คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #47 : Broken Throne S3 || Ch 6
|| B
R O K E N T H R O N E ||
s e a
s o n 3
----------------------------
CHAPTER 6
คืนนั้น
ทั่วทั้งอาณาจักรสงบเงียบ
แต่ภายในวังหลวง
มันไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว
สคาดิถูกปลุกตื่นด้วยเสียงหอบของคาร์เดนที่พุ่งพรวดเข้ามารายงานว่ามีการเคลื่อนไหวในตรอกน้ำทิ้ง
เธอกระดิกนิ้ว
เรียกเกราะเกล็ดมังกรสีขาวปนทองมาสวมบนบ่าขณะที่รวบผมเป็นหางม้าสูงอย่างคล่องแคล่ว
“ท่านพี่”
เบรดิหันมาหาเมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องของเขา
“...มันเริ่มแล้ว”
เธอพยักหน้าช้าๆ
“ใช่”
เด็กชายมีสีหน้าซีดเซียว
เขายืนนิ่งอยู่กลางห้องให้ข้ารับใช้แต่งเกราะ
มือสั่นเล็กน้อยขณะเอื้อมออกไปรับดาบจริงและเกือบจะปล่อยมันตกพื้นหลังจากพบว่าน้ำหนักของมันนั้นมีมากกว่าที่คิดเอาไว้
“เจ้าต้องไม่เป็นไร
น้องชาย” เธอหยิบมงกุฎสีเงินขึ้นมาแล้วสวมลงไปบนกลุ่มผมสีทองเข้มนั้น
“อย่างน้อย...”
เขาสูดหายใจลึก
“อย่างน้อยเราก็ได้ตั้งรับ
และอย่างน้อยเราก็ยั่วให้มันลงมือก่อนได้”
“ถูก”
เธอขยับเข็มขัดหนังที่อยู่รอบเอวของตน จับด้ามดาบคู่ใจซึ่งแขวนบนนั้นหลวมๆ
แผนของเธอได้ผล
แม้ว่าจะถูกเยี่ยมเยียนโดยนักฆ่า
แต่เธอกับน้องก็ไม่ได้ทำอะไรวู่วาม
อยู่เงียบๆมาได้ตั้งอาทิตย์กว่าๆ
ไม่นึกเลยว่าพวกมันจะใจร้อนกว่าที่เธอคิดแล้วโผล่หัวออกมาเร็วขนาดนี้
“ตกลงท่านรู้รึยังว่าใคร?”
“สาเหตุน่ะรู้แน่แล้ว...”
เธอเลียริมฝีปาก
“แต่ตัวตน
ยังไม่แน่ชัด”
“งั้นคืนนี้คงได้รู้กันสินะ”
“อืม”
สองพี่น้องย่ำออกจากโถง
เสียงเกราะของเบรดิกระทบกันดังเป็นจังหวะขณะที่เดินลงบันไดและตรงไปที่โถงใหญ่กลางปราสาท
“ฝ่าบาท”
ฮอลดันผู้ซึ่งกำลังเดินนำทหารกองหนึ่งมาค้อมกายทำความเคารพ
“องค์หญิง”
“ลอร์ดฮอลดัน”
เธอพยักหน้ารับ จากหางตาเห็นทหารคนหนึ่งดูลุกลี้ลุกลนมากกว่าปกติ
“ทหารพวกนี้?”
“จากกองร้อยของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”
เขาผายมือ
“กระหม่อมคัดเลือกมาเองกับมือ
แน่นอนว่าไว้ใจได้”
สคาดิขมวดคิ้ว
สลัดความระแวงต่างๆออกไปเงียบๆ
“กองราชองครักษ์ที่เหลือล่ะ?”
น้องชายร่วมบิดาถาม
“ตั้งกระบวนอยู่ที่โถงบัลลังก์พ่ะย่ะค่ะ”
เอลฟ์หนุ่มว่า
“เรามาในทันทีที่รู้ข่าวการกบฎ”
“ข้าอุ่นใจในที่ที่มีท่านอยู่
ลอร์ดฮอลดัน” เบรดิถอนหายใจ
“กระหม่อมยินดีรับใช้ทุกเวลา
ฝ่าบาท”
พวกเธอก้าวเข้าไปในโถงบัลลังก์พร้อมกับกองทหารของฮอลดัน
ร่างในเกราะเงินของเหล่าราชองครักษ์และเกราะเทาเข้มของพวกทหารฝึกหัดในหน่วยกำลังจัดกระบวนอยู่ในโถง
“ฝ่าบาท
องค์หญิง” เมื่อพวกเขาเห็นเธอกับน้องที่กำลังเดินตรงมาก็รีบรุดค้อมตัว
“ไม่ต้องมากพิธี”
เบรดิยกมือห้าม
“ฝ่าบาท”
คาร์เดนและราชองครักษ์อีกคนหนึ่งเดินมาหา
“พลธนูอยู่ซุ่มอยู่บนกำแพงปราสาทชั้นในและตรงระเบียงโดมด้านบนแล้ว”
“ขอบใจมากลอร์ดคาร์เดน”
เด็กชายพยักหน้า
“ลำบากท่านแล้ว
ลอร์ดการ์แลนด์”
“หามิได้
ฝ่าบาท” เจ้าตัวค้อมหัว
สคาดิก้าวขึ้นบันไดสั้นๆเหล่านั้นไปที่บัลลังก์สีขาว
เธอยืนนิ่งหลังมังกรสลักตัวหนึ่งในพนักแขนขณะที่ราชาวัยเยาว์นั่งลงบนนั้น
“เราจะต้องไม่เป็นไร
เบรดิ” เธอวางมือลงบนไหล่เขา บีบเบาๆให้รู้ว่าเขายังมีพี่สาวอยู่ตรงนี้
“...เจ้าจะต้องไม่เป็นไร”
เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ
และคล้ายกับว่าเธอเห็นใบหน้าของบิดาซ้อนทับ
เหมือนกันเหลือเกิน...
เหมือนจนเธออยากร้องไห้
“ท่านพี่”
เขาแตะมือเธอ สัมผัสไออุ่นผ่านเกราะเหล็กเย็นเฉียบ
“...ขอบคุณ”
สคาดิถอนหายใจ
อดลูบหัวเขาไม่ได้
พวกกบฎกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
และเธอก็ต้องปกป้องบัลลังก์...รวมถึงผู้ที่อยู่บนบัลลังก์ให้ได้
มือเรียวเอื้อมลงไปที่อกเสื้อสีเทาของตน
เธอหยิบเอาขวดยาเล็กๆออกมา
มองดูของเหลวสีน้ำเงินเข้มในนั้นกลิ้งไปมาเงียบๆขณะที่ราชองครักษ์บางคนขึ้นมาประจำตำแหน่งหน้าเธอ
เถอะน่า
สคาดิ เทสเซเมียร์วิงวอนขณะยัดมันเข้าไปในมือเธอเมื่อหลายเดือนก่อน
ตอนที่เธอแวะไปหาในบาร์
ท่านให้ข้าปรุงยาผนึกจิตมาให้ข้าก็ทำแล้ว
อย่างน้อยเอายาแก้ผนึกไปหน่อยเถอะ ถือว่าข้าขอ...ไม่อย่างนั้นข้าคงลำบากใจตายแน่ๆ
แต่เอาจริงๆ เธอไม่เชื่อหรอกว่ามันจะได้ผล
ก็ยาผนึกนั่นน่ะมันรุนแรงขนาดที่เพียงหยดเดียวก็ปิดกั้นสายสัมพันธ์โซลเมตมาได้กว่าสองสามเดือน
จะมียาที่สามารถแก้มันได้ด้วยหรือ?
อย่างไรก็ตาม...อย่างที่พี่ชายคนรองของเธอเคยกล่าวไว้
ไม่ลองก็ไม่รู้นะ
สคาดิ
ยังไงอีกไม่กี่ชั่วโมงเธอก็อาจตายอยู่แล้วนี่
อย่างน้อย...ส่งกระแสจิตบอกเขาสักสองสามประโยคก็คงดี
หญิงสาวกำมันแน่นครู่หนึ่ง
ก่อนจะเปิดจุกนั้นแล้วกระดกยาพรวดเดียวเข้าไปในปากจนหมด
...โดยที่ไม่รู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองอยู่ตลอดเวลา
“ยาอะไรน่ะ?”
เบรดิขมวดคิ้ว
“ก่อนมานี่...”
เธอสูดหายใจ
“ข้าตัดสินใจทำบางอย่างลงไป...บางอย่างที่ยังส่งผลมาถึงทุกวันนี้”
มือเรียวยัดขวดว่างเปล่านั่นกลับเข้าไปในอกเสื้อ
“ข้าทำร้ายจิตใจคนผู้หนึ่ง
และ...ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตนี้จะได้เจอเขาอีกมั้ย ยานั่นมันอาจทำให้ข้าได้แก้ไขมัน”
หญิงสาวเม้มปาก ไล้นิ้งโป้งบนหลังมือที่กำแน่นเบาๆ
“มันอาจเป็นโอกาสสุดท้ายของข้าที่จะได้บอกอะไรบางอย่างกับเขา”
น้องชายนิ่งไปครู่หนึ่ง
“...คนนั้นใช่มั้ย
ที่ท่านชอบเหม่อถึงตอนมาจิบชาที่ห้องข้า?”
“เดาไม่ยากเลย?”
“ไม่”
เขาบิดปาก
“ข้าฉลาดซะขนาดนี้
มันก็ต้องมีบางอย่างที่รู้บ้างแหละว่ามั้ย?”
“ปากดี”
เธอตบหลังหัวเขาในแรงระดับที่ถือว่าไม่หนักนัก
แต่เมื่อโดนแล้วก็ร้องโอ๊ยได้ง่ายๆเหมือนกัน
“ไหนดูซิว่าอีกไม่ถึงชั่วโมงนี้จะปากดีได้เหมือนเดิมรึเปล่า”
น้องชายหัวเราะในลำคอ
ทันใดนั้น
เสียงของใครบางคนก็แทรกผ่านอากาศออกมา
“นี่มันอะไรกัน?!!”
สคาดิหันไปมอง
สายตาเย็นเยียบลงหลายส่วนเมื่อเห็นร่างของเอลฟ์หนุ่มในเกราะเงินสลับดำจ้ำอ้าวเข้ามา
ชายกระโปรงสีทองที่พลิ้วตามหลังเขาติดๆทำให้เธอแทบอยากกรอกตามองบน
“เกิดอะไรขึ้น?” อิดุนน์ถาม
เสียงเบาลงกว่าเดิมเมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของทั้งเธอและลูกชายแท้ๆ
มือทั้งสองข้างเกาะเกี่ยวอยู่รอบแขนใต้เกราะของฟินนิค
นี่ใจคอจะป่าวประกาศไปถึงเฮลไฮม์เลยใช่มั้ยว่าเป็นคู่นอนกัน?
เกรงใจเธอกับน้องชายหน่อยก็ดีนะ
“พวกกบฎกำลังมา”
เธอตอบเสียงเรียบนิ่ง
“กบฎ?”
แม่ทัพหนุ่มทวนคำ
“ใช่
กบฎ” เบรดิตอบแทน
“ซึ่งหากพวกท่านไม่เสียเวลาไปพลอดรักกันหรืออะไรก็ช่าง
ก็คงจะสังเกตได้ในทันที”
สนมคนนั้นสีหน้าแข็งค้าง
เทพีเหมันต์มองหน้าลูกกับแม่สลับกันสองสามที
ก่อนจะหันไปหาคนที่มีตำแหน่งทางการทหารสูงสุดในอาณาจักร
“ทหารของท่านล่ะ
ฟินนิค?”
“กระหม่อม...”
เขาอึกอัก
“กระหม่อมไม่ทราบ”
“ยังไงคือไม่ทราบ?”
เธอถามเสียงเข้ม มองไล่ไปถึงทหารของกองทัพอาณาจักรจำนวนหยิบมือเดียวที่ตามเขามา
“ค-คือ
กระหม่อม...”
“ไปติดต่อพวกเขา
เอามาปกป้องฝ่าบาทของเจ้าให้เร็วที่สุด!” มือเรียวโบกเป็นสัญญาณไล่
แทบจะยกมือขึ้นกุมขมับแล้วในตอนที่อิดุนน์รีบรุดขึ้นมาที่บัลลังก์แล้วคุกเข่าลงข้างลูกชาย
“เบรดิ...”
“ท่านทำได้ยังไง?”
เสียงของเขาสั่นอย่างห้ามไม่อยู่
“เบรดิ
แม่ทำเพื่อเจ้านะ”
“เพื่อตัวท่านเองต่างหาก!”
น้องชายเธอโต้กลับ
“เขาคงจะลีลาเด็ดจริงๆสินะ
ท่านถึงได้ให้ทุกอย่างกับเขาขนาดนี้...จากนายกองธรรมดา
จู่ๆกลายเป็นแม่ทัพภายในไม่ถึงสามเดือน...เป็นข้าที่โง่เองแหละ”
“ลูก...”
“พ่อข้าคือท่านพ่อจริงๆรึเปล่า?”
สคาดินิ่งค้าง
เช่นเดียวกันกับอิดุนน์
“คิดอะไรอย่างนั้น?”
“เขาใช่พ่อข้ามั้ย?”
เบรดิถามย้ำ
“ใช่”
ร่างเพรียวที่ยืนอยู่ข้างๆตอบแทน เรียกความสนใจจากทั้งสอง
น้องชายเลิกคิ้ว
“เชื่อข้าเถอะ
เบรดิ” เธอถอนหายใจ
“ข้าจำหน้าพ่อเราได้
เจ้าเหมือนเขาราวกับโขกพิมพ์”
เขาเม้มปาก
ทันใดนั้น
เสียงของอะไรบางอย่างกระแทกประตูโถงก็ดังขึ้น
หญิงสาวหลับตาลง
ค่อยๆตั้งสติขณะที่เหล่าทหารชักดาบออกมาจ่อไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียง
มือเรียวกำแน่นอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะค่อยๆคลาย
เธอหันไปมองน้องชายต่างแม่ที่กำลังจ้องมาอยู่แล้ว
และยิ้มให้เขา
“พร้อมมั้ย?”
“มีทางเลือกอื่นด้วยเหรอ
ท่านพี่?”
เธอลูบหัวเขาอีกครั้ง
“นั่นสิเนอะ...”
ทันทีที่ประตูเปิดผางออก
สัญชาตญาณของสคาดิก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที
ดวงตาสีฟ้าเทากวาดมองร่างในชุดสีดำสนิทนับร้อยที่กรูกันเข้ามาในโถงอย่างรวดเร็วราวกับน้ำหลาก
ประมาณแล้วน่าจะสักห้าร้อยได้
ตอนนี้กำลังของเธอมีไม่ถึงสามร้อยด้วยซ้ำ
“ปกป้องฝ่าบาท”
เธอสั่งพวกราชองครักษ์ด้านบนแท่นบัลลังก์ แล้วชักดาบออกพลางกระโจนลงไปร่วมวงด้านล่าง
อาวุธคมในมือถูกตวัดไปนับครั้งไม่ถ้วน
ทั้งปัดป้องและรุกไล่อย่างชำนาญ
ร่างเพรียวตีลังกาขึ้นไปในอากาศเพื่อหลบห่าธนูที่คงจะตั้งใจยิงมาที่พวกคนชุดดำ
แต่ดันกระจายมาฝั่งเธอด้วยเป็นลูกหลง
นั่นทำให้เธอเห็นใครบางคน
ร่างสูงที่อยู่ท่ามกลางพวกกบฎนั้นมีหน้ากากสีขาวปกปิดใบหน้า
เจ้าหัวโจก
เธอเห็นลูกน้องหลายคนล้อมวงปกป้องเขาเอาไว้
ทำให้แน่ใจยิ่งขึ้นไปอีก
หญิงสาวเลียริมฝีปากที่แห้งผากแล้วสะบัดมือออกไป
ลมแรงวูบหนึ่งพัดมา
เปิดโอกาสให้พวกกบฎถูกมันโจมตีจนกระเด็นออกไปเป็นทาง
และทำให้เธอมีช่องเข้าประชิดตัวหัวหน้า
สคาดิพุ่งตัวผ่านช่องว่างนั้นไปในเวลาเสี้ยววินาที
ดาบยาวสีเงินยวงในมือกระแทกตรงไป
แต่ก่อนที่มันจะได้จมเข้าไปในอกของบุคคลปริศนานั้น
มือทั้งสองข้างภายใต้ถุงมือหนังสีดำของเขา...หรือเธอ...ก็ยกขึ้นมาและจับมันไว้ได้อย่างทันท่วงที
เธอดึงดาบออกแล้วหมุนตัวตีลังกากลับหลัง
ไม่วายใช้เท้าถีบอกเขาเต็มแรงจนกระเด็นออกไป
สคาดิลงจอดบนพื้นอย่างสง่างาม
เธอผงกหัวขึ้นมาพร้อมกับสะบัดลูกผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าไปด้านหลังขณะค่อยๆละมือออกจากพื้นและยันร่างขึ้นมา
ลูกน้องทั้งหลายทำท่าจะพุ่งเข้ามา
แต่เธอไปถึงหัวหน้าของพวกมันก่อน
เขาสะบัดศีรษะไล่ความมึนงงแล้วงัดตัวเองออกมาจากเสาหินที่กลายเป็นรอย
ดาบยาวที่ชักออกมานั้นตั้งรับได้ทันเวลาพอดีในตอนที่เธอฟาดอาวุธของตนลงไป
ชายคนนั้น(เธอตัดสินเอาว่าเป็นชายเนื่องจากเมื่อกี้
เธอถีบอกเขาและไม่รู้สึกถึงความโค้งเว้าใดๆทั้งสิ้น)ผลักเธอออกแล้วเปิดฉากโต้กลับ
แล้วหญิงสาวก็พบว่า
เขาคนนี้มีทักษะด้านดาบดีทีเดียว
เพลงดาบนั้นรวดเร็วและอันตราย
แทบจะเรียกได้เลยว่าคนนี้ชั้นครู
สคาดิรู้สึกคลับคล้ายคลับคลายังไงก็ไม่รู้
เธอหลบคมดาบที่ฟันเข้ามาแล้วรุกกลับดูบ้าง
บางอย่างมันแปลกๆ
เขาไม่ได้โจมตีที่ส่วนสำคัญของเธอ
ราวกับไม่ได้อยากให้เธอตาย
ถ้าไม่อยากให้ตายจริง...ทำไมต้องลงทุนส่งนักฆ่ามาหาด้วย?
ดวงตาสีฟ้าเทาหรี่ลง
แล้วในจังหวะที่เธอไม่ทันได้ระวังนั้นเอง
กำปั้นใต้ถุงมือหนังก็อัดเข้ามาที่ท้องเธอเต็มๆ
หญิงสาวกัดฟัน
เตรียมจะสวนกลับด้วยดาบในมือแต่ก็ไม่ทันเพราะอีกหมัดได้กระแทกเข้ามาที่เดิม
ร่างเพรียวเซถอยออกไปกุมท้องหอบหายใจหนักๆ
ขณะที่อีกฝ่ายซึ่งก็โดนแรงเตะเธอไปไม่น้อยพักเหนื่อยเหมือนกัน
ทั้งสองมองหน้ากันตลอดเวลา
พยายามคุมเชิงให้อีกฝ่ายอยู่ในสายตาและค้นหาจุดอ่อนที่พอมองเห็น
จากหางตา
เธอเห็นร่างในชุดดำนับสิบที่กำลังรุกไล่ขึ้นไปที่บัลลังก์
ไวเท่าความคิด
มือเรียวสะบัดออกไป
มังกรตัวเขื่องที่ทำจากน้ำแข็งปรากฎขึ้นจากอากาศในทันที
มันคำรามแล้วพ่นไฟสีฟ้าเข้มออกมาไล่เผากลุ่มกบฏให้ออกห่างจากน้องชายเธอ
สคาดิหันหัวกลับมาทันหลบดาบของอีกฝ่ายได้อย่างหวุดหวิด
“ดูท่าคราวนี้เจ้ากับข้าจะเสมอกันแล้วนะ”
“ไม่หรอก”
เขาฟาดดาบซ้ำ เธอยกอาวุธของตนขึ้นกันมันออกจากอกได้อย่างทันท่วงที
“สงครามยังไม่จบ”
เสียงของเขาถูกทำให้ไม่สามารถระบุได้ชัดเจน
และเธอก็พนันสิบเหรียญทองเลยว่ามันต้องเป็นเพราะหน้ากากนั่น
“สงครามอะไร?”
เธอแยกเขี้ยว
“การที่เจ้าบุกเข้ามาในวังตอนกลางดึกแล้วจะฆ่าน้องข้าด้วยวิธีสกปรกน่ะหรือ?”
มือเรียวผลักเขาออกจากตัวแล้วชี้หน้าด้วยคมดาบเป็นการข่มขู่ไม่ให้เข้าใกล้
“ข้ารู้ว่าเจ้าคือใคร”
เธอจ้องเข้าไปในหน้ากากสีขาวนั่น
“ดูท่าหลายหมื่นปีมานี้
บรรพบุรุษของข้าคงจะเลี้ยงดูปูเสื่อพวกเจ้าดีเกินไปสินะ เลยจองหองพองขน
เหิมเกริมถึงขนาดจะตอบแทนบุญคุณกันอย่างนี้”
เขาชะงักไป
สรรพสิ่งรอบตัวล้วนเงียบงันราวกับถูกแช่แข็ง
“ยังไงนะ
ท่านพี่?” เสียงของเบรดิดังขึ้น
เธอเหลือบกลับไปมองน้องเล็กน้อย
“จำตอนที่เจ้านักฆ่านั่นมาโผล่ที่ห้องเจ้าได้มั้ย?”
แว่วเสียงอิดุนน์ร้องเบาๆด้วยความตกใจ
“ท่านเจออะไรในห้องสมุดงั้นหรือ?”
ราชาวัยเยาว์ขมวดคิ้ว
“ก็...”
เธอเสตาไปมา
“พอดีว่ามันยังมีพงศาวดารเก่าแก่ที่ย้อนกลับไปเมื่อหลายหมื่นปีก่อนรอดจากการถูกทำลายตอนที่อาณาจักรเก่าล่มสลายน่ะ”
หญิงสาวกลับมาจ้องหน้าร่างในชุดดำที่เป็นแกนนำอีกครั้งแล้วสะบัดดาบไปมาเป็นเชิงเตือนเมื่อเห็นเขาทำท่าจะขยับมือ
“ความจริงแล้ว
เมื่อก่อนที่นี่ไม่ได้ถูกปกครองโดยราชวงศ์ของเราหรอกนะ...บรรพบุรุษของข้าและเจ้า
น้องข้า คือพวกยักษ์น้ำแข็งแห่งโยธันไฮม์”
“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเรามีความทนทานต่ออากาศหนาวเย็น”
น้องชายเธอต่อ
“แต่เนื่องจากการผสมกันของยีนยักษ์น้ำแข็งและยีนเอลฟ์น้ำแข็งทั่วไปหลายๆรุ่นเข้า
ลักษณะเด่นของพวกยักษ์ส่วนใหญ่เลยหายไป เหลือแค่พลังควบคุมน้ำแข็งที่มีเฉพาะในราชวงศ์...ซึ่งก็เป็นความสามารถพิเศษในหมู่ยักษ์ด้วยเหมือนกัน”
“แสดงว่า...”
เด็กชายมองเธอสลับกับชายหน้ากากขาว
“ก่อนจะกลายเป็นราชวงศ์ปัจจุบัน
ก็ต้องมีสงคราม” เธอตอบ
“ราชวงศ์ก่อนหน้านี้เป็นเชื้อสายของเอลฟ์แสงกับเอลฟ์ไพร...ซึ่งกว่าบรรพบุรุษยักษ์ของเราจะมายึดครอง
ก็ได้เริ่มล่มสลายลงไปบ้างแล้ว
น้องข้า...เดาซิว่าตราประจำราชวงศ์ของพวกเขาคืออะไร?”
“เหยี่ยวสยายปีก”
คู่สนทนารู้ในทันที
สคาดิเหยียดยิ้ม
“ถูกต้อง...เหยี่ยวสยายปีก”
“ตราเดียวกันกับที่อยู่บนหลังนักฆ่านั่น”
เธอลดดาบลงแล้วเชิดหน้าขึ้น
“กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์เหยี่ยวมีบุตรชายที่วัยเพียงไม่กี่ขวบในตอนที่อาณาจักรถูกยึดครองโดยบรรพบุรุษของเรา
และกษัตริย์องค์ใหม่ก็ตัดสินใจไม่ฆ่าเด็กคนนั้น
แต่กลับชุบเลี้ยงให้มีศักดิ์เป็นบุตรบุญธรรม”
สีหน้าของเบรดิขรึมลง
“ราชวงศ์มังกรขาวของข้าเลี้ยงดูพวกเจ้าเหล่าเหยี่ยวอย่างดี...”
ดวงตาสีฟ้าเทาของเธอวาววับ
“ทั้งให้รับราชการเป็นขุนนางใหญ่
ให้ตำแหน่งใกล้ชิด
กษัตริย์บางองค์ถึงขนาดรับลูกสาวของพวกเจ้ามาเป็นราชินี...แล้วดูที่พวกเจ้าทำสิ”
“ช่วงเวลาของมังกรขาวใกล้จบลงแล้ว”
คนตรงหน้าเธอตอบด้วยเสียงลอดไรฟัน
“ราชวงศ์พวกเจ้าอ่อนแอลงกว่าเดิมมาก”
“งั้นเหรอ?”
เธอบิดมุมปาก
“พิสูจน์ดูไหมล่ะ?”
มือเรียวควงดาบในมือเล่นจนมันสะท้อนแสงแปลบปลาบ
เขาตั้งท่าจะเรียกลูกน้องมาร่วมวง
แต่เธอยกมืออีกข้างขึ้น ทำให้ร่างในชุดดำเหล่านั้นลอยละลิ่วไปปะทะกับกำแพงและเสาในโถง
“ไหนๆก็ไหนๆ
จะสู้กันอยู่แล้วก็ต้องทำให้สมเกียรติสิ...ว่าไหม?”
รอยยิ้มที่เห็นแล้วขนลุกแปลกๆของสคาดิปรากฎขึ้นบนมุมปาก
“ประลองตัวต่อตัวเนี่ย
เกรียงไกรกว่านะ”
เธอยกดาบขึ้นตั้งท่า
แล้วเขาก็พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็ว
หญิงสาวงัดกระบวนท่าที่ไม่ได้ใช้นานจนฝุ่นน่าจะเขรอะไปแล้วของโอดินขึ้นมาลองรับดู
ไม่นึกเลยว่าหลังจากทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาค้านเทพบิดรหัวชนฝามาตลอดพันกว่าปี
ในที่สุดก็วกกลับมาใช้วิชาที่เขาพร่ำสอนจนปากเปียกปากแฉะกว่าจะเข้าไปฝังอยู่ในหัวสมองของเธอได้
และ...เฮ้อ...สคาดิไม่อยากจะพูดเลยจริงๆนะ
แต่เพลงดาบนี่ได้ผล
มันทำให้เธอเห็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายมากขึ้นและปิดช่องโหว่ของตนได้...อย่างน้อยก็ดีกว่าตอนแรก
ร่างเพรียวหมุนตัวหลบคมดาบที่เข้ามาใกล้
ใช้หลังกระแทกอีกฝ่ายแล้วถองศอกใส่ชายโครงเขาเต็มรัก
ก่อนจะสะบัดหลังมือฟาดหน้ากากนั่นให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ในมุมนั้น
เขาร้องอั้กแล้วจับแขนเธอเหวี่ยงข้ามหัวไป
สคาดิมีเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเพื่อยกมือขึ้นกันหัวตัวเองไม่ให้กระแทกขณะตกลงกระทบพื้นหินอ่อน
เธอยันตัวขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
ทันได้กระโดดหลบดาบเขาอีกที
หน้ากากนั่นร้าวแล้ว
ร่างเพรียวไถลลงไปกับพื้นเพื่อหลบคมอาวุธที่เล็งคอเธอเอาไว้
กระแทกอีกสักรอบ
แล้วเธอก็จะได้รู้แล้วว่าใครกันแน่ที่กล้าขนาดนี้
หญิงสาวสูดหายใจแล้วใช้แรงยันตัวเองขึ้นมาจากพื้น
ดาบสีเงินในมือหมุนไปมา
เฉือนเอาเลือดออกมาจากแขนของฝ่ายตรงข้าม
เธอใช้จังหวะที่เขากำลังก้มตัวลงสำรวจแผลคร่าวๆเพื่อเคลื่อนเข้าประชิดอย่างรวดเร็วและชกเข้าไปที่หน้าเต็มแรง
ตรงปลายของหน้ากากสีขาวนั่นแตกออก
นั่นทำให้เธอเห็นปานสีน้ำตาลที่โผล่ขึ้นมาจากคอเสื้อซึ่งอยู่สูงจนปิดคอหอยได้สบายๆอย่างชัดเจน
เป็นไปไม่ได้
หญิงสาวชะงักค้าง
และคงจะถูกเขาแทงเข้าแล้วถ้าไม่ใช่เพราะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างผิดปกติในร่างกายแล้วดึงตัวออกมาทันและโดนเพียงรอยถากที่ลำตัว
มือเรียวยกขึ้นกุมหัวเบาๆ
ราวกับจู่ๆมีใครมาเปิดหน้าต่างในหัว
เอาแสงสาดเข้าไปในห้องมืดๆ
สายสัมพันธ์ของเธอกับวีดาร์กลับมาแล้ว
ดวงตาสีฟ้าเทาตวัดขึ้นมองฝ่ายตรงข้าม
รู้สึกปวดหนึบที่หัวใจ
“อิกอร์?”
เสียงของเธอสั่นพร่าไม่มั่นคง แต่ก็มากพอจะทำให้เขาชะงักไปได้
ร่างในชุดดำกำมือแน่นครู่หนึ่ง
ก่อนจะถอนหายใจ
“เจ้ารู้แล้วสินะ”
มือใต้ถุงมือหนังสีดำยกขึ้นแก้ปมเชือกผูกหน้ากากที่หลังหัว
ฮู้ดสีดำที่ปกปิดหัวมาตลอดถูกเลิกไปด้านหลังให้เห็นเส้นผมสีทรายที่ยาวระบ่า
ใบหน้าของสหายเยาว์วัยที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่จำความได้ปรากฎขึ้นใต้ฮู้ดนั้น
สคาดิรู้สึกอยากจะเป็นลมเดี๋ยวนั้น
“ทำไมกัน?”
เธอยกมือขึ้นกุมแผลยาวบนลำตัว
เขามองเธอด้วยสายตาเศร้าสร้อย
“อาณาจักรอ่อนแอมานานเกินไปแล้ว
สคาดิ”
“ท่านพ่อเจ้าสู้เพื่อท่านพ่อของข้านะ”
เธอรู้สึกขอบตาแดงก่ำ
เจ็บกายไม่เท่าไหร่
เจ็บใจสิมากกว่า
“เจ้าไม่ได้อยู่ด้วยตอนที่อาณาจักรใหม่ถูกสร้าง”
อิกอร์ว่า
“ขนาดผ่านมาตั้งพันปีแล้ว
มันยังไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้หมดเลย”
“เจ้าเลยจะจัดการเอง...งั้นสิ?”
เขาพยักหน้าช้าๆ
“ข้าไม่อาจทนเห็นสภาพมันภายใต้การปกครองที่อ่อนแอได้อีก”
ทันใดนั้น
ความวิงเวียนบางอย่างก็ตีขึ้นมาในหัว
สคาดิเซแล้วล้มลงไปบนพื้น
“ยาพิษ...”
เธอพึมพำ
ไอ้ลอบกัดเอ้ย
“ใช่”
ร่างสูงใหญ่โน้มตัวลงมา มือหยาบแตะที่ปลายผมสีเข้มของเธอ
“ไม่ได้ร้ายแรงหรอก
แค่จะทำให้สลบไปสักพัก”
ดวงตาของเขามองเข้ามา
แล้วเธอก็ขนลุกชัน
“เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมา
เจ้าจะกลายเป็นราชินี...ราชินีของข้า”
“เจ้าจะ...”
เธอกระถดออกจากรัศมีมือเขาในทันที
“จับข้าแต่งงาน?”
อิกอร์ยิ้ม
ทั้งๆที่มันควรจะทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจ
แต่หญิงสาวกลับรังเกียจมันราวกับว่าไม่เคยชื่นชมมันมาก่อน
“เจ้าบ้าไปแล้ว”
“หากข้าไม่ทำ
เจ้าจะต้องตาย”
“บรรพบุรุษข้า...ไว้ชีวิตต้นตระกูลเจ้านะ”
เธอพยายามต่อสู้ความมืดในดวงตาที่คืบคลานเข้ามาทุกขณะ
ชายหนุ่มยิ้มอีกครั้ง
“ใช่แล้ว...และพวกเขาทำผิดมหันต์”
“ข้าจะไม่เลือกทางออกผิดๆแบบพวกเขา”
สคาดิขบกรามแน่น
รวบรวมพลังไว้ในมือแล้วใช้เวทย์ผลักเขาออกให้กระเด็นไปอัดผนังปราสาท
“ฆ่าพวกมันให้หมด!!”
เขาสำลักพลางตะโกนสั่งลูกน้องกบฎที่ต่างกรูกันเข้าไปทันที
เอาแล้วไง
เธอกำมือแล้วดึงกลับมา
ให้ร่างของอิกอร์ค้างกลางอากาศแล้วกระแทกเขากลับไปอีกหลายครั้งจนแน่ใจว่าจะสลบเหมือด
เอาจริงๆแล้วเนี่ย
แค่สามครั้งแรกก็น็อกไปแล้วแหละ
ที่เหลือคือเพื่อความสะใจล้วนๆ
เสียงของมังกรน้ำแข็งที่คำรามลั่นเมื่อร่างกายอันใหญ่โตของมันเริ่มร้าวเพราะเจ้าของเวทย์ที่เริ่มอ่อนแอลงทำให้เธอนึกขึ้นได้
หญิงสาวหันกลับไปมองน้องชาย
“เบรดิ
หนี!!”
เจ้าตัวไม่รอให้ถูกสั่งเป็นครั้งที่สอง
รีบตามคาร์เดนออกไป
ทัศนวิสัยเริ่มพร่ามัว
หญิงสาวค่อยๆฟุบหน้าลงกับพื้นหินอ่อน
สคาดิ
...วีดาร์?
มาก็ดีแล้ว
เผื่ออิกอร์จะฮึดลุกขึ้นมาเอาดาบเสียบเธอ
ข้าขอโทษ...
น้ำตาเม็ดแรกร่วงลงไปตามแก้ม
ขอโทษจริงๆ
เขาไม่ตอบอะไร
สคาดิสะอื้นเบาๆกับหินอ่อนเย็นเฉียบ
สคาดิ...
แค่ได้ยินเสียงเขา
แค่นั้นก็พอแล้ว
เสียงเหล็กกระทบกันดังเปรื่องปร่างค่อยๆเบาลงไปเรื่อยๆ
หญิงสาวหลับตาลง
ปล่อยให้ความมืดกลืนกิน
TALK WITH FM
เอาจริงๆนะ
อยากให้มีเวลาเขียนพัฒนาการของตัวละครอีกมากๆเลย
แต่ว่าเราถึงเวลาต้องกลับไปหาอิพิท้อแล้วล่ะ 555
สำหรับใครที่ว่ามันไม่ถูกใจ
ต้องขอโทษจริงๆด้วยนะคะ อีกแป๊บเดียวก็ได้เจอแก๊งอเวนเจอร์สแล้ว
เท่าที่เดาๆดู
คิดว่าอีกสักสามสี่ตอนน่าจะจบซีซั่น อาจจะสั้นหรือยาวกว่านั้นก็ได้
ยังไงก็อย่าเพิ่งทิ้งเราไปไหนละกันน้าาา
ปล.
หลังซีซั่นนี้ เราว่าจะลุยโปรเจ็คต์ Killchalla กับพวก Strangecloak ที่วางพล็อตไว้นานจนฝุ่นเขรอะแล้วล่ะทุกคน
เจอกันตอนหน้าเน้อ
ด้วยรักและถุงกาว
เฟิงมี่ค่ะ>3<
ความคิดเห็น