เรื่องนี้.....ที่พ่อแม่ให้มา - เรื่องนี้.....ที่พ่อแม่ให้มา นิยาย เรื่องนี้.....ที่พ่อแม่ให้มา : Dek-D.com - Writer

    เรื่องนี้.....ที่พ่อแม่ให้มา

    เรื่องนี้อยากให้ทุกคนอ่านดู มันซึ้งจิงๆ อ่านเเล้วน้ำตาอาจไหลได้นะค่ะ เราอ่านเเล้วน้ำตาไหลเลย (นำมาจากเว็บอื่น)

    ผู้เข้าชมรวม

    516

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    516

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ก.ย. 48 / 15:54 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      อ่านได้เลยค่ะ  
      >ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
      >แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
      >ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
      >วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
      >ของฉันมีกัน
      >
      >จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
      >
      >พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
      >โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
      >\"ใครขโมยเงินไป\" พ่อตวาด
      >
      >ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
      >พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
      >\"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
      >ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ\"
      >
      >พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
      >
      >ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
      >แล้วพูดว่า
      >\"ผมขโมยเองครับ\"
      >ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
      >พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
      >จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
      >พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
      >\"ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
      >
      >แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย\"
      >
      >
      >คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
      >หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
      >แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
      >
      >กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
      >
      >น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
      >\"พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว\"
      >
      >ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
      >ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
      >
      >หลายปีผ่านไป
      >แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
      >
      >ฉันไม่อา จลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
      >ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี...
      >
      >เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
      >เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
      >ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
      >ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกั น
      >
      >คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
      >
      >ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า \"ลูกเราทั้งคู่เรียนดี
      >เรียนดีมากนะ\"
      >
      >แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
      >\"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร
      >ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน\"
      >
      >ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
      >\"ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว\"
      >
      >พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
      >\"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
      >ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
      >พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้\"
      >
      >คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
      >ทั่วทั้งหมู่บ้าน
      >เพื่อขอยืมเงิน
      >
      >ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
      >\"ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
      >
      >ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้\"
      >
      >แต่ในขณะเดียวกัน
      >ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
      >ใครจะรู้ได้ .... วันต่อมาในตอนเช้ามืด
      >น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
      >และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
      >
      >ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
      >ขณะฉันกำลังหลับ
      >\"พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....
      >ผมจะไปหางานทำ
      >แล้วจะส่งเงินมาให้พี่\"
      >
      >ฉันนั่งอยู่บนเตียง
      >อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ....
      >ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
      >ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี ....
      >
      >ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
      >รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่
      >ไซท์ก่อสร้ าง ....
      >ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
      >
      >วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
      >เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า \"มีชาวบ้านมาหาเธอ
      >อยู่ข้างนอกแน่ะ\"
      >
      >ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
      >ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
      >ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
      >...
      >ฉันถามเขาว่า
      >\"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ\"
      >
      >น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า \"ก็ดูผมสิ
      >สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
      >ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
      >ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี\"
      >
      >ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
      >และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
      >\"พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
      >เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม\"
      >
      >จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
      >
      >เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ ... เขาติดกิ๊บให้ฉัน
      >แล้วพูดว่า
      >\"ผมเห็นสาวๆ ในเมือ งเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง\"
      >
      >ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
      >ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
      >ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี ....
      >
      >วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
      >ฉันสังเกตเห็นว่า
      >หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
      >
      >เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
      >
      >หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
      >\"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
      >เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ\"
      >
      >แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า \"แม่ไม่ได้จ้างหรอก
      >น้องชายลูก ต่างหาก
      >วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
      >ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
      >น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ\"
      >
      >ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
      >
      >ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
      >
      >ฉันจับมือน้องเอ าไว้อย่างเบามือที่สุด \"เจ็บมากไหม\"
      >ฉันถาม
      >
      >\"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
      >มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
      >แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
      >และ...\"
      >
      >น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
      >เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
      >น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
      >ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...
      >
      >หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
      >หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน
      >...
      >แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
      >
      >ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้ งหนึ่ง
      >แต่เมื่อออกไปแล้ว
      >ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
      >จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
      >
      >น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป
      >...
      >เขาบอกกับฉันว่า
      >\"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
      >ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง\"
      >
      >สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
      >เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
      >...
      >แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
      >เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
      >
      >วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
      >และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
      >... เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
      >
      >ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
      >น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
      >... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
      >
      >\"ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
      >ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
      >ดูตัวเองซิ
      >เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง\"
      >
      >คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
      >ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
      >\"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
      >ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ
      >ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
      >คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด\"
      >
      >น้ำตาปริ่มดวงตาของฉัน รวมทั้งสามีของฉันด้วย ....
      >ฉันบอกกับน้องว่า
      >\"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...\"
      >
      >\"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ\"
      >น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
      >ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...
      >
      >เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
      >
      >เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน
      >
      >ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
      >\"ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้\"
      >
      >น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล \"พี่สาวของผมครับ\" ....
      >และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
      >
      >\"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้ านหนึ่ง
      >เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม. เพื่อเดินไปเรียน
      >และเดินกลับบ้าน
      >วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
      >พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
      >และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
      >เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
      >เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .... นับจากวันนั้น
      >
      >ผมสาบานกับตัวเอง
      >ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
      >และจะทำดีกับเธอ\"
      >
      >เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
      >สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
      >
      >คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .... \"ในโลกใบนี้
      >คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ\"
      >
      >ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
      >น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...
      >
      >จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
      >วันในชีวิตของคุณและเขา
      >คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ
      >น้อยๆ
      >แต่สำหรับคนคนนั้น อาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
      >...ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
      >พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
      >หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก......ก็ตาม

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×