คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #51 : Broken Throne S3 || Ch 10
|| B
R O K E N T H R O N E ||
s e a
s o n 3
----------------------------
CHAPTER 10
ดวงตาสีฟ้าเทาหรี่ลงป้องกันแรงลมที่ตีเข้าใบหน้าขณะที่ซ้อนท้ายนาตาชาซึ่งผันตัวมาเป็นสายแว้น
“เอาจริงดิ?”
คนข้างหน้าทำเสียงจิ๊จ๊ะเมื่อเห็นว่ากัปตันอเมริกาถูกอัลตรอนปัดโล่ออกจากมือและเกือบตกจากหลังคอนเทเนอร์รถบรรทุก
ใช่...คอนเทเนอร์รถบรรทุก
สองคนนั่นสู้กันกลางวันแสกๆบนรถบรรทุกที่กำลังเคลื่อนที่ในความเร็วกลางถนนในเกาหลี
เรื่องมันมาถึงจุดนี้ได้ยังไงน่ะเหรอ?
อืม...เริ่มตรงไหนดีล่ะ?
จู่ๆพ่อยอดชายนายโทนี่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าอัลตรอนกำลังจะวิวัฒน์ตัวเองไปสู่ขั้นต่อไปจากการจ้องรูปวาดของลูกสาวบาร์ตัน
ใช่
บาร์ตันมีเมียและลูก...สองคน(กำลังจะมีคนที่สาม)
เธอก็เพิ่งได้ไปบ้านเขาครั้งแรกเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่แหละ
สวยดี
ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลเมืองนิดหน่อย
อ้อ
ผอ.ฟิวรี่ก็มาโผล่ที่นั่นด้วยล่ะ
เซอร์ไพรส์
กลับมาที่ผีเสื้อของมิสบาร์ตันตัวน้อย
โทนี่จำได้ว่ามันมีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่มีวิทยาการก้าวหน้าพอจะให้ในสิ่งที่ไอ้หุ่นนั่นต้องการได้
เธอชื่อเฮเลน
โช มีแล็บอยู่ที่เกาหลี
พอมาถึง
สภาพแล็บที่เละตุ้มเป๊ะและด็อกเตอร์สาวที่นอนบาดเจ็บอยู่บนพื้นทำให้สคาดิรู้ได้ทันทีว่าอัลตรอนต้องได้อะไรก็ตามที่จะวิวัฒน์เขาไปแล้ว
เห็นว่าเป็นเปลสร้างเนื้อเยื่อที่จะใช้พลังจากมณีบนคทาโลกิและอัพโหลดตัวของหุ่นเหล็กนั้นลงไป
เป็นเหตุให้อเวนเจอร์สทั้งทีมต้องมาบุกประเทศเล็กๆในแถบเอเชียนี่แล้วสร้างความวุ่นวายไปทั้งเมืองไงล่ะ
“สุดท้ายก็เป็นหน้าที่เราต้องตามล้างตามเช็ดสินะ”
เธอถอนหายใจ
สบตากับหญิงสาวผมแดงที่กระตุกยิ้มมุมปากนิดหนึ่งแล้วเอนตัวลงไปคว้าเอาโล่ไวเบรเนียมประทับตราดาวสีขาวขึ้นมาจากถนนขณะที่ยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
“โยนแม่นๆนะ”
นาตาชาบิดแฮนด์มอเตอร์ไซค์สีดำวาววับคันงามเข้าไปที่รถนั้น
“โย่แคป!!”
สคาดิเดาะลิ้น
เรียกพ่อหนุ่มอเมริกันผมทองซึ่งกำลังล้มหน้าคว่ำมองวิวถนนเบลอๆอยู่ให้เขาหันมามอง
มือเรียวโยนโล่ขึ้นไป
กลับสู่มือของกัปตันอย่างเหมาะเจาะ
และดูเหมือนว่าอัลตรอนจะไม่ปลื้มเท่าไหร่นัก
เธอเห็นเขา(เรียกหุ่นยนต์ว่าเขาได้มั้ยนะ?)สะบัดหัวไปมาอย่างหงุดหงิดแล้วยกมือขึ้น
หญิงสาวตวัดตาขวับ
รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่สั่นสะเทือนอยู่ใต้ดิน
“แนท
ข้างหน้า” เธอตะครุบบ่าเพื่อนสาว
สายลับสาวเข้าใจทันที
รถมอเตอร์ไซค์ถูกเบรคจนล้อยกขึ้นอันหนึ่งก่อนที่มันจะชนเข้ากับพื้นถนนซึ่งถูกแรงบางอย่างยกขึ้นมา
ร่างเพรียวโปร่งกระโดดลงจากเบาะนั่งด้านหลังแล้วขึ้นไปเกาะหลังคารถขณะที่ร้องบอกนาตาชา
“เธอไปอีกทาง
รอเอาเปล”
“เธอล่ะ?”
หญิงสาวผมแดงขมวดคิ้ว
“ฉันจะไปช่วยแคปทุบเหล็กสักหน่อย”
เทพีแห่งเหมันต์กระโจนขึ้นไปในอากาศ
ใช้เวทย์ลอยตัวเป็นระยะๆเพื่อย้ายตนเองจากรถคันหนึ่งไปอีกคันหนึ่งและตามติดกับรถบรรทุกที่ตอนนี้แปรสภาพเป็นสังเวียนขนาดเล็กสำหรับสตีฟไปแล้ว
มือเรียวสะบัด
ส่งกระแสเวทย์ออกไปตรึงแขนของอัลตรอนและเปิดโอกาสให้แคปต่อยหน้าเขาไปสองสามหมัด
“เธออีกแล้วเหรอ?”
เจ้าหุ่นนั่นทำหน้าเซ็ง
“อะไร?”
หญิงสาวกระดกคิ้วข้างหนึ่ง
“เจอกันไม่กี่ทีก็เบื่อหน้าฉันแล้วเหรอ?”
หุ่นเหล็กอีกสองตัวที่เธอคิดว่าน่าจะเป็นสมุนที่เขาสร้างขึ้นมาโฉบลงมาหาเธอพร้อมกับลำแสงที่เปิดฉากไล่ยิง
สคาดิยกมือขึ้นสร้างเกราะเวทย์สลับกับยิงเวทย์ตอบโต้
“บาร์ตัน
ทางนั้นเป็นไงบ้าง?”
เธอส่งเสียงถามมือธนูที่ตอนนี้ผันตัวไปเป็นคนขับควินเจ็ทเพื่อรอชิงเปล
“แนทกำลังรอพวกเธออยู่อีกทาง”
เสียงของเขาตอบกลับมา
“ถ่วงเวลาต่อไป
ล่อเขาออกจากหลังคารถให้ได้”
“พูดเหมือนง่ายเนอะ”
เธอสะบัดคอนิดหน่อย
“ยากเกินไปเหรอ?”
หญิงสาวแสยะยิ้ม
“ไม่”
สคาดิชักดาบออกมาจากเอวแล้วฟันหุ่นพวกนั้นออกเป็นหลายๆส่วย
ก่อนจะเก็บมัน ดึงเอาคันธนูออกมาแทน
“แคป
เอาหัวออกหน่อยได้ไหม” เธอบอกสตีฟที่ตอนนี้บังเป้าอย่างอัลตรอนอยู่
“ขอบใจ”
ทันทีที่หัวในหมวกเกลี้ยงๆสีน้ำเงินของเขาหลบลง
ลูกธนูบนสายก็หลุดจากแล่งแล้วพุ่งไปปักที่คอของหุ่นเหล็กทันที
“โอ๊ย”
เขาสบถ
“คิดว่าแค่นี้จะทำอะไรฉันได้งั้นเหรอ?”
เธอส่งยิ้มกวนโอ๊ยจากบนหลังคารถที่อยู่ด้านหลังเยื้องไปทางขวาของพวกเขา
ธนูอีกดอกกำลังพาดบนสายเตรียมดึงและเล็งเป้า
“และถ้านายคิดว่าที่อยู่บนคอนายเป็นแค่ธนูธรรมดาๆ
นายก็โคตรโง่”
ฉับพลัน
กระแสสีฟ้าก็ระเบิดออกมาจากหัวธนูแหลมๆที่เสียบอยู่ระหว่างเส้นเหล็กสีเข้ม
แพร่ไปทั่วร่างของอัลตรอนอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาร้องลั่นแล้วทรงตัวไม่อยู่ทรุดลงไป
หญิงสาวยิ้มมุมปากแล้วกระโดดขึ้นไปบนนั้นอย่างรวดเร็ว
มือตะครุบลงไปบนคอที่ทำจากเหล็กล้วนๆเพียงเพื่อจะโยนเขาออกไปอีกทาง
“ทางสะดวกแล้วแนท
มาเอาของเลย” เธอบอกขณะที่กัปตันอเมริกากระโดดตามลงไปซ้ำ
“รับทราบ”
เมื่อได้ยินเสียงคอมเฟิร์มจากอีกฝั่งแล้ว
สคาดิก็สูดหายใจลึกก่อนจะมองทั้งแคปและอัลตรอนซึ่งไล่ต่อยกันไปจนถึงรางรถไฟแล้ว
“ฉันไปช่วยแคปต่อนะ”
“อา
ตามสบาย”
หญิงสาวรวบรวมพลังเวทย์ขึ้นมาแล้วกระโดดขึ้นไปในอากาศ
ใช้เวทย์ลอยตัวอีกครั้งและพยายามส่งกระแสพลังลงไปเรื่อยๆให้มันอยู่นานกว่าเวทย์ลอยตัวทั่วไป
ก็บินไปมันเร็วกว่าวิ่งนี่...เหนื่อยน้อยกว่าด้วย
เธอไปถึงทันเห็นว่าอัลตรอนกำลังจะทำให้รถไฟที่ทั้งเขาและสตีฟอยู่ตกรางแล้วพุ่งเข้าชนที่ที่มีพลเรือนอยู่เต็มไปหมด
หญิงสาวกรอกตาพลางร่อนเข้าไปกระแทกแขนเข้ากับอกแข็งๆนั่นเต็มแรง
ว้าว
เจ็บแฮะ
ร่างสูงใหญ่ของหุ่นยนต์เซถอยไปสองสามก้าว
เปิดโอกาสให้เธอหันมาหาแคป
“ยังไงต่อ?”
อีกคนกัดกรามแน่นแล้วกระชับโล่ในมือ
“หยุดรถไฟให้หน่อย”
เธอปรายตาไปมองอันตรอนที่พร้อมจะสู้อีกครั้งแล้วรีบรุดไปที่รูโบ๋ใหญ่ๆข้างหน้ารถพลางสร้างเกราะขึ้นมาปิดมัน
ผู้โดยสารกรีดร้องเมื่อพวกเขาทะลุผ่านกำแพงอิฐสีแดงๆไป
สคาดิก้มตัวหลบลำแสงเลเซอร์ที่อัลตรอนยังอุตส่าห์มีเวลามาเล็งยิงเธอแล้วยืดหลังขึ้นอีกครั้งในตอนที่เห็นลำแสงสีเงินพุ่งแว้บเข้ามาในโบกี้
...ใครอีกฟะ?
สตีฟถีบอัลตรอนออกไป
และก่อนที่ไอ้หุ่นกระป๋องนั่นจะได้กลับมาสู้ต่อ
กระแสพลังสีแดงสดก็ดึงเหล็กเส้นจากมือจับเหนือหัวลงมาขวางเอาไว้
ดวงตาสีฟ้าหันไปมองเด็กสาวอายุไม่น่าเกินยี่สิบในเสื้อคาร์ดิแกนสีแดง
มือทั้งสองของเธอมีกระแสพลังสีเดียวกันลอยวนอยู่
เมื่อร่างที่ทำจากเหล็กเห็นดังนั้น
เขาก็ฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรู้ตัวว่าเปลเนื้อเยื่อแสนรักอันนั้นอยู่บนควินเจ็ทของบาร์ตันเรียบร้อย
หญิงสาวเหยียดยิ้มให้กับเขา
“ในโลกนี้มันมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าการถ่วงเวลาอยู่นะ
รู้มั้ย?”
อีกฝ่ายดูหงุดหงิดหัวเสียเอามากๆ
ดวงตาสีแดงนั่นตวัดมาครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะบินหนีไป
เธอหันมาหาสตีฟที่อยู่บนพื้น
ก่อนจะปรายตามองเด็กสาวผมยาวสีน้ำตาล
“...คนนี้ใช่มั้ย?”
“วานด้า
แม็กซิมอฟฟ์” เขากุมสีข้างแล้วลุกขึ้นทั้งยังหอบอยู่
แสงสีเงินแว้บขึ้นอีกครั้ง
ก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มผมสีซีดจนเกือบขาวในเสื้อยืดสีน้ำเงินทับด้วยแจ็คเกตจะปรากฎขึ้นข้างๆเธอ
“ส่วนนั่นปิเอโตร
แม็กซิมอฟฟ์”
เธอมองสองแฝดขึ้นๆลงๆ
กอดอกแล้วพยักหน้า
“...อืม
เด็กกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย”
ผู้หญิงน่าจะมีพลังจิต
ส่วนผู้ชายน่าจะวิ่งเร็ว
ดวงตาสีฟ้าเทามองไปยังทิวทัศน์รอบๆก่อนจะเห็นว่ารถไฟที่ตกรางกำลังพุ่งไปที่ตลาด
“เอาล่ะ”
เธอชี้ไปที่เด็กหนุ่ม
“นาย
ไปเคลียร์ทางซะ ใครก็ตามที่ขวางรถไฟนี่อยู่ฉันอยากให้นายเอาออกไปให้หมด”
นิ้วเรียวเบนมาหาเด็กสาวขณะที่ปิเอโตรพยักหน้าแล้วออกไป
“ส่วนเธอ...”
หญิงสาวมองเจ้าของคาร์ดิแกนสีแดงแล้วเอียงหัว ทำเสียงจิ๊จ๊ะเบาๆ
“หยุดมันซิ”
วานด้ารับคำเงียบๆแล้วก้มลง
เธอมองดูเด็กคนนั้นเงียบๆขณะที่กระแสสีแดงเริ่มไหลออกมาจากมือคู่นั้นแล้วลงไปที่ล้อทั้งหลายข้างใต้พื้นเหล็ก
ใบหน้าอ่อนเยาว์เริ่มมีเหงื่อผุดพราย
ดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าเธอไม่เคยใช้พลังหนักขนาดนี้มาก่อน
รถไฟกำลังจะชนเข้าไปที่ฝูงชน
ความเร็วแทบไม่ลดลงเลย
ไม่ว่าเด็กหัวขาวนั่นจะทำงานรึยัง
เห็นได้ชัดว่ามันยังไม่เร็วพอ
สคาดิขบริมฝีปากล่างเบาๆ
มองร่างสูงข้างกายที่ตอนนี้มีสีหน้าหนักใจ
เธอมองวานด้าที่ดูจะไม่ไหวแล้ว
ถอนหายใจยาวแล้วทรุดตัวลงบนเข่าข้างหนึ่ง วางมือลงไปบนพื้นผิวเรียบของเหล็ก
ปล่อยให้กระแสเวทย์สีฟ้าซึมผ่านนิ้วที่กดอยู่กับพื้นสู่ส่วนล่างทั้งหมดของรถไฟ
รถไฟชะลอลงอย่างรวดเร็ว
และหยุดลงในที่สุด
สคาดิยืดหัวขึ้นแล้วเดินไปช่วยผู้โดยสารลงจากรถไฟ
ปล่อยให้เด็กสาวผมสีน้ำตาลที่หอบเหนื่อยวิ่งไปดูแฝดของตนเองพร้อมกับสตีฟ
เธอกลับมาทันได้ยินบทสนทนาระหว่างสองแฝดและคุณปู่ในร่างหนุ่มกล้ามโต
“นี่เป็นความผิดของเรา”
แฝดหญิงปิดหน้าแล้วสูดหายใจสั่นๆเหมือนจะร้องไห้
“บาร์ตัน”
เธอกดหูฟังแล้วเรียก
“ฮัลโหลๆ
หนึ่งสองสาม เทสๆ อยู่มั้ยเอ่ย?”
เกือบจะร้องเพลงไปปั้นหิมะด้วยกันมั้ยจากแอนิเมชั่นขวัญใจเด็กผู้หญิงแล้วในตอนที่เสียงของคนปลายทางตอบกลับมา
“อยู่นี่”
“เปล?”
“ข้างหลังฉันนี่”
เขาบอก
“กำลังจะเอากลับนิวยอร์ก”
บางอย่างในน้ำเสียงนั้นทำให้เธอสะดุดแล้วกดคิ้วลง
“...เกิดอะไรขึ้น?”
เงียบ...
กัปตันหันมามองเธอ
สายตาเครียดขึ้น
“...คลินท์?”
“มันได้แนทไป”
เธอเลิกคิ้ว
“คือ...”
“จับไป”
เอาแล้ว
หญิงสาวกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่
ก่อนจะตั้งสติ
“ค่อยไปคุยกันต่อที่ตึกสตาร์ค”
“รับทราบ”
ทันทีที่บอกสองแฝดว่าสตาร์คได้เปลไปแล้ว
ปิเอโตรก็หัวเสียยกใหญ่
“คุณไม่เข้าใจ”
เขาพูดด้วยสำเนียงแปร่งๆแบบรัสเซียไม่ก็โซโกเวีย(ก็เป็นเด็กโซโกเวียนี่นา)
“คนอย่างโทนี่
สตาร์คไม่มีวันทำลายเปลนั่นได้หรอก” วานด้าเสริม
“เขาจะใช้ทุกโอกาสเพื่อสร้างอัลตรอนที่สมบูรณ์แบบ...แก้ไขสิ่งที่เขาทำพลาด”
สคาดิเม้มปาก
“นี่มันอะไรกัน?”
เสียงของเธอทั้งต่ำทั้งน่ากลัวจนบรรยากาศในห้องนั้นเงียบเป็นป่าช้า
“คือ...”
แบนเนอร์เดินออกมาจากหลังคอม ท่าทางเหมือนเด็กที่กำลังทำผิดแล้วพยายามแถให้รอด
“ฉันกับโทนี่คิดอะไรอ--”
มือเรียวยกขึ้นเป้นสัญญาณบอกให้เขาหุบปาก
สคาดิหันไปมองด็อกเตอร์คนนั้นด้วยดวงตาวาวโรจน์
“...ฉันไม่ได้คุยกับนาย
แบนเนอร์”
“สคาดิ”
โทนี่รีบลงมาหา
แต่เธอชี้นิ้วให้อยู่กับที่ด้วยท่วงท่าเด็ดขาดราวกับตอนที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งอาณาจักรน้ำแข็ง
“หยุด.อยู่.ตรง.นั้น”
เธอเค้นเสียงลอดไรฟัน
“แล้วขอเหตุผลดีๆสักข้อไม่ให้ฉันจับนายตัดเอ็นแขนขาแล้วโยนลงจากตึก
มิสเตอร์สตาร์ค”
แฝดนั่นพูดถูก
หญิงสาวผ่อนลมหายใจ
ยังคงไม่ปล่อยให้บรรยากาศรอบตัวผ่อนคลายลง
“ฉันนี่มันโง่ดีเนอะ”
เธอแค่นหัวเราะ
“ให้นายหลอกใช้เป็นวัวเป็นควายเชียว”
“สคาดิ
ฉันไม่ได้-”
“นายนี่มันไม่รู้จักจำ”
เธอด่าต่อ
“อัลตรอนยังไม่พอรึไง
ห๊ะ?” เสียงของเธอดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ต้องวายวอดกันไปอีกเท่าไหร่นายถึงจะจำสักที?”
“ครั้งนี้ไม่พลาดแน่”
เขายื่นมือมาข้างหน้าอย่างพยายามให้เธอใจเย็นลง
“ฉันมีแผน”
“นายก็มีแผนตลอดเวลานั่นแหละ”
เธอพ่นลมหายใจออกสั้นๆผ่านริมฝีปาก
“ไม่
ครั้งนี้มันอาจเวิร์คจริงๆ”
“แล้วนายจะทำไงถ้ามันออกมาเหมือนอัลตรอนลูกชายนาย?”
เงียบ...
เงียบกันหมดทั้งห้อง
“ถ้ามันไปร่วมมือกัน
โลกไม่วิบัติเร็วขึ้นเหรอ?
ไอ้หุ่นกระป๋องนั่นอยากฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ใช่รึไง?”
เธอมองเขา
แล้วมองแบนเนอร์ ก่อนจะสบตากับแคปและสองแฝดที่ยืนคุมเชิงอยู่ข้างหลัง
“ถ้าไม่มีใครกล้าทำลายมัน
ฉันทำเอง” ร่างเพรียวเดินไปที่เปล มือมีกระแสสีฟ้าไหลวนรอบๆ
แต่ก่อนที่จะได้ระเบิดความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดลงบนมัน
เสียงของนักประดิษฐ์สติเฟื่องก็ดังขึ้น
“ฉันอัพโหลดจาร์วิสลงไปในนั้น”
เธอชะงัก
นั่นทำให้เขาพูดต่อ
“จาร์วิสเคยเอาชนะอัลตรอนมาแล้วครั้งหนึ่งโดยที่มันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”
ดวงตาสีฟ้าเทาหรุบลงมองใบหน้าของร่างที่นอนนิ่งอยู่ในนั้น
แสงสีส้มเรืองๆยังคงวนอยู่เป็นการบ่งบอกว่าการสร้างเนื้อเยื่อยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วนขณะที่ฟังเขาแถต่อไปว่าจาร์วิสทำอะไรไว้บ้าง
อัลตรอนโดนอะไรบ้าง การอัพโหลดของอัลตรอนหยุดชะงักยังไงบ้าง
“สคาดิ
ฉันรู้ว่ามันฟังดูบ้าบิ่น” โทนี่ทอดเสียงลง
“แต่ฉันอยากให้เธอเชื่อใจฉัน...นะ”
ใบหน้างดงามเงยขึ้นไป
สบกับไอรอนแมนครู่หนึ่ง จ้องราวกับพยายามค้นหาความคลุ้มคลั่งบางอย่างในดวงตาสีเข้มคู่นั้น
ผ่านไปแป๊บเดียว
แต่เนิ่นนานราวกับเป็นแรมปี
ในที่สุด
เธอก็เบือนหน้าลงมองเปล พลังเวทย์บนมือค่อยๆจางหายไป
“ถ้ามันพลาด
ฉันจะเป็นคนแรกที่จับหัวนายกระแทกพื้น”
ได้ยินเสียงแบนเนอร์ถอนหายใจเฮือกขณะที่กล้ามเนื้อบนตัวของสตาร์คคลายลง
“โอเค
แบนเนอร์ ฉันจะเอ--”
แต่ทันใดนั้น
ลมกระโชกวูบหนึ่งก็พัดเข้ามาในห้องแล็บ
รู้ตัวอีกที
ปิเอโตรก็กำลังยืนอยู่ข้างเธอ ในมือมีสายไฟที่จะใช้อัพโหลดอะไรก็ตามลงไปในเปลอยู่
ใบหน้าของเด็กหนุ่มดูหัวเสียอยู่ไม่น้อย
เขาโยนมันลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจแล้วสะบัดมือใส่บรรดาคนอายุมากกว่าที่กำลังมองเขาด้วยตาที่โตเท่าไข่ห่าน
“ไม่ๆๆ
คุยกันต่อเลย”
และสคาดิก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดเขา
เธอแค่กอดอกแล้วเอนตัวพิงโต๊ะแถวนั้น มือยกขึ้นนวดหว่างคิ้ว
ณ
เวลานี้ เธอไม่อยากแคร์อะไรแล้ว
แม้แต่ตอนที่บาร์ตันยิงปืนขึ้นมาใส่พื้นกระจกเพื่อให้แฝดหัวขาวร่วงลงไปหรือตอนที่บรูซพุ่งมาล็อกคอวานด้าแล้วขู่ไม่ให้เธอขยับไม่งั้นจะหักคอ
สคาดิก็ไม่กระดิกตัว
เธอรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบไปมา
ได้แต่ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า
ทำไมมันต้องวุ่นวายขนาดนี้ด้วย?
และก่อนที่กัปตันอเมริกากับไอรอนแมนจะได้ลงไม้ลงมือกันจริงๆ
ร่างหนึ่งก็กระโจนเข้ามา
อ้อ
พี่ชายเธอนี่เอง
เห็นว่าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการสยบอัลตรอนที่บ่อน้ำโบราณแห่งหนึ่ง
เผื่อว่าพลังเวทย์เก่าแก่หลายพันปีในนั้นจะช่วยได้
เรียกว่าทางวิทย์ไม่ได้ก็ต้องพึ่งทางไสยนั่นล่ะ
อะไรจะมาได้ถูกจังหวะขนาดนี้
ทีตอนน้องตัวเองไปเล่นวิ่งไล่จับในถนนเกาหลียังไม่เห็นโผล่มา
ธอร์ยกมโยลเนียร์ขึ้น
เรียกพลังสายฟ้าทั้งหมดมารวมไว้ที่มันแล้วทุบลงบนเปลเต็มแรงท่ามกลางเสียงร้องของโทนี่และแบนเนอร์
สคาดิเอามือออกจากหน้าแล้วจ้องมองเงียบๆ
เหลือบไปเห็นหน้าจอข้างๆเปลเตือนว่ากระแสไฟฟ้าโอเวอร์โหลดแล้ว
แสดงว่าไม่ได้มาดีสำหรับโทนี่สินะ
เธอขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นบังหน้าตัวเองขณะที่โลงเหล็กนั่นระเบิด
ทันทีที่ควันจาง
เธอก็เห็นร่างสีแดงผุดออกมาจากเปล ทะยานขึ้นทรงตัวบนวัตถุนั้นแล้วพุ่งออกไป
คิ้วเรียวคลายลง
...ไม่ได้ผลแฮะ
เธอก้าวไปยืนข้างพี่ชายบุญธรรม
เหลือบมองกันและกันเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นมาลอยๆด้วยเสียงที่ไม่ดังไม่เบา
แต่ได้ยินทั่ว
“ในเมื่อสกูลด์กับเวอร์ดานดิตัดสินใจแบบนี้
ถ้าข้าไม่เคารพพวกนาง...ข้าก็คงจะชั่วช้าเต็มที”
จากหางตา
เธอเห็นโทนี่ลอบยิ้มก่อนจะมองไปที่ร่างซึ่งกำลังหยุดนิ่งมองวิวนิวยอร์กในยามวิกาลข้างหน้าด้วยสายตาเป็นกังวล
เจ้าของผิวสีแดงเข้มจนพาลให้เธอนึกถึงเลือดหันมา
มณีตรงกลางหน้าผากของเขาส่องแสงสีทองส้มเรือง
ธอร์เริ่มอธิบายว่านั่นคือมายด์สโตน
หนึ่งในมณีอินฟินิตี้สโตน
เธอปล่อยให้ใจล่องลอยไปกับความคิดต่างๆแล้วดึงตัวเองกลับมาในตอนที่เจ้าร่างแดงนั่นค่อยๆอธิบายที่มาของตัวเอง
เก่งนะเนี่ย
รู้ด้วยตัวเองมาจากไหน
“เราไม่ใช่ทั้งอัลตรอน...หรือจาร์วิส”
เขาพูดด้วยเสียงนุ่ม ไม่มีความเป็นปฏิปักษ์แม้สักเสี้ยวอยู่ในนั้น
“เราคือเรา”
“งั้นภาพในฝันของนายล่ะ?”
วานด้าก้าวออกมา
“ฉันเห็น...นายฝันถึงจุดสิ้นสุดของมนุษย์”
“ลองดูอีกทีสิ”
เขายื่นมือออกไป แต่เด็กสาวดูไม่สงบพอที่จะไว้ใจเขาและเข้าไปในหัวเขาอีกครั้ง
“เรียกนายว่ายังไงดี?”
โทนี่กอดอก
คนถูกถามคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วพูดออกมาในที่สุด
“อัลตรอนสร้างเราเพราะเขาเห็นบางอย่างที่หลายคนอาจไม่เข้าใจ
เราคือวิสัยทัศน์นั้น”
งั้นก็ชื่อวิชั่นสินะ
วิชั่นบอกว่าเขาไม่ได้อยู่ฝั่งอเวนเจอร์
และก็ไม่ได้อยู่ฝั่งอัลตรอน แต่เขาอยู่ฝั่งที่ทำเพื่อมนุษยชาติ
ว้าว...ไร้เดียงสาจริงๆ
ก็นะ
เพิ่งเกิดนี่
เธอมองฮีโร่ตัวแดงที่สำรวจเครื่องแต่งกายของธอร์แล้วใช้พลังของตัวเองสร้างผ้าคลุมและชุดสีเขียวขึ้นมา
ลอบกรอกตาเล็กน้อย
ที่แต่งตัวเจ๋งกว่านี้ก็มีตั้งเยอะ
คิดยังไงมาเอาพี่ชายแสนทึ่มของเธอเป็นแฟชั่นไอคอน
แล้วเธอก็ต้องห่อปากทำเสียงหูวเบาๆเมื่อเขาหมุนตัวไปหยิบมโยลเนียร์ขึ้นมาด้วยมือเดียวแล้วยื่นให้เจ้าของ
“เราต้องรีบแล้ว
ขืนชักช้าอัลตรอนจะได้สิ่งที่ต้องการ” เจ้าตัวพูดราวกับการหยิบค้อนที่ยกยากยิ่งกว่าดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์นั้นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญก่อนจะเดินผ่านไป
ทิ้งให้เหล่าอเวนเจอร์สงงเป็นไก่ตาแตก
ดวงตาสีฟ้าเทามองเทพสายฟ้าข้างๆกาย
เห็นสีหน้าเขาแข็งค้าง
เธอหัวเราะในลำคอเบาๆ
ตบบ่าเขาแล้วหมุนตัวตามชายเสื้อคลุมสีเขียวไป
“ข้าเชื่อใจเขานะ”
คู่สนทนานิ่งค้างไปจังหวะหนึ่ง
ก่อนจะมองค้อนเหล็กในมือ
“ข้าก็เชื่อใจเขา”
ปิเอโตร(ซึ่งเพิ่งโดนฮอว์คอายอัดสั่งสอน/เอาคืนมา)กับวานด้าดูลังเลเล็กน้อย
แต่เมื่อเห็นสคาดิออกไปเป็นคนแรก พวกเขาก็ตามมาอย่างกล้าๆกลัวๆ
สคาดิเลียฟันตัวเอง
มือกระชับคันธนูขณะเดินไปขึ้นควินเจ็ท
...ได้เวลาจบมันแล้ว
TALK WITH FM
ตอนหน้าจบซีซั่นแล้วนะคะะะ
ส่วนตัวรู้สึกว่าตอนที่ดูหนังเรื่องนี้มันงงหน่อยๆแล้วก็บางครั้งรู้สึกอารมณ์เสียแทนตัวละครนั้นๆมาก
แบบตอนที่โทนี่สร้างวิชั่นนั่นแหละ คือตะโกนเลยว่าเอ็งคิดบ้าอะไรอยู๊วววววว
แต่ถ้าโทนี่ไม่สร้างวิชั่น วานด้าก็จะไม่มีคู่นี่เนอะ...
ยอมก็ได้ เชอะ(ฮา)
ทั้งสองชั่วโมงเนี่ย ที่ชอบที่สุดคือแฝดแม็กซิมอฟฟ์ค่ะ 555
รักความพี่น้องคอยระวังหลังให้กัน
คอยจิกกันคอยดูแลกันของปิเอโตรกับวานด้ามาก
ก็เลยเสียใจอยู่ประมาณหนึ่งค่ะตอนที่ตาปิเอโตรตาย
เหนืออื่นใด
วิชั่นวานด้าคือเคมีแรงมากกกก
รู้สึกชิปตั้งแต่ตอนที่ยัยแวนร้องไห้โวยวายกับอัลตรอนแล้วตาวิสลงมาอุ้มท่าเจ้าสาวออกไปอ่ะค่ะ
คือบั่บ--(//อุดปากกรี๊ด)
เอาเป็นว่า เจอกันตอนหน้าแล้วกันนะคะ 5555
ด้วยรักและถุงกาว
เฟิงมี่ค่ะ>3<
ความคิดเห็น