ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Marvel || Broken Throne (OC feat. Thorki, Stony, Spideypool, etc.)

    ลำดับตอนที่ #47 : Broken Throne S3 || Ch 6

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ค. 63


    || B R O K E N T H R O N E ||

    s e a s o n 3

    ----------------------------

    CHAPTER 6

     

     

           คืนนั้น ทั่วทั้งอาณาจักรสงบเงียบ

     

           แต่ภายในวังหลวง มันไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว

     

           สคาดิถูกปลุกตื่นด้วยเสียงหอบของคาร์เดนที่พุ่งพรวดเข้ามารายงานว่ามีการเคลื่อนไหวในตรอกน้ำทิ้ง

     

           เธอกระดิกนิ้ว เรียกเกราะเกล็ดมังกรสีขาวปนทองมาสวมบนบ่าขณะที่รวบผมเป็นหางม้าสูงอย่างคล่องแคล่ว

     

           “ท่านพี่” เบรดิหันมาหาเมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องของเขา

     

           “...มันเริ่มแล้ว”

     

           เธอพยักหน้าช้าๆ

           “ใช่”

     

           เด็กชายมีสีหน้าซีดเซียว เขายืนนิ่งอยู่กลางห้องให้ข้ารับใช้แต่งเกราะ มือสั่นเล็กน้อยขณะเอื้อมออกไปรับดาบจริงและเกือบจะปล่อยมันตกพื้นหลังจากพบว่าน้ำหนักของมันนั้นมีมากกว่าที่คิดเอาไว้

     

           “เจ้าต้องไม่เป็นไร น้องชาย” เธอหยิบมงกุฎสีเงินขึ้นมาแล้วสวมลงไปบนกลุ่มผมสีทองเข้มนั้น

     

           “อย่างน้อย...” เขาสูดหายใจลึก

           “อย่างน้อยเราก็ได้ตั้งรับ และอย่างน้อยเราก็ยั่วให้มันลงมือก่อนได้”

     

           “ถูก” เธอขยับเข็มขัดหนังที่อยู่รอบเอวของตน จับด้ามดาบคู่ใจซึ่งแขวนบนนั้นหลวมๆ

     

           แผนของเธอได้ผล

     

           แม้ว่าจะถูกเยี่ยมเยียนโดยนักฆ่า แต่เธอกับน้องก็ไม่ได้ทำอะไรวู่วาม

     

           อยู่เงียบๆมาได้ตั้งอาทิตย์กว่าๆ ไม่นึกเลยว่าพวกมันจะใจร้อนกว่าที่เธอคิดแล้วโผล่หัวออกมาเร็วขนาดนี้

     

           “ตกลงท่านรู้รึยังว่าใคร?”

     

           “สาเหตุน่ะรู้แน่แล้ว...” เธอเลียริมฝีปาก

           “แต่ตัวตน ยังไม่แน่ชัด”

     

           “งั้นคืนนี้คงได้รู้กันสินะ”

     

           “อืม”

     

           สองพี่น้องย่ำออกจากโถง เสียงเกราะของเบรดิกระทบกันดังเป็นจังหวะขณะที่เดินลงบันไดและตรงไปที่โถงใหญ่กลางปราสาท

     

           “ฝ่าบาท” ฮอลดันผู้ซึ่งกำลังเดินนำทหารกองหนึ่งมาค้อมกายทำความเคารพ

           “องค์หญิง”

     

           “ลอร์ดฮอลดัน” เธอพยักหน้ารับ จากหางตาเห็นทหารคนหนึ่งดูลุกลี้ลุกลนมากกว่าปกติ

     

           “ทหารพวกนี้?”

     

           “จากกองร้อยของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ” เขาผายมือ

           “กระหม่อมคัดเลือกมาเองกับมือ แน่นอนว่าไว้ใจได้”

     

           สคาดิขมวดคิ้ว สลัดความระแวงต่างๆออกไปเงียบๆ

     

           “กองราชองครักษ์ที่เหลือล่ะ?” น้องชายร่วมบิดาถาม

     

           “ตั้งกระบวนอยู่ที่โถงบัลลังก์พ่ะย่ะค่ะ” เอลฟ์หนุ่มว่า

           “เรามาในทันทีที่รู้ข่าวการกบฎ”

     

           “ข้าอุ่นใจในที่ที่มีท่านอยู่ ลอร์ดฮอลดัน” เบรดิถอนหายใจ

     

           “กระหม่อมยินดีรับใช้ทุกเวลา ฝ่าบาท”

     

           พวกเธอก้าวเข้าไปในโถงบัลลังก์พร้อมกับกองทหารของฮอลดัน

     

           ร่างในเกราะเงินของเหล่าราชองครักษ์และเกราะเทาเข้มของพวกทหารฝึกหัดในหน่วยกำลังจัดกระบวนอยู่ในโถง

     

           “ฝ่าบาท องค์หญิง” เมื่อพวกเขาเห็นเธอกับน้องที่กำลังเดินตรงมาก็รีบรุดค้อมตัว

     

           “ไม่ต้องมากพิธี” เบรดิยกมือห้าม

     

           “ฝ่าบาท” คาร์เดนและราชองครักษ์อีกคนหนึ่งเดินมาหา

           “พลธนูอยู่ซุ่มอยู่บนกำแพงปราสาทชั้นในและตรงระเบียงโดมด้านบนแล้ว”

     

           “ขอบใจมากลอร์ดคาร์เดน” เด็กชายพยักหน้า

           “ลำบากท่านแล้ว ลอร์ดการ์แลนด์”

     

           “หามิได้ ฝ่าบาท” เจ้าตัวค้อมหัว

     

           สคาดิก้าวขึ้นบันไดสั้นๆเหล่านั้นไปที่บัลลังก์สีขาว เธอยืนนิ่งหลังมังกรสลักตัวหนึ่งในพนักแขนขณะที่ราชาวัยเยาว์นั่งลงบนนั้น

     

           “เราจะต้องไม่เป็นไร เบรดิ” เธอวางมือลงบนไหล่เขา บีบเบาๆให้รู้ว่าเขายังมีพี่สาวอยู่ตรงนี้

           “...เจ้าจะต้องไม่เป็นไร”

     

           เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ และคล้ายกับว่าเธอเห็นใบหน้าของบิดาซ้อนทับ

     

           เหมือนกันเหลือเกิน...

           เหมือนจนเธออยากร้องไห้

     

           “ท่านพี่” เขาแตะมือเธอ สัมผัสไออุ่นผ่านเกราะเหล็กเย็นเฉียบ

           “...ขอบคุณ”

     

           สคาดิถอนหายใจ อดลูบหัวเขาไม่ได้

     

           พวกกบฎกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ และเธอก็ต้องปกป้องบัลลังก์...รวมถึงผู้ที่อยู่บนบัลลังก์ให้ได้

     

           มือเรียวเอื้อมลงไปที่อกเสื้อสีเทาของตน

     

           เธอหยิบเอาขวดยาเล็กๆออกมา มองดูของเหลวสีน้ำเงินเข้มในนั้นกลิ้งไปมาเงียบๆขณะที่ราชองครักษ์บางคนขึ้นมาประจำตำแหน่งหน้าเธอ

     

           เถอะน่า สคาดิ เทสเซเมียร์วิงวอนขณะยัดมันเข้าไปในมือเธอเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนที่เธอแวะไปหาในบาร์

           ท่านให้ข้าปรุงยาผนึกจิตมาให้ข้าก็ทำแล้ว อย่างน้อยเอายาแก้ผนึกไปหน่อยเถอะ ถือว่าข้าขอ...ไม่อย่างนั้นข้าคงลำบากใจตายแน่ๆ

     

           แต่เอาจริงๆ เธอไม่เชื่อหรอกว่ามันจะได้ผล

     

           ก็ยาผนึกนั่นน่ะมันรุนแรงขนาดที่เพียงหยดเดียวก็ปิดกั้นสายสัมพันธ์โซลเมตมาได้กว่าสองสามเดือน จะมียาที่สามารถแก้มันได้ด้วยหรือ?

     

           อย่างไรก็ตาม...อย่างที่พี่ชายคนรองของเธอเคยกล่าวไว้

           ไม่ลองก็ไม่รู้นะ สคาดิ

     

           ยังไงอีกไม่กี่ชั่วโมงเธอก็อาจตายอยู่แล้วนี่

     

           อย่างน้อย...ส่งกระแสจิตบอกเขาสักสองสามประโยคก็คงดี

     

           หญิงสาวกำมันแน่นครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดจุกนั้นแล้วกระดกยาพรวดเดียวเข้าไปในปากจนหมด

     

           ...โดยที่ไม่รู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองอยู่ตลอดเวลา

     

           “ยาอะไรน่ะ?” เบรดิขมวดคิ้ว

     

           “ก่อนมานี่...” เธอสูดหายใจ

           “ข้าตัดสินใจทำบางอย่างลงไป...บางอย่างที่ยังส่งผลมาถึงทุกวันนี้”

     

           มือเรียวยัดขวดว่างเปล่านั่นกลับเข้าไปในอกเสื้อ

     

           “ข้าทำร้ายจิตใจคนผู้หนึ่ง และ...ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตนี้จะได้เจอเขาอีกมั้ย ยานั่นมันอาจทำให้ข้าได้แก้ไขมัน” หญิงสาวเม้มปาก ไล้นิ้งโป้งบนหลังมือที่กำแน่นเบาๆ

           “มันอาจเป็นโอกาสสุดท้ายของข้าที่จะได้บอกอะไรบางอย่างกับเขา”

     

           น้องชายนิ่งไปครู่หนึ่ง

           “...คนนั้นใช่มั้ย ที่ท่านชอบเหม่อถึงตอนมาจิบชาที่ห้องข้า?”

     

           “เดาไม่ยากเลย?”

     

           “ไม่” เขาบิดปาก

           “ข้าฉลาดซะขนาดนี้ มันก็ต้องมีบางอย่างที่รู้บ้างแหละว่ามั้ย?”

     

           “ปากดี” เธอตบหลังหัวเขาในแรงระดับที่ถือว่าไม่หนักนัก แต่เมื่อโดนแล้วก็ร้องโอ๊ยได้ง่ายๆเหมือนกัน

           “ไหนดูซิว่าอีกไม่ถึงชั่วโมงนี้จะปากดีได้เหมือนเดิมรึเปล่า”

     

           น้องชายหัวเราะในลำคอ

     

           ทันใดนั้น เสียงของใครบางคนก็แทรกผ่านอากาศออกมา

     

           “นี่มันอะไรกัน?!!”

     

           สคาดิหันไปมอง สายตาเย็นเยียบลงหลายส่วนเมื่อเห็นร่างของเอลฟ์หนุ่มในเกราะเงินสลับดำจ้ำอ้าวเข้ามา ชายกระโปรงสีทองที่พลิ้วตามหลังเขาติดๆทำให้เธอแทบอยากกรอกตามองบน

     

           “เกิดอะไรขึ้น?” อิดุนน์ถาม เสียงเบาลงกว่าเดิมเมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของทั้งเธอและลูกชายแท้ๆ มือทั้งสองข้างเกาะเกี่ยวอยู่รอบแขนใต้เกราะของฟินนิค

     

           นี่ใจคอจะป่าวประกาศไปถึงเฮลไฮม์เลยใช่มั้ยว่าเป็นคู่นอนกัน?

     

           เกรงใจเธอกับน้องชายหน่อยก็ดีนะ

     

           “พวกกบฎกำลังมา” เธอตอบเสียงเรียบนิ่ง

     

           “กบฎ?” แม่ทัพหนุ่มทวนคำ

     

           “ใช่ กบฎ” เบรดิตอบแทน

           “ซึ่งหากพวกท่านไม่เสียเวลาไปพลอดรักกันหรืออะไรก็ช่าง ก็คงจะสังเกตได้ในทันที”

     

           สนมคนนั้นสีหน้าแข็งค้าง

     

           เทพีเหมันต์มองหน้าลูกกับแม่สลับกันสองสามที ก่อนจะหันไปหาคนที่มีตำแหน่งทางการทหารสูงสุดในอาณาจักร

     

           “ทหารของท่านล่ะ ฟินนิค?”

     

           “กระหม่อม...” เขาอึกอัก

           “กระหม่อมไม่ทราบ”

     

           “ยังไงคือไม่ทราบ?” เธอถามเสียงเข้ม มองไล่ไปถึงทหารของกองทัพอาณาจักรจำนวนหยิบมือเดียวที่ตามเขามา

     

           “ค-คือ กระหม่อม...”

     

           “ไปติดต่อพวกเขา เอามาปกป้องฝ่าบาทของเจ้าให้เร็วที่สุด!” มือเรียวโบกเป็นสัญญาณไล่

     

           แทบจะยกมือขึ้นกุมขมับแล้วในตอนที่อิดุนน์รีบรุดขึ้นมาที่บัลลังก์แล้วคุกเข่าลงข้างลูกชาย

     

           “เบรดิ...”

     

           “ท่านทำได้ยังไง?” เสียงของเขาสั่นอย่างห้ามไม่อยู่

     

           “เบรดิ แม่ทำเพื่อเจ้านะ”

     

           “เพื่อตัวท่านเองต่างหาก!” น้องชายเธอโต้กลับ

           “เขาคงจะลีลาเด็ดจริงๆสินะ ท่านถึงได้ให้ทุกอย่างกับเขาขนาดนี้...จากนายกองธรรมดา จู่ๆกลายเป็นแม่ทัพภายในไม่ถึงสามเดือน...เป็นข้าที่โง่เองแหละ”

     

           “ลูก...”

     

           “พ่อข้าคือท่านพ่อจริงๆรึเปล่า?”

     

           สคาดินิ่งค้าง เช่นเดียวกันกับอิดุนน์

     

           “คิดอะไรอย่างนั้น?”

     

           “เขาใช่พ่อข้ามั้ย?” เบรดิถามย้ำ

     

           “ใช่” ร่างเพรียวที่ยืนอยู่ข้างๆตอบแทน เรียกความสนใจจากทั้งสอง

     

           น้องชายเลิกคิ้ว

     

           “เชื่อข้าเถอะ เบรดิ” เธอถอนหายใจ

           “ข้าจำหน้าพ่อเราได้ เจ้าเหมือนเขาราวกับโขกพิมพ์”

     

           เขาเม้มปาก

     

           ทันใดนั้น เสียงของอะไรบางอย่างกระแทกประตูโถงก็ดังขึ้น

     

           หญิงสาวหลับตาลง ค่อยๆตั้งสติขณะที่เหล่าทหารชักดาบออกมาจ่อไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียง

     

           มือเรียวกำแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆคลาย

     

           เธอหันไปมองน้องชายต่างแม่ที่กำลังจ้องมาอยู่แล้ว และยิ้มให้เขา

     

           “พร้อมมั้ย?”

     

           “มีทางเลือกอื่นด้วยเหรอ ท่านพี่?”

     

           เธอลูบหัวเขาอีกครั้ง

     

           “นั่นสิเนอะ...”

     

     

     




     

     


     

     

           ทันทีที่ประตูเปิดผางออก สัญชาตญาณของสคาดิก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที

     

           ดวงตาสีฟ้าเทากวาดมองร่างในชุดสีดำสนิทนับร้อยที่กรูกันเข้ามาในโถงอย่างรวดเร็วราวกับน้ำหลาก

     

           ประมาณแล้วน่าจะสักห้าร้อยได้

     

           ตอนนี้กำลังของเธอมีไม่ถึงสามร้อยด้วยซ้ำ

     

           “ปกป้องฝ่าบาท” เธอสั่งพวกราชองครักษ์ด้านบนแท่นบัลลังก์ แล้วชักดาบออกพลางกระโจนลงไปร่วมวงด้านล่าง

     

           อาวุธคมในมือถูกตวัดไปนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งปัดป้องและรุกไล่อย่างชำนาญ

     

           ร่างเพรียวตีลังกาขึ้นไปในอากาศเพื่อหลบห่าธนูที่คงจะตั้งใจยิงมาที่พวกคนชุดดำ แต่ดันกระจายมาฝั่งเธอด้วยเป็นลูกหลง

     

           นั่นทำให้เธอเห็นใครบางคน

     

           ร่างสูงที่อยู่ท่ามกลางพวกกบฎนั้นมีหน้ากากสีขาวปกปิดใบหน้า

     

           เจ้าหัวโจก

     

           เธอเห็นลูกน้องหลายคนล้อมวงปกป้องเขาเอาไว้ ทำให้แน่ใจยิ่งขึ้นไปอีก

     

           หญิงสาวเลียริมฝีปากที่แห้งผากแล้วสะบัดมือออกไป

     

           ลมแรงวูบหนึ่งพัดมา เปิดโอกาสให้พวกกบฎถูกมันโจมตีจนกระเด็นออกไปเป็นทาง

     

           และทำให้เธอมีช่องเข้าประชิดตัวหัวหน้า

     

           สคาดิพุ่งตัวผ่านช่องว่างนั้นไปในเวลาเสี้ยววินาที ดาบยาวสีเงินยวงในมือกระแทกตรงไป

     

           แต่ก่อนที่มันจะได้จมเข้าไปในอกของบุคคลปริศนานั้น มือทั้งสองข้างภายใต้ถุงมือหนังสีดำของเขา...หรือเธอ...ก็ยกขึ้นมาและจับมันไว้ได้อย่างทันท่วงที

     

           เธอดึงดาบออกแล้วหมุนตัวตีลังกากลับหลัง ไม่วายใช้เท้าถีบอกเขาเต็มแรงจนกระเด็นออกไป

     

           สคาดิลงจอดบนพื้นอย่างสง่างาม เธอผงกหัวขึ้นมาพร้อมกับสะบัดลูกผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าไปด้านหลังขณะค่อยๆละมือออกจากพื้นและยันร่างขึ้นมา

     

           ลูกน้องทั้งหลายทำท่าจะพุ่งเข้ามา แต่เธอไปถึงหัวหน้าของพวกมันก่อน

     

           เขาสะบัดศีรษะไล่ความมึนงงแล้วงัดตัวเองออกมาจากเสาหินที่กลายเป็นรอย ดาบยาวที่ชักออกมานั้นตั้งรับได้ทันเวลาพอดีในตอนที่เธอฟาดอาวุธของตนลงไป

     

           ชายคนนั้น(เธอตัดสินเอาว่าเป็นชายเนื่องจากเมื่อกี้ เธอถีบอกเขาและไม่รู้สึกถึงความโค้งเว้าใดๆทั้งสิ้น)ผลักเธอออกแล้วเปิดฉากโต้กลับ

     

           แล้วหญิงสาวก็พบว่า เขาคนนี้มีทักษะด้านดาบดีทีเดียว

     

           เพลงดาบนั้นรวดเร็วและอันตราย แทบจะเรียกได้เลยว่าคนนี้ชั้นครู

           สคาดิรู้สึกคลับคล้ายคลับคลายังไงก็ไม่รู้

     

           เธอหลบคมดาบที่ฟันเข้ามาแล้วรุกกลับดูบ้าง

     

           บางอย่างมันแปลกๆ

     

           เขาไม่ได้โจมตีที่ส่วนสำคัญของเธอ

           ราวกับไม่ได้อยากให้เธอตาย

     

           ถ้าไม่อยากให้ตายจริง...ทำไมต้องลงทุนส่งนักฆ่ามาหาด้วย?

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาหรี่ลง

     

           แล้วในจังหวะที่เธอไม่ทันได้ระวังนั้นเอง กำปั้นใต้ถุงมือหนังก็อัดเข้ามาที่ท้องเธอเต็มๆ

     

           หญิงสาวกัดฟัน เตรียมจะสวนกลับด้วยดาบในมือแต่ก็ไม่ทันเพราะอีกหมัดได้กระแทกเข้ามาที่เดิม

     

           ร่างเพรียวเซถอยออกไปกุมท้องหอบหายใจหนักๆ ขณะที่อีกฝ่ายซึ่งก็โดนแรงเตะเธอไปไม่น้อยพักเหนื่อยเหมือนกัน

     

           ทั้งสองมองหน้ากันตลอดเวลา พยายามคุมเชิงให้อีกฝ่ายอยู่ในสายตาและค้นหาจุดอ่อนที่พอมองเห็น

     

           จากหางตา เธอเห็นร่างในชุดดำนับสิบที่กำลังรุกไล่ขึ้นไปที่บัลลังก์

     

           ไวเท่าความคิด มือเรียวสะบัดออกไป

     

           มังกรตัวเขื่องที่ทำจากน้ำแข็งปรากฎขึ้นจากอากาศในทันที มันคำรามแล้วพ่นไฟสีฟ้าเข้มออกมาไล่เผากลุ่มกบฏให้ออกห่างจากน้องชายเธอ

     

           สคาดิหันหัวกลับมาทันหลบดาบของอีกฝ่ายได้อย่างหวุดหวิด

     

           “ดูท่าคราวนี้เจ้ากับข้าจะเสมอกันแล้วนะ”

     

           “ไม่หรอก” เขาฟาดดาบซ้ำ เธอยกอาวุธของตนขึ้นกันมันออกจากอกได้อย่างทันท่วงที

           “สงครามยังไม่จบ”

     

           เสียงของเขาถูกทำให้ไม่สามารถระบุได้ชัดเจน และเธอก็พนันสิบเหรียญทองเลยว่ามันต้องเป็นเพราะหน้ากากนั่น

     

           “สงครามอะไร?” เธอแยกเขี้ยว

           “การที่เจ้าบุกเข้ามาในวังตอนกลางดึกแล้วจะฆ่าน้องข้าด้วยวิธีสกปรกน่ะหรือ?”

     

           มือเรียวผลักเขาออกจากตัวแล้วชี้หน้าด้วยคมดาบเป็นการข่มขู่ไม่ให้เข้าใกล้

     

           “ข้ารู้ว่าเจ้าคือใคร” เธอจ้องเข้าไปในหน้ากากสีขาวนั่น

     

           “ดูท่าหลายหมื่นปีมานี้ บรรพบุรุษของข้าคงจะเลี้ยงดูปูเสื่อพวกเจ้าดีเกินไปสินะ เลยจองหองพองขน เหิมเกริมถึงขนาดจะตอบแทนบุญคุณกันอย่างนี้”

     

           เขาชะงักไป

     

           สรรพสิ่งรอบตัวล้วนเงียบงันราวกับถูกแช่แข็ง

     

           “ยังไงนะ ท่านพี่?” เสียงของเบรดิดังขึ้น

     

           เธอเหลือบกลับไปมองน้องเล็กน้อย

     

           “จำตอนที่เจ้านักฆ่านั่นมาโผล่ที่ห้องเจ้าได้มั้ย?”

     

           แว่วเสียงอิดุนน์ร้องเบาๆด้วยความตกใจ

     

           “ท่านเจออะไรในห้องสมุดงั้นหรือ?” ราชาวัยเยาว์ขมวดคิ้ว

     

           “ก็...” เธอเสตาไปมา

           “พอดีว่ามันยังมีพงศาวดารเก่าแก่ที่ย้อนกลับไปเมื่อหลายหมื่นปีก่อนรอดจากการถูกทำลายตอนที่อาณาจักรเก่าล่มสลายน่ะ”

     

           หญิงสาวกลับมาจ้องหน้าร่างในชุดดำที่เป็นแกนนำอีกครั้งแล้วสะบัดดาบไปมาเป็นเชิงเตือนเมื่อเห็นเขาทำท่าจะขยับมือ

     

           “ความจริงแล้ว เมื่อก่อนที่นี่ไม่ได้ถูกปกครองโดยราชวงศ์ของเราหรอกนะ...บรรพบุรุษของข้าและเจ้า น้องข้า คือพวกยักษ์น้ำแข็งแห่งโยธันไฮม์”

     

           “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเรามีความทนทานต่ออากาศหนาวเย็น” น้องชายเธอต่อ

     

           “แต่เนื่องจากการผสมกันของยีนยักษ์น้ำแข็งและยีนเอลฟ์น้ำแข็งทั่วไปหลายๆรุ่นเข้า ลักษณะเด่นของพวกยักษ์ส่วนใหญ่เลยหายไป เหลือแค่พลังควบคุมน้ำแข็งที่มีเฉพาะในราชวงศ์...ซึ่งก็เป็นความสามารถพิเศษในหมู่ยักษ์ด้วยเหมือนกัน”

     

           “แสดงว่า...” เด็กชายมองเธอสลับกับชายหน้ากากขาว

     

           “ก่อนจะกลายเป็นราชวงศ์ปัจจุบัน ก็ต้องมีสงคราม” เธอตอบ

           “ราชวงศ์ก่อนหน้านี้เป็นเชื้อสายของเอลฟ์แสงกับเอลฟ์ไพร...ซึ่งกว่าบรรพบุรุษยักษ์ของเราจะมายึดครอง ก็ได้เริ่มล่มสลายลงไปบ้างแล้ว น้องข้า...เดาซิว่าตราประจำราชวงศ์ของพวกเขาคืออะไร?”

     

           “เหยี่ยวสยายปีก” คู่สนทนารู้ในทันที

     

           สคาดิเหยียดยิ้ม

           “ถูกต้อง...เหยี่ยวสยายปีก”

     

           “ตราเดียวกันกับที่อยู่บนหลังนักฆ่านั่น” เธอลดดาบลงแล้วเชิดหน้าขึ้น

     

           “กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์เหยี่ยวมีบุตรชายที่วัยเพียงไม่กี่ขวบในตอนที่อาณาจักรถูกยึดครองโดยบรรพบุรุษของเรา และกษัตริย์องค์ใหม่ก็ตัดสินใจไม่ฆ่าเด็กคนนั้น แต่กลับชุบเลี้ยงให้มีศักดิ์เป็นบุตรบุญธรรม”

     

           สีหน้าของเบรดิขรึมลง

     

           “ราชวงศ์มังกรขาวของข้าเลี้ยงดูพวกเจ้าเหล่าเหยี่ยวอย่างดี...” ดวงตาสีฟ้าเทาของเธอวาววับ

           “ทั้งให้รับราชการเป็นขุนนางใหญ่ ให้ตำแหน่งใกล้ชิด กษัตริย์บางองค์ถึงขนาดรับลูกสาวของพวกเจ้ามาเป็นราชินี...แล้วดูที่พวกเจ้าทำสิ”

     

           “ช่วงเวลาของมังกรขาวใกล้จบลงแล้ว” คนตรงหน้าเธอตอบด้วยเสียงลอดไรฟัน

           “ราชวงศ์พวกเจ้าอ่อนแอลงกว่าเดิมมาก”

     

           “งั้นเหรอ?” เธอบิดมุมปาก

     

           “พิสูจน์ดูไหมล่ะ?” มือเรียวควงดาบในมือเล่นจนมันสะท้อนแสงแปลบปลาบ

     

           เขาตั้งท่าจะเรียกลูกน้องมาร่วมวง แต่เธอยกมืออีกข้างขึ้น ทำให้ร่างในชุดดำเหล่านั้นลอยละลิ่วไปปะทะกับกำแพงและเสาในโถง

     

           “ไหนๆก็ไหนๆ จะสู้กันอยู่แล้วก็ต้องทำให้สมเกียรติสิ...ว่าไหม?” รอยยิ้มที่เห็นแล้วขนลุกแปลกๆของสคาดิปรากฎขึ้นบนมุมปาก

           “ประลองตัวต่อตัวเนี่ย เกรียงไกรกว่านะ”

     

           เธอยกดาบขึ้นตั้งท่า

     

           แล้วเขาก็พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็ว

     

           หญิงสาวงัดกระบวนท่าที่ไม่ได้ใช้นานจนฝุ่นน่าจะเขรอะไปแล้วของโอดินขึ้นมาลองรับดู

     

           ไม่นึกเลยว่าหลังจากทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาค้านเทพบิดรหัวชนฝามาตลอดพันกว่าปี ในที่สุดก็วกกลับมาใช้วิชาที่เขาพร่ำสอนจนปากเปียกปากแฉะกว่าจะเข้าไปฝังอยู่ในหัวสมองของเธอได้

     

           และ...เฮ้อ...สคาดิไม่อยากจะพูดเลยจริงๆนะ

     

           แต่เพลงดาบนี่ได้ผล

     

           มันทำให้เธอเห็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายมากขึ้นและปิดช่องโหว่ของตนได้...อย่างน้อยก็ดีกว่าตอนแรก

     

           ร่างเพรียวหมุนตัวหลบคมดาบที่เข้ามาใกล้ ใช้หลังกระแทกอีกฝ่ายแล้วถองศอกใส่ชายโครงเขาเต็มรัก ก่อนจะสะบัดหลังมือฟาดหน้ากากนั่นให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ในมุมนั้น

     

           เขาร้องอั้กแล้วจับแขนเธอเหวี่ยงข้ามหัวไป

     

           สคาดิมีเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเพื่อยกมือขึ้นกันหัวตัวเองไม่ให้กระแทกขณะตกลงกระทบพื้นหินอ่อน

     

           เธอยันตัวขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ทันได้กระโดดหลบดาบเขาอีกที

     

           หน้ากากนั่นร้าวแล้ว

     

           ร่างเพรียวไถลลงไปกับพื้นเพื่อหลบคมอาวุธที่เล็งคอเธอเอาไว้

     

           กระแทกอีกสักรอบ แล้วเธอก็จะได้รู้แล้วว่าใครกันแน่ที่กล้าขนาดนี้

     

           หญิงสาวสูดหายใจแล้วใช้แรงยันตัวเองขึ้นมาจากพื้น

     

           ดาบสีเงินในมือหมุนไปมา เฉือนเอาเลือดออกมาจากแขนของฝ่ายตรงข้าม

     

           เธอใช้จังหวะที่เขากำลังก้มตัวลงสำรวจแผลคร่าวๆเพื่อเคลื่อนเข้าประชิดอย่างรวดเร็วและชกเข้าไปที่หน้าเต็มแรง

     

    ตรงปลายของหน้ากากสีขาวนั่นแตกออก

     

           นั่นทำให้เธอเห็นปานสีน้ำตาลที่โผล่ขึ้นมาจากคอเสื้อซึ่งอยู่สูงจนปิดคอหอยได้สบายๆอย่างชัดเจน

     

           เป็นไปไม่ได้

     

           หญิงสาวชะงักค้าง และคงจะถูกเขาแทงเข้าแล้วถ้าไม่ใช่เพราะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างผิดปกติในร่างกายแล้วดึงตัวออกมาทันและโดนเพียงรอยถากที่ลำตัว

     

           มือเรียวยกขึ้นกุมหัวเบาๆ

     

           ราวกับจู่ๆมีใครมาเปิดหน้าต่างในหัว เอาแสงสาดเข้าไปในห้องมืดๆ

     

           สายสัมพันธ์ของเธอกับวีดาร์กลับมาแล้ว

     

           ดวงตาสีฟ้าเทาตวัดขึ้นมองฝ่ายตรงข้าม รู้สึกปวดหนึบที่หัวใจ

     

           “อิกอร์?” เสียงของเธอสั่นพร่าไม่มั่นคง แต่ก็มากพอจะทำให้เขาชะงักไปได้

     

           ร่างในชุดดำกำมือแน่นครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ

           “เจ้ารู้แล้วสินะ”

     

           มือใต้ถุงมือหนังสีดำยกขึ้นแก้ปมเชือกผูกหน้ากากที่หลังหัว ฮู้ดสีดำที่ปกปิดหัวมาตลอดถูกเลิกไปด้านหลังให้เห็นเส้นผมสีทรายที่ยาวระบ่า

     

           ใบหน้าของสหายเยาว์วัยที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่จำความได้ปรากฎขึ้นใต้ฮู้ดนั้น

     

           สคาดิรู้สึกอยากจะเป็นลมเดี๋ยวนั้น

     

           “ทำไมกัน?” เธอยกมือขึ้นกุมแผลยาวบนลำตัว

     

           เขามองเธอด้วยสายตาเศร้าสร้อย

     

           “อาณาจักรอ่อนแอมานานเกินไปแล้ว สคาดิ”

     

           “ท่านพ่อเจ้าสู้เพื่อท่านพ่อของข้านะ” เธอรู้สึกขอบตาแดงก่ำ

     

           เจ็บกายไม่เท่าไหร่ เจ็บใจสิมากกว่า

     

           “เจ้าไม่ได้อยู่ด้วยตอนที่อาณาจักรใหม่ถูกสร้าง” อิกอร์ว่า

           “ขนาดผ่านมาตั้งพันปีแล้ว มันยังไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้หมดเลย”

     

           “เจ้าเลยจะจัดการเอง...งั้นสิ?”

     

           เขาพยักหน้าช้าๆ

           “ข้าไม่อาจทนเห็นสภาพมันภายใต้การปกครองที่อ่อนแอได้อีก”

     

           ทันใดนั้น ความวิงเวียนบางอย่างก็ตีขึ้นมาในหัว

     

           สคาดิเซแล้วล้มลงไปบนพื้น

     

           “ยาพิษ...” เธอพึมพำ

     

           ไอ้ลอบกัดเอ้ย

     

           “ใช่” ร่างสูงใหญ่โน้มตัวลงมา มือหยาบแตะที่ปลายผมสีเข้มของเธอ

           “ไม่ได้ร้ายแรงหรอก แค่จะทำให้สลบไปสักพัก”

     

           ดวงตาของเขามองเข้ามา แล้วเธอก็ขนลุกชัน

     

           “เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมา เจ้าจะกลายเป็นราชินี...ราชินีของข้า”

     

           “เจ้าจะ...” เธอกระถดออกจากรัศมีมือเขาในทันที

           “จับข้าแต่งงาน?”

     

           อิกอร์ยิ้ม

     

           ทั้งๆที่มันควรจะทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจ แต่หญิงสาวกลับรังเกียจมันราวกับว่าไม่เคยชื่นชมมันมาก่อน

     

           “เจ้าบ้าไปแล้ว”

     

           “หากข้าไม่ทำ เจ้าจะต้องตาย”

     

           “บรรพบุรุษข้า...ไว้ชีวิตต้นตระกูลเจ้านะ” เธอพยายามต่อสู้ความมืดในดวงตาที่คืบคลานเข้ามาทุกขณะ

     

           ชายหนุ่มยิ้มอีกครั้ง

           “ใช่แล้ว...และพวกเขาทำผิดมหันต์”

     

           “ข้าจะไม่เลือกทางออกผิดๆแบบพวกเขา”

     

           สคาดิขบกรามแน่น รวบรวมพลังไว้ในมือแล้วใช้เวทย์ผลักเขาออกให้กระเด็นไปอัดผนังปราสาท

     

           “ฆ่าพวกมันให้หมด!!” เขาสำลักพลางตะโกนสั่งลูกน้องกบฎที่ต่างกรูกันเข้าไปทันที

     

           เอาแล้วไง

     

           เธอกำมือแล้วดึงกลับมา ให้ร่างของอิกอร์ค้างกลางอากาศแล้วกระแทกเขากลับไปอีกหลายครั้งจนแน่ใจว่าจะสลบเหมือด

     

           เอาจริงๆแล้วเนี่ย แค่สามครั้งแรกก็น็อกไปแล้วแหละ

     

           ที่เหลือคือเพื่อความสะใจล้วนๆ

     

           เสียงของมังกรน้ำแข็งที่คำรามลั่นเมื่อร่างกายอันใหญ่โตของมันเริ่มร้าวเพราะเจ้าของเวทย์ที่เริ่มอ่อนแอลงทำให้เธอนึกขึ้นได้

     

           หญิงสาวหันกลับไปมองน้องชาย

           “เบรดิ หนี!!”

     

           เจ้าตัวไม่รอให้ถูกสั่งเป็นครั้งที่สอง รีบตามคาร์เดนออกไป

     

           ทัศนวิสัยเริ่มพร่ามัว หญิงสาวค่อยๆฟุบหน้าลงกับพื้นหินอ่อน

     

           สคาดิ

     

           ...วีดาร์?

     

           มาก็ดีแล้ว

           เผื่ออิกอร์จะฮึดลุกขึ้นมาเอาดาบเสียบเธอ

     

           ข้าขอโทษ... น้ำตาเม็ดแรกร่วงลงไปตามแก้ม

           ขอโทษจริงๆ

     

           เขาไม่ตอบอะไร

     

           สคาดิสะอื้นเบาๆกับหินอ่อนเย็นเฉียบ

     

           สคาดิ...

     

           แค่ได้ยินเสียงเขา

           แค่นั้นก็พอแล้ว

     

           เสียงเหล็กกระทบกันดังเปรื่องปร่างค่อยๆเบาลงไปเรื่อยๆ

     

           หญิงสาวหลับตาลง ปล่อยให้ความมืดกลืนกิน

     

     

     

     

     

     

    TALK WITH FM

    เอาจริงๆนะ อยากให้มีเวลาเขียนพัฒนาการของตัวละครอีกมากๆเลย แต่ว่าเราถึงเวลาต้องกลับไปหาอิพิท้อแล้วล่ะ 555

    สำหรับใครที่ว่ามันไม่ถูกใจ ต้องขอโทษจริงๆด้วยนะคะ อีกแป๊บเดียวก็ได้เจอแก๊งอเวนเจอร์สแล้ว

    เท่าที่เดาๆดู คิดว่าอีกสักสามสี่ตอนน่าจะจบซีซั่น อาจจะสั้นหรือยาวกว่านั้นก็ได้

    ยังไงก็อย่าเพิ่งทิ้งเราไปไหนละกันน้าาา

    ปล. หลังซีซั่นนี้ เราว่าจะลุยโปรเจ็คต์ Killchalla กับพวก Strangecloak ที่วางพล็อตไว้นานจนฝุ่นเขรอะแล้วล่ะทุกคน

    เจอกันตอนหน้าเน้อ

    ด้วยรักและถุงกาว

    เฟิงมี่ค่ะ>3<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×