คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : Short Fic. || H O M E (Odinson Family feat. Thorki)→ ᴘᴀʀᴛ 4 - end
Title
: H O M E
Auther
: Fengmii
Pairing
: None (Odinson Family)...with
a little bit of (Thorki)??
Genre
: Short Fiction (4/4)
Note : After Asguard was burnt and Thanos snapped his fingers…
H O M E
o d i n s o
n . f a m i l y
[iv]
and if
i had any
enemies
to
give me the strength to look
the devil in
the face
and make
it home safe
“เดี๋ยวนี้ชอบมาแฮงก์เอาท์ที่นอร์เวย์รึไง?”
เฮล่าทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามร่างของน้องชาย
โลกิไม่ตอบ
แค่รับแก้วน้ำจากร่างเพรียวในเสื้อฮู้ดสีฟ้ามาจิบและมองพี่สาวตาขวาง
“อะไรกัน งอนอะไรข้าอีก ฮะ?”
เทพีผมดำเอียงคอ
“เขาเรียกว่ากบดาน”
สคาดินิ่วหน้า
“อ่า ไม่อยากจะทำร้ายจิตใจท่านหรอกนะพี่ข้า
แต่ว่า...ท่านใช้ชีวิตโคตรเปิดเผยเลยอ่ะ อย่างนี้เขาไม่เรียกกบดานแล้ว
เขาเรียกว่าหนีเที่ยว”
“เกลียดเจ้าจริงๆ สคาดิ” ชายหนุ่มหางคิ้วกระตุก
“ขอบคุณ”
ธิดาแห่งโอดินหัวเราะหึๆและกอดอก
“คราวนี้จะนั่งคุยกันดีๆได้รึยัง?
ข้าไม่ได้ถ่อมานี่เพื่อนั่งฟังเจ้ากับสคาดิพล่ามนะ...แค่นางคนเดียวก็เหลือทนแล้ว”
“เฮ้!!” ดวงตาสีฟ้าเทาถลึงใส่
มือขาวซีดยกขึ้นเป็นเชิงขอโทษน้อยๆ
ก่อนเธอจะพูดต่อ
“เกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
“ก็รู้แล้วนี่
ข้าไม่ได้ตายในยานนั่นพร้อมกับชาวแอสการ์ด”
“ขอรายละเอียด โลกิ” เทพีเหมันต์เลื่อนตัวลงนั่งตรงอีกมุมของห้อง
มือก็หยิบถุงเยลลี่บนตู้เย็นมาโยนเข้าปาก
“เฮ้ย ขนมข้า ห้องข้า” เทพคำลวงโวยวาย
“ข้าน้องท่าน”
เขากรอกตา
“เอาเป็นว่าข้าจะพยายามอธิบายนะ
คืออย่างนี้...ตอนที่ธานอสบุกเข้ามาในยานน่ะ
ข้ารู้แล้วว่ามีโอกาสน้อยมากที่พวกเราทั้งหมดจะรอดก็เลยสร้างภาพลวงตาเสมือนจริงขึ้นมา...ซึ่งก็ใช้ศักยภาพเกือบทั้งหมดที่ข้ามีอยู่และทำข้าเหนื่อยปางตายจนต้องนอนยาวไปหลายวัน”
“อ๋อ
มิน่าท่านถึงไม่เปลี่ยนกลับเป็นยักษ์น้ำแข็งตอนสิ้น”
หญิงสาวผมสีเข้มกินเยลลี่สีสดใสอีกสองชิ้น
“อือ นั่นล่ะ พอถึงช่วงที่ข้าถูกหักคอ
ข้าก็รีบหนีออกไปที่ไกลๆจากพวกเขาและยืนดูให้แน่ใจว่าธอร์คิดว่าข้าตายแล้ว...จากนั้นข้าก็วาร์ปมามิดการ์ดเพื่อกบดานนี่ล่ะ”
“ธอร์ต้องดีใจมากแน่ๆ” เฮล่าหันหัวมาทางเธอ
สคาดิกดหัวคิ้วลงแล้วถามพี่ชาย
“ท่านรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
“รู้ ข้าดูข่าว...ธานอสทำสำเร็จ
ครึ่งหนึ่งของจักรวาลสลายไปอย่างไร้ร่องรอยจริงๆ”
“นั่นก็เรื่องหนึ่ง” ร่างเพรียวว่า
“รู้เรื่องศึกที่วากานด้ามั้ย?”
“รู้แค่ว่าหลายคนสลายไปและพวกเจ้าแพ้”
เธอพยักหน้า
“ธอร์เป็นคนเดียวที่ทำร้ายเขาได้”
“อ้อ”
“เขาดันเล็งพลาด ใช้ขวานจามอกเจ้าหัวมันม่วงนั่นแทน”
“แผนโง่ๆ...สมกับเป็นพี่ชายของเราดี”
โลกิแตะริมฝีปากล่าง ยกคิ้วเข้มๆขึ้นสูง
“...และนั่นก็ทำให้ธานอสสามารถดีดนิ้วและล้างบางสิ่งมีชีวิตครึ่งจักรวาลได้”
“อ๋อ...” เทพคำลวงทำปากเป็นรูปตัวโอ
“โอ้”
“ใช่...” แขนเรียวตวัดขึ้นกอดอก
“โอ้”
“เขาเป็นไรมากมั้ยนั่น?”
“ไม่ค่อยหนักเท่าไหร่นัก เช่นเคย”
เทพีองค์น้องบิดปาก
“ก็แค่จิตตก ละเมอชื่อท่าน
เหม่อลอยบ่อยๆ...อ่า...ใช่ นั่นมันหนักมาก...เอาการเลยล่ะ”
“เพราะงี้ถึงมาหาข้า ถูกมั้ย?”
“อือฮึ”
“อือฮึ”
สคาดิโยนถุงขนมที่ว่างเปล่าลงถังขยะ
“ธอร์ต้องการท่าน พี่ข้า จิตใจเขาไม่ไหวแล้ว”
“ทำไมเป็นข้า?” ชายหนุ่มผมดำขมวดคิ้ว
“มีชาวแอสการ์ดที่รอดด้วยนี่
ได้ยินมาว่าวัลคีรี่ก็ยังไม่ตาย เจ้าก็อยู่ เฮล่าก็อยู่...ทำไมข้า?”
“เขาผูกพันกับเจ้าที่สุด”
พี่สาวคนโตเม้มปาก
“อา เกลียดที่ต้องพูดแบบนี้ชะมัด...แต่เจ้าเป็นคนเดียวที่เติบโตมากับเขาอย่างใกล้ชิดที่สุดในบรรดาพี่น้องเราทั้งสี่คน”
สคาดิยืนถ่ายน้ำหนักไปมา
“ไม่มีใครจะเข้าถึงเขาได้ดีไปกว่าท่านอีกแล้ว
ที่เขาเป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะท่านนะ”
คู่สนทนาปากกระตุก
“ไหงโทษข้าเฉย”
“ถ้าท่านไม่ไปหาธานอสแต่แรก
เขาคงไม่ให้เทสเซอแรคท์ท่านมา ถ้าเขาไม่ให้เทสเซอแรคท์ เขาก็คงไม่มาเอาคืน
ถ้าเขาไม่มาเอาคืน ท่านก็จะไม่ต้องเฟคว่าตัวเองตายเพื่อเอาตัวรอด
แล้วเรื่องอินฟินิตี้สโตนบ้าๆนี่ก็คงจะไม่เกิดขึ้นถ้าท่านปล่อยให้เซอร์เทอร์ทำลายมันไปพร้อมกับแอสการ์ด!!”
“เรื่องนี้มันต้องโทษโอดินต่างหาก!!”
เขาโต้
“ถ้าเขาไม่เก็บข้ามาเลี้ยงแต่แรก
ถ้าเพียงแต่...ถ้าเพียงแต่เข้าปล่อยให้ข้าเน่าตายอยู่ตรงนั้น”
“หยุดเลย ทั้งคู่”
สสารเหลวข้นสีดำไหลออกมาตามท่อนแขนของเฮล่า
มันแข็งตัวในทันทีที่เธอสะบัดมันจ่อหน้าน้องทั้งสองที่เกือบจะได้ลุกขึ้นมาเปิดสังเวียนตะบันหน้ากันอยู่แล้ว
“เราทำเพื่อธอร์นะ อย่าลืมสิ”
ดวงตาสีฟ้าเทาเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ต่างๆ สคาดิกัดฟันกรอดและทิ้งตัวลงนั่งแรงๆบนเก้าอี้
มือกอดอก
“โอ...เค” พี่สาวคนโตค่อยๆพูด
“โลกิ”
ผู้ถูกเรียกหันหน้ามาน้อยๆ
“เจ้าต้องกลับไปหาธอร์
อย่าปล่อยให้เขาทำร้ายจิตใจตนเองไปมากกว่านี้...เขาโทษตัวเองมาพอแล้ว”
“กลับบ้านเถอะนะ”
ดวงตาสีเขียวมรกตหรุบลงและกวาดมองไปที่ใบหน้าของน้องสาวที่สนิทด้วยที่สุด
หนึ่งเดือนต่อมา...
ร่างเพรียวในชุดตัวเก่งที่มักใส่ออกรบตลอดเวลาย่างเท้าลงบนพื้นหินอ่อนสีดำวาวจับฝุ่นเล็กน้อย
เกราะเกล็ดมังกรตรงบ่าหายไปในพริบตาเมื่อเริ่มเห็นเหล่านักรบแดนคนตายทั้งหลายจ้องมองมาเป็นตาเดียวด้วยความสนใจ
เธอมาดีน่า อย่าคิดมาก
มือเรียวสะบัด
ธนูยาวที่ถูกนิ้วมือทั้งห้าจับอยู่เมื่อครู่ก่อนลดรูปลงเหลือเพียงกำไลสีดำด้านๆไม่หนามากบนข้อมือขวาเท่านั้น
“ราชินีสคาดิ”
ชายผิวซีดขาวดวงตาลึกโหลไร้ชีวิตคนหนึ่งทักขึ้น
“ยินดีต้อนรับสู่เฮลไฮม์
เราต่างรอคอยวันที่ท่านมาเยือน”
เส้นผมสีเข้มขยับเมื่อผู้เป็นเจ้าของพยักหน้าน้อยๆ
ดวงตาสีฟ้าเทากวาดไปทั่วโถง
“ราชินีของพวกเจ้าอยู่ที่ใดกันเล่า ผู้วายชนม์อย่างไร้เกียรติทั้งหลาย?”
เหล่าคนตายสบตากันไปมา
“ไปบอกนางหน่อยซิว่าน้องสาวมาหา”
ร่างขาวซีดร่างหนึ่งลุกขึ้น ดวงตาไร้ชีวิตสีดำลึกโหลนั้นมองมาที่เธอครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะถูกกลืนหายไปในเงามืดของท้องพระโรงแห่งเฮล
สคาดิเดินไปที่บาร์แบบไวกิ้งเก่าๆ
ผู้วายชนม์สองสามคนอยู่ตรงนั้น พวกเขาหันมาและก้มหัวให้ในขณะที่เธอนั่งลงบนเก้าอี้ทำจากตอไม้ตายซากปูด้วยเบาะรองบางๆ
ถ้าเฟรยานั่งที่นี่
ไม่สิ
ถ้าเฟรยามีโอกาสได้มาเหยียบเฮลไฮม์และได้มานั่งที่นี่คงบ่นไปเป็นวันว่าก้นสวยๆนั่นเจ็บและปวดหลังเนียนๆนั่นเหลือเกิน
“มี้ดสักแก้วคงจะดีมาก ขอบคุณ”
“ขอรับ
ขณะที่เธอเลื้อยลงไปกับโต๊ะ
มองบาร์เทนเดอร์จำเป็นรินมี้ดเย็นเฉียบลงแก้วไม้เงียบๆนั้นเอง
ร่างของคนที่เพิ่งไปส่งสารก็โผล่มาตรงข้างๆบาร์ด้วยความเงียบเชียบ
“ฝ่าบาทตรัสว่าหากท่านอยากมาเฝ้าให้ไปที่ร้านกาแฟของพระนางขอรับ”
“โฮ่” เธอกระดกคิ้วขึ้น
“นำทางซิ ผู้วายชนม์”
มือเรียวดันแก้วไปที่ร่างผอมกะหร่องข้างๆ
“มี้ดแก้วนี้คงต้องยกให้เจ้าแล้ว”
เหรียญทองสองเหรียญถูกหย่อนลงตรงหน้าพวกเขา
“ไม่ต้องทอนนะ”
เธอขยิบตาให้ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตามร่างของชายผู้นั้นไป
หลังจากออกจากท้องพระโรงแล้ว ร่างเพรียวก็เดินย่ำเท้าไปที่อีกมุมหนึ่งของหน้าวังที่มืดหม่นนั้น
ดวงตาสีฟ้าเทาปรายมองต้นไม้ที่ยืนต้นตายขนาดใหญ่สองสามต้นตามแนวกำแพงสีเทาเข้ม
จากนั้นจึงหรุบลงที่พื้นหญ้าสีดำสนิทอย่างน่าประหลาด ก้อนหินสีขาวตัดกันวางกระจัดกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบบนนั้น
“ถึงแล้วขอรับ”
ผู้วายชนม์ผิวขาวซีดฝุ่นๆราวกับชอล์กหมุนตัวมาโค้งให้
รอยยิ้มบางๆปรากฏที่ริมฝีปากของเทพีเหมันต์
“อือ”
“ขอบใจมาก”
ร่างนั้นกลืนหายไปกับเงาอีกครั้ง
สคาดิมองไปเบื้องหน้า
ร้านกาแฟสีดำที่เข้ากันกับกำแพงและวังซึ่งเป็นสีเดียวกันตั้งตระหง่านอยู่ชิดมุมปราสาท
แสงสีส้มทองเป็นจุดๆเรืองผ่านหน้าต่างใสสะท้อนอยู่ในดวงตาเมื่อเข้าไปใกล้พอ
แตะปลายนิ้วลงบนมือจับ เธอถอนหายใจ
กลิ่นของกาแฟอวลไปทั่วร้านในขณะที่หญิงสาวผมสีเข้มเลื่อนเก้าอี้ออกและนั่งลงตรงโตะที่อยู่ใกล้เคาน์เตอร์ที่สุด
“ยินดีต้อนรับ”
ร่างโปร่งสูงสง่าที่อยู่ในเสื้อยืดสกรีนลายแก้วกาฟกับแอปเปิ้ลและหัวะโหลกหมุนไปหมุนมาอยู่หลังบาร์ไม้พลางทักทาย
“เอาอะไรไหม?”
“บราวนี่กับชานม ขอบคุณ” หญิงสาวผู้น้องว่า
ราชินีผมดำพยักหน้าและหยิบเค้กออกมาจากตู้กระจกเย็นๆ
วางมันลงตรงหน้าเธอแล้วหันกลับไปทำชานม
“ธอร์เป็นไงบ้าง?”
“ก็ดี” สคาดิพยักหน้า
“ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ”
“โลกิ?”
“ขี้บ่นเหมือนเคย”
ช้อนเงินถูกจ้วงลงบนเนื้อขนมสีน้ำตาลแล้วส่งมันเข้าปาก
เปลือกตาปิดลงเพื่อซึมซับรสชาติช็อกโกแลตเข้มข้นและเนื้อสัมผัสหนึบๆ
“เจอกันทีไรก็บ่นทุกทีว่าธอร์ชอบนอนกอดจนอึดอัดบ้างล่ะ
ชอบเดินโอบไหล่บ้างล่ะ ข้าหูจะชา”
“หึ” เฮล่าวางแก้วชานมเย็นๆและกาแฟเอสเปรสโซของโปรดของตนบนโต๊ะพลางนั่งลงตรงข้ามเธอ
“ดีแล้วที่เจ้าโง่นั่นมันยังห้ามใจไม่ทำคิสมาร์กไว้
ไม่งั้นโลกิได้รู้ตัวแน่ว่าเขาทำอะไรตอนเขาหลับ”
“ละเมอหรอก” น้องสาวยิ้มและดูดชานม
“ของแบบนี้มันแก้ตัวว่าละเมอได้”
“อย่างน้อยการนอนกอดโลกิก็ทำให้เขาไม่ฝันร้าย”
เทพีแห่งความตายส่ายหัวเบาๆ
เธอพยักหน้ารับ
“อย่างน้อยก็เป็นเช่นนั้น”
“แล้วท่านจะไปเยี่ยมพวกเราที่มิดการ์ดอีกเมื่อไหร่?”
“ที่นิวแอสการ์ดอ่ะนะ?”
ดวงตาสีฟ้าซีดหรี่ลง
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน...วัลคีรี่จะพุ่งเข้ามาเฉือนคอหอยข้ามั้ยล่ะ?”
“ก็ถ้าท่านไม่ไปฆ่าแฟนนาง นางก็คงไม่เคืองท่านขนาดนี้”
ธิดาแห่งโอดินเม้มปาก
“อืม...ก็ถูก”
“สรุปท่านจะไปใช่ไหม?” สคาดิเอียงคอ
เมื่อเห็นพี่สาวดูคิดไม่ตก
เธอก็พ่นลมหายใจแรงๆ
“ไม่ต้องห่วงน่า เดี๋ยวข้ากันนางออกไปให้”
“นอร์นเถอะ” เฮล่ากรอกตา
“ประเด็นคือมันไม่ใช่แค่วัลคีรี่ไง”
น้องสาวยิ้มและหัวเราะเบาๆ
“เพื่อน้องชายทั้งสองคน สักครั้งเหอะพี่ข้า”
บิดปากไปมา ราชินีแห่งเฮลไฮม์ถอนหายใจ
“อ่า...เอาก็เอา”
สคาดิยิ้ม เธอเขมือบบราวนี่คำสุดท้ายและลุกขึ้นยืน
มือเรียวตวัดครั้งหนึ่ง เปิดประตูมิติสีฟ้าใสขึ้นเบื้องหลัง
“งั้นข้าไปก่อนนะ”
“อืม”
หญิงสาวผมดำอ้าแขนออกรวบตัวราชินีแห่งอาณาจักรน้ำแข็งผู้เป็นน้องสาวเข้ามากอดแน่นๆครู่หนึ่ง
“ข้าดีใจที่เจ้ามา”
คู่สนทนาหัวเราะเบาๆ
“ไว้ข้าจะมาบ่อยๆ”
แล้วเธอก็หันหลังเดินจากไป
บันทึกของโลกิ
เทพคำลวง, เจ้าชายแห่งแอสการ์ด,
เจ้าชายแห่งโจตันไฮม์และอดีตราชาแห่งแดนเทพ
หนึ่งเดือนก่อน
เขาดูเศร้าไม่น้อย
สคาดิหันมาผงกหัวเป็นกำลังใจให้ข้าแล้วเดินหายลับกลับเข้าไปในประตูมิติกับเฮล่า
น้องเวร ทิ้งข้าเช่นนี้ได้อย่างไร
ข้าสูดหายใจสั่นๆลึกๆ มองแผ่นหลังที่ดูอ้างว้างเหลือเกินของพี่ชายคนโตแล้วตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขา
ดวงตาสีฟ้าเข้มๆของธอร์เบิกกว้างเมื่อเห็นข้า
และข้าก็แทบอดไม่ไหวที่จะฉีกยิ้ม
ผายมือและพูดว่าเซอร์ไพรส์
ข้าเบิกตากว้างเมื่อจู่ๆพี่ชายที่นั่งหันข้างให้กลับลุกขึ้นมากอดข้าไว้จนรู้สึกเหมือนกระดูกซี่โครงจะหัก
แล้วนั่นเขาร้องไห้รึ?
หัวใจข้าอ่อนยวบ
ข้าโอบมือรอบบ่าของเขาแล้วตบเบาๆ
“...โลกิ” เขากลั้นสะอื้น เสียงอู้อี้
“ข้าอยู่นี่ พี่ข้า”
...ข้าอยู่ตรงนี้
ปัจจุบัน
วันนี้ข้าตื่นมาพร้อมกับท่อนแขนของธอร์ที่รัดเอวข้าจนอดอึดอัดไม่ได้...อีกแล้ว
“อือ...”
เขาขมวดคิ้วและรัดแขนแน่นขึ้นเมื่อข้าพยายามขยับตัว
บางครั้งก็สงสัยว่าข้าควรจะไปหาซื้อตุ๊กตาหรือหมอนข้างมาให้พี่ชายคนนี้ดีไหม
“ธอร์”
“อือ ขออีกห้านาที”
“ธอร์”
เมื่อเห็นว่าเขาคงไม่ปล่อยข้าง่ายๆแน่ ข้าจึงยกขาขึ้นมาถีบร่างใหญ่ๆบึกๆของธอร์กลิ้งตกเตียงไป
เขาร้องออกมาคำหนึ่ง
ข้าไม่สนใจ
รีบุกออกจากเตียงและก้าวไปล้างหน้าในห้องน้ำ
ในกระจกคือชายหนุ่มผมดำยาวประบ่าดวงตาสีเขียวมรกตคนเดิม
แต่ข้าเหลือบเห็นอะไรแปลกๆบริเวณต้นคอสีซีดของตน
ใจข้าดิ่งวูบด้วยความระทึก
มือยกขึ้นแหวกคอเสื้อยืดที่ใส่นอนออก
คิ้วข้าขมวดโดยอัตโนมัติ ปากอ้าเล็กน้อย
นี่มันรอยอะไรฟะ?
“...โลกิ”
เสียงเรียกเบาๆของธอร์ทำให้ข้าหันขวับ
“ธอร์ นี่คืออะไร?”
ใบหน้าของเขานิ่งขึงไป
และข้าก็เข้าใจทุกอย่างขึ้นมาในทันที
ข้าไม่ได้อินโนเซ้นต์ขนาดที่จะไม่รู้ว่าท่าทางแบบนั้นและรอยแดงๆเป็นจ้ำๆตามคอคืออะไร
“เจ้า...เจ้าทำคิสมาร์คใส่ข้า...เหรอ?”
“ด-เดี๋ยว...เดี๋ยว ฟังข้าก่อน คือว่าข้า--”
“%&!@#$%&*()?!!!!!!” ข้ารู้สึกเหมือนเลือดในกายเดือดพล่านไปหมด
ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่ได้ ข้าก้าวขายาวๆไปกระทืบเท้าลงบนร่างเขาจนธอร์ตัวงอ
“โอ๊ย โอ๊ย!!”
“โว้ยยยยย ธอร์ ไอ้พี่บ้าเอ้ยยยยย!!!”
แล้วอย่างนี้ข้าต้องแบกหน้าไปขอครีมมาทาปิดรอยจากวัลคีรี่จริงๆเหรอเนี่ย?
นี่ต้องกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ของนิวแอสการ์ดแน่ๆ
-End.
[ENDGAME
SPOILER ALERT]
-ใครยังไม่ได้ดูและไม่อยากฟังสปอยที่เปิดเผยเนื้อหาในหนังเล็กน้อย กดออกเลยจ้าาา-
TALK WITH FM
เราไปดู
Endgame มาแล้วล่ะค่ะ
ต้องบอกเลยว่าเป็นหนังเรื่องแรกที่ทำเราน้ำตาแตกคาโรงหนังได้
ดีใจที่ได้เห็นปีเตอร์
เสตรนจ์ ชูรี วานด้าและทุกคนอีกครั้งจนน้ำตาไหลเลยค่ะ
ยิ่งพอเห็นสไปดี้เนี่ย
เสียงตบมือดังก้องโรงเลย 55555
เป็นฉากจบที่ทำให้เราใจหายมาก
คงจะคิดถึงโทนี่ นาตาชาและแคปไปอีกนาน
ใครที่ไปดูมาแล้วช่วยมาแชร์ความรู้สึกกันหน่อยนะคะ
เจอกันฟิคหน้าเน้ออออ
ด้วยรักและถุงกาว
เฟิงมี่ค่ะ>3<
ความคิดเห็น