ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marvel || Broken Throne (OC feat. Thorki, Stony, Spideypool, etc.)

    ลำดับตอนที่ #51 : Broken Throne S3 || Ch 10

    • อัปเดตล่าสุด 26 พ.ค. 63


    || B R O K E N T H R O N E ||

    s e a s o n 3

    ----------------------------

    CHAPTER 10

     

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาหรี่ลงป้องกันแรงลมที่ตีเข้าใบหน้าขณะที่ซ้อนท้ายนาตาชาซึ่งผันตัวมาเป็นสายแว้น

     

           “เอาจริงดิ?” คนข้างหน้าทำเสียงจิ๊จ๊ะเมื่อเห็นว่ากัปตันอเมริกาถูกอัลตรอนปัดโล่ออกจากมือและเกือบตกจากหลังคอนเทเนอร์รถบรรทุก

     

           ใช่...คอนเทเนอร์รถบรรทุก

     

           สองคนนั่นสู้กันกลางวันแสกๆบนรถบรรทุกที่กำลังเคลื่อนที่ในความเร็วกลางถนนในเกาหลี

     

           เรื่องมันมาถึงจุดนี้ได้ยังไงน่ะเหรอ?

     

           อืม...เริ่มตรงไหนดีล่ะ?

     

           จู่ๆพ่อยอดชายนายโทนี่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าอัลตรอนกำลังจะวิวัฒน์ตัวเองไปสู่ขั้นต่อไปจากการจ้องรูปวาดของลูกสาวบาร์ตัน

     

           ใช่ บาร์ตันมีเมียและลูก...สองคน(กำลังจะมีคนที่สาม)

     

           เธอก็เพิ่งได้ไปบ้านเขาครั้งแรกเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่แหละ

           สวยดี ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลเมืองนิดหน่อย

     

           อ้อ ผอ.ฟิวรี่ก็มาโผล่ที่นั่นด้วยล่ะ

           เซอร์ไพรส์

     

           กลับมาที่ผีเสื้อของมิสบาร์ตันตัวน้อย

     

           โทนี่จำได้ว่ามันมีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่มีวิทยาการก้าวหน้าพอจะให้ในสิ่งที่ไอ้หุ่นนั่นต้องการได้

     

           เธอชื่อเฮเลน โช มีแล็บอยู่ที่เกาหลี

     

           พอมาถึง สภาพแล็บที่เละตุ้มเป๊ะและด็อกเตอร์สาวที่นอนบาดเจ็บอยู่บนพื้นทำให้สคาดิรู้ได้ทันทีว่าอัลตรอนต้องได้อะไรก็ตามที่จะวิวัฒน์เขาไปแล้ว

     

           เห็นว่าเป็นเปลสร้างเนื้อเยื่อที่จะใช้พลังจากมณีบนคทาโลกิและอัพโหลดตัวของหุ่นเหล็กนั้นลงไป

     

           เป็นเหตุให้อเวนเจอร์สทั้งทีมต้องมาบุกประเทศเล็กๆในแถบเอเชียนี่แล้วสร้างความวุ่นวายไปทั้งเมืองไงล่ะ

     

           “สุดท้ายก็เป็นหน้าที่เราต้องตามล้างตามเช็ดสินะ” เธอถอนหายใจ สบตากับหญิงสาวผมแดงที่กระตุกยิ้มมุมปากนิดหนึ่งแล้วเอนตัวลงไปคว้าเอาโล่ไวเบรเนียมประทับตราดาวสีขาวขึ้นมาจากถนนขณะที่ยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

     

           “โยนแม่นๆนะ” นาตาชาบิดแฮนด์มอเตอร์ไซค์สีดำวาววับคันงามเข้าไปที่รถนั้น

     

           “โย่แคป!!” สคาดิเดาะลิ้น เรียกพ่อหนุ่มอเมริกันผมทองซึ่งกำลังล้มหน้าคว่ำมองวิวถนนเบลอๆอยู่ให้เขาหันมามอง

     

           มือเรียวโยนโล่ขึ้นไป กลับสู่มือของกัปตันอย่างเหมาะเจาะ

     

           และดูเหมือนว่าอัลตรอนจะไม่ปลื้มเท่าไหร่นัก

     

           เธอเห็นเขา(เรียกหุ่นยนต์ว่าเขาได้มั้ยนะ?)สะบัดหัวไปมาอย่างหงุดหงิดแล้วยกมือขึ้น

     

           หญิงสาวตวัดตาขวับ รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่สั่นสะเทือนอยู่ใต้ดิน

     

           “แนท ข้างหน้า” เธอตะครุบบ่าเพื่อนสาว

     

           สายลับสาวเข้าใจทันที รถมอเตอร์ไซค์ถูกเบรคจนล้อยกขึ้นอันหนึ่งก่อนที่มันจะชนเข้ากับพื้นถนนซึ่งถูกแรงบางอย่างยกขึ้นมา

     

           ร่างเพรียวโปร่งกระโดดลงจากเบาะนั่งด้านหลังแล้วขึ้นไปเกาะหลังคารถขณะที่ร้องบอกนาตาชา

     

           “เธอไปอีกทาง รอเอาเปล”

     

           “เธอล่ะ?” หญิงสาวผมแดงขมวดคิ้ว

     

           “ฉันจะไปช่วยแคปทุบเหล็กสักหน่อย”

     

           เทพีแห่งเหมันต์กระโจนขึ้นไปในอากาศ ใช้เวทย์ลอยตัวเป็นระยะๆเพื่อย้ายตนเองจากรถคันหนึ่งไปอีกคันหนึ่งและตามติดกับรถบรรทุกที่ตอนนี้แปรสภาพเป็นสังเวียนขนาดเล็กสำหรับสตีฟไปแล้ว

     

           มือเรียวสะบัด ส่งกระแสเวทย์ออกไปตรึงแขนของอัลตรอนและเปิดโอกาสให้แคปต่อยหน้าเขาไปสองสามหมัด

     

           “เธออีกแล้วเหรอ?” เจ้าหุ่นนั่นทำหน้าเซ็ง

     

           “อะไร?” หญิงสาวกระดกคิ้วข้างหนึ่ง

           “เจอกันไม่กี่ทีก็เบื่อหน้าฉันแล้วเหรอ?”

     

           หุ่นเหล็กอีกสองตัวที่เธอคิดว่าน่าจะเป็นสมุนที่เขาสร้างขึ้นมาโฉบลงมาหาเธอพร้อมกับลำแสงที่เปิดฉากไล่ยิง

     

           สคาดิยกมือขึ้นสร้างเกราะเวทย์สลับกับยิงเวทย์ตอบโต้

     

           “บาร์ตัน ทางนั้นเป็นไงบ้าง?” เธอส่งเสียงถามมือธนูที่ตอนนี้ผันตัวไปเป็นคนขับควินเจ็ทเพื่อรอชิงเปล

     

           “แนทกำลังรอพวกเธออยู่อีกทาง” เสียงของเขาตอบกลับมา

           “ถ่วงเวลาต่อไป ล่อเขาออกจากหลังคารถให้ได้”

     

           “พูดเหมือนง่ายเนอะ” เธอสะบัดคอนิดหน่อย

     

           “ยากเกินไปเหรอ?”

     

           หญิงสาวแสยะยิ้ม

           “ไม่”

     

           สคาดิชักดาบออกมาจากเอวแล้วฟันหุ่นพวกนั้นออกเป็นหลายๆส่วย ก่อนจะเก็บมัน ดึงเอาคันธนูออกมาแทน

     

           “แคป เอาหัวออกหน่อยได้ไหม” เธอบอกสตีฟที่ตอนนี้บังเป้าอย่างอัลตรอนอยู่

           “ขอบใจ”

     

           ทันทีที่หัวในหมวกเกลี้ยงๆสีน้ำเงินของเขาหลบลง ลูกธนูบนสายก็หลุดจากแล่งแล้วพุ่งไปปักที่คอของหุ่นเหล็กทันที

     

           “โอ๊ย” เขาสบถ

           “คิดว่าแค่นี้จะทำอะไรฉันได้งั้นเหรอ?”

     

           เธอส่งยิ้มกวนโอ๊ยจากบนหลังคารถที่อยู่ด้านหลังเยื้องไปทางขวาของพวกเขา ธนูอีกดอกกำลังพาดบนสายเตรียมดึงและเล็งเป้า

     

           “และถ้านายคิดว่าที่อยู่บนคอนายเป็นแค่ธนูธรรมดาๆ นายก็โคตรโง่”

     

           ฉับพลัน กระแสสีฟ้าก็ระเบิดออกมาจากหัวธนูแหลมๆที่เสียบอยู่ระหว่างเส้นเหล็กสีเข้ม แพร่ไปทั่วร่างของอัลตรอนอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาร้องลั่นแล้วทรงตัวไม่อยู่ทรุดลงไป

     

           หญิงสาวยิ้มมุมปากแล้วกระโดดขึ้นไปบนนั้นอย่างรวดเร็ว มือตะครุบลงไปบนคอที่ทำจากเหล็กล้วนๆเพียงเพื่อจะโยนเขาออกไปอีกทาง

     

           “ทางสะดวกแล้วแนท มาเอาของเลย” เธอบอกขณะที่กัปตันอเมริกากระโดดตามลงไปซ้ำ

     

           “รับทราบ”

     

           เมื่อได้ยินเสียงคอมเฟิร์มจากอีกฝั่งแล้ว สคาดิก็สูดหายใจลึกก่อนจะมองทั้งแคปและอัลตรอนซึ่งไล่ต่อยกันไปจนถึงรางรถไฟแล้ว

     

           “ฉันไปช่วยแคปต่อนะ”

     

           “อา ตามสบาย”

     

           หญิงสาวรวบรวมพลังเวทย์ขึ้นมาแล้วกระโดดขึ้นไปในอากาศ ใช้เวทย์ลอยตัวอีกครั้งและพยายามส่งกระแสพลังลงไปเรื่อยๆให้มันอยู่นานกว่าเวทย์ลอยตัวทั่วไป

     

           ก็บินไปมันเร็วกว่าวิ่งนี่...เหนื่อยน้อยกว่าด้วย

     

           เธอไปถึงทันเห็นว่าอัลตรอนกำลังจะทำให้รถไฟที่ทั้งเขาและสตีฟอยู่ตกรางแล้วพุ่งเข้าชนที่ที่มีพลเรือนอยู่เต็มไปหมด

     

           หญิงสาวกรอกตาพลางร่อนเข้าไปกระแทกแขนเข้ากับอกแข็งๆนั่นเต็มแรง

     

           ว้าว เจ็บแฮะ

     

           ร่างสูงใหญ่ของหุ่นยนต์เซถอยไปสองสามก้าว เปิดโอกาสให้เธอหันมาหาแคป

     

           “ยังไงต่อ?”

     

           อีกคนกัดกรามแน่นแล้วกระชับโล่ในมือ

     

           “หยุดรถไฟให้หน่อย”

     

           เธอปรายตาไปมองอันตรอนที่พร้อมจะสู้อีกครั้งแล้วรีบรุดไปที่รูโบ๋ใหญ่ๆข้างหน้ารถพลางสร้างเกราะขึ้นมาปิดมัน

     

           ผู้โดยสารกรีดร้องเมื่อพวกเขาทะลุผ่านกำแพงอิฐสีแดงๆไป

     

           สคาดิก้มตัวหลบลำแสงเลเซอร์ที่อัลตรอนยังอุตส่าห์มีเวลามาเล็งยิงเธอแล้วยืดหลังขึ้นอีกครั้งในตอนที่เห็นลำแสงสีเงินพุ่งแว้บเข้ามาในโบกี้

     

           ...ใครอีกฟะ?

     

           สตีฟถีบอัลตรอนออกไป และก่อนที่ไอ้หุ่นกระป๋องนั่นจะได้กลับมาสู้ต่อ กระแสพลังสีแดงสดก็ดึงเหล็กเส้นจากมือจับเหนือหัวลงมาขวางเอาไว้

     

           ดวงตาสีฟ้าหันไปมองเด็กสาวอายุไม่น่าเกินยี่สิบในเสื้อคาร์ดิแกนสีแดง มือทั้งสองของเธอมีกระแสพลังสีเดียวกันลอยวนอยู่

     

           เมื่อร่างที่ทำจากเหล็กเห็นดังนั้น เขาก็ฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรู้ตัวว่าเปลเนื้อเยื่อแสนรักอันนั้นอยู่บนควินเจ็ทของบาร์ตันเรียบร้อย

     

           หญิงสาวเหยียดยิ้มให้กับเขา

     

           “ในโลกนี้มันมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าการถ่วงเวลาอยู่นะ รู้มั้ย?”

     

           อีกฝ่ายดูหงุดหงิดหัวเสียเอามากๆ ดวงตาสีแดงนั่นตวัดมาครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะบินหนีไป

     

           เธอหันมาหาสตีฟที่อยู่บนพื้น ก่อนจะปรายตามองเด็กสาวผมยาวสีน้ำตาล

     

           “...คนนี้ใช่มั้ย?”

     

           “วานด้า แม็กซิมอฟฟ์” เขากุมสีข้างแล้วลุกขึ้นทั้งยังหอบอยู่

     

           แสงสีเงินแว้บขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มผมสีซีดจนเกือบขาวในเสื้อยืดสีน้ำเงินทับด้วยแจ็คเกตจะปรากฎขึ้นข้างๆเธอ

     

           “ส่วนนั่นปิเอโตร แม็กซิมอฟฟ์”

     

           เธอมองสองแฝดขึ้นๆลงๆ กอดอกแล้วพยักหน้า

           “...อืม เด็กกว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย”

     

           ผู้หญิงน่าจะมีพลังจิต ส่วนผู้ชายน่าจะวิ่งเร็ว

     

           ดวงตาสีฟ้าเทามองไปยังทิวทัศน์รอบๆก่อนจะเห็นว่ารถไฟที่ตกรางกำลังพุ่งไปที่ตลาด

     

           “เอาล่ะ” เธอชี้ไปที่เด็กหนุ่ม

           “นาย ไปเคลียร์ทางซะ ใครก็ตามที่ขวางรถไฟนี่อยู่ฉันอยากให้นายเอาออกไปให้หมด”

     

           นิ้วเรียวเบนมาหาเด็กสาวขณะที่ปิเอโตรพยักหน้าแล้วออกไป

     

           “ส่วนเธอ...” หญิงสาวมองเจ้าของคาร์ดิแกนสีแดงแล้วเอียงหัว ทำเสียงจิ๊จ๊ะเบาๆ

           “หยุดมันซิ”

     

           วานด้ารับคำเงียบๆแล้วก้มลง

     

           เธอมองดูเด็กคนนั้นเงียบๆขณะที่กระแสสีแดงเริ่มไหลออกมาจากมือคู่นั้นแล้วลงไปที่ล้อทั้งหลายข้างใต้พื้นเหล็ก

     

           ใบหน้าอ่อนเยาว์เริ่มมีเหงื่อผุดพราย

     

           ดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าเธอไม่เคยใช้พลังหนักขนาดนี้มาก่อน

     

           รถไฟกำลังจะชนเข้าไปที่ฝูงชน ความเร็วแทบไม่ลดลงเลย

     

           ไม่ว่าเด็กหัวขาวนั่นจะทำงานรึยัง เห็นได้ชัดว่ามันยังไม่เร็วพอ

     

           สคาดิขบริมฝีปากล่างเบาๆ มองร่างสูงข้างกายที่ตอนนี้มีสีหน้าหนักใจ

     

           เธอมองวานด้าที่ดูจะไม่ไหวแล้ว ถอนหายใจยาวแล้วทรุดตัวลงบนเข่าข้างหนึ่ง วางมือลงไปบนพื้นผิวเรียบของเหล็ก ปล่อยให้กระแสเวทย์สีฟ้าซึมผ่านนิ้วที่กดอยู่กับพื้นสู่ส่วนล่างทั้งหมดของรถไฟ

     

           รถไฟชะลอลงอย่างรวดเร็ว และหยุดลงในที่สุด

     

           สคาดิยืดหัวขึ้นแล้วเดินไปช่วยผู้โดยสารลงจากรถไฟ ปล่อยให้เด็กสาวผมสีน้ำตาลที่หอบเหนื่อยวิ่งไปดูแฝดของตนเองพร้อมกับสตีฟ

     

           เธอกลับมาทันได้ยินบทสนทนาระหว่างสองแฝดและคุณปู่ในร่างหนุ่มกล้ามโต

     

           “นี่เป็นความผิดของเรา” แฝดหญิงปิดหน้าแล้วสูดหายใจสั่นๆเหมือนจะร้องไห้

     

           “บาร์ตัน” เธอกดหูฟังแล้วเรียก

           “ฮัลโหลๆ หนึ่งสองสาม เทสๆ อยู่มั้ยเอ่ย?”

     

           เกือบจะร้องเพลงไปปั้นหิมะด้วยกันมั้ยจากแอนิเมชั่นขวัญใจเด็กผู้หญิงแล้วในตอนที่เสียงของคนปลายทางตอบกลับมา

     

           “อยู่นี่”

     

           “เปล?”

     

           “ข้างหลังฉันนี่” เขาบอก

           “กำลังจะเอากลับนิวยอร์ก”

     

           บางอย่างในน้ำเสียงนั้นทำให้เธอสะดุดแล้วกดคิ้วลง

     

           “...เกิดอะไรขึ้น?”

     

           เงียบ...

     

           กัปตันหันมามองเธอ สายตาเครียดขึ้น

     

           “...คลินท์?”

     

           “มันได้แนทไป”

     

           เธอเลิกคิ้ว

           “คือ...”

     

           “จับไป”

     

           เอาแล้ว

     

           หญิงสาวกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ ก่อนจะตั้งสติ

           “ค่อยไปคุยกันต่อที่ตึกสตาร์ค”

     

           “รับทราบ”

     

           ทันทีที่บอกสองแฝดว่าสตาร์คได้เปลไปแล้ว ปิเอโตรก็หัวเสียยกใหญ่

     

           “คุณไม่เข้าใจ” เขาพูดด้วยสำเนียงแปร่งๆแบบรัสเซียไม่ก็โซโกเวีย(ก็เป็นเด็กโซโกเวียนี่นา)

     

           “คนอย่างโทนี่ สตาร์คไม่มีวันทำลายเปลนั่นได้หรอก” วานด้าเสริม

           “เขาจะใช้ทุกโอกาสเพื่อสร้างอัลตรอนที่สมบูรณ์แบบ...แก้ไขสิ่งที่เขาทำพลาด”

     

           สคาดิเม้มปาก

     

     

     


     

     

     


     

           “นี่มันอะไรกัน?” เสียงของเธอทั้งต่ำทั้งน่ากลัวจนบรรยากาศในห้องนั้นเงียบเป็นป่าช้า

     

           “คือ...” แบนเนอร์เดินออกมาจากหลังคอม ท่าทางเหมือนเด็กที่กำลังทำผิดแล้วพยายามแถให้รอด

           “ฉันกับโทนี่คิดอะไรอ--”

     

           มือเรียวยกขึ้นเป้นสัญญาณบอกให้เขาหุบปาก สคาดิหันไปมองด็อกเตอร์คนนั้นด้วยดวงตาวาวโรจน์

     

           “...ฉันไม่ได้คุยกับนาย แบนเนอร์”

     

           “สคาดิ” โทนี่รีบลงมาหา แต่เธอชี้นิ้วให้อยู่กับที่ด้วยท่วงท่าเด็ดขาดราวกับตอนที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งอาณาจักรน้ำแข็ง

     

           “หยุด.อยู่.ตรง.นั้น” เธอเค้นเสียงลอดไรฟัน

           “แล้วขอเหตุผลดีๆสักข้อไม่ให้ฉันจับนายตัดเอ็นแขนขาแล้วโยนลงจากตึก มิสเตอร์สตาร์ค

     

           แฝดนั่นพูดถูก

     

           หญิงสาวผ่อนลมหายใจ ยังคงไม่ปล่อยให้บรรยากาศรอบตัวผ่อนคลายลง

     

           “ฉันนี่มันโง่ดีเนอะ” เธอแค่นหัวเราะ

           “ให้นายหลอกใช้เป็นวัวเป็นควายเชียว”

     

           “สคาดิ ฉันไม่ได้-”

     

           “นายนี่มันไม่รู้จักจำ” เธอด่าต่อ

     

           “อัลตรอนยังไม่พอรึไง ห๊ะ?” เสียงของเธอดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว

           “ต้องวายวอดกันไปอีกเท่าไหร่นายถึงจะจำสักที?”

     

           “ครั้งนี้ไม่พลาดแน่” เขายื่นมือมาข้างหน้าอย่างพยายามให้เธอใจเย็นลง

     

           “ฉันมีแผน”

     

           “นายก็มีแผนตลอดเวลานั่นแหละ” เธอพ่นลมหายใจออกสั้นๆผ่านริมฝีปาก

     

           “ไม่ ครั้งนี้มันอาจเวิร์คจริงๆ”

     

           “แล้วนายจะทำไงถ้ามันออกมาเหมือนอัลตรอนลูกชายนาย?”

     

           เงียบ...

     

           เงียบกันหมดทั้งห้อง

     

           “ถ้ามันไปร่วมมือกัน โลกไม่วิบัติเร็วขึ้นเหรอ? ไอ้หุ่นกระป๋องนั่นอยากฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ใช่รึไง?”

     

           เธอมองเขา แล้วมองแบนเนอร์ ก่อนจะสบตากับแคปและสองแฝดที่ยืนคุมเชิงอยู่ข้างหลัง

     

           “ถ้าไม่มีใครกล้าทำลายมัน ฉันทำเอง” ร่างเพรียวเดินไปที่เปล มือมีกระแสสีฟ้าไหลวนรอบๆ

     

           แต่ก่อนที่จะได้ระเบิดความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดลงบนมัน เสียงของนักประดิษฐ์สติเฟื่องก็ดังขึ้น

     

           “ฉันอัพโหลดจาร์วิสลงไปในนั้น”

     

           เธอชะงัก

     

           นั่นทำให้เขาพูดต่อ

     

           “จาร์วิสเคยเอาชนะอัลตรอนมาแล้วครั้งหนึ่งโดยที่มันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาหรุบลงมองใบหน้าของร่างที่นอนนิ่งอยู่ในนั้น แสงสีส้มเรืองๆยังคงวนอยู่เป็นการบ่งบอกว่าการสร้างเนื้อเยื่อยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วนขณะที่ฟังเขาแถต่อไปว่าจาร์วิสทำอะไรไว้บ้าง อัลตรอนโดนอะไรบ้าง การอัพโหลดของอัลตรอนหยุดชะงักยังไงบ้าง

     

           “สคาดิ ฉันรู้ว่ามันฟังดูบ้าบิ่น” โทนี่ทอดเสียงลง

           “แต่ฉันอยากให้เธอเชื่อใจฉัน...นะ”

     

           ใบหน้างดงามเงยขึ้นไป สบกับไอรอนแมนครู่หนึ่ง จ้องราวกับพยายามค้นหาความคลุ้มคลั่งบางอย่างในดวงตาสีเข้มคู่นั้น

     

           ผ่านไปแป๊บเดียว แต่เนิ่นนานราวกับเป็นแรมปี

     

           ในที่สุด เธอก็เบือนหน้าลงมองเปล พลังเวทย์บนมือค่อยๆจางหายไป

     

           “ถ้ามันพลาด ฉันจะเป็นคนแรกที่จับหัวนายกระแทกพื้น”

     

           ได้ยินเสียงแบนเนอร์ถอนหายใจเฮือกขณะที่กล้ามเนื้อบนตัวของสตาร์คคลายลง

     

           “โอเค แบนเนอร์ ฉันจะเอ--”

     

           แต่ทันใดนั้น ลมกระโชกวูบหนึ่งก็พัดเข้ามาในห้องแล็บ

     

           รู้ตัวอีกที ปิเอโตรก็กำลังยืนอยู่ข้างเธอ ในมือมีสายไฟที่จะใช้อัพโหลดอะไรก็ตามลงไปในเปลอยู่

     

           ใบหน้าของเด็กหนุ่มดูหัวเสียอยู่ไม่น้อย เขาโยนมันลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจแล้วสะบัดมือใส่บรรดาคนอายุมากกว่าที่กำลังมองเขาด้วยตาที่โตเท่าไข่ห่าน

     

           “ไม่ๆๆ คุยกันต่อเลย”

     

           และสคาดิก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อหยุดเขา เธอแค่กอดอกแล้วเอนตัวพิงโต๊ะแถวนั้น มือยกขึ้นนวดหว่างคิ้ว

     

           ณ เวลานี้ เธอไม่อยากแคร์อะไรแล้ว

     

           แม้แต่ตอนที่บาร์ตันยิงปืนขึ้นมาใส่พื้นกระจกเพื่อให้แฝดหัวขาวร่วงลงไปหรือตอนที่บรูซพุ่งมาล็อกคอวานด้าแล้วขู่ไม่ให้เธอขยับไม่งั้นจะหักคอ สคาดิก็ไม่กระดิกตัว

     

           เธอรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบไปมา ได้แต่ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า

     

           ทำไมมันต้องวุ่นวายขนาดนี้ด้วย?

     

           และก่อนที่กัปตันอเมริกากับไอรอนแมนจะได้ลงไม้ลงมือกันจริงๆ ร่างหนึ่งก็กระโจนเข้ามา

     

           อ้อ พี่ชายเธอนี่เอง

     

           เห็นว่าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการสยบอัลตรอนที่บ่อน้ำโบราณแห่งหนึ่ง เผื่อว่าพลังเวทย์เก่าแก่หลายพันปีในนั้นจะช่วยได้

     

           เรียกว่าทางวิทย์ไม่ได้ก็ต้องพึ่งทางไสยนั่นล่ะ

     

           อะไรจะมาได้ถูกจังหวะขนาดนี้

           ทีตอนน้องตัวเองไปเล่นวิ่งไล่จับในถนนเกาหลียังไม่เห็นโผล่มา

     

           ธอร์ยกมโยลเนียร์ขึ้น เรียกพลังสายฟ้าทั้งหมดมารวมไว้ที่มันแล้วทุบลงบนเปลเต็มแรงท่ามกลางเสียงร้องของโทนี่และแบนเนอร์

     

           สคาดิเอามือออกจากหน้าแล้วจ้องมองเงียบๆ เหลือบไปเห็นหน้าจอข้างๆเปลเตือนว่ากระแสไฟฟ้าโอเวอร์โหลดแล้ว

     

           แสดงว่าไม่ได้มาดีสำหรับโทนี่สินะ

     

           เธอขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นบังหน้าตัวเองขณะที่โลงเหล็กนั่นระเบิด

     

           ทันทีที่ควันจาง เธอก็เห็นร่างสีแดงผุดออกมาจากเปล ทะยานขึ้นทรงตัวบนวัตถุนั้นแล้วพุ่งออกไป

     

           คิ้วเรียวคลายลง

     

           ...ไม่ได้ผลแฮะ

     

           เธอก้าวไปยืนข้างพี่ชายบุญธรรม เหลือบมองกันและกันเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นมาลอยๆด้วยเสียงที่ไม่ดังไม่เบา แต่ได้ยินทั่ว

     

           “ในเมื่อสกูลด์กับเวอร์ดานดิตัดสินใจแบบนี้ ถ้าข้าไม่เคารพพวกนาง...ข้าก็คงจะชั่วช้าเต็มที”

     

           จากหางตา เธอเห็นโทนี่ลอบยิ้มก่อนจะมองไปที่ร่างซึ่งกำลังหยุดนิ่งมองวิวนิวยอร์กในยามวิกาลข้างหน้าด้วยสายตาเป็นกังวล

     

           เจ้าของผิวสีแดงเข้มจนพาลให้เธอนึกถึงเลือดหันมา มณีตรงกลางหน้าผากของเขาส่องแสงสีทองส้มเรือง

     

           ธอร์เริ่มอธิบายว่านั่นคือมายด์สโตน หนึ่งในมณีอินฟินิตี้สโตน

     

           เธอปล่อยให้ใจล่องลอยไปกับความคิดต่างๆแล้วดึงตัวเองกลับมาในตอนที่เจ้าร่างแดงนั่นค่อยๆอธิบายที่มาของตัวเอง

     

           เก่งนะเนี่ย รู้ด้วยตัวเองมาจากไหน

     

           “เราไม่ใช่ทั้งอัลตรอน...หรือจาร์วิส” เขาพูดด้วยเสียงนุ่ม ไม่มีความเป็นปฏิปักษ์แม้สักเสี้ยวอยู่ในนั้น

     

           “เราคือเรา

     

           “งั้นภาพในฝันของนายล่ะ?” วานด้าก้าวออกมา

           “ฉันเห็น...นายฝันถึงจุดสิ้นสุดของมนุษย์”

     

           “ลองดูอีกทีสิ” เขายื่นมือออกไป แต่เด็กสาวดูไม่สงบพอที่จะไว้ใจเขาและเข้าไปในหัวเขาอีกครั้ง

     

           “เรียกนายว่ายังไงดี?” โทนี่กอดอก

     

           คนถูกถามคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดออกมาในที่สุด

     

           “อัลตรอนสร้างเราเพราะเขาเห็นบางอย่างที่หลายคนอาจไม่เข้าใจ เราคือวิสัยทัศน์นั้น”

     

           งั้นก็ชื่อวิชั่นสินะ

     

           วิชั่นบอกว่าเขาไม่ได้อยู่ฝั่งอเวนเจอร์ และก็ไม่ได้อยู่ฝั่งอัลตรอน แต่เขาอยู่ฝั่งที่ทำเพื่อมนุษยชาติ

     

           ว้าว...ไร้เดียงสาจริงๆ

     

           ก็นะ เพิ่งเกิดนี่

     

           เธอมองฮีโร่ตัวแดงที่สำรวจเครื่องแต่งกายของธอร์แล้วใช้พลังของตัวเองสร้างผ้าคลุมและชุดสีเขียวขึ้นมา ลอบกรอกตาเล็กน้อย

           ที่แต่งตัวเจ๋งกว่านี้ก็มีตั้งเยอะ คิดยังไงมาเอาพี่ชายแสนทึ่มของเธอเป็นแฟชั่นไอคอน

     

           แล้วเธอก็ต้องห่อปากทำเสียงหูวเบาๆเมื่อเขาหมุนตัวไปหยิบมโยลเนียร์ขึ้นมาด้วยมือเดียวแล้วยื่นให้เจ้าของ

     

           “เราต้องรีบแล้ว ขืนชักช้าอัลตรอนจะได้สิ่งที่ต้องการ” เจ้าตัวพูดราวกับการหยิบค้อนที่ยกยากยิ่งกว่าดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์นั้นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญก่อนจะเดินผ่านไป ทิ้งให้เหล่าอเวนเจอร์สงงเป็นไก่ตาแตก

     

           ดวงตาสีฟ้าเทามองเทพสายฟ้าข้างๆกาย เห็นสีหน้าเขาแข็งค้าง

     

           เธอหัวเราะในลำคอเบาๆ ตบบ่าเขาแล้วหมุนตัวตามชายเสื้อคลุมสีเขียวไป

           “ข้าเชื่อใจเขานะ”

     

           คู่สนทนานิ่งค้างไปจังหวะหนึ่ง ก่อนจะมองค้อนเหล็กในมือ

     

           “ข้าก็เชื่อใจเขา”

     

           ปิเอโตร(ซึ่งเพิ่งโดนฮอว์คอายอัดสั่งสอน/เอาคืนมา)กับวานด้าดูลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสคาดิออกไปเป็นคนแรก พวกเขาก็ตามมาอย่างกล้าๆกลัวๆ

     

           สคาดิเลียฟันตัวเอง มือกระชับคันธนูขณะเดินไปขึ้นควินเจ็ท

     

           ...ได้เวลาจบมันแล้ว

     

     

     

     


     

     

     


     

    TALK WITH FM

    ตอนหน้าจบซีซั่นแล้วนะคะะะ

    ส่วนตัวรู้สึกว่าตอนที่ดูหนังเรื่องนี้มันงงหน่อยๆแล้วก็บางครั้งรู้สึกอารมณ์เสียแทนตัวละครนั้นๆมาก

    แบบตอนที่โทนี่สร้างวิชั่นนั่นแหละ คือตะโกนเลยว่าเอ็งคิดบ้าอะไรอยู๊วววววว

    แต่ถ้าโทนี่ไม่สร้างวิชั่น วานด้าก็จะไม่มีคู่นี่เนอะ...

    ยอมก็ได้ เชอะ(ฮา)

    ทั้งสองชั่วโมงเนี่ย ที่ชอบที่สุดคือแฝดแม็กซิมอฟฟ์ค่ะ 555

    รักความพี่น้องคอยระวังหลังให้กัน คอยจิกกันคอยดูแลกันของปิเอโตรกับวานด้ามาก

    ก็เลยเสียใจอยู่ประมาณหนึ่งค่ะตอนที่ตาปิเอโตรตาย

    เหนืออื่นใด

    วิชั่นวานด้าคือเคมีแรงมากกกก รู้สึกชิปตั้งแต่ตอนที่ยัยแวนร้องไห้โวยวายกับอัลตรอนแล้วตาวิสลงมาอุ้มท่าเจ้าสาวออกไปอ่ะค่ะ คือบั่บ--(//อุดปากกรี๊ด)

    เอาเป็นว่า เจอกันตอนหน้าแล้วกันนะคะ 5555

    ด้วยรักและถุงกาว

    เฟิงมี่ค่ะ>3<


    K A M I Y A
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×