ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marvel || Broken Throne (OC feat. Thorki, Stony, Spideypool, etc.)

    ลำดับตอนที่ #46 : Broken Throne S3 || Ch 5

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 127
      9
      25 เม.ย. 63

    || B R O K E N T H R O N E ||

    s e a s o n 3

    ----------------------------

    CHAPTER 5

     

     

           มือเรียวเคาะลงกับโต๊ะไม้ สคาดิพิงหลังลงนั่งเอกเขนกกับเก้าอี้ขณะที่ทอดสายตามองร่างตรงหน้าอย่างเย็นชา

     

           น้องชายต่างแม่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาขรึมลงหลายส่วน ดูแก่ลงหลายปีอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน

     

           ดวงตาสีฟ้าซีดเหลือบไปมองเขา

     

           ตั้งแต่ตื่นเช้ามา น้องชายของเธอก็แทบไม่พูดอะไรเลย ราวกับว่ากำลังพยายามปิดแผลฉกรรจ์ที่เกิดขึ้นจากโลกแห่งความจริงเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

     

           แม้ว่าจะอดสะใจไม่ได้เวลาเห็นรอยยิ้มของอิดุนน์เลือนหายไปเมื่อพยายามชวนผู้เป็นลูกคุยบนโต๊ะอาหารเช้าแล้วเขาไม่ตอบ แต่เธอก็ไม่เคยอยากให้เบรดิกลายเป็นแบบนี้

     

           “น้องชาย”

     

           เขาหันมามองช้าๆ

     

           “พร้อมมั้ย?”

     

           เด็กชายสูดหายใจลึก

           “เอาเลย”

     

           เทพีแห่งเหมันต์มองหน้าเขาอีกที ก่อนจะยกถังน้ำที่อยู่ข้างขาเก้าอี้ขึ้นมา แล้วสาดใส่คนที่ยังสลบไสลไม่ได้สติอยู่เต็มแรง

     

           อีกฝ่ายสะดุ้งตัวโยน เปลือกตากระชากเปิดออกขณะที่เธออ้าปากกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด

     

           “ตื่นได้แล้ว”

     

           นักฆ่าสาวปรับจังหวะลมหายใจจนเป็นปกติ ก่อนจะมองเธอด้วยสายตาทิ่มแทงราวกับมีด

     

           “เอ้า มองแบบนั้นไม่อยากเก็บตาไว้มองพระอาทิตย์ขึ้นแล้วรึไง?”

     

           เจ้าตัวฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเสมองไปทางอื่น

     

           หญิงสาวยกยิ้มมุมปาก...เป็นยิ้มที่เย็นเยือกและเรียบเรื่อย ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้

     

           “มาเล่นเกมกันหน่อย” มือเรียวยันลงกับพนักแขนขณะที่ร่างถูกดึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยแรงของตน

     

           “ข้าถาม...เจ้าตอบ” เธอก้มตัวลงจนใบหน้าอยู่เหนือนักฆ่าคนนั้นแค่ไม่กี่ฝ่ามือ

           “ต้องตอบให้ได้ทุกคำถาม ทุกครั้งที่เจ้านิ่งไปนานเกินจนข้านับหนึ่งถึงสิบแล้ว...”

     

           กริชพิษซึ่งถูกห่อด้วยผ้ากระโปรงชั้นในยาวๆยกขึ้นมา ไล้ไปตามใบหน้านั้น จงใจกดเป็นพักๆให้คนถูกมัดสะดุ้งเล่น

     

           “ครั้งหน้าที่กริชนี่กรีดลงบนหน้าเจ้า จะไม่มีผ้าพันไว้อีก” ดวงตาสีฟ้าเทาจ้องเธอราวกับพยายามจะทะลุเข้าไปในหัว มือที่กำด้ามกริชเอาไว้นั้นสั่นเล็กน้อยจากแรงที่กดกลั้นเอาไว้

     

           “เข้าใจนะ?”

     

           อีกฝ่ายจ้องตอบด้วยดวงตาสีอ่อน กรามขบกันแน่นอย่างไม่ยอมแพ้

     

           เทพีแห่งเหมันต์ขำพรืดในลำคอ

     

           คงจะคิดว่าทำแบบนี้แล้วเธอจะเกิดไม่มั่นใจขึ้นมาสินะ...

     

           “มาเริ่มกันดีกว่า” นิ้วเรียวกระดิก แสงสีฟ้าอ่อนเรืองลอยวนรอบๆมันไม่ถึงวินาทีก่อนที่เก้าอี้จะถูกดึงมาอย่างรวดเร็วด้วยมือที่มองไม่เห็น

     

           ร่างเพรียวทรุดลงนั่งพร้อมรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา

     

           “ใครส่งเจ้ามา?”

     

     

     

     





     

     

     



           ร่างเพรียวยืนพิงกรอบประตูห้องทรงงาน มือที่เปื้อนคราบเลือดกำแน่นและยกค้างอยู่ที่ปาก คิ้วเรียวกดลงจนแทบจะชิดกับตา

     

           “ท่านทำดีที่สุดแล้ว” เบรดิซึ่งเดินตามออกมาแตะไหล่เบาๆ

     

           “ข้าน่าจะรู้...” เธอส่ายหัว

           “มันเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด นักฆ่าเก่งๆส่วนใหญ่ทำกันทั้งนั้น”

     

           เมื่อกำลังจะเริ่มถามให้ลึก ยัยคนใช้ตัวปลอมนั่นก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยยาพิษที่ซ่อนไว้ในฟัน

     

           ใช่...ในฟัน

     

           พวกนักฆ่า...โดนเฉพาะที่ได้รับจ้างจากคนกระเป๋าหนักหลายคนซ่อนเม็ดยาพิษไว้ในนั้น เวลาคับขันก็เอาลิ้นดุนออกมาแล้วกลืนลงท้อง

           หลังจากนั้นคือความตายที่มาเยือนอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วินาที

     

           สคาดิควรจะรู้...

     

           นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มือเธอเปื้อนเลือดของนักฆ่าขณะที่เค้นคอพวกเขาอยู่แล้วจู่ๆพวกเขาก็ชักกระตุก กระอักเลือดใส่แล้วล้มลงไปตายตาค้างบนพื้น

     

           “อย่างน้อยเราก็ได้เบาะแส” น้องชายปลอบใจ

     

           เบาะแส...

     

           ราชวงศ์ของเจ้าจะต้องพินาศ นักฆ่านั่นพูดตอนที่กำลังสำลักเลือดใกล้ตาย

           สายเลือดแห่งธยาสซีจะต้องหมดไป ถึงเวลาที่ราชวงศ์ใหม่จะสยายปีกแล้ว

     

           “...ว่าใครก็ตามที่ทำแบบนี้กะจะฆ่าล้างบางให้สายเลือดเราเหี้ยนไม่เหลือ แล้วสถาปนาราชวงศ์ใหม่มาแทนที่น่ะเหรอ?”

     

           “ก็...” เด็กชายเม้มปาก

           “ยังดีกว่าตอบโต้โดยไม่แม้แต่จะรู้ว่าคนเบื้องหลังต้องการอะไรนี่”

     

           เขาก็พูดถูก

     

           เธอกลืนน้ำลาย แล้วเบือนหน้ากลับไปในห้อง

     

           ร่างที่ไร้ชีวิตยังคงนอนจมกองเลือดแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น

     

           “เอาไงต่อ?” ดวงตาสีฟ้าเทาที่เหมือนกับของเธอเปี๊ยบมองมา

     

           เทพีแห่งเหมันต์ขบริมฝีปากล่างครู่หนึ่ง ก่อนจะถามกลับ

           “ทั้งวังนี้ มีทหารกลุ่มไหนบ้างที่เจ้าไว้ใจ”

     

           “ฟินนิค...” เขาตอบกลับอย่างอัตโนมัติ ก่อนที่สีหน้าจะแข็งค้างเมื่อจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับแม่ทัพคนนั้น

     

           โอ...เค

     

           “มีอีกมั้ย?”

     

           เด็กชายก้มหัว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึก

     

           “เรียกพวกราชองครักษ์มาก็ได้”

     

           “อืม” เธอเล่นนิ้วตัวเอง

           “สักสองคนน่าจะพอ เอาเฉพาะคนที่ไม่ได้สนิทกับฟินนิคนะ...เราไม่อยากให้เรื่องถึงหูใครตอนนี้”

     

           เขาพยักหน้า แล้วปลีกตัวออกไป

     

           ไม่กี่นาทีต่อมา ร่างสูงใหญ่ทั้งสองในชุดเกราะสีขาวก็ก้าวเข้ามาในโถง เมื่อเห็นเธอ พวกเขาก็ค้อมตัวทำความเคารพ

     

           “องค์หญิง”

     

           “ตามสบาย” เธอคลายแขนที่กอดอกออก

           “เงยหน้าขึ้นให้ข้าดูชัดๆซิ”

     

           พวกเขาทำตามแล้วขยับเข้ามาใกล้ขึ้นในขณะที่เบรดิเลี้ยวเข้ามายืนข้างกายเธอเงียบๆ

     

           “ท่านพี่” เขาผายมือ

           “นี่คือลอร์ดคาร์เดน”

     

           เอลฟ์หนุ่มตาสีน้ำเงินค้อมตัวอีกครั้ง ผมสีบลอนด์ซีดจนเกือบเงินที่รวบถักเป็นเปียเดี่ยวห้อยระอกขณะโน้มร่างมาด้านหน้า

           “ฝ่าบาท องค์หญิง”

     

           “ส่วนนี่ลอร์ดฮอลดัน”

     

           เอลฟ์อีกคนค้อมตัวรับ เขามีดวงตาสีน้ำตาลและเส้นผมที่ถูกตัดจนสั้นเลยติ่งหูลงมานิดเดียว...ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากจะเจอเนื่องจากส่วนใหญ่แล้ว เอลฟ์ที่โตเป็นหนุ่มจะไว้ผมยาว

     

           “เรื่องในวันนี้...” เธอเริ่ม

           “ข้าอยากให้พวกท่านเก็บไว้เป็นความลับอย่างที่สุด ห้ามไม่ให้ใครก็ตามรู้ แม้แต่เมียท่าน หรือแม้แต่เพื่อนสนิทที่โตด้วยกันมา เข้าใจไหม?”

     

           “รับด้วยเกล้า” พวกเขาพยักหน้า

           “กระหม่อมขอสาบานกับมังกรขาวบนบัลลังก์เยือกแข็ง ตราบใดที่กระหม่อมยังมีลมหายใจ เรื่องนี้จะไม่แพร่งพราย...หากไม่เป็นไปดังนั้น ขอให้กระหม่อมตายอย่างไร้เกียรติ ต้องถูกจองจำในเฮลไปชั่วกาล”

     

           “ดี” สคาดิผลักประตูห้องทรงงานเปิดออก

     

           “ในนั้นมีอะไรไม่ถูกที่ก็จัดการให้มันถูกที่ซะ”

     

           ทั้งสองรับคำ แล้วเดินเข้าไปข้างใน

     

           ทันทีที่เห็นศพของนักฆ่า ราชองครักษ์ผมบลอนด์ซีดก็นิ่งชะงัก

           “นี่...”

     

           “ใครน่ะเหรอ?” เธอเลิกคิ้ว

           “นักฆ่าน่ะ พยายามจะปลงพระชนม์ฝ่าบาทของเจ้า”

     

           คาร์เดนโน้มตัวลงเหนือร่างนั้นแล้วปัดเส้นผมที่เปื้อนเลือดจนจับกับเป็นก้อนๆออกไปจากใบหน้าไร้ชีวิต

     

           “กระหม่อมเคยเห็นนาง” ประโยคต่อมาดึงความสนใจจากเบรดิและเธอได้อย่างดี

     

           “ที่ไหน?”

     

           “แถวบาร์เหล้าในตรอกน้ำทิ้งพ่ะย่ะค่ะ”

     

           ตรอกน้ำทิ้งเป็นย่านชั้นที่ถ้าอยู่ในมิดการ์ดจะเรียกว่า...โลว์คลาส หรือสลัม คนที่อยู่ในตรอกย่านนั้นเป็นพวกไม่มีอันจะกิน ไร้บ้าน ขอทานไปวันๆ หรือพวกนางโลมชั้นที่ต่ำลงมาหน่อย(ส่วนใหญ่พวกนี้จะอยู่ที่หอนางโลมที่มิดชิดและสะอาด ค่าบริการค่อนข้างแพง จึงมีนางโลมที่อยู่ในตรอกน้ำทิ้งซึ่งจะคิดค่าบริการถูกและไม่มีสังกัด)

     

           “นางเป็นคนชงเหล้า?”

     

           “กระหม่อมก็ไม่แน่ใจ” เขาตอบโดยไม่หันกลับมามอง

           “วันนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่กระหม่อมเห็นนางพ่ะย่ะค่ะ”

     

           วันแรกและวันเดียว...

     

           “ปกติเจ้าชอบไปเที่ยวย่านนั้นหรือ ลอร์ดคาร์เดน?”

     

           เจ้าตัวทำหน้าตื่น

     

           “คือ...กระหม่อม...”

     

           “ก็ไม่ได้จะว่าอะไร” เธอหลุดขำแล้วโบกมือเบาๆ

           “ทุกคนมีสิทธิ์จะใช้ชีวิตแบบที่ต้องการไม่ใช่รึไง?”

     

           คาร์เดนพยักหน้ารับ ดูอายๆเมื่อตอบเธอ

     

           “กระหม่อม...ไปที่บาร์วันสองวันครั้ง แล้วบางที...ก็...ไปหอนางโลม...”

     

           “อ้อ” สคาดิเลิกคิ้ว

           “อืม”

     

           “เจอนางตอนไหน?”

     

           “ประมาณไม่เกินครึ่งเดือนก่อนพ่ะย่ะค่ะ” เขาเริ่มพลิกตัวคนที่นอนตายอยู่นั้นขึ้น

     

           นั่นคืออีกครั้งที่สคาดิเห็นอะไรบางอย่าง

           “เดี๋ยว”

     

           ดวงตาสีน้ำเงินเงยขึ้นมามอง

     

           “พลิกตัวนางซิ”

     

           ขาเรียวใต้ชุดกระโปรงยาวเดินเข้าไปแล้วย่อตัวลง

     

           “อะไร?” น้องชายนั่งลงข้างๆ มองดูเธอเลิกเสื้อด้านหลังของศพออก

     

           บนหลังของนักฆ่าคนนั้นคือรอยสักรูปร่างประหลาด

     

    คล้ายกับ...เหยี่ยวกางปีก

     

           “นี่มันไม่ใช่รอยสักนี่” เบรดิแตะมันไปมาแล้วว่า

     

           “รอยไหม้งั้นเหรอ?” เธอขมวดคิ้ว

     

           เขาพยักหน้า

           “แสดงว่ามันต้องเป็นตราประทับของอะไรสักอย่าง”

     

           สองพี่น้องมองหน้ากัน

     

           คำพูดสุดท้ายของเจ้าของร่างลอยขึ้นมาในหัว

     

           ได้เวลาที่ราชวงศ์ใหม่จะสยายปีกแล้ว

     

           สยายปีก...อย่างนี้นี่เอง

     

           สคาดินิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนที่จะทำมือเป็นสัญญาณให้คาร์เดนยกศพออกไป

     

           “จะฝัง จะเผา จะโยนให้หมีกินก็แล้วแต่เจ้า...แต่ทำให้ไร้ร่องรอยที่สุด” เธอย้ำ

           “ต้องไม่มีใครรู้เรื่องนี้ยกเว้นเราสี่คน”

     

           “องค์หญิงโปรดวางใจ” ราชองครักษ์ผมซีดกล่าว

           “กระหม่อมไม่บอกใครแน่นอน”

     

           เบรดิพยักหน้ารับเมื่อเขาค้อมตัวทำความเคารพแล้วแบกร่างไร้วิญญาณนั่นออกไป ก่อนจะหันมาหาทหารอีกคนในห้อง

     

           “จัดการเรื่องเลือดให้เรียบร้อยด้วย”

     

           “พ่ะย่ะค่ะ”

     

           ร่างเพรียวพิงตัวกับขอบโต๊ะ มองดูฮอลดันดึงพรมเปื้อนเลือดขึ้นเงียบๆพลางปล่อยให้ตนเองล่องลอยไปในความคิด

     

           ในอาณาจักร มีที่ไหนบ้างที่จะมีตราเป็นรูปเหยี่ยว?

     

           เธอตัดสินใจปล่อยให้น้องชายอยู่คุมการเก็บกวาดแล้วปลีกตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด

     

           ดวงตาสีฟ้าเทามองมือที่ยังมีคราบเลือดแห้งกรังประดับอยู่ขณะหย่อนตัวลงไปในอ่างน้ำ

     

           หญิงสาวล้างมัน แต่แม้ว่าจะไม่มีสีแดงเข้มหลงเหลืออยู่ตรงซอกมุมใดของฝ่ามือแล้ว เธอก็ยังคงรู้สึกราวกับว่ามันยังไม่ไปไหน

     

           สคาดิถูมือเข้ากับขอบที่ทำจากไม้เนื้อดี ถูจนรู้สึกแสบเนื้อ

     

           แต่กลิ่นคาวเลือดและสัมผัสเหนียวข้นของมันก็ยังไม่หายไป

     

           ลมหายใจถี่กระชั้น เธอฟาดมือลงบนมันจนอ่างสะเทือน

     

           เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังสะอื้นอยู่ก็ตอนที่หันไปมองกระจกซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะไม่ไกลนัก

     

           เธอหลับตาลง แล้วค่อยๆควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเองขณะยกมือขึ้นมาปิดใบหน้าแล้วจุ่มมันลงในน้ำ

     

           ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อน อาการเครียดจัดจนร้องไห้แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยแม้ว่าสถานการณ์จะกดดันเธอขนาดไหน

     

           แต่หญิงสาวพบว่าช่วงนี้เธออ่อนไหวลงกว่าเดิมมาก

     

           อาจเป็นเพราะว่าเธอมีโซลเมตก็ได้

     

           ในที่สุด หลังจากเคว้งคว้างมานาน...เธอก็ได้มีสิ่งยึดเหนี่ยวกับเขาสักที

     

           เข้าใจความรู้สึกของพวกทหารที่ออกรบทั้งที่มีลูกเมียรออยู่เลยล่ะ

     

           ถ้าไม่ได้มีชีวิตกลับไปหาวีดาร์...

           แค่คิดก็เจ็บแปลบที่อก

     

           สคาดิพรูลมหายใจออกยาวๆ

     

           เธอวักน้ำขึ้นลูบหน้าตนเองอีกครั้ง ก่อนจะยกร่างขึ้นมาแล้วหยิบผ้าขนหนูเพื่อเช็ดตัว

     

           ใครกันนะที่ทำแบบนี้?

     

           วางยาน้องชาย แล้วส่งนักฆ่ามาหาถึงห้อง

     

           หญิงสาวเคยเห็นนักฆ่าที่ร้ายกาจกว่านี้หลายเท่า

           ฉะนั้น ไม่...เขาไม่ได้กะจะเอาให้ตายทีเดียว

     

           ถึงหวังจะให้ตาย แต่ก็อยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผลกำไรจากเหตุการณ์เท่านั้น

     

           จุดประสงค์หลักคืออยากให้แตกตื่นต่างหาก

     

           ถ้าพวกเธอตัดสินใจเปิดฉากการไล่ล่าโดยการติดประกาศจับหรือเริ่มให้องครักษ์ติดตามตัวเป็นเงา ก็เท่ากับว่าเดินตามเกมนั้นไปเป๊ะๆ

     

           เธอจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด

     

           เขาต้องการความวุ่นวายในอาณาจักรเพื่อให้มันอ่อนแอ และเมื่อกำลังของพระราชาไม่แข็งแกร่งอย่างที่เคยเป็นจากการแตกคอกันเอง นั่นคือตอนที่เขาจะโผล่หัวออกมา

     

           ถ้าความโกลาหลคือสิ่งที่จะเริ่มเกมนี้...สคาดิก็จะไม่ใช้มันและตั้งรับด้วยความเงียบแทน

     

           นั่นคือเหตุผลที่เธอไม่ยอมให้เบรดิไปเรียกทหารมาโยนนักฆ่าคนนั้นลงในคุกใต้ดินเด็ดขาด

     

           ยังไง...ผู้หญิงนั่นก็คือหมากพลีชีพของฝั่งนั้นอยู่แล้ว

     

           จะอยู่หรือตายก็ไม่สำคัญ ขอแค่สามารถสร้างความระแวงขึ้นในใจของเบรดิได้ก็พอ

     

           หญิงสาวหยิบชุดใหม่ขึ้นมาใส่ มองดูเงาของตนในกระจกแล้วยกมือขึ้นจัดทรงผมที่เกล้าอย่างอลังการจนบางครั้งรู้สึกปวดคอให้มันเข้าที่เบาๆ

     

           “จะไปไหนน่ะ?” น้องชายถามเมื่อเธอก้าวออกไปในทางเดิน

     

           “ห้องสมุด” เธอตอบเรียบๆ

     

           “ไม่อยากรู้รึไงว่าตรานั่นมีความหมายอะไร?”

     

           “ข้าไม่ได้ฉลาดเท่าท่าน” เขาไพล่มือไปด้านหลัง

     

           “กำลังชมอยู่ใช่มั้ย?” คิ้วเรียวเลิกขึ้น

     

           “แล้วแต่ท่านจะคิด” เบรดิเอียงคอ

           “ข้าอยู่ที่นี่ต่อดีกว่า เดี๋ยวจะมีใครสงสัยว่าทำไมพระราชาไม่อยู่ในห้องทรงงาน”

     

           “อืม” เธอมองเขาขึ้นลงสองสามที

           “เจ้าโอเคนะ?”

     

           “สบายที่สุดแล้ว ท่านพี่” เขายิ้มบางๆ

           “ข้าไม่เป็นไร”

     

           สคาดิพยักหน้าให้เขา แล้วเดินออกไป

     

           มาดูกันว่าในห้องสมุดจะมีอะไรให้เธอบ้าง

     

     

     










     

    TALK WITH FM

    วีดาร์หายจ๋อมนานมากกก 5555

    อย่าเพิ่งเบื่อแล้วทิ้งเราไปน้าาา อีกแป๊บเดียวก็ได้รู้แล้วว่าตกลงใครทำ จริงๆนะทุกคน จริงจริ๊งงงง

     ขอบคุณทุกกำลังใจและทุกวิวที่มาอุดหนุนเราเลยนะคะ

    เจอกันตอนหน้าเน้อ

    ด้วยรักและถุงกาว

    เฟิงมี่ค่ะ>3<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×