันมา แล้วดวงตาสีฟ้าซีดที่เหมือนกัยเธอราวแกะก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก

     

           “หาที่หลบ” หญิงสาวคำรามลอดไรฟัน มือที่จับดาบขึ้นต้านกริชเล่มนั้นสั่นน้อยๆเนื่องจากความไม่คล่องตัวในมุมรับแบบนี้

     

           เขาไม่รอให้สั่งอีกรอบ รีบมุดเข้าไปใต้โต๊ะทรงงาน

     

           มือเรียวเสยกริชกลับไป ร่างเพรียวสูงในชุดกระโปรงเกะกะจัดระเบียบร่างกายอย่างชำนาญเมื่อนักฆ่าคนนั้นเซถอยไปจนเปิดโอกาสให้เธอได้ตั้งหลัก

     

           เหิมเกริมขนาดส่งนักฆ่ามาหาถึงห้องแล้วรึ?

     

           ดวงตาวาวโรจน์ สคาดิตรงเข้าฟาดฟันปัดป้องกริชเล่มนั้นให้ออกห่างจากโต๊ะที่ผู้เป็นน้องและราชาหลบอยู่

           เธอย่นจมูกด้วยความไม่พิสมัยเมื่อแรงลมหอบพากลิ่นโชยมาหา

     

           โอเค

           กริชเคลือบพิษซะด้วย

     

           ลงทุนขนาดนี้ กะจะเอาทั้งเธอทั้งน้องสินะเนี่ย

     

           ขาเรียวตวัดผ่านเนื้อผ้ายาวกรอมเท้า เตะเข้าจังๆที่ท้องของหญิงคนนั้นจนอีกฝ่ายร้องจุก

     

           มือข้างที่ว่างเอื้อมไปกดที่ข้อหนึ่งของกระดูกไหล่อย่างแรง ส่งผลให้ไหล่ข้างนั้นของนักฆ่าสาวหลุดทันที

     

           ด้วยความเจ็บ เธอจึงจำต้องปล่อยกริชอาบยาพิษในมือข้างนั้นลง

     

           แต่ก่อนที่สคาดิจะได้ทำอะไรต่อไป ร่างในชุดเรียบง่ายนั้นก็คว้าอาวุธขึ้นมาด้วยมือข้างที่ไม่บาดเจ็บกลางอากาศแล้วหันมาหา ยืดตัวพร้อมกับตวัดคมกริชใส่เธอ

     

           หญิงสาวผมสีเข้มสูดหายใจเข้าด้วยความตกใจ ด้วยระยะที่ประชิดขนาดนี้ทำให้เธอไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเอนตัวไปข้างหลังจนแวบหนึ่งคิดว่าหลังกับคอคงจะต้องเคล็ดแน่ๆ แต่อย่างน้อย นั่นก็ทำให้มันพลาดเป้าและตัดผ่านปอยผมเล็กๆช่อหนึ่งไปแทนตำแหน่งคอของเธอ

     

           สคาดิขบกรามแน่น ไถลตัวเข้าไปภายในระยะแขนของอีกฝ่ายแล้วออกแรงสับสันมือเข้าไปที่ต้นคอของเธอในเวลาเดียวกับที่นักฆ่าคนนั้นตัดสินใจใช้เข่ากระแทกเข้าที่สีข้าง

     

           ร่างเพรียวเซเล็กน้อย มือถูกยกขึ้นกุมบริเวณที่เจ็บขณะที่ปรับลมหายใจ

     

           หญิงรับใช้ปลอมพุ่งเข้ามาอีกครั้ง

     

           แล้วเธอก็ตีลังกากลับหลังในทันทีที่อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในระยะช่วงขา ฟังเสียงปลายเท้าที่สะบัดเสยจนกระทบกับกับปลายคางด้วยความพึงพอใจ

     

           แต่ไม่...นี่ไม่พอแน่ๆ

     

           มือเรียวกระชับดาบในมืออีกครั้งแล้วลงมือรุกไล่ฟันคนถือกริชอย่างกะจะไม่ให้มีเวลาพักหายใจ ส่วนหญิงนักฆ่านั่นก็ไม่น้อยหน้า ทันทีที่สบโอกาสก็พยายามจะเสือกกริชเข้ามาที่คอหอยไม่ก็หัวใจเธออยู่เรื่อยจนไม่สามารถประมาทได้เลย

     

           สุดท้าย สคาดิก็เจอช่องว่างในกระบวนเพลงกริชนั้น

     

           หญิงสาวควงดาบแล้วสอดมันเข้าไประหว่างขาของอีกฝ่าย แล้วใช้ใบดาบส่วนที่ไม่คมงัดมันขึ้น คว้าจับที่เสื้อสีเรียบนั้นในจังหวะที่นักฆ่าคนนั้นเสียหลักถลามาข้างหน้าก่อนจะเหวี่ยงเธอข้ามหัวไปกระแทกโต๊ะไม้แถวนั้นจนมันหักครึ่ง

     

           ร่างเพรียวลมหอบหายใจหนักๆขณะที่ก้าวเร็วๆไปเขี่ยอาวุธออกจากมือของเธอ ปลายดาบสีเงินยวงคมกริบจ่อลงที่คอของผู้ริอาจปลอมตัวเข้ามาฆ่ากษัตริย์

     

           เบรดิรีบรุดมาข้างกายเธอแล้วก้มลงหยิบกริชนั้น

     

           “ระวังนะ มันเคลือบพิษ” ดวงตาสีฟ้าซีดแทบไม่ละออกจากร่างที่นอนมึนอยู่บนพื้นในตอนที่คุยกับน้องชาย

     

           “นางคือใคร?” เด็กชายถาม

     

           “ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน” สคาดิใช้ดาบเขี่ยผมสีอ่อนที่ปรกอยู่บนใบหน้านั้นออก

           “ใครก็ตามที่กล้าส่งนักฆ่ามาเยี่ยมถึงห้องเจ้าอย่างนี้ต้องมีกระเป๋าที่หนักพอจ่าย”

     

           “ทหา-” มือเรียวยกขึ้นเป็นสัญญาณให้เขาเงียบก่อนที่จะทันได้เรียกพวกทหารเข้ามา

     

           ร่างที่สูงเลยไหล่เธอมานิดหน่อยเงยหน้ามองอย่างฉงน

     

           “เราคงไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่นหรอก...” ดวงตาทอประกายนิ่งเรียบ ดวงหน้างดงามหันมาเล็กน้อย

           “ใช่ไหม น้องข้า?”

     

           เบรดินิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพรูลมหายใจออกแล้วแตะแขนเธอเบาๆ

           “ท่านปลอดภัยนะ?”

     

           “ระดับนี้แล้ว” เธอหัวเราะในลำคอเบาๆพลางสะบัดมือ พาร่างของนักฆ่าคนนั้นไปนั่งบนเก้าอี้พร้อมกับสร้างเชือกเวทย์มัดรอบเธอไว้อย่างแน่นหนา

     

           “แล้วทำไมไม่ใช้เวทย์มนตร์แต่แรก?” น้องชายหรี่ตามอง

     

           เออ นั่นสิ

     

           “สัญชาตญาณดิบมั้ง” สคาดิยักไหล่

           “ชาวแอสการ์ดชอบใช้กำลังแก้ปัญหา...แบบธอร์ พี่คนโตของข้าน่ะ สงสัยคงอยู่ที่โน่นนานไปจนซึมซับเข้าสมองมา”

     

           “ไม่ใช่ว่าท่านมีพี่อีกคนรึ?”

     

           “โลกิน่ะนะ?” สคาดิอดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงพี่คนรอง

           “ก็ใช่ แต่คนนั้นมีอิทธิพลกับข้าในด้านการใช้เวทย์มากกว่า”

     

           แล้วร่างเพรียวก็กอดอก

           “รู้เยอะแบบนี้ แสดงว่าเจ้าเริ่มมีเส้นสายวงในแล้วใช่มั้ย?”

     

           “ก็ไม่เชิง” เขาขมวดคิ้ว

           “เรียกว่า...ข่าวมันดังจนแม้แต่ดินแดนกันดารอย่างที่นี่ยังรู้เรื่องแล้วกัน”

     

           “อืม” เธอหรุบตาลง ใจประหวัดไปถึงช่วงเวลาในแอสการ์ด

     

           “แม่เจ้าล่ะ?”

     

           “อยู่ที่ห้องของนางน่ะสิ” เบรดิหันมาตอบ

           “คิดอะไรได้เหรอ?”

     

           “ถ้าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี่อยากจะฆ่าเจ้า แม่เจ้าก็อาจติดร่างแหไปด้วยก็ได้”

     

           “แล้ว...” น้องชายบุ้ยปากไปที่นักฆ่าสาวที่ยังคงสลบอยู่

     

           “ปล่อยไว้” สคาดิเก็บดาบกลับเข้าไปใต้กระโปรง

     

           “เชือกข้าเป็นอาคมเฉพาะ ถ้าใครไม่รู้จริงแล้วสะเออะมายุ่งล่ะก็ มันจะยิ่งรัดแน่นขึ้น...และถ้ามีคนแก้ได้ ข้าจะรู้สึกทันที”

     

           “จะเอาไว้อย่างนี้เนี่ยนะ?”

     

           “เอาไว้กลับมาแล้วค่อยสอบสวนนาง” ร่างเพรียวในชุดกระโปรงแบบชนชั้นสูงเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วไปที่ประตู มือเรียวจับชายกระโปรงชั้นในขึ้นมาฉีกเป็นเส้นยาวๆแล้วยื่นให้เขา

           “เอานี่พันกริชไว้แล้วเก็บมันใส่เสื้อคลุมเจ้า”

     

           “ท่านว่าไง ข้าว่างั้น” เบรดิรับผ้ามาพันรอบอาวุธเคลือบยาพิษแล้วสอดเข้าไปในช่องเล็กๆในชุดคลุมของตนพลางเดินตามพี่สาวออกไป

     

     

     




     

     

     

     

     




           หญิงสาวยกมือขึ้นจัดทรงผมสีเข้มของตนที่หลุดลุ่ยจากการต่อสู้เมื่อไม่ถึงสิบนาทีก่อนอย่างลวกๆด้วยการดึงหวีสับ, ปิ่นและเครื่องประดับต่างๆออกมาจนเกือบหมดแล้วเลือกสักสองสามอันที่อลังการน้อยที่สุดเพื่อนำมาปักยึดมวยแบบรีบๆของเธอให้ยังอยู่ติดกับหัว

     

           “ไม่เข้าใจจริงๆว่าจะทำให้มันยุ่งยากทำไม” สคาดิพึมพำ เรียกเสียงหัวเราะจากน้องร่วมบิดา

     

           “ท่านเป็นรัชทายาทนะ อย่างน้อยทรงผมก็ต้องไม่ธรรมดาสามัญจนกลืนกับพวกคนรับใช้”

     

           “ทีทรงผมเจ้ายังดาษดื่นได้เลย” เธอมุ่นหัวคิ้ว

     

           “มันไม่เหมือนกัน” เขาถอนหายใจ

           “เอาไว้ข้าโตพอจะไว้ผมยาวได้ ค่อยทำทรงเว่อร์ๆ”

     

           “แต่ยังไงทรงเว่อร์ๆของเจ้าก็จะไม่มีทางเท่าของข้าอยู่ดี” เทพีแห่งเหมันต์แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากขณะเลี้ยวซ้ายตรงทางเดินหินสีซีด

     

           “จะถึงรึยัง?”

     

           “ใกล้แล้ว ท่านพี่”

     

           ให้ตาย

           ทางเดินในพระราชวังของโอดินยังจำง่ายกว่านี้เลย

     

           ในที่สุด เบรดิก็หยุดลงที่หน้าประตูบานใหญ่คู่หนึ่ง

     

           “นี่ล่ะ ห้องชุดของพระพันปีหลวง”

     

           เขายังไม่ทันได้จับลูกบิดประตู เพียงมือไปโดนบานข้างหนึ่งเบาๆมันก็แง้มออกแล้ว

     

           ทั้งสองพี่น้องมองหน้ากัน

     

           “ปกติท่านแม่จะขัดกลอน”

     

           สคาดิเอื้อมมือลงไปแตะดาบอีกครั้งขณะที่เด็กชายค่อยๆผลักประตูออกอย่างเงียบเชียบ

     

           ดวงตาสีฟ้าซีดสองคู่กวาดไปมาอย่างระมัดระวัง ร่างเพรียวสูงของคนเป็นพี่โอบน้องเข้ามาด้านหน้าแล้วสอดส่องระวังหลังให้

     

           ไม่มีนางกำนัลสนองพระโอษฐ์หรือคนรับใช้อยู่ข้างในเลยแม้แต่คนเดียว

     

           เสียงอะไรบางอย่างดังมาจากทางหนึ่ง

     

           หญิงสาวรอให้เบรดิเดินนำไปก่อนแล้วจึงก้าวตามเบาๆ พยายามอย่างมากที่จะทำให้มันไม่เกิดเสียงอะไร

     

           “ห้องนอนท่านแม่...” เขากระซิบบอก

     

           เธอเข้าไปใกล้ต้นเสียงนั้นมากขึ้นจนถึงประตูย่อยบานหนึ่ง มือเรียวเอื้อมไปขยับลูกบิดก่อนจะพบว่ามันล็อก

     

           ใบหน้างดงามหันมองน้องชายเป็นเชิงขออนุญาตขณะที่ขยับปลายนิ้ว

     

           แสงสีฟ้าอ่อนวนรอบฝ่ามือครู่หนึ่ง ก่อนที่จะได้ยินเสียงกลอนโลหะถูกผลักออกดังชัดเจน

     

           สคาดิใช้แรงน้อยสุดที่จะทำได้ผลักประตูให้เปิดออก

     

           แล้วเสียงที่ดังลอดออกมาก็ทำให้เธอถึงกับตัวแข็งค้างด้วยความตกตะลึง

     

           นั่นมัน...

           เสียงครางไม่ใช่เหรอ?!!

     

           หญิงสาวหันขวับไปข้างตัว เพียงเพื่อจะพบว่าเบรดิเองก็มีสีหน้าตื่นไม่แพ้กัน

     

           เอาล่ะสิ...

     

           เสียงติดเรทดังขนาดนี้ ต่อให้ปิดหูเจ้าน้องชายเอาไว้ ยังไงเขาก็ได้ยินไปแล้วอยู่ดี

     

           เธออ้าปากพะงาบๆ รู้สึกตัวชาจนไม่อาจขยับได้ ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

     

           แต่ก่อนที่จะได้ดึงประตูปิดนั้น คนที่มาด้วยกันก็เดินเข้าไปแล้ว

     

           สคาดิแทบจะร้องไห้

     

           “เบรดิ...”

     

           “มาเปิดให้หน่อย” เสียงของเขาเรียบ แต่มันเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อและแสนจะเบา

     

           ร่างเพรียวเดินตามเข้าไป และพบประตูบานสุดท้ายที่กั้นระหว่างพวกเธอกับภาพอันไม่พึงประสงค์

     

           “น้องข้า แน่ใจจริงๆเหรอ?”

     

           เบรดินิ่งไปครู่ใหญ่คล้ายพยายามทบทวนจุดประสงค์ทุกอย่างของเขา ก่อนจะพยักหน้า

     

           “เอาเลย...อย่าให้พวกเขารู้ตัวนะ”

     

           “แหม ขอซะยากเชียว” เธอมุ่ยหน้าคิดวิธีการชั่วอึดใจหนึ่ง แล้วยกมือขึ้นมา

           “แต่มือชั้นนี้แล้ว”

     

           สคาดิใช้วินาทีก่อนที่จะปลดล็อกกลอนประตูนั้นตบบ่าน้องชายต่างแม่

           “พร้อมนะ?”

     

           “อืม”

     

           หญิงสาวย่อตัวลงจนดวงตาทั้งสองอยู่ในระดับลูกบิดขณะที่เธอใช้เวทย์ผสมในการเปิดประตูและร่ายคาถาเก็บเสียงขั้นสูงโดยที่ไม่แม้แต่จะรู้ว่ามันจะได้ผลไหม

     

           ก็ไม่เคยใช้มาก่อนเลยนี่ เคยเห็นแต่ฟริกก้าทำให้ดูเท่านั้น

     

           ท่ามกลางช่วงเวลาชวนใจระทึกนั้น ฝ่ามือเรียวทาบลงบนเนื้อไม้ของประตู รอคอยให้รู้สึกถึงกลอนที่เลื่อนออก

     

           และในที่สุด สคาดิก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกเมื่อแรงสั่นสะเทือนใต้เนื้อไม้บ่งบอกว่าคาถาของเธอได้ผล

     

           ให้ตาย ท่านแม่บุญธรรมต้องภูมิใจในตัวเธอ

     

           เธอขยับตัวไปอยู่หลังบานประตูแล้วผลักมันให้แง้มออกพร้อมกับชะโงกหัวเข้าไปดู เบรดิที่ยืนอยู่ข้างหลังเองก็ยื่นหน้าเข้ามาด้วย

     

           บนเตียงกว้างที่มีผ้าม่านผืนบาง(ซึ่งแทบปิดอะไรไม่ได้เลย)ทั้งตัวลงล้อมรอบนั้นคือร่างของชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลัง...เอ่อ...ทำกิจกรรมเข้าจังหวะกันอยู่อย่างเมามัน

     

           เสียงครางกระเส่าของอิดุนน์ทำให้เธอคิดว่าหลังจากกลับออกไปแล้ว คงต้องใช้น้ำเป็นถังในการล้างมันออกจากหูแน่ๆ

     

           ส่วนฝ่ายชายนั้น...

     

           สคาดิไม่สามารถเห็นหน้าได้ชัดเจน เธอรู้แค่ว่าเขามีไหล่ที่กว้างและผมสีเข้ม

     

           หลังจากทนหน้าแดงดู...ในมิดการ์ดเรียกว่าอะไรนะ? อ้อ หนังสดได้ไม่นาน ร่างเปลือยเปล่าของอิดุนน์ซึ่งกำลังเป็นฝ่ายควบขับอยู่ด้านบนก็กระตุกเกร็งขณะที่ร้องออกมาเสียงดังด้วยความสุขสม

     

           โอย นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?

     

           ถ้าโทนี่ สตาร์ครู้ มีหวังได้โดนบ่นหูชาแน่

     

           สนมในรัชสมัยของบิดาเธอทิ้งตัวลงนอนคร่อมชายคนนั้น ทั้งสองคลอเคลียกัน เต็มไปด้วยความใคร่แม้ว่ามรสุมกิจกรรมบนเตียงนั้นจะผ่านไปแล้ว

     

           “คืนนี้...” หญิงผมทองหอบ

           “เจ้าทำได้ดีมาก”

     

           “เพื่อราชินีของกระหม่อม ต่อให้บุกน้ำลุยไฟกระหม่อมก็ทำได้” อีกฝ่ายตอบพลางจุมพิตมือของอิดุนน์

     

           แหวะ เลี่ยนซะไม่มี

     

           คนถูกยอหัวเราะคิกคัก ก่อนจะยกมือขึ้นลูบไล้หน้าของคู่นอน

     

           “ข้ามีอะไรอยากให้เจ้าทำ”

     

           “พร้อมรับใช้เสมอพ่ะย่ะค่ะ” เขาขานรับพลางชันหัวขึ้นมานอนตะแคงคุยกับเธอ

     

           “ตามเรื่องการวางยาพิษลูกชายข้าให้หน่อย”

     

           “ราชินี กระหม่อมได้แจ้งไปแล้วว่าเบาะแสทั้งหมดนำไปหาทางตัน”

     

           “มันมีที่ชี้ตัวคนด้วยไม่ใช่หรือ?”

     

           “ถ้าเป็นบุคคลซึ่งโยงไปหาได้...มีแค่องค์หญิงสคาดิพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของเขาขรึมลงเล็กน้อย

           “พระองค์อยากให้หม่อมฉันจับองค์หญิงรัชทายาทโยนเข้าคุกใต้ดินหรือ?”

     

           “ถ้านั่นมันจะทำให้ฝ่าบาทของเราปลอดภัย” อิดุนน์ขยับเข้าไปใกล้

           “ใช่”

     

           “หม่อมฉัน...”

     

           เธอหยุดเขาด้วยจูบ

     

           “หามาให้ได้ ฟินนิค” อดีตสนมนั่นพูด น้ำเสียงแผ่วเบายั่วยวน

           “แล้วข้าจะมี...รางวัลใหญ่ให้เจ้า”

     

           “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” เขารับ มือลากไล้ไปตามเอวของเธอ

     

           “ว่าแต่...อีกรอบได้ไหม?”

     

           “ยังไม่พออีกหรือ?” อิดุนน์พลิกตัวมานอนพิงอกเขา

     

           “พระองค์ก็รู้ว่ากระหม่อมเป็นเอลฟ์แบบไหน”

     

           “พรุ่งนี้ข้าต้องไปกินข้าวเช้ากับลูก” เธอวนนิ้วบนแผ่นอกนั้น

           “อย่าทำรอยแล้วกัน”

     

           ทั้งสองร่างก็กระโจนเข้าใส่กันอีกรอบ

     

    และในไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงครางแห่งความหฤหรรษ์ก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงเตียงที่ลั่นเอี๊ยดอ๊าด

     

           สคาดิดึงประตูนั้นปิดอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ เธอตวัดมืออย่างรีบร้อนเพื่อร่ายเวทย์ลบกลิ่นอายใดๆก็ตามที่อาจเป็นหลักฐานว่าเธอกับน้องมาที่นี่แล้วลากไหล่น้องชายออกจากห้องไปในทันที

     

           ทันทีที่ประตูห้องชุดปิดลง ร่างเพรียวก็ถึงกับถลาเข้าเกาะเสาหินอ่อนใกล้มือขณะที่เจ้าน้องชายได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

     

           ดวงตาสีฟ้าซีดของคนเป็นพี่เหลือบเข้ามามองคนอายุน้อยกว่า

     

           บนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเบรดิมีแต่ความช็อกจนเธออดสงสารไม่ได้

     

           หลังจากยืนจนหายตกใจแล้ว หญิงสาวก็พาเขาไปส่งที่ห้องนอนโดยที่ไม่แม้แต่จะตระหนักรู้ขึ้นมาว่าเส้นทางในปราสาทน้ำแข็งนี่ได้ถูกจดจำลงไปในหัวเรียบร้อยแล้ว

     

           ถึงมันจะผ่านมาสักพัก แต่น้องชายร่วมบิดาของเธอก็ยังยืนนิ่งอยู่กลางห้องบรรทมขนาดใหญ่ ดวงตาสีฟ้าซีดของเขาเหม่อมองไปที่นอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย

     

           “มานี่มา” สคาดิก้าวเข้าไปหาแล้วโอบเขาเข้ามาใกล้

     

           “...ทำไมกัน?” เสียงของคนเป็นน้องแหบโหย

           “ทำไม ท่านพี่?”

     

           หญิงสาวถอนหายใจ

           “ข้าก็ไม่รู้”

     

           “ข้า...ข้าควรจะรู้สึกยังไงดี?” เขาถามต่อด้วยปลายเสียงที่แผ่วลงไปทุกที เนื้อตัวของราชาวัยเยาว์สั่นจนเหมือนนกน้อยกลางห่าฝนเย็นเฉียบ

     

           “เจ้าควรจะนอนยาวๆสักพัก” เธอรวบเอาเขามาซุกในอ้อมแขน ลูบเส้นผมสีทองเข้มนั้นเบาๆขณะโยกตัวไปมา

           “พรุ่งนี้มันจะต้องดีกว่าเดิม”

     

           “แล้ว...นักฆ่า?”

     

           “ปล่อยไว้อย่างนั้นก่อน เดี๋ยวข้าจะไปใส่กลอนห้องทรงงานแล้วให้นางงีบก่อนคืนหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้เราค่อยมาสอบปากคำนางกัน โอเคนะ?”

     

           “อือ...”

     

           สคาดิห่มผ้าให้น้องแล้วก้มลงจูบหน้าผากเขาเบาๆขณะที่เขาค่อยๆผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

     

           แม้แต่เธอเอง เจอแบบนี้เข้าไปก็ถึงกับทรงตัวแทบไม่อยู่...นับประสาอะไรกับเด็กอายุห้าร้อยปี

     

           ยิ่งกว่านั้น ชู้ของแม่ตัวเองยังเป็นคนใกล้ตัว

     

           ฟินนิค...

     

           เธอรู้แล้วล่ะว่าทำไมเขาถึงเลื่อนขั้นได้ก้าวกระโดดขนาดนั้น

     

           และนั่นก็หมายความว่า...เขาได้กลายเป็นผู้ต้องสงสัยรายใหม่ของเธอเรียบร้อยแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    TALK WITH FM

    กลับมาแล้วค่าาาาา เนื้อเรื่องมันชักจะดาร์กลงกว่าเดิมยังไงก็ไม่รู้แล้วแฮะ

    ใครที่คิดถึงพิท้อกะนุ้งกิ อดใจรออีกสักสองสามตอนนะคะ เดี๋ยวรอสคาดิจัดการเรื่องในอาณาจักรก่อนแล้วเราจะไปหาอิพิท้อจอมโง่กันค่ะ5555

    พล็อตครึ่งแรกของซีซั่นนี้ก็คือ “การกลับบ้านของสคาดิ” Skadi Homecoming นั่นเองค่ะ ฉะนั้นช่วงนี้จะไม่ค่อยเกี่ยวกับไทม์ไลน์ดิ อเวนเจอร์สเท่าไหร่ อาจมีพูดถึงตัวละครอื่นๆบ้าง แต่เราจะโฟกัสไปที่อาณาจักรเอลฟ์น้ำแข็งก่อนนะคะ

    ใครที่ยังตามอ่าน ก็ขอบคุณมากๆเลยนะ เป็นกำลังใจให้ไรท์จริงๆ

    เจอกันตอนหน้าเน้อ

    ด้วยรักและถุงกาว

    เฟิงมี่ค่ะ>3<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×