ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marvel || Broken Throne (OC feat. Thorki, Stony, Spideypool, etc.)

    ลำดับตอนที่ #52 : Broken Throne S3 || Ch 11 - season finale

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 160
      11
      18 มิ.ย. 63

    || B R O K E N T H R O N E ||

    s e a s o n 3

    ----------------------------

    CHAPTER 11

    S E A S O N F I N A L E

     

     

     

           พวกเขามาถึงโซโกเวียตอนเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น

     

           สคาดิมองไปที่ปิเอโตรซึ่งกำลังมัดเชือกรองเท้าครั้งสุดท้าย

     

           “โทนี่ นายแน่ใจนะว่าไม่มีเสื้อไฮเทคดีๆให้เด็กนี่ใส่?” ดวงตาสีฟ้าเทาตวัดมาหาเศรษฐีเกราะแดงข้างกาย

     

           “ขืนใส่อย่างนี้ออกไปกลางสนามรบได้โดนกระสุนเจาะตายตั้งแต่ห้านาทีแรกแหง”

     

           เขากะพริบตาสองสามที มองเด็กหนุ่มหัวขาวเพียงแว้บเดียวแล้วก้มลงให้ความสนใจกับรองเท้าเกราะตัวเองต่อ

     

           แค่นั้นก็พอแล้วที่จะทำให้เธอรู้ว่าเขาคิดยังไง

     

           “นั่นเด็กนะ” คิ้วเรียวกดลง

     

           “เด็กที่เกือบทำวายวอดกันไปหมดทั้งโลกน่ะนะ?”

     

           “ถ้าสองคนนั้นไม่สำนึกก็คงไม่มาขอช่วยหรอก” เธอถอนหายใจ

           “อคติน่ะ งดๆบ้าง”

     

           คู่สนทนาแค่เม้มปากแล้วกอดอก

     

           หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ

     

           ...กะอีแค่หาชุดเกราะสวยๆให้เด็กแฝดคู่นึง

     

           “เรากำลังเข้าเขตสนามพลังใต้โซโกเวีย” เสียงของฮอว์คอายทำให้ร่างเพรียวขยับไปหยิบแล่งธนูมานับลูกและเช็คอาคมต่างๆบนนั้นว่ายังไม่จางหายไปไหน

     

           แฝดชายผมบลอนด์ซีดทำท่าลูบๆคลำๆลูกธนู แต่เธอปัดมือเขาออกพร้อมตวัดสายตาทิ่มแทงให้

     

           “หนึ่ง; บนธนูพวกนี้มีแต่ลูกเล่นอันตรายๆทั้งนั้น นายไม่อยากแตะมันแล้วระเบิดตู้มต้ามหรอก สอง; พวกมันอ่อนไหวมาก ถูๆลูบๆมากไปอาคมได้หลุดออกแน่ๆ และสาม; อย่าได้จับสาวน้อยพวกนี้ถ้าฉันไม่อนุญาต

     

           เขาเลิกคิ้ว ทำหน้าเหวอแล้วยกมือทั้งสองขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้

     

           ...กวนประสาท

     

           “ไม่แตะแล้ว ไม่แตะ” เด็กหนุ่มยู่ปาก

           “ให้ตาย โหดฉิบ”

     

           สคาดิพ่นลมหายใจแล้วหันไปขัดดาบต่ออีกสองสามทีขณะที่ควินเจ็ทค่อยๆลดระดับลงแถวป่า

     

           “ผู้โดยสารทุกท่าน” บาร์ตันยื่นมือขึ้นไปสับสวิตช์สองสามตัวที่แผงควบคุมเหนือหัว

           “สถานีต่อไป โซโกเวีย...โปรดระมัดระวังขณะก้าวออกจากเครื่อง”

     

           “พร้อมทุบเหล็กรึยัง?” เธอเดาะลิ้น กวาดตามองทีมอเวนเจอร์สที่รวมกันแบบลวกๆเพราะชิลด์ล่มสลายไปแล้ว

     

           “จัดหนักเลย” โทนี่กอดอก

           “ขอแค่ไม่ใช่เหล็กบนตัวฉันก็พอ”

     

           “โถ โทนี่” หญิงสาวกระตุกยิ้มมุมปาก

           “ต่อให้ฉันอยากทำก็ทำไม่ได้หรอก”

     

           เธอมองสีหน้าหลุดเหวอของเขาด้วยความรื่นรมย์ ก่อนจะต่อประโยค

     

           “ถ้านายเป็นอะไรไป ฟรายเดย์ได้โกรธจนไม่ยอมให้ฉันเข้าตึกแน่ๆ...ไอโฟนกับของเล่นฉันอยู่ในนั้นหมดเลยนะ”

     

           ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆมาจากกัปตันอเมริกา

     

           “ไปกันเถอะ” เขากระชับสายรัดโล่รอบแขนตนเอง

     

           “อย่าลืมนะ เราต้องอพยพพลเมืองออกมาให้ได้มากที่สุด”

     

           “รับทราบ” เธอแตะเครื่องสื่อสารในหูสองสามทีเพื่อเช็ค

     

           “ฮัลโหลๆ หนึ่ง สอง สาม...ได้ยินชัดมั้ย?”

     

           “ใสแจ๋วเหมือนแก้วเลย” คลินท์ก้าวออกมาจากหลังเก้าอี้นักบิน

     

           “นายไปช่วยแนทก่อนเลย” สคาดิตบฝ่ามือลงบนไหล่แบนเนอร์

           “ที่เหลือพวกฉันจัดการเอง”

     

           เขานิ่งไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้า

     

           แล้วทุกคนก็ออกไปทำหน้าที่อย่างรวดเร็ว

     

           หญิงสาวกำลังดึงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งไปหาพ่อแม่ที่สตาร์ทรถเพื่อออกจากเมืองอย่างเร่งด่วนในตอนที่เสียงของธอร์ดังขึ้นผ่านหูฟัง

     

           “ระเบิดพวกนี้มันมากเกินไป”

     

           “หมายความว่าไง?” เธอชะงัก ขมวดคิ้วมุ่น

     

           “ข้าจะลองใช้สายฟ้า--”

     

           “ไม่” โทนี่แย้ง

           “ขืนทำงั้นได้ระเบิดกันหมดแน่”

     

           “ไงต่อ สตาร์ค?” เทพีแห่งเหมันต์ตั้งสติแล้วทยอยส่งประชาชนชาวโซโกเวียออกจากตึกพร้อมทั้งสอดส่องดูว่ามีหุ่นกระป๋องหน้าไหนกล้ามาแหยมกับเธอ

     

           “อพยพออกให้เร็วที่สุด เผื่อถ้ามันระเบิดจริงๆจะได้ไม่เสียหายกันมาก” เสียงยิงหุ่นปิ้วๆดังเป็นแบคกราวด์ขณะที่เขาพูด

           “แล้วก็ เอ่อ...มันแห่กันมาแล้วล่ะ”

     

           “ถ้าถูกยิงร่วงก็ขอให้โดนตรงที่ไม่หนักหนามากละกันนะ” เธอขึ้นสายธนู

     

           “โห นั่นคำอวยพรเหรอ”

     

           “หรืออยากให้ฉันเอาเลือดกระรอกไปป้ายหน้านายล่ะ?”

     

           “เฮ้ย จริงดิ?”

     

           “เออ”

     

           “งั้นแบบนี้ก็โอเคแล้ว”

     

           “โชคดีไอรอนแมน”

     

           หลังจากที่เสียงของมหาเศรษฐีพันล้านหายไป เธอก็ถอนหายใจแล้วหมุนตัวไปมองฝูงชนเพียงเพื่อจะพบว่ามีหุ่นยนต์โผล่ขึ้นมาจากถนนแล้วเริ่มไล่ล่าคนพวกนั้น

     

           บอกทีว่าอัลตรอนไม่ได้ดูเดอะวอล์คกิ้งเด๊ดหรือหนังซอมบี้มากเกินไป

     

           เม้มปากแน่น มือเรียวยกขึ้นง้างคันศรแล้วปล่อยลูกธนูให้พุ่งลิ่วไปปักที่หัวของมันอย่างแม่นยำ

     

           หญิงสาววิ่งเข้าไปฟาดหน้าอีกสองสามตัวจนหัวหลุดแล้วดันหลังมนุษย์ป้าคนหนึ่งที่ดูท่าจะกลัวจนตัวแข็ง

     

           “ไป รีบออกจากเมืองให้เร็วที่สุด!”

     

           “ได้ตัวแนทแล้ว” เสียงของแบนเนอร์ทำให้เธอผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

     

           “เธอกระทืบหุ่นไหวมั้ย?”

     

           “ไหวมากจนพร้อมจะบีบคออัลตรอนให้แหลกคามือเลยล่ะ” เสียงอ่อนๆของสายลับสาวดังตอบกลับมา

     

           “งั้นจะว่าไหมถ้าจะขอเชิญขึ้นมาแจมหน่อย?”

     

           “ยินดีมากๆ”

     

           สคาดิก้มหลบรถว่างเปล่าที่หุ่นตัวหนึ่งโยนมาให้แล้วซัดแท่งน้ำแข็งไปปักอกมัน

     

           หลุดสบถออกมาเมื่อสะเก็ดหินจากถนนกระเด็นขึ้นมาโดนคางเต็มๆ

     

           “สคาดิ ระวังภาษาหน่อย”

     

           หญิงสาวกรอกตา

           “นายจะสุภาพมันตลอดเวลาไม่ได้นะโรเจอร์ส ฉันล่ะไม่กล้าคบเลย”

     

           “ให้ช่วยมั้ย?” ลมแรงวูบหนึ่งพัดมาข้างๆตัว แล้วเด็กหนุ่มในชุดวิ่งจ๊อกกิ้งสีฟ้าเข้มก็กำลังยืนอยู่ข้างๆ

     

           “นายเอาคนตึกโน้นออกยัง?” เธอชี้ไปที่อาคารตรงข้าม

     

           “เรียบร้อย”

     

           “ตรงนั้นล่ะ?” นิ้วเรียวเบนไปที่โรงพัก

     

           “ออกมาช่วยกันหมดแล้ว”

     

           “นายถึงได้ถูกยิงสินะ?”

     

           “อืม...” เขานิ่งไป ก่อนจะสะดุ้งเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าเธอพูดถึงอะไรแล้วก้มลงมองรูกระสุนบนแขนซ้ายที่ยังมีเลือดไหล

           “ห๊ะ?”

     

           “มานี่มา” เธอดึงแขนเขาขึ้นมาแล้วอังมือลงเหนือส่วนนั้น ก่อนที่แสงสีฟ้าจะเรืองออกมา

     

           “โอ๊ะ...” เขาเบ้หน้าขณะที่ลูกปืนสีเงินค่อยๆถูกดึงลอยขึ้นมา

           “โอ๊ย เบาๆหน่อย”

     

           “ร้องเป็นผู้หญิงไปได้” หญิงสาวย่นจมูก สะบัดกระสุนทิ้ง

     

           “ถ้ารู้ว่าเจ็บแล้วเอาแขนไปบังทำเพื่อ?”

     

           “ก็เขาจะยิงวานด้า” เจ้าตัวซี้ดปากเมื่อนิ้วชี้ของเธอกดลงบนแผลนั้น

           “ทำรุนแรงกันงี้เลย?”

     

           “เอาน่า...น่าจะเป็นแค่แผลเป็น” สคาดิกระตุกยิ้ม ตบแขนนั้นเบาๆ

     

           “แผลเป็น?” เด็กหนุ่มตาเหลือก ทำหน้าเหมือนโลกถล่ม

     

           เธอกอดอก กระดกคิ้ว

           “ก็แผลเป็นไง ทำไม? อยากให้มันติดเชื้อ?”

     

           “ผมไม่อยากมีแผลเป็น!”

     

           “เลือกได้ที่ไหนล่ะ?” สคาดิเบะปาก

           “อีกอย่าง สาวๆน่ะชอบแผลเป็นจะตาย...มันทั้งเท่และบอกเล่าเรื่องราวแห่งฮีโร่”

     

           เขายังทำหน้าเหมือนหมาหงอยพลางมองแผลตัวเองไปอีกวิสองวิก่อนที่เสียงของบาร์ตันจะดังขึ้น

     

           “โย่ ไอ้แม็กซิมอฟฟ์น่ะ มารับแฝดนายหน่อยเร็ว”

     

           “ให้เธอไปดูแลตัวจุดระเบิดที่กลางโบสถ์” เธอคว้าแขนเขามาบอกแล้วผลักร่างเขาออกไป

     

           แสงสีเงินวูบวาบผ่านหน้าเธอไป

     

           สคาดิถอนหายใจ ขึ้นสายธนูยิงหุ่นอีกสามตัว

     

           “สคาดิ มาตรงนี้หน่อย” ฝั่งกัปตันอเมริกาเรียก

     

           “เดี๋ยวไป” เธอตวัดมืออีกครั้ง เรียกห่าน้ำแข็งขึ้นมาจากอากาศเปล่าแล้วบังคับให้มันพุ่งเข้าใส่หุ่นยนต์สองตัวที่กำลังมุ่งมาทางเธอ

     

           ทันทีที่มาถึง ไม่ทันจะได้กระดิกนิ้วทำอะไรพื้นดินก็สั่นสะเทือน

     

           อะไรอีกฟะเนี่ย?

     

           เธอกับแคปมองหน้ากันไปมองหน้ากันมาด้วยความสับสน

     

           “โทนี่...” เสียงเรียกชื่อเขาหลุดออกจากปากราวกับเป็นสัญชาตญาณว่าถ้าเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นต้องถามพ่อไอรอนแมนอัจฉริยะ

     

           “...ระเบิดพวกนั้น” เขาตอบกลับมาด้วยเสียงที่เบาและสั่นเล็กน้อยจนผิดปกติ

     

           โทนี่ไม่เคยเสียงสั่น

     

           “มันจะเปลี่ยนทั้งเมืองนี้ให้กลายเป็นระเบิดปรมาณู”

     

           ฉิบแล้วไง

     

           “งั้นก็ต้องปลดชนวนระเบิดสิ”

     

           “ปลดไม่ได้” เสียงของพี่ชายบุญธรรมแทรกเข้ามา

           “ไม่มีที่ปลด”

     

           “ถ้าปล่อยไว้?”

     

           “เมืองนี้ระเบิดยับ”

     

           “ถ้าทำให้ตก?”

     

           “วายวอดกันทั้งดาวเคราะห์แน่”

     

           สคาดิแทบยกมือกุมขมับ

           ไปทางไหนมันก็มีแต่ความเสียหายอันประเมินเป็นค่าเงินไม่ได้

     

           “เอาไงต่อดี?” คุณปู่อายุเหยียบร้อยเหลือบตามองไปมา

     

           หญิงสาวสูดหายใจลึกๆแล้วเม้มปาก

           “ไปที่ตัวจุดระเบิดในโบสถ์”

     

           “ตรงกลางเมืองอ่ะนะ?”

     

           “ใช่” เธอยิงหัวหุ่นยนต์อีกสองตัวแล้วเสกแท่งน้ำแข็งเสียบอีกห้าตัวเรียงกัน

           “หัวเด็ดตีนขาดก็ห้ามให้อัลตรอนเข้าถึงมันได้”

     

           “รับทราบ”

     

           หญิงสาวยันมือลงกับซากรถข้างๆเพื่อเหวี่ยงตัวข้ามมันและตวัดลูกเตะเข้าที่หน้าหลอนๆของหุ่นอีกตัวจนมันหลุดออกจากตัว คันธนูยาวถูกใช้เป็นเครื่องทุบเหล็กขณะที่ดาบยาวสีเงินทำหน้าที่ตัดพวกมันอย่างรวดเร็ว

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาเหลือบมองทิวทัศน์รอบๆที่ค่อยๆหดลงไปใต้ดินในขณะที่พวกเธอลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ

     

           ถ้ามันไม่ใช่เมืองที่กำลังจะกลายเป็นระเบิดทำลายโลกแล้วล่ะก็ เธอคงจะพูดว่านี่มันเจ๋งสุดๆไปแล้ว

     

           เทพีแห่งเหมันต์สะบัดมือส่งกระแสเวทย์ออกไปกระแทกร่างที่ทำจากเหล็กสี่ตัวจนมันแหลกเหลวคาอากาศในตอนที่ได้ยินเสียงแปลกหูดังขึ้นในเครื่องสื่อสาร

     

           “โอ้ ไม่...นายไม่ได้ไปไหนหรอก”

     

           ...ใครอีกเนี่ย?

     

           “โรห์ดี้” เสียงของไอรอนแมนระรื่นขึ้นทันที

     

           “ฮัลโหลโทนี่”

     

           ลมแรงวูบหนึ่งที่พัดผมเธอไปด้านข้างทำให้หญิงสาวหันขวับ

     

           ก่อนที่เสียงใบพัดขนาดใหญ่จะทำให้หัวใจหยุดเต้นไปจังหวะหนึ่ง

     

           อากาศยานลำเขื่องค่อยๆลอยขึ้นมาเทียบระดับ แสงอาทิตย์ที่สาดกระทบพื้นผิวสีเทาทำประกายแว้บไปมา

     

           ดวงตาแบบเทพทำให้เธอมองเห็นทะลุกระจกตรงหน้ายานไปถึงชายผิวสีในเสื้อโค้ตยาวสีดำที่ยืนจังก้าอยู่บนแท่นหน้าคอมพิวเตอร์นับสิบเครื่อง

     

           เธอเลิกคิ้ว มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มบางๆเพียงชั่วอึดใจ

     

           ดูเหมือนว่าดวงตาข้างเดียวที่เหลืออยู่ของนิค ฟิวรี่จะเห็นเธอเช่นกัน

           เขาพยักหน้าให้เธอทีหนึ่ง แล้วเชิดหัวมองตรงไปยังโซโกเวียเหมือนเดิม

     

           “โชว์ของเราให้พวกมันดูหน่อย เจ้าหน้าที่ฮิลล์”

     

           “รับทราบค่ะท่าน”

     

           อย่างไรก็ตาม...หลังจากผ่านอะไรมานักต่อนัก ชิลด์ก็ยังไม่ล่มสลาย

     

           สคาดิร่ายมนตร์บทสั้นๆแล้วสาดมันไปไหม้เหล็กบนหุ่นอีกตัวหนึ่งให้ละลายติดไปกับพื้นหิน

     

           ยานอพยพที่ถูกส่งออกมาจากเซเฟอร์เทียบท่าเข้ากับผืนดินโซโกเวียแล้ว

     

           “พาคนไปที่ยานนั่นก่อน” เธอบอกสตีฟ

     

           “แล้วเธอ?” ดวงตาสีฟ้ามีแววฉงน

     

           “ฉันจะไปช่วยฝั่งในโบสถ์เอง”

     

           ร่างเพรียวกระโดดขึ้นไปในอากาศ ใช้เวทย์ลอยตัวแล้วมุ่งหน้าไปที่ใจกลางเมือง

     

           ทุกอย่างกำลังวุ่นวายได้ที่ทีเดียว

     

           เธอพุ่งไปซัดหน้าอัลตรอนโคลนตัวหนึ่งให้ออกห่างจากแท่นจุดระเบิด

     

           “กำลังคิดถึงเลย” โทนี่ร่อนลงมายืนข้างๆ

     

           “เหมือนกัน” สคาดิยิงธนูเวทย์ออกไปอีกดอก

           “กำลังคิดอยู่ว่านายจะโดนอัดไปกี่ดอก”

     

           อีกฝ่ายขำพรืด

     

           “ไหวมั้ย?” เธอหันไปถามเด็กสาวผมสีน้ำตาลในเสื้อโค้ตสีแดง

     

           วานด้าหอบเหนื่อย แต่ก็พยักหน้าในที่สุด

     

           “ฉันไหวค่ะ”

     

           ดวงตาสีฟ้าเทามองเธอนิ่งราวกับเจาะลึกลงไปในใจ ก่อนที่จะหันออกไปประจันหน้ากับกองทัพหุ่นที่ดาหน้าเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน

     

           เหมือนพวกชิทอรี...แต่ยั้วเยี้ยกว่าหลายเท่า

     

           น่ารำคาญจริงๆ

     

           ไม่นานหลังจากนั้น อัลตรอนก็ปรากฎตัว

     

           และเธอไม่ลังเลที่จะซัดแท่งน้ำแข็งไปปักอกเขา...แม้จะถูกดึงออกอย่างง่ายดายก็เถอะ

     

           “ไม่เอาน่า” เขากรอกตาสีแดงเรือง

           “เจ๊อีกแล้วเหรอ?”

     

           “เออ” เธอบิดปาก

     

           “รำคาญเหรอ? ทนเอาหน่อยนะ”

     

           “น่าจะรู้ว่าน้ำแข็งทำอะไรฉันไม่ได้” เขากระดกคิ้วเหล็ก

     

           “รู้” หญิงสาวทำหน้ากวนโอ๊ย

           “แทงใส่ไปงั้นแหละ ไม่ได้อยากจะทิ่มจริงหรอก”

     

           “โหดจังเลย” อัลตรอนเป่าปาก

     

           “อย่างนี้จะหาแฟนได้มั้ยเนี่ย?”

     

           “โถๆๆ” มือเรียวตวัดดาบตัดหัวหุ่นตัวหนึ่งที่บังอาจมาลอบกัดข้างหลัง

           “ฉันมีคู่แล้วย่ะ...เหลือแต่นายนั่นแหละ”

     

           “เพิ่งเกิดได้ไม่ถึงปีจะเอาเวลาไหนไปหาแฟนอ่ะ”

     

           เธอหัวเราะหึ

           “ก็เลยจะล้างบางโลกก่อนแล้วค่อยไปคุ้ยหาสาวงั้นเหรอ ไอ้หุ่นกระป๋อง?”

     

           รอยแยกระหว่างแผ่นเหล็กบนใบหน้าที่คงจะเป็นปากของมันยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน่าหมั่นไส้

     

           “ก็คงงั้น”

     

           “เสียดาย...” ดวงตาสีเทาเป็นประกายวาบขณะที่เธอขึ้นสายธนูแล้วยิงปักกลางอกสีเมทัลลิค

           “ฉันอุตส่าห์ถูกใจนาย”

     

           นิ้วเรียวกระดิกทีหนึ่ง แล้วไฟฟ้าแรงสูงก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากหัวธนู ช็อตอัลตรอนจนเขาร้องลั่น

     

           ร่างเพรียวขยับออก ถอยทางให้วิชั่นเข้าไปเล่นต่อ

     

           จนเจ้าหนุ่มตัวแดงนั่นจัดการตัดทางหนีของเขาแล้ว เธอถึงขยับตัวออกไปรับร่างในชุดสีเขียวที่ร่วงลงจากอากาศตามสัญชาตญาณ

     

           “วิชั่น...วิชั่น”

     

           “ให้เวลาเขาพักแป๊บนึง” โทนี่ร้องบอกขณะบินออกไปซ้ำลูกชายหุ่นยนต์

           “เขาเพิ่งใช้พลังเกือบทั้งหมดไป”

     

           สคาดิถอนหายใจ เหวี่ยงเขาออกไปนอนสลบพิงกำแพงหินข้างๆ

     

           เธอลากมือไปกับพื้นแล้วซัดมันขึ้นไปในอากาศ สร้างแท่งน้ำแข็งเป็นทางตามและกระแทกหน้าของอัลตรอนที่กำลังบินหนีพอดี

     

           “โอ๊ย เจ๊!!

     

           มุมปากกระตุกยิ้ม ร่างเพรียวกระโจนขึ้นไปในอากาศแล้วอัดหมัดใส่หน้าหลอนๆนั่นสองสามที

     

           “ตาฉันแล้ว” ไอรอนแมนบินลดระดับตรงมา

     

           “ตามสบาย” เธอคว้าคอเหล็กแล้วผลักส่งให้ก่อนจะร่วงลงไปจอดบนเข่าที่พื้นหินด้านล่าง

     

           สุดท้าย ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่มีต่างแค่รูปลักษณ์ของมหาเศรษฐีสตาร์คก็ถูกกดดันจนถอยออกไปด้านนอก

     

           เธอรวบรวมกระแสพลังขึ้นมาบนมือ แสงสีฟ้าใสอาบไล้ใบหน้างดงามและทำให้พื้นดินรอบขอบรองเท้าบู๊ตหนังสีน้ำตาลของเธอมีเกล็ดน้ำแข็งสีขาวเกาะ

     

           เมื่อโทนี่คุยกับอัลตรอนจบและยื่นมือออกไปยิงลำแสง เธอก็ซัดก้อนพลังงานในมือตรงไปด้านหน้าทันที

     

           ธอร์ยื่นมโยลเนียร์ออกมาแจม ส่วนวิชั่นที่ฟื้นตอนไหนก็ไม่รู้บินมายิงแสงสีเหลืองจากมายด์สโตนบนหน้าผากใส่ร่วมด้วย

     

           สคาดิคำราม ส่งพลังระลอกสุดท้ายออกไปสุดแรง

     

           ไอ้หุ่นเหล็กนั่นกระเด็นทะลุกำแพงและไปถูกฝังอยู่ในรถบัสคันหนึ่งที่ดันจอดขวางทาง

     

           เธอขมวดคิ้ว ข่มความวิงเวียนที่ตีขึ้นมาหลังใช้พลังเกินขีดจำกัดของร่างกาย

     

           “หน้าซีดๆนะน้องข้า” ธอร์เอียงหน้ามาหา

           “เป็นอะไรรึเปล่า?”

     

           “เวียนหัวนิดหน่อยน่ะ” หญิงสาวดึงดาบออกมาควงเล่น

     

           “ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรหรอก”

     

           ขาเรียวขยับเร็วๆ พาตัวเองไปที่ขอบเมืองเพื่อขึ้นยานอพยพของชิลด์

     

           “ทุกคน เราต้องออกจากที่นี่” เสียงของมหาเศรษฐีดังขึ้น

           “มันจะระเบิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...คนออกจากเมืองไปเกือบหมดแล้ว เจอใครเข้าก็พาไปด้วยแล้วกัน”

     

           เธอหันหลังกลับไปมองเมืองลอยได้ แสงอาทิตย์สาดกระทบซากปรักหักพังและร่องรอยการทำลายล้างบนผืนดิน

     

           “ไปไหนน่ะ?” ร่างในชุดหนังสีดำของฮอว์คอายวิ่งสวนออกมาจากในยาน

     

           “เด็กคนหนึ่ง...” อีกคนตอบรีบๆ

           “แม่เขาตามหาอยู่”

     

           สคาดิวิ่งตามไปทันที

     

           ร่างเล็กของเด็กผู้ชายคนหนึ่งโผล่มาวับๆแวมๆใต้ซากตึกปูนที่น่าจะถล่มลงมาเป็นช่องให้เข้าไปหลบได้

     

           “อยู่นั่น” เธอชี้

     

           บาร์ตันวิ่งตรงไป

     

           และเธอก็เกือบจะตามไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเสียงของอะไรบางอย่างจากทางด้านขวาที่ลอยมาเข้าหู

     

           ...ลูกหมา?

     

           หญิงสาวทรุดตัวลงบนเข่าข้างหนึ่ง มือดันก้อนหินก้อนปูนให้ออกไปพ้นทาง

     

           โชคดีที่มีของแข็งอีกสองสามอย่างคอยเป็นตัวกระจายแรงกดทับ ทั้งกองสิ่งปลูกสร้างที่ประเมินรวมๆแล้วคงจะหนักเป็นร้อยๆกิโลถล่มลงมาทับเจ้าตัวน้อยนี่

     

           “ไงตัวเล็ก”

     

           เธอดึงมันเข้ามาในอ้อมแขน กดมันไม่ให้ดิ้นหลังจากที่มันร้องเอ๋งดังลั่นด้วยความเจ็บปวดแล้วก้มลงดู

     

           “ไหนดูซิ...กระดูกหักสองสามที่” เทพีเหมันต์สำรวจคร่าวๆ

           “อึดเหมือนกันนะเรา”

     

           เธอหันไปหาบาร์ตันที่ดึงเด็กขึ้นมาจากซากปูนได้แล้ว

     

           และนั่นทำให้เธอเห็นควินเจ็ทลำนั้น

     

           ดินที่กระจายเป็นสายขณะที่ลำแสงของเครื่องยิงกระทบดินทำให้ใจหายวาบ

     

           อัลตรอน...

     

           มันแน่ๆ

     

           ไอ้หุ่นเฮงซวย

     

           “บาร์ตัน!!

     

           เจ้าตัวก็ดูเหมือนจะรู้ตัว เขามองมาที่เธอแล้วหันกลับไปหาเครื่องจักรสังหารนั่น

     

           ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

     

           สคาดิพุ่งออกไปข้างหน้า ลูกสุนัขตัวน้อยยังคงอยู่ในแขน

     

           ไม่ทันแน่ๆ

     

           นอกเสียจากว่าจะมีปาฏิหาริย์...

     

           แสงวาบสีเงินปลิวผ่านหน้าเธอไป

     

           ...ปาฏิหาริย์

     

           แต่ทันใดนั้น ใจเธอก็หายวาบอีกครั้ง

     

           เด็กหนุ่มผมสีซีดยืนอยู่ตรงนั้น มือยังคงค้างในท่าที่เพิ่งซัดรถไปบังฮอว์คอายกับเด็กชายคนนั้น

     

           มีเลือดเป็นจุดๆเต็มอกเขา

     

           ไวเท่าความคิด หญิงสาวยื่นมือออกไป ทำให้หัวที่กำลังตกลงของเขาถูกพยุงไว้โดยอากาศขณะที่เธอวิ่งไปรับเขาลงมานอนที่พื้น

     

           “แข็งใจไว้” เธอตบหน้าเขาเบาๆ

           “เฮ้ ไอ้หนู อย่าเพิ่งหลับ”

     

           ควินเจ็ทลำนั้นวนมาอีกรอบ กัปตันอเมริการีบขว้างโล่ไปกันกระสุน ส่วนเธอยกมือขึ้นสร้างโล่เวทย์คลุมทั้งตัวเองและคนเจ็บ

     

           ทันใดนั้น ฮัลค์ที่กระโดดออกมาจากไหนก็ไม่รู้ก็จัดการล่มเครื่องบินอย่างรวดเร็ว ทั้งตัวเครื่องทั้งคนทำปลิวหายไปด้านหลัง

     

           ฮอว์คอายอุ้มเด็กออกมาจากที่กำบัง ตรงมาหาพวกเธอ

     

           “นาย...” ปิเอโตรสำลักอากาศ

           “ไม่เห็นจริงดิ?”

     

           “ช่วยเขา” เจ้าของโล่ไวเบรเนี่ยมคุกเข่าลงข้างๆ

     

           ดวงตาสีฟ้าเทากวาดมองสภาพบาดแผล เม้มปากอย่างชั่งใจครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ

     

           “มันต้องมีสักทาง...ใช่ไหม สคาดิ?”

     

           “จะว่ามีก็มีแหละ...” เธอเลียริมฝีปากที่แห้งผาก

           “แต่ฉันไม่เคยลองมาก่อน”

     

           “จะทำอะไรก็ทำเถอะ” ชายหนุ่มผมทองหันไปทางโบสถ์กลางเมือง ได้ยินเสียงกรีดร้องของวานด้าแว่วมาพร้อมกับระเบิดพลังจิตสีแดงฟุ้งๆ

     

           สคาดิกลืนน้ำลาย รวบรวมสมาธิแล้วกดมือลงที่หน้าอกของเด็กหนุ่มที่กำลังจะตาย

     

           แสงสีฟ้าแผ่ออกไปทั่วร่างนั้น แทรกซึมราวกับเป็นเส้นเลือดที่ไหลเวียนบนแขน

     

           คิ้วเรียวกดลงขณะที่ใช้พลังอย่างมากในการร่ายเวทย์บทนี้

     

           เธอสบตากับร่างข้างใต้

     

           เขาปรือตาอย่างอ่อนแรง พยายามจะรับรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

     

           มืออีกข้างแตะที่คอของเขา

           “...ทุกอย่างจะดีขึ้น ปิเอโตร”

     

           ในที่สุด ดวงตาสีฟ้าซีดคู่นั้นก็หลับลง

     

           สคาดิแตะเช็คอุณหภูมิตัวเขา แล้วหิ้วปีกร่างที่อ่อนปวกเปียกขึ้นมา

     

           ด้วยพละกำลังเทพของเธอ หญิงสาวสามารถแบกเด็กหนุ่มที่ตัวสูงกว่าเธอระดับหนึ่งไปถึงยานด้วยตัวคนเดียวได้ บาร์ตันที่อุ้มเด็กและสตีฟที่อุ้มลูกหมาตามมาติดๆ

     

           เธอวางร่างที่สลบไสลของเขาลงบนพื้นเหล็กของยานขณะที่ฮอว์คอายส่งเด็กคืนให้แม่แล้วล้มตัวลงนอนยาวบนแถวเก้าอี้

     

           ยานลำสุดท้ายเคลื่อนตัวออกจากโซโกเวีย

     

           “บอกฟิวรี่” เธอหันไปหากัปตันเพื่อรับลูกหมามานอนบนตัก

           “เตรียมทีมแพทย์ฉุกเฉินและห้องผ่าตัดดีๆไว้ เราต้องใช้มันทันทีที่ลงจอด”

     

           “ได้” ร่างสูงใหญ่ในชุดสีน้ำเงินกดเครื่องมือสื่อสารในหูแล้วถ่ายทอดคำขอของเธอไป

     

           “...เธอทำอะไรเขา?” คลินท์ถาม

     

           หญิงสาวจัดท่าทางให้เด็กหนุ่มพลางหยิบเสื้อแจ็คเกตที่เพิ่งไปขอคนแถวนั้นมาม้วนแล้วหนุนใต้หัวเขา

     

           “ฉันหยุดการทำงานของร่างกายเขาไว้”

     

           “หยุดการทำงาน?”

     

           “จับดูสิ” เธอหยิบแขนเขาขึ้นมายื่นให้

           “มันไม่มีชีพจร”

     

           คุณพ่อลูกสอง(และคนที่สามกำลังมา)นิ่วหน้าเมื่อลองแตะปิเอโตร

           “ตัวเย็นเป็นบ้า”

     

           “ถ้าทำแบบนี้ เราจะยื้อชีวิตเขาไว้ได้นานพอที่จะพอเข้าห้องผ่าตัด” เจ้าของเรือนผมสีเข้มมองท้องฟ้ารอบๆ พ่นลมหายใจออกทางจมูก

           “แค่หวังว่าเขาจะอึดกว่าที่คิด”

     

           “เขาจะต้องไม่เป็นไร” สตีฟตบมือลงบนไหล่ของนักธนูประจำแก๊งที่หน้าเครียด

     

           หญิงสาวเอนตัวพิงขอบยาน หรุบตาลงต่ำ

     

           นี่เป็นครั้งแรกที่เธอใช้เวทย์แบบนี้

     

           เธอจำตอนที่ฟริกก้าทำมันได้ดี

     

           วันนั้นในแอสการ์ด...

           อายุกายภาพของพวกเธอยังประมาณเจ็ดแปดขวบกันอยู่เลย

     

           โลกิคิดบ้าอะไรก็ไม่รู้ แปลงร่างเป็นงูเขียวไปขดตัวที่ใต้หน้าต่าง

     

           พอธอร์เดินเข้ามาเห็นก็เลยอุ้มไปเล่น

           อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆพี่ชายคนโตถึงเกิดชอบงูขึ้นมา

     

           พอเล่นไปเล่นมาสักพัก พี่คนรองก็คืนร่าง ตะโกนใส่หน้าเขาอย่างสะใจว่าใช่ นี่ข้าเอง!แล้วแทงเขาไปแผลหนึ่ง

     

           แผลหนึ่ง...ที่ท้อง

     

           เธอที่ยืนช็อกมือไม้สั่นก็ได้แต่ยืนบื้ออยู่ตรงนั้นต่อไปในขณะที่คนใช้แถวนั้นที่เห็นเหตุการณ์รีบแจ้นไปบอกฟริกก้า

     

           มารดาบุญธรรมไม่มีทางเลือกอะไรมากนักที่จะประคองชีวิตของธอร์ไว้นานพอที่พวกหมอหลวงจะมาถึง

     

           และนั่นคือครั้งแรกที่ได้เห็นสิ่งที่เรียกว่ามนตร์หยุดชีพ

     

           มันเป็นเวทย์ชั้นสูงที่ทั้งร่ายยาก ทั้งอันตราย

           ...ผิดพลาดนิดเดียวอาจส่งผลถึงชีวิต

     

           เธอเคยฝึกใช้มัน แต่ก็ไม่เคยลองจริงๆจังๆกับมนุษย์ดูสักทีจนวันนี้

     

           มนตร์บทนี้มีผลแช่แข็งทุกกิจกรรมภายในร่างกาย

           ทั้งระบบเลือด ระบบหายใจ และระบบประสาทต่างๆ

     

           มันจะเหมือนหยุดเวลาภายในร่างกายนั้น

     

           ดูจากแผลของปิเอโตร เธอไม่สามารถแคะกระสุนออกมาให้หมดทีเดียวได้...ไม่อย่างนั้นทันทีที่มนตร์คลายเลือดได้ไหลหมดตัวแน่

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาหันกลับไปมองเมืองร้างเบื้องหลัง

     

           ทันใดนั้น แสงสีจ้าบาดตาก็ระเบิดออกมา

     

           เธอถอนหายใจ

     

           และแล้ว เมืองๆหนึ่งในแผนที่ก็ดับสูญลง...

     

           ...ก็แค่เมืองที่ล่มสลายอีกแห่งในหน้าประวัติศาสตร์

     

           ยานอพยพลงจอดที่ดาดฟ้าของเซเฟอร์ หน่วยแพทย์ฉุกเฉินรี่เข้ามานำชาวเมืองที่บาดเจ็บออกไป

     

           กลุ่มคนในชุดแพทย์สนามสีบาดตาตรงมาหาเธอแล้วแตะเช็คร่างของเด็กหนุ่มหัวขาว

     

           “ไม่มีชีพจร” เขาบอกคนอื่นให้เอาแผ่นรองตัวสำหรับเคลื่อนย้ายมา ก่อนจะชะงัก

           “ม่านตาไม่ตอบสนอง”

     

           “เขาตายแล้ว”

     

           “ยัง” เธอยืนขึ้น

           “เอาเขาขึ้นเตียงไปผ่าตัด”

     

           “แต่ว่า...”

     

           ดวงตาเธอเรืองวาบ

           “ทำตามที่สั่ง”

     

           เขาอึกอักครู่หนึ่ง ก่อนจะช่วยกันกับเพื่อนร่วมทีมขนย้ายปิเอโตรออกไป

     

           มือเรียวอุ้มลูกหมาขึ้นมาแล้วแตะมือลงที่ขามัน หยุดเลือดที่ไหลซึมไม่หยุดก่อนจะส่งมันให้แคป

     

           “ฝากเอาไปให้หมอดูด้วย”

     

           “เธอล่ะ?” เขาขมวดคิ้ว รับสัตว์ตัวจ้อยที่ร้องหงิงๆมาอุ้มแนบอก

     

           “จะไปช่วยไอ้เด็กหัวขาวนั่น”

     

           ขาเรียวในรองเท้าบู๊ตก้าวยาวๆไปเกาะเตียงฉุกเฉินของปิเอโตรขณะที่เขาถูกพาไปในห้องผ่าตัดฉุกเฉิน

     

           “เขาไม่มีชีพจร ม่านตาไม่ตอบสนอง ตัวเย็นเฉียบ” แพทย์สนามรายงานกับหมอ

     

           อีกคนขมวดคิ้ว

           “งั้นก็ตายแล้วน่ะสิ”

     

           “จะตายแน่ถ้าพวกนายไม่ช่วย” สคาดิผลักประตูห้องผ่าตัดเข้าไปแล้วจัดการเอาเด็กหนุ่มออกมาวางบนเตียงเหล็กเสร็จสรรพ

     

           “เอาล่ะ ให้ยาสลบซะ”

     

           “คุณครับ ผมต้องขอให้คุณออกไปก่อน”

     

           “ฉันเป็นคนเดียวที่จะทำให้หัวใจเขาเต้นอีกได้” เสียงเธอเย็นเยียบ

           “ฉะนั้นรีบๆเอายาสลบให้เขา ฉันจะได้คลายมนตร์นี่ซะที”

     

           “...มนตร์?” ใบหน้าที่ถูกปิดด้วยหน้ากากอนามัยเต็มไปด้วยความงงงวย

     

           “อย่านิ่งสิหมอ” ใบหน้างดงามหันมาหาเขา

           “คนจะตายแหล่มิตายแหล่อยู่แล้วยังจะถามมากเรื่อง”

     

           เขาลนลานรับคำแล้วสั่งให้พยาบาลเข้ามาจัดการต่อสายต่างๆ

     

           เมื่อเรียบร้อยแล้ว เขาก็เหลือบมองเธอเล็กน้อย

     

           “เชิญครับคุณผู้หญิง”

     

           เทพีเหมันต์สูดหายใจลึก วางมือลงไปที่อกที่เปลือยเปล่าและเปื้อนเลือดของคนเจ็บ

     

           กระแสสีฟ้าค่อยๆไหลกลับมาจากทั่วร่างของเขา

     

           แล้วในทันใดนั้น จังหวะหัวใจของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้นอีกครั้ง

     

           “เขากลับมาแล้ว” พยาบาลรายงานแล้วเข็นถาดใส่เครื่องมือหมอมาใกล้เตียงผ่า

     

           “มีดเบอร์สิบ” หมอเริ่มทำงานของเขา ส่วนเธอก็มองดูนิ่งๆครู่หนึ่งแล้วเดินออกไปเงียบๆ

     

           “เขาเป็นไงบ้าง?” บาร์ตันที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นหนึ่งของเซเฟอร์ถามขึ้น

     

           “หมอกำลังผ่าตัดอยู่”

     

           หญิงสาวมองไปรอบๆ

           “สตีฟล่ะ?”

     

           “เห็นว่าเอาหมาเธอไปให้หมอดู” คู่สนทนาปาบอลที่ไม่รู้เอามาจากไหนใส่ผนัง มันตกลงกระทบพื้นแล้วกลับขึ้นมาอยู่ในมือเขาอย่างแม่นยำ

     

           “อยู่ชั้นสี่”

     

           “ไม่ใช่หมาฉัน” เธอกรอกตาแล้วเดินไปที่ลิฟต์

     

           หลังจากรับลูกหมาตัวนั้น(ที่ตอนนี้กลายเป็นสัตว์ในการดูแลของเธอไปแล้ว)ไปนอนพักฟื้นที่ห้องพักซึ่งทางชิลด์จัดไว้ให้เธอเรียบร้อย หญิงสาวก็ไปรวมตัวกับอเวนเจอร์สคนอื่นที่โต๊ะประชุมในโถงบัญชาการ

     

           “หมาเป็นไงบ้าง?” สตีฟที่กำลังเช็ดคราบเขม่าต่างๆออกจากหน้าอยู่หันมาถาม

     

           “น็อกหลับไปแล้ว” เธอทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หมุน

           “เจ้าหนูนั่นเป็นนักสู้ เดี๋ยวก็หาย”

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาหันไปมองใบหน้าของสายลับสาวผมแดงที่นั่งฝั่งตรงข้ามเยื้องไปทางขวาหน่อย

     

           “แนต?”

     

           นาตาชามีสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วขมวดมุ่นตลอดเวลาแถมยังดูเหมือนจะร้องไห้ได้ตลอดเวลา

     

           “แนต เกิดอะไรขึ้น?”

     

           คนถูกถามนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจสั่นๆ

           “...บรูซ เขา-”

     

           หญิงสาวนั่งนิ่ง ฟังสิ่งที่เพื่อนสาวเล่าเงียบๆ

     

           เมื่อแนตพูดจบ เธอก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นิ้วทั้งสิบเคาะพนักแขนเบาๆ

     

           “ใจเย็นๆ มันอาจไม่มีอะไรก็ได้”

     

           “แต่มันอาจมี” แบล็ควิโดว์สวน

           “เขาอาจตั้งใจ...เขา...เขา...”

     

           หญิงสาวผมแดงทิ้งหน้าลงไปกับพื้นโต๊ะ

     

           “เราไม่มีทางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง” เธอเอื้อมมือไปกุมมือเพื่อน

           “ตอนนี้เราต้องมองโลกในแง่ดีให้มากที่สุด”

     

           อีกคนพยักหน้ามาจากใต้กลุ่มผมนั่นแล้วทำเสียงอือเบาๆ

     

           หญิงสาวหมุนเก้าอี้กลับไปหากัปตันอเมริกา

     

           “เด็กนั่นล่ะ?”

     

           เขาเลิกคิ้ว

           “เด็กไหน?”

     

           “ยัยแฝดพลังจิต”

     

           “วิชั่นเพิ่งเอามาส่งที่ดาดฟ้า” ชายหนุ่มพาดผ้าขนหนูที่ใช้เช็ดหน้าลงบนบ่าข้างหนึ่ง

     

           “เธอรู้เรื่องพี่ชายรึยัง?”

     

           “กำลังคิดอยู่ว่าจะบอกยังไงดี”

     

           สคาดิพยักหน้า

           “งั้นนายเป็นคนบอกเองนะ”

     

           ร่างเล็กกว่าบรรดาชายในแก๊งอเวนเจอร์สของมหาเศรษฐีโทนี่ สตาร์คเดินเข้ามาในสภาพเสื้อยืนกางเกงยีน บนหัวและตรงแถวแก้มมีปลาสเตอร์แปะแผล

     

           “สภาพไม่จืดนี่” เธอกระตุกริมฝีปาก

     

           “ตลกมากเลย” เขาจิ๊ปาก

     

           “วิชั่นลูกชายนายล่ะ?” หญิงสาวหัวเราะในลำคอ

     

           “ไม่รู้เหมือนกัน” สีหน้าโทนี่ดูหงุดหงิด

           “เอายัยเด็กนรกนั่นมาส่งแล้วก็หายไปเลย”

     

           “ก็นะ...” เธอยักไหล่

     

           หลังจากวันนั้น หญิงสาวก็กลับตึกสตาร์คเพื่อไปใช้ชีวิตชิลๆแบบชาวมิดการ์ดต่ออีกประมาณสามวัน

     

           “รีบกลับขนาดนั้นเชียว?” ธอร์มองเธอใส่ชุดเดียวกับที่มาถึง(ซึ่งตอนนี้ขึ้นแท่นเป็นเครื่องแบบฮีโร่ของเธอไปเรียบร้อย)

           “ไม่รอไปพร้อมข้ารึ?”

     

           “วีดาร์กับน้องชายข้ารออยู่” มือเรียวสะบัด ส่งกระแสสีฟ้าออกไปเก็บข้าวของในชั้นส่วนตัวบนตึกสตาร์คให้กลับไปที่เดิมอย่างเป็นระเบียบ

     

           “มีแฟนแล้วลืมพี่นะ”

     

           เธอห่อปาก

           “พูดอะไรดูตัวเองบ้าง”

     

           เขาหัวเราะหึๆ

     

           “เจอกันที่แอสการ์ดนะ น้องข้า”

     

           ร่างสูงของเทพสายฟ้าเดินจากไปพร้อมกับแรงตบที่ไหล่สองทีเน้นๆ

     

           ดวงหน้างดงามยกยิ้มมุมปาก ลอบถอนหายใจ

     

           ...รอดูเถอะว่าพอเขาไปถึงแล้ว โลกิจะเจออะไรบ้าง

     

           เธอตัดสินใจแวะไปที่สำนักงานชิลด์ใหม่ก่อนจะกลับอัลฟ์ไฮม์เพื่อบอกลาเพื่อนร่วมทีม

     

           “บางครั้งฉันก็อยากให้โลกเรากับโลกเธอมีสัญญาณโทรศัพท์เอาไว้ติดต่อกัน” โทนี่และแคปเดินขนาบซ้ายขวาขณะที่เธอก้าวไปตามโถงทางเดิน

     

           เธอหัวเราะในลำคอเบาๆ

           “เอาไว้หาทางได้แล้วจะติดต่อมาหา”

     

           “งั้น...” ชายหนุ่มร่างเล็กกว่าหยุดการเคลื่อนไหวแล้วหมุนตัวมาประจันหน้าเธอตรงหน้าห้องประตูห้องห้องหนึ่ง

           “ฉันคงต้องไปก่อน พอดีมีงานที่บริษัทน่ะ”

     

           หญิงสาวยิ้มมุมปาก เหลือบตาไปที่กระจกใสที่กางกั้นเป็นกำแพงและบานประตูด้านหลัง

     

           “ไม่อยากเข้าไปด้วยกันเหรอ?”

     

           “ไม่ล่ะ” อีกคนเม้มปาก เคาะแว่นกันแดดลงกับฝ่ามือตัวเองสองสามที

     

           เธอโคลงหัว แล้วบีบแขนไอรอนแมนครู่หนึ่ง

           “อย่าไปเล่นอะไรแผลงๆล่ะตอนที่ฉันไม่อยู่ โทนี่”

     

           เขายิ้ม ตบมือลงกับมือเธอดังปุๆ

     

           “...แล้วเจอกัน สคาดิ”

     

           แล้วโทนี่ก็ไป

     

           เธอมองตามจนสุดสายตา แล้วเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับชายหนุ่มผมสีทอง

     

           ร่างของเด็กหนุ่มผมสีซีดยังคงนอนนิ่งอยู่บนนั้น สัญญาณชีพของเขาคงที่สม่ำเสมอ ส่วนสายระโยงระยางที่ทั้งเสียบทั้งแปะอยู่ตามตัวก็ยังคงเยอะเหมือนเดิม

     

           “กัปตัน” เด็กสาวเสื้อแดงที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงลุกขึ้นมาจัดเสื้อที่ยับย่นให้เข้าที่

           “คุณสคาดิ”

     

           เธอพยักหน้ารับแล้วเดินไปหาคนเจ็บ มือเรียวแตะลงบนแขนเขา

     

           “ไงไอ้หนู”

     

           ปิเอโตรปรือตาขึ้น แล้วส่งยิ้มกวนโอ๊ย

           “ไงไอซ์ควีน”

     

           “เป็นไงบ้าง?”

     

           “ดีขึ้นเยอะแล้ว” เขาเลิกเสื้อคนไข้ตัวเองขึ้น เผยให้เห็นรอยถูกยิงจากกระสุนควินเจ็ทที่มีผ้าก๊อซแปะอยู่

     

           เธอมองสภาพร่างกายเขา แล้ววางมือลงบนราวเหล็กของเตียง

     

           “ดีแล้วล่ะ”

     

           แฝดหัวขาวเลื่อนสายตาสำรวจเธอหัวจรดเท้า

           “คุณจะไปแล้วเหรอ?”

     

           “อืม” เธอพยักหน้า

           “ต้องไปจัดการธุระที่บ้านต่อ”

     

           “เดินทางปลอดภัยนะ” เขาว่า

     

           “หายไวๆนะไอ้หนูนักวิ่ง” สคาดิตบอกเขา ทำเอาเด็กหนุ่มหลุดร้องโอ๊ยแล้วงอตัวขึ้นมาเพราะไปโดนแผลเข้า

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาเบนไปมองหน้าของเด็กสาวที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม

           “เธอก็ตั้งใจฝึกเข้าล่ะ จะได้เก่งๆ”

     

           “ขอบคุณค่ะคุณสคาดิ” สาวน้อยก้มหน้างุดแล้วรับคำ

           “เดินทางปลอดภัยนะคะ”

     

           เธอยิ้มบางๆ ทำเสียงอืมในลำคอพลางจับไหล่คุณปู่อายุเหยียบร้อยแต่หุ่นยังฟิตปั๋งข้างกาย

     

           “ไว้มีเวลาว่างจะมาเยี่ยมนะ”

     

           เขาชนหมัดกับเธอ

     

           “ไว้เจอกัน สคาดิ”

     

           หลังร่ำลากับเพื่อนคนอื่นในทีมเรียบร้อย สคาดิก็ออกมายืนมองตึกอเวนเจอร์สที่เพิ่งสร้างเสร็จท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อนๆยามเช้า

     

           เธอรู้ว่าวันหนึ่งจะได้เจอกับพวกเขาอีกครั้ง

     

           ดวงหน้างดงามเงยขึ้นไปบนฟ้า เกือบจะตะโกนเรียกไฮม์ดัลแล้วแต่นึกขึ้นมาได้ว่าตาแก่นั่นไม่ได้อยู่ที่ไบฟรอสต์อีกแล้ว

     

           หญิงสาวถอนหายใจ

     

           “ใครก็ตามที่อยู่บนสะพานรุ้งๆนั่นน่ะ เอาข้าขึ้นไปที!!

     

           เหมือนว่าจะมีคนประจำอยู่ในโถงทองของประตูแห่งแอสการ์ดพอดี แสงสีแสบตาจึงพุ่งลงมาห้อมล้อมรอบตัวเธอไว้อย่างรวดเร็ว

     

           มือเรียวไล้คันธนูตัวเองเล่นพลางมองทัศนียภาพโดยรอบเป็นครั้งสุดท้าย

     

           หวังว่าสตาร์คจะไม่โวยนะถ้ารู้ว่าเธอทำให้พื้นสนามหญ้าหน้าตึกเป็นรอยไหม้

     





     






     

           ขาเรียวก้าวออกมาจากประตูมิติ เหยียบลงบนพื้นหินเย็นๆ

     

           “ท่านพี่” ร่างที่กำลังยืดของน้องชายต่างแม่วิ่งเข้ามาปะทะอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

     

           “โอ๊ย” เธอเซ แต่มือก็คว้าเขาไว้ได้

     

           ให้ตาย ไม่เจอกันแป๊บเดียวแรงเยอะขึ้นเป็นกอง

     

           “ข้าคิดถึงท่านมากเลยนะ” เบรดิทำตาเป็นประกาย ก่อนจะถูกผลักออกโดยชายหนุ่มร่างสูงในเสื้อทูนิคสีเข้ม

     

           “โอ๊ย พี่เขย!

     

           “กอดพอแล้ว” วีดาร์งึมงำแล้วรวบเธอเข้าไปกอดต่อ

     

           หญิงสาวหัวเราะในลำคอ ยกมือกอดตอบพลางฝังใบหน้าลงในบ่ากว้างของเขา

     

           “เป็นยังไงบ้าง?” เจ้าของดวงตาสีฟ้าใสถามเธอ

     

           “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว...” ร่างเพรียวผละออกจากอ้อมกอดนั้น

           “ในตอนนี้น่ะนะ”

     

           เขากุมมือเธอ ถ่ายทอดกระแสความอบอุ่นเข้าไปในหัวใจ

     

           ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้

     

           เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขาที่เป่ารดผิว

     

           แต่ก่อนที่ริมฝีปากคู่นั้นจะแตะกับเธอนั่นเอง...

     

           “จะจู๋จี๋กันอีกนานไหม?” เสียงของเจ้าน้องชายดังขึ้น ตัดผ่านบรรยากาศโรแมนติกและทำลายฉากหวานๆเสียยับเยิน

     

           วีดาร์ถอนหายใจ เปลี่ยนท่าเป็นโอบเอวเธอหลวมๆแล้วหันไปจ้องหน้าราชาวัยเยาว์แห่งอาณาจักรน้ำแข็ง

     

           หญิงสาวขำพรืดเมื่อสีหน้าของเบรดิค่อยๆเจื่อนลง

     

           โซลเมตของเธอเลิกคิ้วสมบูรณ์แบบคู่นั้นขึ้น

           “อยากรู้เหรอ?”

     

           “ม...ไม่อยากแล้วก็ได้” ผู้อายุน้อยกว่าหดคอลงไปราวกับกลัวจะถูกลากออกไปต่อย

     

           สคาดิยิ้มมุมปาก

           ...สงสัยระหว่างที่เธอไม่อยู่ เขาคงเล่นน้องเธอซะหนัก

     

           ดวงตาสีฟ้าใสของร่างสูงข้างกายนั้นเป็นประกายวาบ

     

           “ใช่ ข้าจะจู๋จี๋กับพี่เจ้าอีกนานเลยล่ะ” คำตอบนั้นทำเอาเธอหันขวับ

           “ฉะนั้น ช่วยทำตัวเป็นน้องที่ดีแล้วออกไปวิ่งรอบกำแพงปราสาทสิบรอบหน่อยนะ...ขอบคุณ”

     

           “พี่เขย...”

     

           เขาพยักเพยิดไปทางประตูโถงบัลลังก์

           “ประตูอยู่ตรงนั้น”

     

           เบรดิคอตก แต่ก็เดินออกไปโดยดี

     

           สคาดิมองใบหน้าหล่อเหลานั้นนิ่ง หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอก

     

           ชายหนุ่มหันกลับมาหาเธอ แล้วยกยิ้ม

           “หน้าแดงนะ”

     

           เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างระเบิดอยู่ข้างในหัว ได้แต่อ้าปากพะงาบๆสองสามที

     

           เขาหัวเราะด้วยเสียงทุ้มนุ่มนั่น ก่อนจะก้มลงมาจุมพิตริมฝีปากของเธอพร้อมกับดึงร่างเพรียวเข้าไปในอ้อมกอดแข็งแกร่ง

     

           สคาดิโอบแขนรอบคอของเขา รู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจของกันและกันที่เต้นสอดรับเป็นจังหวะ

     

           “ยินดีต้อนรับกลับมา” วีดาร์ฝังจมูกโด่งลงบนแก้มเธอขณะที่เอนหน้าผากพิงอวัยวะส่วนเดียวกัน

     

           เธอยิ้ม

     

           “ขอบคุณนะ”

     

           เส้นผมสีทองกระทบแสงจากในโถงเป็นประกายขณะที่เขาโอบเธอไว้แล้วพาเดินลงบันได

     

           “แล้ว...” ใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มสมบูรณ์แบบ

           “จะทำอะไรกันต่อดี?”

     

           หญิงสาวโคลงหัว ดวงตาเป็นประกาย

     

           “...นั่นสินะ”

     

     

     









    TALK WITH FM

    และแล้ว ซีซั่นนี้ก็ได้จบลงอย่างเป็นทางการค่ะ!!

    ขอบคุณทุกเม้นต์ ทุกวิว ทุกกำลังใจนะคะ ทำให้เรามีแรงฮึดขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะค่ะ

    คิดว่าหลังจากนี้ เราจะเอาฟิคเก่าๆที่เคยร่างเอาไว้มาลงแล้วล่ะค่ะ รอเราก่อนนะทุกคนนนนน

    ส่วนซีซั่นหน้า เราก็คงจะได้เห็นเด็จน้องเล็กเป็นควีนเต็มตัวแล้วล่ะค่ะ(และจะได้เจอพี่ใหญ่เฮล่าละด้วย 555)

    อยู่กับเราก่อนนะคะ อย่าเพิ่งไปไหน

    เจอกันตอนหน้าเน้อ

    ด้วยรักและถุงกาว

    เฟิงมี่ค่ะ>3<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×