คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : Broken Throne S2 || Ch 7
|| B
R O K E N T H R O N E ||
s e a
s o n 2
----------------------------
CHAPTER 7
เจ็บชะมัด
เจ็บร้าวไปทั้งร่าง
เปลือกตาขยับเล็กน้อย
แล้วจึงค่อยๆลืมขึ้น
สคาดิหายใจออก
มองไปรอบกาย
เธออยู่ที่ไหน?
ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงเมื่อพบว่ากำลังนั่งคุกเข่าอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง
ดำมืดและน่ากลัว
อย่าบอกนะว่า...
กลิ่นอายของเอเธอร์แผ่ออกไปรอบๆ
ส่งผลให้เธอรู้สึกวิงเวียนและอ่อนเพลีย
ความเจ็บแปลบที่ช่องท้องทำให้หญิงสาวนิ่วหน้าเมื่อพยายามออกแรงขยับตัว
มีดเวร
ยังดีที่พวกมันยังดึงมีดออกและหาผ้ามาพันให้
“หลับสบายดีไหม?”
เสียงแหบแห้งชวนขนลุกดังขึ้นจากมุมมืด
ไม่ใช่ภาษาสากล
อา...เธอเกือบลืมภาษานี้ไปแล้ว
แย่จริงๆ
“เอาข้ามาทำไม?”
ถามกลับเสียงแห้งพอๆกัน ดวงตาจ้องไปที่มุมนั้นขณะที่ร่างของเขาปรากฎขึ้น
ดวงตาสีดำสนิทราวกับหินอ๊อบซิเดียนขัดมันมองลึกเข้ามา
มันกำลังจะเข้าไปในหัวเธอ
ไวเท่าความคิด
สคาดิสร้างกำแพงขึ้นมาในจิต ป้องกันทุกความคิดและทุกความทรงจำจากการถูกพินิจ
“ปฏิกิริยาเจ้าดี...”
มาเลคิธชม
“ธยาสซีสอนได้เยี่ยม
ธิดาของเขานั้นแข็งแกร่งจริงๆ”
“อย่าได้บังอาจกล่าวถึงเขา”
หญิงสาวคำราม
เสียงอันเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธนั้นแผ่วลงอย่างกะทันหันเมื่อความเจ็บปวดทั่วร่างแล่นขึ้นมาอีกครั้ง
มือขาวซีดของจอมเอลฟ์มืดยื่นมาข้างหน้า
ใบหน้านิ่งเรียบนั้นแฝงความรื่นรมย์อย่างปิดไม่มิด
ไอสีแดงลอยออกมาจากปากแผลของเธอและวนไปรอบกาย ส่งผลให้สะเก็ดที่เริ่มก่อตัวขึ้นแตกกระจายออก
เลือดสีแดงสดไหลซึมผ่านผ้าขาวขึ้นมาจนเห็นได้ชัดเป็นวงกว้าง
เธออ้าปาก
พยายามสูดหายใจช้าๆเพื่อระงับความเจ็บปวดขณะที่ร่างกายบิดไปมาอย่างทรมาน
ข้อมือทั้งสองข้างที่ถูกตรึงอยู่กับผนังโดยตรวนเหล็กกำสลับคลาย
พยายามไขว่คว้าหาที่ยึดอย่างไร้ประโยชน์
ในที่สุด เขาก็หยุด
ร่างเพรียวทิ้งตัวลงอย่างปวกเปียกอ่อนแรง
หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
เธอค่อยๆผงกหัวขึ้นมามองร่างที่ถือว่าสูงใหญ่ในเกราะสีดำอีกครั้ง
เส้นผมที่หลุดลุ่ยปรกลงมาซ่อนใบหน้า
ปิดทัศนวิสัยไปบางส่วน
“...ต้องการอะไร?”
“อะไรกัน
ได้คุยกับเอลฟ์ด้วยกันทั้งทีแต่กลับไม่ยอมพูดด้วยภาษาเดียวกัน...โอดินล้างสมองเจ้าจนจำไม่ได้แล้วรึไงว่าต้องกล่าวอย่างไร?”
มาเลคิธกอดอก
ดวงตาสีฟ้าเทาทอประกายคมปลาบ
“ไม่...ได้...ลืม”
เขายิ้ม
“งั้นสิ?”
ผิวซีดๆของมาเลคิธทำให้สามารถเห็นมุมปากที่กดลึกอย่างชัดเจน
เขากลับมาพูดภาษาสากลดังเดิม
น่าถีบที่สุด
“พูดให้ข้าได้ชื่นใจหน่อยซิ...องค์หญิง”
เทพีแห่งเหมันต์เม้มปาก
ไม่ยอมเอ่ยคำใดออกมา
เขาเอียงคอ
มือยังไม่คลายออกจากกัน
“เอางั้นก็ได้”
เอลฟ์มืดตัวหนึ่งที่มีขนาดพอๆกับไอ้ตัวที่แทงเธอก้าวออกมา
ตะครุบเข้าที่หัวของเธอและจิกนิ้วหยาบๆเข้าไปในผม
ใบหน้าถูกกระชากให้แหงนหงายขึ้นมาสบกับดวงตาน่าขนลุกนั้น
สคาดิไอออกมาอย่างเจ็บปวดและกล้ำกลืนเลือดคาวๆที่แล่นขึ้นมาจุกที่ในลำคอลงไป
“เรามาคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า”
เขาว่า
เธอเม้มปากแน่น
พยายามซ่อนความกลัวในดวงตาลงไปในขณะที่มือขนาดมหึมาด้านหลังดึงผมลงจนใบหน้าแหงนขึ้นมากกว่าเดิม
ป้องกันไม่ให้เธอก้มหน้าลง
ปลายนิ้วขาวซีดของมาเลคิธแตะลงบนแก้มเนียนทำให้ร่างทั้งร่างของเธอสั่นเทิ้ม
“ข้าคิดออกแล้ว”
เขาทำหน้าแจ้งกระจ่างอย่างน่าหมั่นไส้
“เรามาคุยกันเรื่อง...อาณาจักรของเจ้าดีไหมล่ะ?”
“อาณาจักรข้า...ถูกเจ้าทำลายจนพินาศกลายเป็นดินแดนรกร้างที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง
ประชาชนของข้าบ้านแตกสาแหรกขาด พลัดพรากจากกันไปไม่รู้อยู่ตรงไหนบ้างแล้ว...ถ้านั่นคือคำตอบที่เจ้ากำลังตามหาอยู่”
ประโยคที่ยาวที่สุดนับจากที่ตื่นมาถูกเปล่งเค้นลอดไรฟัน
เอลฟ์มืดยิ้มและหัวเราะน่ากลัว
“โอ้...ไม่
ไม่ทั้งหมดหรอก”
ดวงตาสีฟ้าเทาราวเมฆฝนหรี่ลง
“หมายความว่ายังไง?”
ปลายนิ้วที่ตอนแรกกดอยู่กับแก้มค่อยๆลากไล้ไปตามโครงหน้า
“ข่าวนี้มาถึงข้าเมื่อไม่นานมานี้...ยังคงมีเอลฟ์น้ำแข็งบางส่วนอยู่ในดินแดนรกร้างที่เจ้าว่านั้น
และกำลังจะหาทางกอบกู้บัลลังก์เยือกแข็งขึ้นมาใหม่”
คิ้วเรียวขมวดเป็นปม
“เป็นไปไม่ได้”
“มันเป็นไปแล้ว
สคาดิที่รัก...” ดวงตาสีดำสนิทจ้องเข้ามา
รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่พยายามแทรกเข้ามาในความคิดของเธอ
ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆจนเธอต้องกัดฟัน
“และเจ้าต้องบอกข้าว่าที่ซ่องสุมกำลังของพวกมันคือที่ไหน”
เธอหรี่ตา
“ถ้าไม่...”
ใบหน้างดงามขยับขึ้นไปจนแทบชิดเขา
“แล้วจะทำไม?”
ความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในร่างฉับพลันจนร่างเพรียวลงไปกองกับพื้น
เสียงกรีดร้องถูกกักไว้ภายใต้ฟันที่ขบกัดกันแน่น
ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน
มาเลคิธมีสีหน้าเรียบนิ่ง
เขาดึงกริชเคลือบเอเธอร์ออกมาจากร่างของเธอและยื่นมือออกมาอีกครั้ง
ทำให้สสารแดงลอยออกมามากกว่าเดิม
สคาดิยึดตรวนข้อมือเอาไว้เพื่อกันไม่ให้ตนลงไปดิ้นเร่าๆอยู่กับพื้น
เส้นสีแดงสดเริ่มปรากฏขึ้นชัดที่แขน
ขา และต้นคอ
มันลามไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็วจนแตะใต้ตาทั้งสองของเธอ
“บอกมา
แล้วข้าจะหยุดมัน” เอลฟ์ที่เธอเกลียดสุดชีวิตสั่งนิ่งๆ
หญิงสาวหยัดกายขึ้นอย่างอ่อนแรง
“...ข้าไม่รู้”
ความจริงคือเธอไม่รู้
มีคนเหลือรอดจากสงครามนั้นด้วยเหรอ?
“เจ้าโกหก”
มือขาวซีดในสนับสีดำค่อยๆกำ ทำให้ความทรมานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
สคาดิกัดปากตนเองจนเลือดออก
“ข้า...ไม่รู้จริงๆ”
“ข้าไม่เชื่อ!!!!”
เขาร้องอย่างเดือดดาลด้วยภาษาเอลฟ์มืด มือที่กำอยู่เริ่มฟาดไปมา ส่งให้เธอถูกเหวี่ยงตามด้วยพลังของเอเธอร์ที่อยู่ในกาย
ผนังห้องนั้นแข็งและเย็น
มันทำให้ผิวของเธอฟกช้ำเป็นจ้ำทุกครั้งที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างปะทะกับมัน
ตรวนทำหน้าที่ของมันได้ดี
มันตรึงเธอไม่ให้ปลิวข้ามห้องไปไหนจนเธอรู้สึกเหมือนเป็นบานประตูที่ถูกลมพายุซัดแต่ยังไม่หลุดออกจากวงกบ
“เจ้าทำได้ยังไง...?”
เธอหอบเมื่อเขาพักเหนื่อย
“กริชนี่น่ะนะ?”
ราชาห้วงมืดยกอาวุธสีดำสนิทขึ้นมา
“อภินันทนาการจากสมัยทำสงครามกับบอร์ บิดาของโอดินไง”
“เป็นหนึ่งในอาวุธที่ไม่เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา
ต้องขอขอบคุณบิดาบุญธรรมเจ้านะที่เก็บมันไว้ในคลังแสง
อัลกริมเห็นเลยเอาพวกมันทั้งหมดมาคืนให้ข้า”
ร่างในเกราะสีดำด้านๆจนดูเผินๆเหมือนกระดาษย่างไปทั่วห้อง
“เจ้าจะไม่บอกข้าจริงๆสินะว่าพวกนั้นอยู่ที่ไหน?”
“ก็บอกไปแล้วไง...”
สคาดิทรงตัวขึ้นนั่งขัดขา
“ข้าไม่รู้”
เลือดสีสดชโลมไปทั่วบริเวณที่เธอนั่งอยู่
เปรอะเปื้อนหน้าแข้ง เส้นผม และใบหน้า
มีบางส่วนที่ติดอยู่กับผนังไม่ไกลออกไปนักจากการที่เธอถูกเหวี่ยง
“ถ้าเช่นนั้น...”
มาเลคิธเล่นกับปลายมีด ดวงตาไร้แววนั้นส่งผ่านความเกรี้ยวกราดอย่างฉับพลันมาที่เธอ
“ข้าจะให้เจ้าได้มองมิดการ์ดถล่มลงด้วยตาตนเอง
และขอสาบานกับบรรพชนว่าความตายของพี่ชายเจ้าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เจ้าเห็น...ก่อนที่ข้าจะควักลูกตาเจ้า
และตัดอวัยวะเจ้าทีละชิ้น และหย่อนเจ้าลงไปในห้วงเอเธอร์
และทิ้งเจ้าให้ร้องขอความตายที่น่าอภิรมย์กว่าสิ่งที่เจ้ากำลังประสบพบเจอ”
เขี้ยวของเขาขาวเหมือนฟันหมาป่า เสียงของเขาเหี้ยมเกรียมขึ้นไปอีกเมื่อพูดด้วยภาษาแม่
“และรู้อะไรมั้ย? ข้าจะทำมันขณะที่หัวเราะไปด้วย"
ดวงตาสีฟ้าไร้วี่แววความหวาดกลัวมีประกายบางอย่างพัดผ่าน
ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวประคองตนขึ้นไปใกล้ใบหน้าของมันและเอียงหน้าไปใกล้หูแหลมๆข้างนั้น
เธอกระซิบลอดไรฟันอย่างหนักแน่น
“ดี...ข้าไม่กลัวเจ้าดอก
เอลฟ์มืด”
มาเลคิธนิ่งไปสักครู่
เขาขยับกายออกห่างจากเธอและแหงนหน้าหัวเราะอย่างพึงพอใจ
“ฮ่าๆๆๆๆ ข้าดีใจนะ ในที่สุดเจ้าก็พูดภาษาบ้านเกิดให้ข้าฟังสักครั้งก่อนจะไม่ได้พูดอีกต่อไป”
มุมปากหญิงสาวกดลึกเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ย
เขามองลงมาที่เธอเหมือนกับยักษ์ที่กำลังมองมดตัวจ้อยที่อยู่ตรงปลายเท้า
“ข้าก็หวังอยากอยู่เล่นกับเจ้าต่อนะ
องค์หญิง แต่เรามาถึงมิดการ์ดแล้ว และข้าก็มีธุระที่นี่”
เขายื่นหน้ามาใกล้อีกครั้ง
“เมื่อข้าบดขยี้โลกนี้แล้ว
สคาดิที่รัก...”
“เราจะมีเวลาว่างกันอีกเยอะเลยล่ะก่อนที่ข้าจะไปพิชิตที่อื่นต่อ”
สคาดิเผลอหลับไป
แค่ชั่วขณะที่มาเลคิธเดินออกจากยานเพื่อลงไปจัดการมิดการ์ด
เพียงตื่นเดียวเท่านั้น
เธอถูกปลุกด้วยความรู้สึกบางอย่าง
ความโกรธเกรี้ยวของใครบางคน
และความหวังของคนคนเดียวกัน
...โซลเมต?
เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นยานดังกังวานไปทั่ว
ไอหน้าซีดนั่นกลับมาแล้วเหรอ?
ก็ดี...จะได้เจอกับท่านพ่อท่านแม่อีกครั้ง
หวังว่าเมื่อทุกอย่างจบลง
เธอจะได้ตื่นขึ้นที่ฟอล์กแวนเกอร์*นะ
เลือดที่แห้งกรังยังคงอยู่บนร่างและปรากฏเป็นปื้นเต็มพื้นสีเงินเข้ม
แต่งแต้มให้ห้องนี้ดูคล้ายกับฉากฆาตกรรมในหนังเข้าไปใหญ่
หญิงสาวผ่อนลมหายใจและค้อมหัวลงเพื่อยอมรับโชคชะตา
สติกำลังจะดับวูบไปอีกครั้งในตอนที่รู้สึกถึงการมีอยู่ของอีกอย่างที่ไม่ใช่เอลฟ์มืด
ดวงตาสีฟ้าเทาค่อยๆปรือลงอย่างอ่อนแรง
ทันใดนั้น
มืออุ่นๆก็เข้ามากอบกุมใบหน้าของเธอ ประคองมันอย่างอ่อนโยนและค่อยๆยกหัวเธอขึ้น
“...สคาดิ”
เสียงทุ้มนุ่นอันคุ้นเคย...
วีดาร์
“สคาดิ
ได้โปรดตอบข้าหากเจ้าได้ยิน” เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น
แล้วมือเรียวก็เป็นอิสระจากตรวน
ร่างทั้งร่างร่วงไปข้างหน้าเมื่อปราศจากสิ่งยึดเหนี่ยว
เขารับเธอไว้ในอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้น
“...วีดาร์”
หญิงสาวเปล่งเสียงแหบแห้งออกมาเป็นการตอบรับ
สูดกลิ่นหอมของต้นซีดาร์และแสงแดดฤดูใบไม้ผลิที่คุ้นเคย
เธอค่อยๆซุกหน้าลงไปกับบ่าของเขา
“ออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
มือแกร่งสอดเข้ามาใต้ข้อพับขาและยกตัวเธอขึ้นแนบอก
ร่างเพรียวสะดุ้งน้อยๆเมื่อการขยับเมื่อกี้กระทบกระเทือนถึงแผลลึกในช่องท้องทั้งสอง
วีดาร์ชะงักอย่างกะทันหัน
เขารีบวางเธอลงให้พิงกับขอบอะไรบางอย่างและสำรวจร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดแห้งกรัง
ทันทีที่เขาเลิกชายเสื้อสีเทาที่ถูกย้อมด้วยของเหลวสีแดงสดขึ้นและเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใต้
เสียงคำรามก็ดังขึ้นภายในลำคอ
“ข้าจะไปฆ่ามัน”
เธอแตะหลังมือเขาอย่างอ่อนเพลีย
“อย่า...”
เทพแห่งการล้างแค้นขมวดคิ้ว
“เขาอันตรายเกินไปหากเจ้ามีเลือดเอลฟ์อยู่ในกาย
เอเธอร์นั่น...แค่กๆๆ” เลือดสดๆกระเซ็นออกมาเล็กน้อยๆเมื่อหญิงสาวไอ
“ข้าจะพาเจ้าไปรักษา
ทนก่อนนะ”
ริมฝีปากน่าสัมผัสนั้นประทับลงที่หน้าผากเนียน
เขายกเธอขึ้นอีกครั้งและเดินอย่างรวดเร็วออกไปจากห้องนั้น
เทพีแห่งสายลมสัมผัสได้ถึงอากาศที่พัดผ่านไป
เธอค่อยๆจมลงในห้วงนิทราอีกครั้งโดยที่หัวยังซบอยู่กับอกแกร่ง
ดวงตาสีฟ้าเทาค่อยๆปรือขึ้นอีกครั้งและพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนยานสีทองที่พาเธอไปถูกกะซวกที่สวาร์ตอัลฟ์ไฮม์
หญิงสาวหันไปมองรอบๆ
สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงวีดาร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดเพียงเท่านั้น
ดวงตาสีฟ้าของเขายังคงไม่ละไปจากใบหน้าของเธอ
ราวกับว่าเขานั่งมองมันมาตั้งแต่ที่เธอหลับไปแล้ว
“เจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร?”
เธอถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ไม่รู้ว่าเจ้าจะหาว่าข้าบ้าไหม...”
“ลองเล่ามาก่อนสิ”
เธอยิ้มอย่างอ่อนแรงให้เขา
วีดาร์เม้มปาก
“เคยได้ยินเรื่องโซลเมตมาบ้างมั้ย?”
ลมหายใจสะดุด
หญิงสาวค่อยๆเบนสายตาไปสบกับดวงตาคู่นั้นของเขา
“เจ้า?
ข้า?” อยู่ๆเธอก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
“เรา...”
ชายหนุ่มหลับตาลงและพยักหน้าช้าๆ
“ใช่”
...เขาและเธอเป็นโซลเมตกัน...
“แล้ว...มาเลคิธ?”
เธอกลืนน้ำลาย
พยายามหลบสายตาของเขาที่ดูชวนให้หน้าเห่อร้อนขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
ลฃ
“ตาย”
เขาตอบสั้นๆก่อนจะวางมือลงบนหลังมือของเธอ
“มันจบแล้ว
สคาดิ”
หญิงสาวหลับตาลง
สูดหายใจสั่นๆ
“ขอบคุณนะ”
เขายกยิ้มและทาบริมฝีปากลงกับหน้าผากเธออีกครั้ง
“ด้วยความยินดี
โซลเมตของข้า”
TALK WITH FM
สวัสดีค่ะทุกคนนนนนนน
ตอนหน้าซีซั่นฟินาเล่แล้วน้าาาา
ช่วงนี้ไรท์ว่างมาก
แถมเอาคอมมาโรงเรียนได้ด้วย เลยมีเวลาปั่นช่วงคาบว่าง
ขอขอบคุณสำหรับทุกแรงสนับสนุนนะคะ
ด้วยรักและถุงกาว
เฟิงมี่ค่ะ>3<
ความคิดเห็น